LOGIN“ปั้นครับ...อา...”
“อ๊ะ...อือ...”
น้ำเสียงหอบครางปนเซ็กซีของสามีซึ่งกำลังคุมเกมรักอยู่ด้านบนทำให้ข้าวปั้นครวญครางตอบออกมาด้วยความรู้สึกเดียวกัน ตาคู่สวยหันไปมองนาฬิกาดิจิทัลข้างหัวเตียงระบุว่าตอนนี้คือเวลาตีห้ายี่สิบห้านาที
เวกัสปลุกเธอขึ้นมารองรับความปรารถนาของเขาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อน บางทีข้าวปั้นก็รู้สึกว่าเขาไม่สงสารร่างกายเธอสักนิดเลย ทั้งที่เมื่อคืนเธอก็ป้อนความสุขให้เขาจนเกือบตีหนึ่งไปแล้ว
“อ๊ะ...บะ เบาๆ อื้อ...ปะ ปั้นจุก”
มือเรียวยกมือดันหน้าท้องแกร่งของสามีให้ขยับช้าลง หลังจากถูกโถมความใหญ่โตเข้าหาถี่ๆ หลายนาที จนร่างเล็กสั่นคลอนตามจังหวะนั้นทุกครั้ง ขนาดที่เกินกว่ามาตรฐานชายไทยทำเอาจุกเสียดทุกครั้งที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน แม้จะผ่านการมีลูกมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกชินกับตัวตนใหญ่ที่กำลังเข้าออกร่างกายร้อนรุ่มของตนเองได้เลย
“ทำไมยังไม่ชินอีก หนูโดนพี่เอามาห้าปีแล้วนะ...อ๊า...รัดแน่นขึ้นอีกแล้ว”
สามีตัวโตขยับร่างกายช้าลง เพราะร่างกายของภรรยามีปฏิกิริยากับคำหยาบคายเมื่อครู่จนรัดลำรักเขาแน่นขนัด ใบหน้าหล่อเหลาซบหน้าลงบนอกนุ่มฟูด้วยความเหน็ดเหนื่อย ปากร้อนเล่นกับยอดถันสีแดงจนแข็งสู้ลิ้น
“ละ แล้วพี่เวย์ยังไม่ชิน เวลาที่ปั้นรัดของพี่อีกเหรอคะ...” นิ้วเรียวกางออกสากผมนุ่มของคนตัวสูง ออกแรงขยุ้มเบาๆ เมื่อถูกเขาดูดดุนหน้าอกพร้อมๆ กับโถมสะโพกกระทบช่วงล่างจนเสียวสะท้าน
คนเป็นสามีกัดริมฝีปากกับถ้อยคำต่อล้อต่อเถียงของภรรยา ยิ่งเห็นมือข้างที่สวมแหวนแต่งงานประคองหน้าท้องตนเองเอาไว้หลวมๆ ยิ่งน่าเอ็นดูแกมมันเขี้ยวจนเผลอสอบน้ำหนักเข้าจุดกระสันหนักหน่วงจนข้าวปั้นเบิกตาโตมอง
ปึก! ปึก! ปึก!
“อ๊ะ! พะ พี่เวย์ อ๊า! อื้อ...ปั้นขอโทษ”
ข้าวปั้นรู้ตัวว่าเล่นผิดคนแล้ว คนตัวเล็กจึงรีบขอโทษขอโพยสามียกใหญ่หวังให้อีกฝ่ายเบาแรงลง แต่เวกัสกลับจับขาเรียวแบออก จากนั้นจึงตั้งใจลงโทษคนสวยของเขาให้สาสมกับความช่างยอกย้อนของเธอ
“นอนให้พี่เอาจนกว่านาฬิกาปลุกจะดังครับ อย่าดื้อ...”
“อ๊ะ อ๊ะ อื้อ!”
══♡══
“จุนพ่อขา~ จุนแม่ขา~”
ลูกสาวตัวน้อยวางมือจากการรับประทานมื้อเช้าวิ่งตรงเข้ามาหาบิดาด้วยความสดใส สองแขนป้อมๆ ชูขึ้นเป็นสัญญาณให้ผู้เป็นพ่อย่อตัวลงไปอุ้มขึ้นมาจากพื้น และนักธุรกิจหนุ่มก็ทำตามที่ลูกสาวต้องการอย่างว่าง่าย
“ไข่หวานโตขึ้นหรือเปล่าครับเนี่ย” เขาแสร้งทำเป็นว่าลูกสาวตัวหนักจนตั้งกระชับท่าอุ้มใหม่ นั่นทำให้ไข่หวานมุ่ยหน้าใส่บิดาด้วยความแง่งอน
“จุนแม่ขา~ จุนพ่อว่าไก่หวานอ้วน!”
ข้าวปั้นหัวเราะกับท่าทีของลูกสาว เอื้อมมือไปบีบแก้มซาลาเปาเม้มริมฝีปากมันเขี้ยวไม่ยั้ง
“คุณแม่เห็นด้วยค่ะ ไข่หวานตัวโตขึ้นมากจนคุณแม่จะอุ้มไม่ไหวแล้ว” ออกปากเออออห่อหมกรวมหัวกันแกล้งยัยตัวแสบของบ้านก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน
สาลี่กับส้มที่เป็นทั้งสาวใช้และพี่เลี้ยงของไข่หวานก็มองหน้ากันและลอบหัวเราะไปกับเจ้านาย
ครอบครัวสงบสุขสมบูรณ์แบบที่ใครๆ ต่างก็ต้องอิจฉา สามีหล่อ ภรรยาสวย ลูกสาวน่ารัก แถมยังอยู่บ้านหลังโตทำธุรกิจใหญ่ ครอบครัวในอุดมคติตามที่ข้าวปั้นต้องการไม่มีผิดเพี้ยน
“เอ๊ะ! ปาเก๋า”
“กระเป๋าค่ะ” คนเป็นแม่แก้คำผิดให้ด้วยความเอ็นดู
“จุนพ่อจะบินอีกแย้วเหยอคะ” ลูกสาวพูดอย่างรู้ทัน “มะรืนวันเกิดไก่หวานน้า~ T^T”
ดวงตาแป๋วแหววของลูกสาวทำคนเป็นพ่อลำบากใจ หลุบตามองนิ้วมือสองนิ้วที่ชูขึ้นตามจำนวนวันนับถอยหลังวันครอบรอบวันเกิดยัยตัวแสบ เวกัสหันไปมองภรรยาอย่างต้องการความช่วยเหลือ
“คุณพ่อต้องไปทำงานนะคะ หาตังค์ให้ไข่หวานไง” ข้าวปั้นเข้าไปช่วยพูดเต็มที่
แต่ลูกสาวกลับมองมายังผู้ใหญ่สองคนอย่างไม่ชอบใจ
“ไก่หวานมีบ้าน ไก่หวานมีรถ แต่ไก่หวานไม่มีจุนพ่อ...”
พูดจบลูกสาวก็ดิ้นกุกกักออกจากอ้อมกอดคนตัวโต มือแกร่งทั้งสองข้างกลับจับตัวลูกสาวคนเดียวไว้แน่น กอดโอ๋ลูกด้วยการดันให้ซบอกตนเองอย่างที่เคยทำเมื่อครั้งไข่หวานอายุไม่ไม่ถึงขวบ
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ พ่อทำเพื่อหนูกับคุณแม่นะ”
“จุนแม่อยากให้จุนพ่อไปไกลๆ หรือเปล่า” ลูกเมินคำอธิบายของเขา แต่กลับหันไปถามมารดาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แทน “ฮึก! ไก่หวานไม่หยักให้จุนพ่อไป จุนแม่ก็...”
“ไข่หวาน…” ข้าวปั้นเอ่ยปากปรามลูกสาวด้วยน้ำเสียงนิ่ง “คุณพ่อต้องทำงานนะคะ ส่วนไข่หวานก็ต้องรีบทานข้าวไปโรงเรียน”
ใบหน้าสวยส่งสัญญาณให้พี่เลี้ยงพาลูกสาวกลับไปทานข้าวต่อ แม้ลูกสาวจะยังแสดงท่าทีงอแงแต่ก็ยอมกลับไปนั่งที่พร้อมพี่เลี้ยงสองคนอยู่ดี
“พี่จะรีบกลับมาให้ทันวันเกิดลูกนะ”
“ค่ะ”
“โกรธหรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามภรรยาออกมาตามตรง
อาจเพราะรอบนี้ข้าวปั้นตอบสั้นกว่าทุกครั้ง เลยอดกังวลไม่ได้
“มันช่วยไม่ได้นี่คะ ปั้นชินแล้ว ลูกเพิ่งรู้ความได้ไม่กี่ปี อาจจะยังไม่ชิน”
"ประชด?"
"ไม่ค่ะ พูดจริง...จากใจเลย"
พูดจบคนตัวเล็กก็เดินหนีออกไปหน้าบ้าน เธอเดินเข้าไปทักทายเลขาของสามีอย่างคุ้นเคย คีรีคือคนที่เธอรู้จักพร้อมๆ กับเวกัส ในตอนที่เจอกันครั้งนั้นมันทำให้ข้าวปั้นรู้ว่าเขาทำงานตั้งแต่เรียนไม่จบปริญญาตรีด้วยซ้ำ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่สามีจะเลือกงานแล้วปล่อยเธอให้อยู่กับลูกดังเช่นที่ผ่านมา
"สวัสดีค่ะพี่คีรี รอบนี้ไปไหนกันคะ"
หญิงสาวเอ่ยทักเลขาของสามีด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร คีรีซึ่งน่าจะกำลังคุยงานกับลูกน้องอีกหลายคนหันขวับมาหาเจ้าของเสียงนั้นทันที ส่วนคนอื่นก็ยืดตัวตรงประสานมือโค้งทักทายเธออย่างพร้อมเพรียง
บางทีข้าวปั้นก็แอบสงสัยระบบบริษัทของสามีว่าต้องแสดงความเคารพกันขนาดนี้เลยหรือ แถมยังแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบเดียวกันอีก
สูทดำทั้งตัว และมีพินหนีบเนกไทสีทองตัว V
น่าจะหมายถึง V GROUP...
พนักงานส่วนมากเป็นผู้ชาย น้อยครั้งที่จะเห็นผู้หญิง ยกเว้นเวลาไปหาเวกัสที่บริษัท อาจจะเป็นเรื่องปกติของธุรกิจรับเหมาครบวงจรประเภทนี้
"สวัสดีครับคุณข้าวปั้น รอบนี้เราบินไปฮ่องกงสามวันครับ" คีรีตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ
หญิงสาวพยักหน้ารับ ประจวบเหมาะกับเวกัสเดินตามมายืนข้างๆ พอดี จึงเปลี่ยนเรื่องคุย
"ทานมื้อเช้ากันมาหรือยังคะ?"
"พวกเราทานเรียบร้อยแล้วครับ" ทันทีที่คีรีตอบกลับมา พนักงานคนอื่นๆ ก็ก้มหน้าโค้งขอบคุณเธออีก
ขอบคุณทำไม ขอบคุณที่เธอถามเนี่ยนะ?
"พี่ต้องไปขึ้นเครื่องแล้ว มีอะไรโทรมาได้ตลอดเวลานะครับ"
มือหนาของสามีรั้งเธอมาจูบหน้าผากแนบชิดต่อหน้าลูกน้องคนอื่น คนตัวเล็กหน้าแดงไม่คุ้นชินกับการแสดงออกต่อหน้าคนอื่นของเขาเสียที
"จูบพี่หน่อย..." ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาใกล้จนปลายจมูกชิดกัน
ดวงตากลมโตแอบชำเลืองมองไปยังคีรีและคนอื่นๆ ก็เห็นว่าลูกน้องเขาพร้อมใจกันกลับหลังหันเคลียร์ทางให้แล้ว
จุ๊บ!
"อื้อ..."
ริมฝีปากนิ่มจุ๊บปากอุ่นแผ่วเบา ก่อนจะร้องประท้วงเมื่อฟันคมของสามีกัดปากล่างเธอจนเจ็บแปลบ
"ฝากง้อไข่หวานให้พี่ด้วย พี่จะรีบกลับมาให้ทันงานวันเกิดลูก"
"ทันแน่นะคะ รอบนี้ลูกสี่ขวบนะ"
เวกัสอยู่ในวันเกิดลูกทุกปี หากปีนี้คนเป็นพ่อไม่อยู่ ลูกสาวคงแผดเสียงร้องไห้งอแงทั้งคืน
"พี่จะรีบกลับมา..."
═══☆♡☆═══
กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปี 2019 ใครจะคิดว่าเวกัสจะเป็นคนสปอยล์แฟนตัวเองขนาดนี้ เพียงแค่เธอเอ่ยเล่นๆ ว่าอยากมางานครบรอบสามสิบปีของเครื่องประดับแบรนด์อเมทิสต์เป็นของขวัญรับปริญญา อาทิตย์ต่อมาเขาก็ลากเธอขึ้นเครื่องบินส่วนตัวมายืนอยู่ในสวนสาธารณะช็องเดอมาร์ส ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประมูลเครื่องประดับและอัญมณีในค่ำคืนนี้ ยอมรับว่าแสงสีส้มของเมืองปารีสตัดกับความมืดของท้องฟ้าทำให้ข้าวปั้นรู้สึกมีความสุขมาก คนตัวเล็กสวมชุดเดรสสีดำขนาดพอดีตัวกับรองเท้าบูทส้นเข็มที่แฟนหนุ่มจัดหาให้ มือเล็กคล้องแขนเขาเดินชมภาพสินค้าที่ถูกจัดแสงถ่ายแขวนตามข้างผนัง ไม่ต่างจากงานแสดงนิทรรศการภาพถ่ายเครื่องประดับด้วยความตื่นเต้น บ่อยครั้งที่มีชาวต่างชาติเดินเข้ามาทักทายเวกัสด้วยภาษาฝรั่งเศสที่เธอฟังไม่ออก แต่เดาได้ว่าน่าจะเป็นการคุยเกี่ยวกับธุรกิจส่วนตัวของแฟนหนุ่ม ซึ่งเธอตั้งใจว่าจะไม่ก้าวก่ายหรือถามให้เขาอึดอัดใจ “ปั้นชอบชิ้นไหนที่สุดในงานวันนี้?” ข้าวปั้นไม่กล้าตอบ กลัวใจว่าเขาจะควักเงินซื้อให้ แม้จะอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออก แต่แฟนอเมทิสต์อย่างเธอรู้ดีว่าม
ความสัมพันธ์ระหว่างเวกัสและข้าวปั้นพัฒนาแบบก้าวกระโดด นับจากวันนั้นที่ทั้งคู่ศึกษาดูใจกัน ผ่านไปสี่เดือนทั้งสองก็ตกลงปลงใจเป็นแฟนกันอย่างเป็นทางการ เวกัสยังเข้านอกออกในบ้านของแฟนสาวเป็นกิจจะลักษณะ แม้จะไม่ค่อยได้พูดคุยกับพ่อของข้าวปั้น แต่กับผู้เป็นแม่ เวกัสแทบจะกลายเป็นลูกชายคนโตของบ้านไปแล้ว ระยะหลังข้าวปั้นรู้สึกว่าพ่อตนเองกำลังมีความเครียดบางอย่างจากการทำงาน หลายครั้งที่เธอพบว่าพ่อเมากลับมาที่บ้าน ทั้งที่ปกติรองผู้กำกับขจรเดชไม่ดื่มแอลกอฮอล์ในวันที่ปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะนอกเวลาหรือในเวลา ในขณะที่ข้าวปั้นกำลังจูงมือแฟนหนุ่มของตนเองเดินชอปปิงที่ห้างสรรพสินค้าใกล้มหาวิทยาลัยหลังเลิกเรียน เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวของคนตัวเล็กก็ดังขึ้นจนต้องหยุดเดินและกดรับกลางคัน “พ่อโทรมาค่ะ ^^” เธอบอกแฟนตนเองว่าใครที่โทรเข้ามาเวลานี้ ข้าวปั้นมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ไม่มีเรื่องปิดบังปกปิดสร้างความไม่สบายใจให้อีกฝ่าย มีอะไรก็เอามาเล่าให้ฟังหมด ซึ่งมันเป็นความสัมพันธ์ที่ดีและทำให้เวกัสสบายใจทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน “ค่ะพ่อ” (ไอ้ปั้น! วันนี้ไม่ต้อง
ผ่านไปได้เพียงหนึ่งอาทิตย์ เวกัสเข้านอกออกในบ้านเธอเป็นว่าเล่น ทั้งยังช่วยเธอทำวิจัยจนข้าวปั้นแทบจะเอาดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้ให้สาแก่ใจกับความเป็นพ่อพระของอีกฝ่าย และแม้รถของข้าวปั้นจะซ่อมเสร็จและออกจากศูนย์เรียบร้อย รุ่นพี่หนุ่มก็ยังขอเป็นคนไปรับไปส่งเธอด้วยเหตุผลที่ว่า ตอนเย็นเขาต้องมาฝากท้องที่บ้านนี้ประจำจึงอยากให้ข้าวปั้นมาด้วยกันจะได้ประหยัดพลังงาน หล่อไม่พอ รักษ์โลกอีก... แต่เพราะวันนี้พ่อไปเข้าเวรดึก ส่วนแม่ก็ไปช่วยงานศพของคนรู้จัก ดังนั้นที่บ้านจึงไม่มีคนอยู่รอให้รีบกลับไป ข้าวปั้นจึงถือโอกาสชวนคนตัวโตไปฝากท้องที่ผัดไทยกระทะร้อนหลังมหาวิทยาลัยก่อนกลับ ซึ่งเวกัสก็ตามใจรุ่นน้องสาวดังเช่นทุกครั้ง แม้บรรยากาศในช่วงเย็นจะเต็มไปด้วยบรรดานักศึกษามาเดินหาของกินหลังมหาวิทยาลัยกันขวักไขว่ และร้านก็เต็มไปด้วยแขกมากหน้าหลายตาจนส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจไปทั้งร้าน แต่ทั้งคู่กลับไม่รู้สึกรำคาญหรือเบื่อแม้แต่น้อย เวกัสชวนคุยฆ่าเวลาเก่ง เริ่มต้นด้วยการคุยดินฟ้าอากาศ จนมาจบที่ซีรีส์เรื่องที่คนตัวเล็กกำลังติดงอมแงมได้ลื่นไหลอย่างเหลือเชื่อ “ปั
หลังจากรับประทานมื้อเย็นเรียบร้อย ข้าวปั้นก็รีบปลีกตัวขึ้นมาอาบน้ำและลงมือปั่นงานวิจัยตนเองต่อ ข้าวปั้นตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำให้อุปสรรคเพียงเท่านี้ส่งผลต่อการเรียนจบของตนเอง ติ๊ด! เสียงแจ้งเตือนดังมาจากเครื่องโน้ตบุ๊กสีเงิน ทำเอาคนที่กำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานตกใจจนสมาธิกระเจิง แถบแสดงค่าแบตเตอรี่ระบุว่าเหลือพลังงานเพียงสิบสามเปอร์เซ็นต์ ทำให้ข้าวปั้นลุกลี้ลุกลนหาสายชาร์จเพื่อนำมาเสียบกับตัวเครื่อง ไม่มี... จะว่าไปในกระเป๋าเป้ที่ได้มาก็มีเพียงโน้ตบุ๊กหนึ่งเครื่องเท่านั้น หรือพี่เวกัสจะลืมใส่สายชาร์จมาด้วย หญิงสาวชำเลืองสายตามองหน้าจอก็พบว่าตอนนี้คือเวลาเกือบตีสอง เธอทำงานจนลืมง่วงไปเลย โทรศัพท์ส่วนตัวกับนามบัตรที่เขาให้มาเมื่อตอนเย็นถูกนำมากำเอาไว้แน่น ลังเลว่าควรโทรไปหาในยามวิกาลเช่นนี้หรือไม่ แต่หากมัวแต่รักษามารยาท กว่าจะได้สายชาร์จก็อาจจะเป็นวันมะรืน สุดท้ายเจ้าของมือเรียวจึงตัดใจกดเบอร์ตามหน้าบัตร ก่อนจะกดโทรออก...════♡════ -Khaopun Calling- เสียงเรียกเข้าดังเป็นหนที่ส
เนื่องจากวันนี้เป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัย และคณะที่ข้าวปั้นเรียนอยู่เป็นหนึ่งในห้าคณะที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาพร้อมกับมหาวิทยาลัยตั้งแต่แรก ดังนั้นเหล่าศิษยานุศิษย์จึงรวมใจกันมางานรำลึกที่คณะจนไม่เหลือที่ให้นักศึกษาปัจจุบันที่จ่ายค่าเทอมได้ใช้สถานที่จอดรถ จุดฝากรถราคาหลักสิบจึงเป็นทางเลือก เพราะอยู่ใกล้รั้วมหาวิทยาลัยเพียงแค่ข้ามถนน แม้จะไม่มีหลักคาไว้กันแดดกันฝนให้รถก็ไม่เป็นไร รถเธอแข็งแรง แต่แล้วข้าวปั้นก็เห็นข้อเสียของมันหลังจากกลับมาที่รถ “ฉิบหาย!” ใครจะคิดว่าคนสวยๆ แบบเธอจะสบถคำหยาบในที่สาธารณะได้ แต่ฉิบหายจริงๆ เพราะกระจกทึบประตูฝั่งคนขับถูกเปิดทิ้งไว้จนเกือบสุด เธอไม่ได้ลืมมันแน่ๆ เพราะปกติเปิดแอร์ขับรถ คนตัวเล็กรีบวิ่งเข้าไปดูด้วยความตื่นตกใจ สิ่งแรกที่สังเกตเห็นคือโน้ตบุ๊กราคาหลักหมื่นหายไปจากเบาะข้างคนขับ “กรี๊ดดดด~!!!” เท่านั้นแหละนักศึกษาสาวแผดร้องเสียงแหลมขึ้นมาด้วยความโมโหทันที ในนั้นมีวิจัยที่ใช้ทำเป็นตัวจบอยู่ แถมกำหนดส่งคือเทอมนี้! เธอทุ่มเทชีวิตและเวลานอนในการอ่านหนังสือเกือบ
ช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาข้าวปั้นใช้เวลาหลังเลิกเรียน หมดไปกับการตามหารุ่นพี่นักศึกษาปริญญาโทคนนั้นเพื่อคืนเงิน แม้จำนวนเงินจะเป็นเพียงสามร้อยกว่าบาท แต่เธอถือคติยืมเขามาก็ต้องคืน โชคร้ายมากที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาสักนิด แต่เขาหล่อและเป็นใบหน้าที่เธอลืมไม่ลง ต่อให้เห็นแค่เงาก็มั่นใจว่าจำเขาได้ “ไอ้ปั้น แกแน่ใจนะว่ารุ่นพี่คนนั้นแกเป็นคน” ลูกตาลเพื่อนสนิทเอ่ยถามด้วยความระแวง เนื่องจากตัวเธอเองก็ติดสอยห้อยตามช่วยเพื่อนตามหาผู้ชายที่มีลักษณะตามที่เพื่อนกล่าวอ้างมาเกือบสัปดาห์เช่นกัน อยู่มหาวิทยาลัยนี้มาจะสี่ปีเต็มยังไม่เคยเห็นผู้ชายร่วมคณะคนไหนจะตัวสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรเลย แถมยังมาบอกว่าตัวหอม ผิวขาว แขนมีเส้นเลือดเซ็กซีๆ “คนสิ ผีอะไรจ่ายเงินได้” “อ้าว! แกไม่เคยฟังรายการพี่แจ็คเหรอ พี่เอาเงินจ่ายหนี้ ผีเอาเงินจ่ายค่าแท็กซี่” “ถ้าผีจะสภาพคล่องทางการเงินดีขนาดนั้น ฉันก็อยากเป็นผีบ้างเหมือนกัน” ข้าวปั้นเถียงเพื่อนด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง จนอีกฝ่ายกลอกตาใส่ด้วยความรำคาญ “อย่าม







