Share

เรื่องบัดซบอะไรกัน!

last update Last Updated: 2025-08-04 16:01:38

ภายในห้องโถงชั้นสามของหอสุราชื่อดังของเมืองหลวง กลิ่นหอมกรุ่นของน้ำชาดีและสุรารสเลิศลอยอบอวล กลบกลิ่นอุบายที่ซุกซ่อนอยู่ใต้เพดานผ้าสีครามอย่างแนบเนียน

เหยียนซูหนิง คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเหยียน ปรากฏกายที่หน้าหอสุราในอาภรณ์เนื้อผ้าราคาแพง ตาดำขลับกวาดมองซ้ายขวา พลางเอ่ยเบา ๆ กับสาวใช้คนสนิท

"เจ้ารอที่นี่ หากเห็นคนในจวนมา..รีบส่งสัญญาณให้ข้าทันที"

"เจ้าค่ะคุณหนู"

เหยียนซูหนิงก้าวขึ้นบันไดจนมาหยุดอยู่หน้าห้องเบอร์สิบเอ็ด ห้องที่ในจดหมายเขียนนัดหมายเอาไว้ ดวงหน้าของนางแดงระเรื่อ สายตาฉายแววความตื่นเต้นประหลาดยากจะกลบเกลื่อน

ภายในห้อง มีเพียงโต๊ะจัดวางชาและของว่างสองสามจาน พร้อมจดหมายเขียนด้วยลายมือคุ้นตาว่า...

"ข้าติดธุระรอพบผู้ใหญ่เพียงครู่ รบกวนเจ้ากินขนมรออย่างใจเย็น... คืนนี้ข้าจะมอบสิ่งที่เจ้ารอคอยมาเนิ่นนาน"

เพียงแค่นั้น ความระวังในใจนางก็มลายหายไป

นางเอนตัวลงจิบชา เคี้ยวขนมตรงหน้าเบา ๆ พลางยิ้มเคลิบเคลิ้มอย่างสาวน้อยหลงรัก หากแต่รสขมปลายลิ้นของชานั้น…คือกลิ่นพิษของอุบายร้ายที่แผ่ซ่านอย่างแนบเนียน

เพียงไม่นาน ลมหายใจของนางเริ่มขาดห้วง ใบหน้าแดงจัด หูอื้อ ตาพร่า ร่างกายร้อนรุ่มราวถูกเพลิงภายในแผดเผา

"หรือว่า?..."

กว่านางจะรู้ตัวมันสายเกินไปเสียแล้ว...

ก่อนนางจะตั้งสติได้ ประตูก็เปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้สองคนในชุดเนื้อไหมเข้มเดินเข้ามา พยุงร่างนางที่เริ่มไร้เรี่ยวแรงออกจากห้องไปยังห้องข้างเคียงอย่างนุ่มนวล ไม่มีผู้ใดสงสัย ไม่มีผู้ใดหยุดยั้ง

ห้องเบอร์สิบถัดไป... คือห้องของ "ใต้เท้าจงเต๋อ" ขุนนางชั้นล่างแห่งกรมเก็บของเก่า ผู้มีภรรยาสามและอนุอีกเจ็ด เป็นชายวัยห้าสิบปลายที่ชื่อเสียงมิอาจงดงามได้เท่าความเจ้าชู้

ประตูเปิดออกพร้อมเงาร่างหนึ่งนั่งรออยู่บนเตียงผ้าแพร แสงตะเกียงสลัวแค่พอให้เห็นโครงร่างอวบพลุ้ยที่ดวงตาฉายแววตัณหาอันไร้ขอบเขต

เขาเอง…ก็ถูกวางยาเช่นเดียวกัน!...

เมื่อนางถูกวางลงบนเตียง เสียงกระซิบข้างหูเพียงว่า "เจ้ามาแล้ว" ก็นำไปสู่ห้วงปรารถนาที่ร้อนแรงจนไร้สติ

ไม่กี่อึดใจต่อมา…เสียงครวญคราง เสียงหอบกระเส่า ก็เริ่มแว่วขึ้นเรื่อย ๆ ตามความร้อนแรงของไฟปรารถนา

ณ ตำหนักเงียบงันใต้ม่านราตรี เหวินลั่วกลับมาจากทำภารกิจอย่างไร้ร่องรอย ชุดดำแนบเนื้อไม่สะท้อนแสงจันทร์ สะโพกแนบดาบสั้น เส้นผมรวบสูงไม่มีเส้นใดพลิ้วไหว องครักษ์เงาแทรกตัวผ่านทางลับ แล้วหยุดยืนหลังฉากม่านไหมชั้นใน เขาคุกเข่าเบื้องหน้าท่านอ๋องผู้รออยู่ในความมืด

"เรียนท่านอ๋อง ทุกอย่างเป็นไปตามที่เราวางแผนไว้ขอรับ"

"ดี...พรุ่งนี้เช้าให้คนไปส่งจดหมายแจ้งฮูหยินจง ว่าสามีของนางไปค้างคืนที่ใด...กับสตรีนางใด"

แววตาใต้แสงตะเกียงสลัวราวกับหมาป่าที่รอฉีกเหยื่อ รอยยิ้มมุมปากที่เผยให้เห็นในยามมีแผนร้ายยิ่งทำให้เจ้าของร่างน่ากลัวเป็นเท่าทวี

"ข้าน้อยรับบัญชา" 

เหวินลั่วโน้มศีรษะอีกครั้ง ก่อนจะถอยหายกลับไปทางเดิมอย่างเงียบงัน เหลือเพียงกลิ่นจันทน์หอมจาง ๆ ที่ปลิวตามลมยามค่ำคืน

รุ่งอรุณของวันใหม่... เสียงไก่ขันยังไม่ทันขาดช่วง แม่นมสูงวัยในชุดสะอาดเรียบร้อยก้าวขึ้นบันไดเรือนใหญ่ของจวนใต้เท้าจง เดิมทีเวลานี้นางต้องเตรียมพาน้ำชาไปเคารพฮูหยินใหญ่ตามธรรมเนียม 

หากแต่วันนี้นางมิได้นำถาดน้ำชา หากเป็นซองผ้าทอมือที่มีกลิ่นหอมของหมึกจาง ๆ แนบจดหมายที่จ่าหน้าถึง "ฮูหยินจงเจียฮวา" โดยเฉพาะ

ครู่ต่อมาก็เกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ 3 ภรรยา 7 อนุที่เคยต่อสู้เพื่อแย่งความโปรดปราน บัดนี้กลับร่วมมือกันอย่างดีเพื่อจัดการกับสตรีคนใหม่ของสามี

ช่วงสายวันนั้น... 

หน้าจวนสกุลเหยียนก็มีเรื่องอึกทึกทำให้พ่อบ้านรีบเข้าไปรายงานผู้เป็นนายของจวน 

ขบวนเกี้ยวประจานสีแดงเลือดหมูปักผ้ารูปนางฟ้าเหินหาวถูกลากมาหยุดหน้าประตูใหญ่ ผู้หญิงหน้าคมแต่งกายหรูหราในชุดผ้าแพรสีม่วงเข้มยืนอยู่หน้าขบวน ด้านหลังคือสาวใช้เจ็ดแปดคนและบ่าวชายตัวใหญ่หน้าตาดุดัน ข้างกันคือบรรดาภรรยารองและอนุภรรยาที่ตามมาด้วย

เสียงหัวเราะแผ่วเบาเยือกเย็นจากนางดังขึ้น...

"คุณหนูใหญ่จากตระกูลเหยียน...ขึ้นเตียงสามีข้าเมื่อคืนนี้ มิทราบว่าชาในหอสุราชั้นสาม รสชาติเป็นเยี่ยงไร คงร้อนแรงไม่น้อยใช่หรือไม่? แต่เหตุใดนัดพบกับบุรุษอีกคน แต่กลับไปขึ้นเตียงกับสามีของข้าได้ การกระทำเช่นนี้อี้จีชื่อดังยังต้องอาย"

ฮูหยินจงมิได้อาละวาดเหมือนสตรีทั่วไป นางเพียงแสดงหลักฐานคือจดหมายจากชายคนรักของเหยียนซูหนิง ยื่นให้พ่อบ้านจวนสกุลเหยียนรับไป

น้ำเสียงของนางเสียงเรียบ นิ่ง แต่ถ้อยคำคมกริบดั่งดาบทิ่ม

"เชิญคุณหนูออกมาให้เห็นหน้าหน่อยเถิด ข้าขอถามแค่คำเดียว ว่า... เจ้ารู้หรือไม่ว่าสามีข้าติดโรคผื่นคันจากอี้จีในเมืองไปแล้ว? หากคืนนี้เจ้ายังแคล้วคลาดปลอดภัย เช่นนั้น... ถือว่าคุณหนูใหญ่โชคดียิ่งนัก!"

"เหตุใดฮูหยินต้องไปพูดกับนางดีขนาดนี้ ก็แค่สตรีเริงเมืองเท่านั้น"

เสียงหนึ่งแหลมบาดหูดังขึ้น ก่อนที่ผ้าม่านจะถูกกระชากออกอย่างไม่ปรานี โดยมือหญิงสามสี่คนที่แต่งตัวหรูหราแต่สายตาแวววาวไปด้วยเพลิงโทสะ

ทันทีที่ผ้าม่านคลุมเกี้ยวถูกเปิดออก ก็เผยให้เห็นร่างหญิงสาวผู้หนึ่งในสภาพกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าถลกหลุดรุ่ย แผ่นไหล่ขาวโพลนและลำคอที่มีรอยช้ำจาง ๆ ทำให้บรรยากาศหน้าจวนเหยียนเงียบงันลงชั่วครู่

เหยียนซูหนิงถูกกระชากลงจากเกี้ยวอย่างไร้เยื่อใย เส้นผมยุ่งเหยิง ผิวกายสะท้านสะเทือนทั้งเพราะความอับอายและพิษยาในร่างที่ยังหลงเหลือ นางพยายามจะพูด พยายามจะตะโกนปฏิเสธ แต่เสียงก็ขาดห้วง ลมหายใจสะดุดจนแทบทรุด

ใต้เท้าเหยียน เสนาคลังผู้รักษาหน้าตายิ่งกว่าสิ่งใด เมื่อเห็นบุตรสาวคนโปรดในสภาพอัปยศถึงเพียงนี้ พลันหน้าซีดเผือดจนไม่เหลือสีเลือด มือสั่นเทา เข่าแทบทรุด สองตาเบิกโพลง น้ำเสียงติดขัดราวคนสิ้นคำจะกล่าว

"นี่มัน…บัดซบ!…เรื่องบัดซบอะไรกัน!"

บรรดาภรรยาทั้งหลายนำโดย ฮูหยินจง ต่างก่นด่าด้วยถ้อยคำสวยหรูแต่บาดลึกเฉียบคม

"บ่าวผู้น้อยอย่างข้าหาอาจเทียบบารมีคุณหนูเหยียนไม่...เพียงแต่ท่านพี่ของข้าใต้เท้าจง น่าจะมิรู้ว่าจะต้องมอบฐานะใดให้นางดี เพราะฮูหยินใหญ่ก็มีอยู่แล้วถึงสามคน อนุภรรยาที่ออกหน้าก็มีถึงเจ็ดคน ยังไม่ได้นับรวมกับที่ยังไม่แต่งตั้งอีก"

"เห็นที…จะต้องเป็นอนุลำดับที่สิบสามกระมังเจ้าคะฮูหยิน?" อนุภรรยาคนที่สองกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

ชาวบ้านที่มามุงดูเริ่มหัวเราะขบขันอย่างเปิดเผย เสียงหนึ่งกล่าวลอย ๆ

"โอ้โฮ…ใต้เท้าจงผู้มากภรรยา เห็นทีคุณหนูเหยียนแต่งเข้าไป จะต้องต่อคิวรอปรนนิบัติสามีแล้วสิคราวนี้!"

"น่าอิจฉายิ่งนัก เกิดมาเป็นบุรุษที่มีสตรีห้อมล้อม ช่างใช้ชีวิตได้คุ้มค่ายิ่งนัก ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

เสียงหัวเราะขบขันดังกระหึ่ม ราวเสียงฝนกระหน่ำใจคนพ่าย เหยียนซูหนิง ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาเบิกค้าง น้ำตารื้นขอบขอบตา นางหันไปมองบิดาด้วยแววตาวิงวอน ใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยรอยตะขิดตะขวงที่เอ่อล้น

"ทะ..ท่านพ่อ ได้โปรดฟังข้าก่อน"

ถ้อยคำอธิบายยังไม่ทันหลุดออกจากปาก ร่างบางก็ทรุดฮวบลงไปบนลานหน้าจวน ราวกับถูกตัดเส้นชีพจรให้ขาดสะบั้น ลมหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนความมืดจะกลืนกินมีเพียงความอับอายไร้จุดจบ

ใต้เท้าเหยียนกำมือแน่นจนสั่นไปทั้งแขน แต่ก็ทำได้เพียงยืนค้างอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะซุบซิบนินทาที่ยิ่งทิ่มแทงกว่ามีดแหลม 

ครั้นภรรยาจะถลาเข้าหาบุตรสาวแต่ก็ถูกสายตาดุดันของสามีห้ามเอาไว้ ทำให้ฮูหยินเหยียนที่รู้ตัวว่าตอนนี้ตำแหน่งของนางไม่มั่นคงแล้วจำต้องหยุดชะงักทันที

ท่านเสนาผู้เคยยืนหยัดเหนือหมื่นชน บัดนี้กลับเงยหน้าไม่ขึ้น ต้องยืนนิ่ง ปากเม้มแน่นก่อนจะกล่าวราวยอมจำนนต่อฟ้าดิน

"ในเมื่อเรื่องมันเลยเถิดไปถึงเพียงนี้…ก็ช่างเถิด... จงเต๋อผู้นั้นจะเอานางเป็นอนุหรืออะไรก็ตามใจเขา! นับแต่วันนี้ไปสตรีนางนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสกุลเหยียนอีก ปิดประตูจวน!"

คำพูดนั้นดังเหมือนฆ้องอัปยศตีลงบนศีรษะของบุตรสาวตนเอง ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในจวนโดยไม่หันกลับมาแม้แต่ครึ่งก้าว

บรรยากาศยังไม่คลี่คลาย ผู้คนยังคงยืนออกันอยู่แน่นริมถนน เสียงซุบซิบ เสียงหัวเราะกลั้ว เสียงบ่าวไพร่ที่ยกมือปิดปากแต่ดวงตาเป็นประกายขำขัน บ้างเอ่ยปากสงสาร บ้างก็สาปแช่งว่ากรรมสนองกรรม

เบื้องหลังฝูงชน รถม้าสีเข้มคันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจอดอย่างเงียบงัน ผ้าม่านผืนหนาไหวเบา ๆ ลมเย็นพัดผ่านราวรู้ว่าความหายนะของอีกฝ่ายได้เริ่มขึ้นแล้ว

ชายหนุ่มในชุดสีดำล้วนเปิดม่านออกเพียงเล็กน้อย เผยให้เห็นดวงตาคมปลาบประดุจพยัคฆ์จ้องเหยื่อ เสี้ยวหน้าใต้เงาไม้พลันยกยิ้มขึ้นอย่างเย็นเยียบ

"แค้นครานี้ ข้าชำระแทนเจ้าแล้ว...แมวน้อยของข้า!"

เสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ทุ้มต่ำแฝงเย้ยหยันอย่างลุ่มลึก ราวกับเทพมารในคราบบุรุษผู้สูงศักดิ์ แววตาเฉยชาแฝงความสั่นไหวทุกครั้งเมื่อนึกถึงค่ำคืนนั้น ยิ่งตอนที่ร่างเล็กที่ไร้เรี่ยวแรงนั่นพยายามปีนป่ายขึ้นมาอยู่เหนือร่างกำยำของเขา หมายจะควบคุมการเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง..ช่างซุกซนยิ่งนัก

เสียงล้อรถม้าบดไถลกลับไปอย่างเงียบงันเช่นเดียวกับตอนมา ทิ้งไว้เพียงหมอกบาง ๆ จากยามบ่ายและความเงียบอันลึกล้ำที่ไม่มีใครทันสังเกต…

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   จบบริบูรณ์

    5 ปีต่อมาตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา แคว้นเว่ยได้ฟื้นคืนจากเถ้าธุลีและผงาดขึ้นใหม่อีกครั้ง ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จ้าว การขึ้นครองราชย์ของจ้าวอวี้และเมิ่งซีในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากราษฎรทุกหมู่เหล่า พวกเขาทั้งสองไม่ได้เป็นเพียงผู้ปกครอง แต่ยังเป็นผู้ที่นำพาความหวังมาสู่แผ่นดินที่เคยแห้งแล้งและสิ้นหวังการฟื้นฟูแคว้นเริ่มต้นอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ ปัญหาภัยแล้งที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญถูกจัดการได้อย่างเด็ดขาด ด้วยการขุดลอกคลองส่งน้ำขนาดใหญ่ไปทั่วแคว้นตั้งแต่สองปีแรก และยังมีการสอนขุดเจาะหาบ่อบาดาลทั่วแคว้นทำให้ผืนดินที่เคยแห้งแตกระแหงกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง พื้นที่เพาะปลูกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และผลผลิตทางการเกษตรก็เพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเมิ่งซีได้ใช้ น้ำยาปรับพันธุกรรมพืช ที่เป็นของวิเศษจากระบบ นำเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ มาแช่ในน้ำยาเป็นเวลาหนึ่งคืนก่อนจะทำการแจกจ่ายให้ทุกครัวเรือน พร้อมกับสอนวิธีการเพาะปลูกที่ถูกต้องให้กับราษฎรแต่ละท้องถิ่น พืชแต่ละชนิดถูกจัดสรรไปตามพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด บวกกับประสิทธิภาพของน้ำยาปรับพันธุกรรม จึงทำให้ผลผลิ

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   เสียงหัวเราะ

    แสงแดดยามบ่ายคล้อยเริ่มอ่อนแรงลง ทอดเงาต้นไม้ให้ยาวขึ้นไปตามพื้นดิน ไท่ซ่างหวงโฮ่วในชุดผ้าฝ้ายธรรมดาเดินเก็บผักอยู่ในสวนอย่างสบายใจ มือของนางค่อย ๆ เด็ดใบผักใส่ตะกร้าอย่างเบามือ สายตาก็ทอดมองไปยังธรรมชาติรอบ ๆ ที่เต็มไปด้วยความสงบเงียบและอุดมสมบูรณ์ นางรู้สึกเหมือนได้กลับคืนสู่รากเหง้าของตนเองอีกครั้งเบื้องหน้าไม่ไกลนัก ไท่ซ่างหวงกำลังเดินอยู่ท่ามกลางแปลงถั่วฝักยาวที่ออกดอกสีม่วงสวยงาม ข้างพระองค์คือเด็กน้อยสองคน อวิ๋นเจ๋อและหมิงเย่ว์ที่กำลังเดินตุ๊ต๊ะตามท่านปู่ไปอย่างซุกซน พวกเขามีแก้มที่กลมฟูและดวงตาที่กลมโตราวกับลูกแก้ว"เจ๋อเอ๋อร์... เดินดี ๆ นะลูก... อย่าไปชนเถาถั่วเข้าล่ะ" ไท่ซ่างหวงกล่าว ขณะที่คอยประคองหลาน ๆ อย่างระมัดระวัง แม้จะอยู่ในวัยที่ควรพักผ่อน แต่พระองค์ก็เต็มไปด้วยพลังในการเล่นกับหลานน้อยข้างกันนั้นเป็นแปลงแตงโมลูกใหญ่ที่กำลังเติบโตอย่างเต็มที่ ไท่ซ่างหวงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามท่านลุงชุยที่คอยตามดูแลอยู่ไม่ห่างว่า... "ชุยซาน... แตงโมพวกนี้หวานหรือไม่""แตงโมพวกนี้เป็นสายพันธุ์ที่หวานฉ่ำ กินแล้วสดชื่นมากพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท... มีทั้งสีเหลืองและสีแดงพ่ะย่ะค่ะ" ท่านลุงชุยต

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   แตกสลาย

    หลายวันผ่านไป ขบวนเนรเทศออกห่างจากความเจริญไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางป่าเขาที่แสนอันตราย อากาศที่หนาวเย็นยามค่ำคืนกัดกินร่างกายของทุกคนที่ไม่มีเสื้อผ้าห่มกายให้เพียงพอ "ท่านพี่เจ้าคะ... ท่านพี่เห็นนั่นหรือไม่" เหยียนฮูหยินกระซิบสามี แล้วพยักพเยิดหน้าไปยังพุ่มไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป ผู้คุมคนหนึ่งเดินออกมาจากพุ่มไม้นั้นพร้อมกับหญิงสาวที่แต่งกายไม่เรียบร้อย ผมเผ้ารุงรังจนรู้ได้ว่าเพิ่งผ่านอะไรมา"เจ้าหมายความว่ายังไง" เหยียนอวี้เจิ้งถามด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิด"ข้าว่าท่านพี่มีโอกาสที่จะระบายโทสะ แถมยังได้ข้าวได้น้ำกินสักถ้วยแล้วละเจ้าค่ะ" นางกล่าวพร้อมกับหันไปมอง ฉินซินเหยาที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าของนางยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์เหยียนอวี้เจิ้งมองตามสายตาของภรรยา เขาก็เข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อทันที ฉินซินเหยาผู้เป็นอนุภรรยาที่ครั้งหนึ่งเขาเคยหลงใหล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความงามของนางก็เริ่มจืดจางลงในสายตาเขา จนในที่สุดเขาก็ทอดทิ้งนางให้อยู่แต่ในเรือนของตัวเองมานานนับสิบปี ตอนนี้ในสายตาของเขา นางเป็นเพียงเครื่องมือที่จะช่วยให้เขามีชีวิตรอดเท่านั้น"หึ..." เหยียนอวี้เจิ้งหัวเราะในลำคอด้

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   โง่งม

    ท้องพระโรงต้าเซิ่งกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง หลังจากผ่านพ้นพายุใหญ่แห่งการกวาดล้างกลุ่มกบฏ ขุนนางน้อยใหญ่ที่ยังคงภักดีต่างพากันยืนประจำตำแหน่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำ เหล่าขุนใหญ่ผู้กระทำความผิดร้ายแรงถูกประทานสุราพิษ องค์ชายสามและองค์ชายสี่ถูกประทานยาพิษจนสิ้นพระชนม์ พร้อมกับพระสนมผู้เป็นมารดา ส่วนสกุลกู้และสกุลหานถูกประหารเก้าชั่วโคตร เพื่อไม่ให้ผู้ใดกล้าคิดการใหญ่เช่นนี้อีกในอนาคต ขุนนางคนอื่น ๆ ก็ถูกตัดสินโทษตามความผิด หนึ่งในนั้นคือสกุลเหยียนที่ถูกยึดทรัพย์และเนรเทศไปใช้แรงงานยังชายแดนฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้าที่สงบ แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความปีติยินดี ที่ได้เห็นลูกชายทั้งสองเติบโตอย่างมีคุณภาพและรักใคร่กลมเกลียว"วันนี้... เรามีราชโองการที่สำคัญยิ่ง" ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวานไปทั่วท้องพระโรง ทำให้ขุนนางทุกคนต่างพากันเงียบสนิท"นับจากนี้... เราขอสละราชสมบัติ! และมอบบัลลังก์ต้าเซิ่งอันเรืองรอง ให้กับองค์รัชทายาทจ้าวหลิน ผู้สัตย์ซื่อมั่นคงเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม เป็นผู้สืบทอดปกครองโดยชอบธรรม!"ทันทีที่สิ้นเส

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   ความจริง

    นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งซีได้มาเยืนอตำหนักของฮองเฮาพร้อมกับลูกน้อยทั้งสอง นางค่อนข้างประหม่าเพราะความไม่คุ้นชิน ไม่รู้ว่าตนเองจะปฏิบัติตัวถูกตามกฎในวังหลังหรือไม่ ทว่าทุกอย่างไม่ได้น่ากังวลเหมือนที่นางคิด..."หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮาเพคะ ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน คารวะองค์หญิงเพคะ" เมิ่งซียอบกายลงอย่างนอบน้อม "ลูกสะใภ้ตามสบายเถิด เจ้าน่าลำบากเตรียมอะไรมาเลย" ฮองเฮาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน "พี่สะใภ้รีบลุกขึ้น หม่อมฉันขออุ้มหลาน ๆ นะเพคะ" องค์หญิงจิ้งเหยารีบเดินมาพยุงแขนเมิ่งซี ก่อนจะหันไปหาหลานน้อยทั้งสองที่ชุยเหม่ยกับเสี่ยวซืออุ้มตามเข้ามา"ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ"แต่ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ อวิ๋นเจ๋อและหมิงเย่ว์ก็ถูกผู้เป็นอาหญิงอุ้มไปหาเสด็จย่า"โถ... หลานย่า แก้มเจ้าเยอะขนาดนี้ แสดงว่ามารดาของเจ้าต้องเลี้ยงดูมาอย่างดี น่าชื่นชมจริง ๆ" ฮองเฮาอุ้มหมิงเย่ว์ขึ้นมาอย่างทะนุถนอม แล้วจูบลงไปบนแก้มที่ป่องของนางอย่างอ่อนโยน อวิ๋นเจ๋อที่เห็นน้องสาวถูกผู้เป็นย่าอุ้มก็รีบยื่นมือเข้าไปหาแล้วส่งเสียงร้อง "แอ้ แอะ!" อย่างชัดเจน ฮองเฮาจึงหัวเราะออกมาอย่างมีความส

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   ไม่เคยสำนึก!

    วังหลวงแคว้นต้าเซิ่งท้องพระโรงแห่งแคว้นต้าเซิ่งถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่อึดอัดและตึงเครียด ขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันมองหน้ากันอย่างเลิกลัก หลายคนรู้ดีว่าการประชุมในวันนี้ไม่ใช่การว่าราชการตามปกติ ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าซีดเซียว พระองค์ไอเป็นเลือดเป็นระยะ ส่วนรัชทายาทจ้าวหลินก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก เขาดูอ่อนเพลียและหมดแรงอย่างเห็นได้ชัดมหาอัครเสนาบดีกู้ฉาง ขุนนางชราผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในราชสำนัก ก้าวออกมาจากแถวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ"ทูลฝ่าบาท! ข่าวการศึกที่ท่านอ๋องหย่งอันได้รับชัยชนะและยึดครองแคว้นเว่ยได้สำเร็จนั้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีพ่ะย่ะค่ะ!" กู้ฉางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด แต่ในแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ "...""แต่กระหม่อมขอทูลว่า... การปกครองแคว้นที่เพิ่งยึดมานั้นเป็นเรื่องยากยิ่งนัก หากแผ่นดินของเรายังไม่มั่นคงเช่นนี้... อาจเกิดปัญหาในภายหลังได้พ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมองกู้ฉางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ "เจ้าจะพูดอะไรกันแน่! แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการปกครองที่มั่นคงของข้า!""กระหม่อมเห็นว่า... ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทมีพระวร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status