"ข้าแค่ผ่านมา เห็นว่าเห็นว่าเด็ก ๆ ต้องการความช่วยเหลือ ท่านลุกขึ้นเถอะพี่ชาย ว่าแต่พวกท่านจะไปที่ใดกัน เหตุใดจึงมาอยู่กลางหุบเขาแบบนี้"
"ตอบแม่นาง เดิมทีพวกข้าทำการค้าเล็ก ๆ อยู่ในเมืองหลวง แต่ครั้งนี้พลาดถูกญาติผู้พี่ใช้อุบายโกงเงินไปจนพวกเราหมดตัว ไม่โทษใคร โทษที่ข้าประมาทเชื่อใจคนอื่นเกินไป ท้ายที่สุดจึงทำให้ครอบครัวต้องลำบากแบบนี้ขอรับ"
สายตาของจั่วเหวินเฉิงยามที่พูดจ้องไปมองไปที่ลูกเมียและมารดาอย่างสิ้นหวัง เมิ่งซีเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ แต่ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะเป็นแผนการให้พวกนางตายใจ
[ครอบครัวจั่วเป็นคนดีของรับนายหญิง อาเป่ามีระบบคัดกรองผู้คนที่นายหญิงสามารถเรียกใช้งานได้ตลอดเวลา]
เสียงใจหัวทำให้เมิ่งซีมีความมั่นใจขึ้นอีกระดับหนึ่ง
"แล้วพวกท่านจะไปที่ใดกัน?"
"บ้านเดิมของพวกเราอยู่ที่เมืองตานหลี่ขอรับ ลงจากเขาลูกนี้ไปก็ถึงแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องเดินเท่าอีกหลายชั่วยาม คืนนี้เราอาจจะต้องพักบนเขาลูกนี้ก่อน"
"บังเอิญมาก ข้ากับเสี่ยวซือก็จะแวะเข้าเมืองตานหลี่ไปเติมเสบียงก่อนเดินทางไปที่เมืองฉางซา ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็กินข้าวให้อิ่ม ข้าจะไปส่งพวกท่านเอง"
พอครอบครัวจั่วได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้างออกมา การเดินทางของพวกเขาลำบากกว่าคนอื่นเพราะในบ้านมีทั้งคนแก่ ผู้หญิงและเด็ก จึงทำให้การเดินทางล่าช้าไปมาก
"ขอบคุณ ของคุณแม่นางมาก ในอนาคตข้ายินดีตอบแทนท่านทุกอย่าง" ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจั่วกล่าว
"พบเจอถือเป็นวาสนา ข้าวต้มสุกแล้ว ทุกคนค่อย ๆ กินให้อิ่ม ในหม้อยังมีอีก ถ้าไม่อิ่มก็เติมได้นะซินเอ๋อร์ ไป๋เอ๋อร์"
"ขอบคุณพี่สาวเจ้าค่ะ"
"ขอบคุณพี่สาวขอรับ บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืม" จั่วไป๋กล่าวก่อนจะรีบไปป้อนข้าวต้มท่านย่าของเขา
"ขอบคุณแม่นางมากที่ช่วยเหลือข้ากับครอบครัว" เสียงของจั่วจือหลินผู้เป็นภรรยากล่าวขึ้น หลังจากได้รับการช่วยเหลือจนฟื้นจากการหมดสติ
"แค่เรื่องเล็กน้อยเจ้าค่ะ พวกเรากินข้าวกันเถอะ"
หลังจากพูดคุยกันเสร็จทุกคนก็กินข้าวต้มกันอย่างเอร็ดอร่อย เด็กน้อยทั้งสองกินหมดก่อนแต่ไม่กล้าเอ่ยปากขอ เมิ่งซีหันไปเห็นพอดีจึงตักข้าวต้มให้พวกเขาเมิ่งอีกคนละถ้วย พอเห็นแบบนั้นเด็กน้อยทั้งสองก็ยิ้มอย่างมีความสุขแล้วรีบรับถ้วยข้าวต้มไปกิน
พอล้างทำความสะอาดและเก็บอุปกรณ์เสร็จ เมิ่งซีก็ให้แม่นางจั่ว แม่เฒ่าจั่วและเด็ก ๆ ขึ้นไปนั่งบนรถม้ากับนางและเสี่ยวซือ ส่วนจั่วเหวินเฉิงก็อาสาบังคับรถม้าลงจากเขา
ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วยาม รถม้าของพวกเขาก็เคลื่อนตัวเข้าเมืองตานหลี่ก่อนเวลาพลบค่ำ รถม้าเคลื่อนมาจอดที่หน้าบ้านเดิมสกุลจั่วซึ่งไม่ได้หลังใหญ่มาก หลังจากทุกคนลงจากรถแล้วเมิ่งซีจึงมอบของให้คนบ้านจั่วอีกเล็กน้อย
"ฮูหยินจั่ว ยานี่เป็นยาช่วยฟื้นฟูร่างกาย ตอนนี้ท่านกับฮูหยินผู้เฒ่าควรกินคนละ 1 เม็ด ส่วนที่เหลืออีก 5 เม็ดเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น ส่วนพวกนี้เป็นเสบียงที่ข้าพอจะช่วยพวกท่านได้ กับเงินอีกเล็กน้อย ขอให้ท่านเก็บไว้เพื่อใช้เป็นทุน"
เมิ่งซียื่นห่อยาพร้อมกับเสบียงข้าวสารอาหารแห้งและเงินอีก 10 ตำลึงเงินเพื่อช่วยเหลือคนสกุลจั่ว ทำเอาพวกเขาถึงกับน้ำตาซึมเพราะไม่คิดว่าคนนอกจะยอมช่วยเหลือในยามลำบาก ต่างจากคนในครอบครัวที่ทำให้พวกเขาลำบากจนต้องมาอยู่จุดนี้
"ขอบคุณแม่นาง การช่วยเหลือครั้งนี้ข้าจะไม่ปฏิเสธ ขอถามแม่นางชื่อแซ่อะไร วันข้างหน้าหากครอบครัวเรารอดพ้นวิกฤติไปได้ ข้าและสามีต้องตอบแทนแม่นางแน่นอน" ฮูหยินจั่วกล่าวอย่างนอบน้อม
"ข้าแซ่ฉิน นามว่าเมิ่งซี กำลังมุ่งหน้าไปฉางซาบ้านเกิดของมารดาข้า หากมีวาสนา คงได้พบกันอีก"
พูดจบเมิ่งซีก็ส่งสัญญาณให้เสี่ยวซือออกรถม้าทันที โดยมีครอบครัวจั่วที่ยืนส่งจนรถม้าเคลื่นตัวพ้นตรอกเล็ก ๆ ไป
[ขอแสดงความยินดีกับนายหญิง ผลของการช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้ท่านผ่าเกณฑ์ยกระดับในร้านเถาเป่าเป็นระดับ.2 นี่คือสิ่งที่นายหญิงสามารถซื้อในระบบได้ และเหรียญรางวัลที่จะได้รับ]
🔥 ระดับ.2 — ผู้ให้มือแรก
เงื่อนไขปลดล็อก: ช่วยคนครั้งแรก / แบ่งปันอาหาร
ร้านค้าเถาเป่า: ปลดล็อกเครื่องปรุง ภาชนะ เมล็ดพันธุ์
หมวดของใช้: หม้อดิน หม้อทองเหลือง เตาถ่าน ตะกร้า จาน ชาม ช้อน ตะเกียบ
หมวดอาหาร: เต้าเจี้ยว ซอสเปรี้ยว น้ำส้มสายชู ซีอิ๊วขาว น้ำตาล
หมวดยา: ชุดปฐมพยาบาล ยาแก้ปวด
หมวดอาวุธ/เทคโนโลยี: สนับเท้า(รองเท้า) กระโดดสูง ถีบแรง
เหรียญรางวัล: 200 เหรียญเงิน
"แม่เจ้า! แค่ช่วยคนก็ยกระดับร้านค้าได้แล้วเหรอ? แถมยังมีของดี ๆ อีกเพียง ได้เงินรางวัลอีกด้วย นี่มันดีเกินไปแล้ว แบบนี้ชีวิตใหม่ของข้าก็ไม่นับว่าเสียเปล่าแล้ว"
เมิ่งซีเอ่ยในใจขณะที่สายตาก็ไล่อ่านจอสีฟ้าเบื้องหน้าไปด้วย
[ก่อนหน้านี้นายหญิงใช้เหรียญในการซื้อยาฟื้นฟูร่างกายให้ครอบครัวสกุลจั่วไป 70 เหรียญทองแดง และได้รับ 200 เหรียญเงินรางวัลจากระบบ ตอนนี้เหรียญในระบบเหลือ 619 เหรียญทอง 9 เหรียญเงิน 920 เหรียญทองแดง]
"ขอบคุณมากอาเป่า"
"เราจะพักที่ไหนดีเจ้าคะนายหญิง?" เสี่ยวซือเอ่ยถามหลังจากบังคับรถม้าออกมาได้สักพักหนึ่งแล้ว
"โรงเตี๊ยมข้างหน้าดีหรือไม่ ผู้คนดูคึกคักไม่น้อย ไว้พรุ่งนี้เราค่อยออกไปซื้อเสบียงกัน"
รถม้าของเมิ่งซีเคลื่อนไปจอดที่หน้าโรงเตี๊ยมใหญ่ใจกลางเมืองตานหลี่ คืนนี้พวกนางตัดสินใจพักผ่อนและให้เสี่ยวเอ้อให้อาหารม้าอย่างดี พรุ่งนี้พวกนางจึงจะออกไปเตรียมเสบียง เพราะหลังจากออกจากเมืองตานหลี่ไปจะไม่มีเมืองไหนให้พักอีก กระทั่งถึงฉางซา
เสียงลมหายใจของค่ำคืนค่อย ๆ แผ่วเบาลง ขณะแสงจันทร์เจือหม่นเลือนรางอยู่หลังม่านเมฆ เมิ่งซีนอนซุกอยู่ใต้ผ้านวมผืนบาง ร่างน้อยขดตัวพลางส่งเสียงครางเบาในลำคอ...ไม่ใช่เพราะหนาว หากเพราะภาพในฝันที่กำลังเผาใจนางอย่างรุนแรง
ในฝันนั้น นางอยู่ในห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย เตียงไม้แกะสลักลวดลายวิจิตรตั้งเด่นอยู่กลางห้อง มีเพียงโคมไฟน้ำมันที่ให้แสงสลัวนวลคล้ายเปลวเทียน สาดเงาไหวระริกบนม่านแพรแดงที่พลิ้วไหวตามแรงลม
เงาร่างหนึ่งโน้มเข้าหาร่างกำยำของบุรุษผู้มีนัยน์ตาดำสนิทดั่งรัตติกาล เส้นผมสีเข้มปล่อยยาวระต้นคอ เสียงลมหายใจหนักแน่นของเขาแทรกผ่านอากาศร้อนผ่าว
"เจ้าฝันถึงข้าอีกแล้วหรือ...สตรีใจง่าย"
เสียงแหบพร่าดังอยู่ชิดหู กลิ่นกายเขาร้อนจัดจนชวนหลอมละลาย ริมฝีปากของเขาประทับลงที่ซอกคอแล้วเลื่อนต่ำไปตามลาดไหล่ ลิ้นอุ่นไล้โลมดุจงูเลื้อย ฝ่ามือร้อนผ่าวก็ลูบไล้แผ่นหลังเปลือยเปล่าของนางอย่างไม่ให้ตั้งตัว
"อื้อ... ท่านอ๋อง..."
เสียงครางหลุดรอดจากลำคอในฝัน ดวงตาของเมิ่งซีในความฝันเต็มไปด้วยไอพิศวาส ร่างของเขากดทาบร่างของนางบนฟูกหนานุ่ม มือเรียวยึดขอบเตียงไว้แน่นเมื่อสะโพกเขาเคลื่อนเข้าออกในจังหวะรุนแรงแต่อ่อนโยน ลมหายใจของทั้งสองพันกันแน่นราวเสียงเพลงเร้าใจที่เล่นวนไม่รู้จบ
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังเป็นจังหวะมั่นคง แผ่วแล้วแรงขึ้น ราวกับโหมกระหน่ำพายุฝนฤดูร้อน ใต้ท่วงท่าพัวพันของกลีบดอกไม้และเพลิงไฟ
นางแอ่นร่างแน่งน้อยในเงาม่านสั่นระริก แผ่นหลังโค้งงออย่างไม่อาจต้านทานแรงปรารถนา ริมฝีปากของเขายังครอบครองทุกจังหวะหายใจ ปลายนิ้วของเขาคลึงเคล้นความปรารถนาในกายนางจนแทบระเบิด
และในวินาทีนั้นที่นางกำลังจะปลดปล่อยเสียงหวีดร้องสุดท้าย…
"นายหญิง! นายหญิงเจ้าคะ! รีบตื่นเถิด!"
เสียงของเสี่ยวซือดังฝ่าความมืดราวสายฟ้า เมิ่งซีสะดุ้งตื่นขึ้น ดวงตาเบิกกว้าง หอบหายใจแรงจนอกกระเพื่อม เสื้อผ้าแนบลำตัวด้วยเหงื่อที่ชื้นเปียก มือบางยกขึ้นกุมไว้ที่อก
"ขะ...ข้า..."
นางมองไปรอบห้อง ม่านไม้เก่า เสียงไก่ขันยามรุ่งสาง และเงาเล็กของเสี่ยวซือที่ยืนอยู่ปลายเตียงพร้อมผ้าห่มในมือ
"นายหญิงเจ้าคะ! ฟ้าสางแล้ว เราต้องออกเดินทางต่อเจ้าค่ะ!"
เมิ่งซีเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าแดงก่ำจนน่าเอ็นดู ดวงตาหรี่ลงอย่างขัดเขินปนขัดใจ
...ฝันบ้าอะไรกันนั่นเล่า...
นางก่นด่าตนเองในใจ ขณะเหลือบมองมือเรียวที่ยังสั่นน้อย ๆ ใต้ผ้าห่ม ราวกับไออุ่นจากฝันนั้นยังไม่จางไปจากปลายนิ้ว
ใจหนึ่งก็อยากฝันต่อให้จบ ถึงคนในฝันจะเย็นชา แต่ร่างกำยำนั้นช่างน่าหลงใหลไม่น้อย....
"เจ้าลงไปดูว่าเสี่ยวเอ้อให้อาหารม้าเรียบร้อยรึยัง เราต้องเตรียมน้ำดื่มให้พร้อมนะ ข้าขอเวลาอาบน้ำสักหน่อยแล้วจะรีบตามลงไป"
"เจ้าค่ะนายหญิง"
หลังจากเสี่ยวซือเดินออกไป เมิ่งซีก็รีบอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ตบท้ายด้วยการหยิบถุงหอมมาเหน็บไว้ที่เอวตามความเคยชิน ก่อนจะรีบเดินลงไปสมทบกับเสี่ยวซือข้างล่าง
"เรียบร้อยดีหรือไม่เสี่ยวซือ?"
เมิ่งซีเดินลงมาจากห้องพักก็พบว่าเสี่ยวซือเตรียมรถม้ามารอรับนางอยู่หน้าโรงเตี๊ยมแล้ว
"ให้อาหารม้าเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ บ่าวยังสั่งให้ห้องครัวทำไก่ย่างแล้วก็ข้าวเตรียมไว้ให้นายหญิงแล้ว"
"ขอบใจมาก งั้นเราออกเดินทางกันเถอะ เข้าไปในตลาดเจอข้าว เจอของแห้งก็ซื้อเพิ่มอีกสักหน่อย"
ครั้งนี้พวกเขาต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อคืนเมิ่งซีได้ถามเสี่ยวเอ้อถึงการเดินทางไปยังเมืองฉางซา ถึงได้รู้ว่าหลังจากออกจากเมืองตานหลี่ไป พวกเขาอาจจะไม่มีหมู่บ้านหรือตำบลไหนให้ขอพักอาศัยได้ เพราะแต่ละที่อยู่ห่างจากเส้นทางหลักไปหลายลี้
ตลาดเมืองตานหลี่ยามสายอบอวลไปด้วยกลิ่นเครื่องเทศ หอมปนเผ็ดจากเครื่องเทศริมทาง และกลิ่นขนมโบราณที่เพิ่งยกออกจากเตาอบดินแดง ควันบาง ๆ ลอยเอื่อยขึ้นฟ้าเคล้ากับเสียงเรียกลูกค้าอย่างคล่องปาก
เมิ่งซีเดินช้า ๆ ผ่านแผงผักผลไม้ นางสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อน แขนยกขึ้นบังแดดยามสาย สายตากวาดมองร้านรวงสองข้างทางอย่างมุ่งมั่น ข้างหลังมีเสี่ยวซือยืนคอยอยู่ใกล้ ๆ รถม้า ที่จอดอยู่แถวร้านซาลาเปา
"ข้าวสารขอรับ ร้านเรามีข้าวสารใหม่ ๆ คุณภาพดีราคาถูก!"
คนขายวัยกลางคนยิ้มแฉ่ง โบกไม้พัดไผ่พลางชี้ไปยังกระสอบผ้าเตี้ย ๆ ข้างตัว เมิ่งซีหยุดเท้า โน้มกายตรวจดูเมล็ดข้าว สีขาวสะอาด ไม่ผสมเปลือก ไม่มีกลิ่นอับ
"จินละเท่าไรพ่อค้า"
"10 เหวินเท่านั้นขอรับ ไม่โกงแน่นอน!"
"ข้าเอา 20 จิน นี่เงินค่าของ เสร็จแล้วให้เอาไปส่งที่รถม้าคันนั้นนะ ข้ายังต้องไปซื้อของอีก"
"ได้ขอรับ เชิญนายท่านเดินดูของได้ตามสบาย ข้าจะรีบเอาข้าวไปส่งตอนนี้เลย"
จ่ายเงินเสร็จเมิ่งซีก็เดินไปข้างหน้าต่อ ไม่ไกลนักมีร้านเนื้อแห้ง เนื้อรมควัน เป็ดรมควันและอย่างอื่นให้เลือกอีกหลายอย่าง
"นายท่าน เชิญเข้ามาดูเนื้อแห้งในร้านเราก่อนขอรับ เนื้อคุณภาพดี เก็บรักษาได้นาน มีหลายอย่างให้เลือกขอรับ"
"หมูแผ่นจินละเท่าไหร่?"
" 60 เหวินขอรับ นายท่านจะรับกี่จินดี วันนี้รมควันใหม่ ๆ หอมมาก!"
"เอา 4 จิน แล้วหมูแดดเดียวกับเนื้อรมควันล่ะ"
"หมูแดดเดียวกับเนื้อรมควันจินละ 50 เหวินเท่ากันขอรับ ส่วนเป็ดรมควันทางด้านนั้นตัวละ 80 เหวินขอรับ"
"ข้าเอาอย่างละ 4 จิน เป็ด 2 ตัว คิดเงินเลยนะเถ้าแก่"
"ขอรับ ทั้งหมด 800 เหวินขอรับ"
เมิ่งซีไม่ต่อราคานางยิ้มแล้วจ่ายเงิน พร้อมกับรับสิ่งของมาใส่ตะกร้าแล้วเดินไปร้านอื่นต่อ
ครู่ต่อมา นางแวะร้านขนมพื้นบ้านซึ่งมีเด็ก ๆ รายล้อม มีขนมหลายอย่างให้เลือก และยังมีผลไม้เชื่อมและผลไม้อบแห้งอีกด้วย
"ขอผลไม้อบแห้งหนึ่งห่อ ผลไม้เชื่อมหนึ่ง แล้วก็ขนมสามอย่างนั้นรวมเป็นชุดเลย 2 ชุด"
"รอสักครู่นะเจ้าคะนายท่าน ข้าจะรีบห่อให้ตอนนี้เลยเจ้าค่ะ"
แม่ค้าสาววัยกลางคนยิ้มแฉ่ง แล้วรีบหยิบจับห่อของอย่างคล่องมือ
"ผลไม้อบแห้ง 25 เหวิน ผลไม้เชื่อม 20 เหวิน ขนม 2 ชุด 50 เหวิน รวมเป็น95 เหวินเจ้าค่ะนายท่าน"
เมิ่งซียื่นเงิน 100 เหวินให้แม่ค้า พร้อมกับบอกว่าไม่ต้องทอน พอได้ยินแบบนั้นคนฟังก็ยิ้มหน้าบาน เพราะสินค้าในร้านของนางถือเป็นของฟุ่มเฟือย มีเพียงบ้านคนมีเงินเท่านั้นที่จะซื้อกิน เช้านี้นางได้เปิดการขายประเดิมร้านด้วยยอดขายดี ๆ เช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องน่าปลื้มใจ
นอกจากนั้นนางยังไปตระเวนซื้ออาหารม้าอีกหลายอย่าง ตามสูตรเสริมกำลังม้าที่เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมให้มา เมื่อกลับมาถึงรถม้า เสี่ยวซือก็รีบวิ่งมารับตะกร้าจากมือของผู้เป็นนาย
"นายหญิง! ท่านรีบขึ้นไปพักบนรถม้าเถอะเจ้าค่ะ บ่าวเตรียมอาหารและน้ำไว้ให้ท่านแล้ว"
"ขอบใจเจ้ามาเสี่ยวซือ งั้นเราออกเดินทางกันเถอะ"
จากนั้นม้าทั้งสองตัวก็พาผู้เป็นนายเคลื่อนตัวออกจากเมืองตานหลี่ มุ่งหน้าตามทางไปยังทิศตะวันออกเมื่อไปยังเมืองฉางซาที่หมายของพวกเขา
5 ปีต่อมาตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา แคว้นเว่ยได้ฟื้นคืนจากเถ้าธุลีและผงาดขึ้นใหม่อีกครั้ง ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จ้าว การขึ้นครองราชย์ของจ้าวอวี้และเมิ่งซีในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากราษฎรทุกหมู่เหล่า พวกเขาทั้งสองไม่ได้เป็นเพียงผู้ปกครอง แต่ยังเป็นผู้ที่นำพาความหวังมาสู่แผ่นดินที่เคยแห้งแล้งและสิ้นหวังการฟื้นฟูแคว้นเริ่มต้นอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ ปัญหาภัยแล้งที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญถูกจัดการได้อย่างเด็ดขาด ด้วยการขุดลอกคลองส่งน้ำขนาดใหญ่ไปทั่วแคว้นตั้งแต่สองปีแรก และยังมีการสอนขุดเจาะหาบ่อบาดาลทั่วแคว้นทำให้ผืนดินที่เคยแห้งแตกระแหงกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง พื้นที่เพาะปลูกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และผลผลิตทางการเกษตรก็เพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเมิ่งซีได้ใช้ น้ำยาปรับพันธุกรรมพืช ที่เป็นของวิเศษจากระบบ นำเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ มาแช่ในน้ำยาเป็นเวลาหนึ่งคืนก่อนจะทำการแจกจ่ายให้ทุกครัวเรือน พร้อมกับสอนวิธีการเพาะปลูกที่ถูกต้องให้กับราษฎรแต่ละท้องถิ่น พืชแต่ละชนิดถูกจัดสรรไปตามพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด บวกกับประสิทธิภาพของน้ำยาปรับพันธุกรรม จึงทำให้ผลผลิ
แสงแดดยามบ่ายคล้อยเริ่มอ่อนแรงลง ทอดเงาต้นไม้ให้ยาวขึ้นไปตามพื้นดิน ไท่ซ่างหวงโฮ่วในชุดผ้าฝ้ายธรรมดาเดินเก็บผักอยู่ในสวนอย่างสบายใจ มือของนางค่อย ๆ เด็ดใบผักใส่ตะกร้าอย่างเบามือ สายตาก็ทอดมองไปยังธรรมชาติรอบ ๆ ที่เต็มไปด้วยความสงบเงียบและอุดมสมบูรณ์ นางรู้สึกเหมือนได้กลับคืนสู่รากเหง้าของตนเองอีกครั้งเบื้องหน้าไม่ไกลนัก ไท่ซ่างหวงกำลังเดินอยู่ท่ามกลางแปลงถั่วฝักยาวที่ออกดอกสีม่วงสวยงาม ข้างพระองค์คือเด็กน้อยสองคน อวิ๋นเจ๋อและหมิงเย่ว์ที่กำลังเดินตุ๊ต๊ะตามท่านปู่ไปอย่างซุกซน พวกเขามีแก้มที่กลมฟูและดวงตาที่กลมโตราวกับลูกแก้ว"เจ๋อเอ๋อร์... เดินดี ๆ นะลูก... อย่าไปชนเถาถั่วเข้าล่ะ" ไท่ซ่างหวงกล่าว ขณะที่คอยประคองหลาน ๆ อย่างระมัดระวัง แม้จะอยู่ในวัยที่ควรพักผ่อน แต่พระองค์ก็เต็มไปด้วยพลังในการเล่นกับหลานน้อยข้างกันนั้นเป็นแปลงแตงโมลูกใหญ่ที่กำลังเติบโตอย่างเต็มที่ ไท่ซ่างหวงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามท่านลุงชุยที่คอยตามดูแลอยู่ไม่ห่างว่า... "ชุยซาน... แตงโมพวกนี้หวานหรือไม่""แตงโมพวกนี้เป็นสายพันธุ์ที่หวานฉ่ำ กินแล้วสดชื่นมากพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท... มีทั้งสีเหลืองและสีแดงพ่ะย่ะค่ะ" ท่านลุงชุยต
หลายวันผ่านไป ขบวนเนรเทศออกห่างจากความเจริญไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางป่าเขาที่แสนอันตราย อากาศที่หนาวเย็นยามค่ำคืนกัดกินร่างกายของทุกคนที่ไม่มีเสื้อผ้าห่มกายให้เพียงพอ "ท่านพี่เจ้าคะ... ท่านพี่เห็นนั่นหรือไม่" เหยียนฮูหยินกระซิบสามี แล้วพยักพเยิดหน้าไปยังพุ่มไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป ผู้คุมคนหนึ่งเดินออกมาจากพุ่มไม้นั้นพร้อมกับหญิงสาวที่แต่งกายไม่เรียบร้อย ผมเผ้ารุงรังจนรู้ได้ว่าเพิ่งผ่านอะไรมา"เจ้าหมายความว่ายังไง" เหยียนอวี้เจิ้งถามด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิด"ข้าว่าท่านพี่มีโอกาสที่จะระบายโทสะ แถมยังได้ข้าวได้น้ำกินสักถ้วยแล้วละเจ้าค่ะ" นางกล่าวพร้อมกับหันไปมอง ฉินซินเหยาที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าของนางยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์เหยียนอวี้เจิ้งมองตามสายตาของภรรยา เขาก็เข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อทันที ฉินซินเหยาผู้เป็นอนุภรรยาที่ครั้งหนึ่งเขาเคยหลงใหล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความงามของนางก็เริ่มจืดจางลงในสายตาเขา จนในที่สุดเขาก็ทอดทิ้งนางให้อยู่แต่ในเรือนของตัวเองมานานนับสิบปี ตอนนี้ในสายตาของเขา นางเป็นเพียงเครื่องมือที่จะช่วยให้เขามีชีวิตรอดเท่านั้น"หึ..." เหยียนอวี้เจิ้งหัวเราะในลำคอด้
ท้องพระโรงต้าเซิ่งกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง หลังจากผ่านพ้นพายุใหญ่แห่งการกวาดล้างกลุ่มกบฏ ขุนนางน้อยใหญ่ที่ยังคงภักดีต่างพากันยืนประจำตำแหน่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำ เหล่าขุนใหญ่ผู้กระทำความผิดร้ายแรงถูกประทานสุราพิษ องค์ชายสามและองค์ชายสี่ถูกประทานยาพิษจนสิ้นพระชนม์ พร้อมกับพระสนมผู้เป็นมารดา ส่วนสกุลกู้และสกุลหานถูกประหารเก้าชั่วโคตร เพื่อไม่ให้ผู้ใดกล้าคิดการใหญ่เช่นนี้อีกในอนาคต ขุนนางคนอื่น ๆ ก็ถูกตัดสินโทษตามความผิด หนึ่งในนั้นคือสกุลเหยียนที่ถูกยึดทรัพย์และเนรเทศไปใช้แรงงานยังชายแดนฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้าที่สงบ แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความปีติยินดี ที่ได้เห็นลูกชายทั้งสองเติบโตอย่างมีคุณภาพและรักใคร่กลมเกลียว"วันนี้... เรามีราชโองการที่สำคัญยิ่ง" ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวานไปทั่วท้องพระโรง ทำให้ขุนนางทุกคนต่างพากันเงียบสนิท"นับจากนี้... เราขอสละราชสมบัติ! และมอบบัลลังก์ต้าเซิ่งอันเรืองรอง ให้กับองค์รัชทายาทจ้าวหลิน ผู้สัตย์ซื่อมั่นคงเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม เป็นผู้สืบทอดปกครองโดยชอบธรรม!"ทันทีที่สิ้นเส
นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งซีได้มาเยืนอตำหนักของฮองเฮาพร้อมกับลูกน้อยทั้งสอง นางค่อนข้างประหม่าเพราะความไม่คุ้นชิน ไม่รู้ว่าตนเองจะปฏิบัติตัวถูกตามกฎในวังหลังหรือไม่ ทว่าทุกอย่างไม่ได้น่ากังวลเหมือนที่นางคิด..."หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮาเพคะ ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน คารวะองค์หญิงเพคะ" เมิ่งซียอบกายลงอย่างนอบน้อม "ลูกสะใภ้ตามสบายเถิด เจ้าน่าลำบากเตรียมอะไรมาเลย" ฮองเฮาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน "พี่สะใภ้รีบลุกขึ้น หม่อมฉันขออุ้มหลาน ๆ นะเพคะ" องค์หญิงจิ้งเหยารีบเดินมาพยุงแขนเมิ่งซี ก่อนจะหันไปหาหลานน้อยทั้งสองที่ชุยเหม่ยกับเสี่ยวซืออุ้มตามเข้ามา"ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ"แต่ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ อวิ๋นเจ๋อและหมิงเย่ว์ก็ถูกผู้เป็นอาหญิงอุ้มไปหาเสด็จย่า"โถ... หลานย่า แก้มเจ้าเยอะขนาดนี้ แสดงว่ามารดาของเจ้าต้องเลี้ยงดูมาอย่างดี น่าชื่นชมจริง ๆ" ฮองเฮาอุ้มหมิงเย่ว์ขึ้นมาอย่างทะนุถนอม แล้วจูบลงไปบนแก้มที่ป่องของนางอย่างอ่อนโยน อวิ๋นเจ๋อที่เห็นน้องสาวถูกผู้เป็นย่าอุ้มก็รีบยื่นมือเข้าไปหาแล้วส่งเสียงร้อง "แอ้ แอะ!" อย่างชัดเจน ฮองเฮาจึงหัวเราะออกมาอย่างมีความส
วังหลวงแคว้นต้าเซิ่งท้องพระโรงแห่งแคว้นต้าเซิ่งถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่อึดอัดและตึงเครียด ขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันมองหน้ากันอย่างเลิกลัก หลายคนรู้ดีว่าการประชุมในวันนี้ไม่ใช่การว่าราชการตามปกติ ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าซีดเซียว พระองค์ไอเป็นเลือดเป็นระยะ ส่วนรัชทายาทจ้าวหลินก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก เขาดูอ่อนเพลียและหมดแรงอย่างเห็นได้ชัดมหาอัครเสนาบดีกู้ฉาง ขุนนางชราผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในราชสำนัก ก้าวออกมาจากแถวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ"ทูลฝ่าบาท! ข่าวการศึกที่ท่านอ๋องหย่งอันได้รับชัยชนะและยึดครองแคว้นเว่ยได้สำเร็จนั้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีพ่ะย่ะค่ะ!" กู้ฉางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด แต่ในแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ "...""แต่กระหม่อมขอทูลว่า... การปกครองแคว้นที่เพิ่งยึดมานั้นเป็นเรื่องยากยิ่งนัก หากแผ่นดินของเรายังไม่มั่นคงเช่นนี้... อาจเกิดปัญหาในภายหลังได้พ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมองกู้ฉางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ "เจ้าจะพูดอะไรกันแน่! แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการปกครองที่มั่นคงของข้า!""กระหม่อมเห็นว่า... ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทมีพระวร