ทางลับสิ้นสุดลงที่ป่าทึบด้านหลังเมืองหลวง มู่ไป๋เดินโซซัดโซเซออกมาสู่โลกภายนอกในค่ำคืนที่พายุฝนกำลังกระหน่ำอย่างรุนแรง สายฟ้าฟาดผ่าลงมาเป็นระยะๆ แสงแปลบปลาบฉายให้เห็นต้นไม้สูงใหญ่ที่เสียดฟ้า และเงาทะมึนของป่าที่ดูน่าหวาดกลัว เขาหันกลับไปมองเมืองหลวงที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดและเงาจันทราที่ถูกบดบัง น้ำตาของเด็กชายเอ่อคลอ มันเป็นคืนที่ตระกูลหลี่ล่มสลาย เสียงกรีดร้องของบิดามารดาและพี่ชายยังคงติดอยู่ในหู เป็นบาดแผลลึกที่ยากจะลบเลือน และเป็นจุดเริ่มต้นของโชคชะตาที่พลิกผันของเด็กชาย หลี่มู่ไป๋
เด็กน้อยเดินไปตามทางในป่าอย่างไร้จุดหมาย ท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำไม่หยุดหย่อน ความหนาวเหน็บกัดกินไปถึงกระดูกจนร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว เสื้อผ้าที่เปียกปอนและหนักอึ้งทำให้การเดินเป็นไปอย่างยากลำบาก ความหิวโหยและความกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจ เขาเดินสะดุดรากไม้ล้มคะมำครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายบอบช้ำ แต่จิตใจกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแปลกๆ ที่ได้รับมาจากบิดา นั่นคือต้องรอดและต้องสืบหาความจริง
เขาไม่รู้ว่าเดินไปนานแค่ไหน ท่ามกลางความมืดมิดและเสียงฟ้าร้องที่คำรามครืนครืน เสียงโหยหวนของสัตว์ป่าที่แฝงมากับเสียงลมทำให้เด็กชายหวาดกลัวจนตัวสั่นไปหมด มู่ไป๋รู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังจะไปไม่ไหวแล้ว ความรู้สึกมืดมิดเข้าครอบงำสติสัมปชัญญะ ในที่สุด เขาก็ล้มลงหมดสติอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาเล็กน้อย ในสภาพที่เปียกปอน หนาวสั่น และหมดแรงสิ้นหวัง
เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง แสงอรุณรุ่งได้เริ่มจับขอบฟ้าแล้ว แสงสีทองอ่อนๆ สาดส่องผ่านหมู่แมกไม้เข้ามาในป่า ความเย็นจากฝนยังคงอยู่ แต่ร่างกายของเขากลับรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ มีผ้าห่มผืนหนาและนุ่มคลุมร่างของเขาไว้ และมีกลิ่นหอมของสมุนไพรโชยมาแตะจมูกอย่างอ่อนโยน เขาพยายามลืมตาขึ้นช้าๆ ภาพที่เห็นคือเพดานไม้และผนังที่ทำจากท่อนซุงเก่าแก่ กระท่อมไม้เล็กๆ ที่ตั้งอยู่กลางป่า ล้อมรอบด้วยต้นไม้นานาพรรณและเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว
ข้างกายเขามีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่ทำจากรากไม้ ชายผู้นั้นสวมชุดผ้าฝ้ายสีน้ำตาลเรียบง่าย ผมขาวโพลนถูกมวยมัดอย่างเป็นระเบียบ ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาแต่กลับดูสงบและเปี่ยมด้วยเมตตา ดวงตาคู่คมที่เคยเปี่ยมด้วยประกายปัญญาแต่บัดนี้เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยนั้น ลึกล้ำและเปี่ยมด้วยความรู้ มือที่ยื่นมาแตะหน้าผากของมู่ไป๋นั้นอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาดใจ ราวกับส่งผ่านพลังบางอย่างมาปลอบประโลม
“ฟื้นแล้วหรือเด็กน้อย” เสียงของชายชราฟังดูสงบและทุ้มนุ่ม ราวกับเสียงกระซิบของสายลมในป่าใหญ่ “เจ้าหลับไปเกือบสองวันเต็มๆ โชคดีที่ข้าบังเอิญไปเจอเจ้าเข้า ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่รอดจากพิษไข้”
มู่ไป๋พยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ร่างกายยังอ่อนล้าและเจ็บปวด เขาจำเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ราวกับฝันร้าย น้ำตาไหลรินลงมาอาบแก้มใสๆ
“ท่านท่านเป็นใครขอรับครอบครัวของข้าพวกเขา” เสียงของเขาขาดหายไปเพราะสะอื้น
ชายชราถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเข้าใจและความเห็นใจ “ข้าเป็นเพียงคนเก็บสมุนไพรที่อาศัยอยู่ในป่านี้ ไม่ต้องห่วงไปเจ้าปลอดภัยแล้ว” เขาไม่ได้ถามถึงเรื่องครอบครัวของมู่ไป๋ แต่แววตาที่ฉายออกมานั้นบ่งบอกว่าเขารู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ราวกับได้เห็นเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง
นับตั้งแต่วันนั้น หลี่มู่ไป๋ก็ได้ใช้ชีวิตอยู่กับชายชราผู้ลึกลับผู้นี้ ซึ่งเขาเรียกท่านว่าอาจารย์ อาจารย์ไม่เคยเอ่ยถึงชื่อแซ่ของตนเอง ไม่เคยพูดถึงอดีตของตนเอง แต่สิ่งที่อาจารย์มอบให้แก่มู่ไป๋คือความรู้และวิชาที่ไม่อาจหาได้จากที่ใดในโลก อาจารย์ไม่ได้เพียงแค่ช่วยชีวิตเขา แต่ยังได้จุดประกายความหวังและเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่พังทลายของเด็กชาย
การใช้ชีวิตในกระท่อมกลางป่านั้นแตกต่างจากจวนหลี่อย่างสิ้นเชิง มู่ไป๋ต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเอง ต้องช่วยเหลืออาจารย์ในการหาของป่า เก็บสมุนไพร และทำงานบ้านง่ายๆ อาจารย์สอนวิชาแพทย์แผนโบราณ การแยกแยะสมุนไพร การรักษาโรค และปรัชญาชีวิตที่ลึกซึ้งผ่านเรื่องเล่าและบทกวี มู่ไป๋ยังคงท่องตำราโบราณที่อาจารย์นำมาให้ อ่านเรื่องราวของเหล่าผู้กล้า บัณฑิตผู้ทรงปัญญาและวีรชนในอดีต ซึ่งช่วยปลอบประโลมจิตใจและเปิดโลกทัศน์ให้เขา
แต่ที่สำคัญที่สุดคือการฝึกฝน วิทยายุทธ มู่ไป๋ต้องฝึกฝนอย่างหนักทุกวัน ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เริ่มจากการฝึกพื้นฐานการยืน การทรงตัว การหายใจแบบกำลังภายใน การทำสมาธิเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียว อาจารย์สอนเพลงกระบี่ที่พลิกแพลงงดงามราวสายลม สอนเพลงหมัดที่หนักหน่วงราวภูผา และวิชาตัวเบาที่รวดเร็วดุจเงา วิชาที่อาจารย์สอนนั้นแตกต่างจากสำนักกำลังภายในทั่วไป ไม่เน้นเพียงพลัง แต่เน้นที่การเข้าใจธรรมชาติของพลัง การเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับลมปราณ และการใช้ปัญญาในการต่อสู้
“พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่พลังที่ทำลายล้าง แต่เป็นพลังที่ควบคุมตัวเองได้ และพลังที่ใช้เพื่อปกป้องผู้อื่นต่างหาก” อาจารย์มักจะกล่าวเน้นย้ำประโยคนี้เสมอ
มู่ไป๋ฝึกฝนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ความเจ็บปวดจากการฝึกฝนเป็นดั่งยาที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในใจที่เกิดจากการสูญเสียครอบครัว เขาระบายความแค้นและความโกรธลงไปในการฝึกฝนทุกครั้ง เขาจดจำคำสั่งเสียของบิดาได้ขึ้นใจ “ต้องสืบหาความจริง และล้างมลทินให้ตระกูลเรา” นี่คือเป้าหมายเดียวในชีวิตของเขา
เวลาผ่านไปรวดเร็วดุจสายน้ำ 10 ปีผ่านไปอย่างเงียบสงบในป่าลึก หลี่มู่ไป๋เติบโตเป็นชายหนุ่มผู้สง่างาม ร่างกายกำยำแข็งแรง ใบหน้าคมคาย ดวงตาฉายแววสุขุมลุ่มลึกและเฉลียวฉลาด แต่ลึกๆ ลงไปในแววตานั้น ยังคงมีประกายแห่งความมุ่งมั่นและเจ็บปวดที่ซ่อนเร้นอยู่ เขาเป็นยอดฝีมือที่หาตัวจับยากในด้านวิทยายุทธ เพลงกระบี่ของเขาลื่นไหลราวสายน้ำ แต่คมกริบดุจน้ำแข็งยามเข้าประจันบาน วิชาตัวเบาของเขาว่องไวราวสายฟ้าฟาด เขายังคงรำลึกถึงครอบครัวเสมอ และความรู้สึกโกรธแค้นต่อผู้ที่ทำลายล้างตระกูลของเขาก็ไม่เคยจางหายไป
ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบ หลี่มู่ไป๋มักจะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มองไปยังแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาในป่า แสงจันทร์นั้นทำให้เขานึกถึงคืนที่ตระกูลของเขาถูกทำลายลง คืนที่เงาจันทราได้บดบังความสุขและความสงบของเขาไป เขารู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องก้าวออกจากป่า ออกไปสู่โลกภายนอก ออกไปเผชิญหน้ากับความจริง และออกไป "ล้างมลทิน" ให้กับตระกูลของเขา
วันหนึ่งอาจารย์ได้เรียกเขาไปหา “มู่ไป๋ เจ้าเติบโตขึ้นมากแล้ว วิชาที่ข้ามีได้มอบให้เจ้าจนหมดสิ้นแล้ว” อาจารย์กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่แฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง “เส้นทางข้างหน้าของเจ้ายังอีกยาวไกล เต็มไปด้วยอันตรายและอุปสรรค แต่ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า”
หลี่มู่ไป๋คุกเข่าลง น้ำตาคลอเบ้า “อาจารย์ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณที่ท่านได้ชุบเลี้ยงและสั่งสอนข้ามา”
“ลุกขึ้นเถอะ” อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะมอบคัมภีร์เก่าแก่เล่มหนึ่งให้เขา “คัมภีร์เล่มนี้ไม่ใช่คัมภีร์วิทยายุทธ แต่มันจะนำทางเจ้าไปสู่ความจริง”
หลี่มู่ไป๋รับคัมภีร์มาด้วยความเคารพ เขาเปิดดูอย่างระมัดระวัง ภายในเป็นแผนที่เก่าแก่และบันทึกบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นปริศนา อาจารย์ไม่บอกว่าคืออะไร แต่แววตาของอาจารย์บอกเป็นนัยว่าสิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่ง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นหลี่มู่ไป๋สวมชุดนักเดินทางเรียบง่าย สะพายกระบี่ประจำกาย และก้าวออกจากกระท่อมกลางป่า เขาหันกลับไปมองอาจารย์ที่ยืนส่งอยู่ริมประตู แสงอรุณยามเช้าสาดส่องลงมาบนใบหน้าของทั้งสอง อ้อมกอดสุดท้ายจากอาจารย์ทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นและกำลังใจ
“จงใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรม และอย่าให้ความแค้นเข้าครอบงำจิตใจเจ้า” อาจารย์กำชับเป็นครั้งสุดท้าย
หลี่มู่ไป๋พยักหน้าอย่างหนักแน่น เขาก้าวเดินไปข้างหน้า มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่รออยู่เบื้องหน้า โลกที่เต็มไปด้วยความจริงอันโหดร้าย การเมืองที่ซับซ้อนและปริศนาแห่งคัมภีร์เทพมารที่เขาจะค้นพบในไม่ช้า การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่เพื่อล้างมลทินและสืบหาความจริงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ตอนที่ 65บทสรุปแห่งรักและการเริ่มต้นใหม่หลังจากที่หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินได้คลี่คลายปริศนาในอดีตของหลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิง และได้รับรู้ถึงความจริงเกี่ยวกับพรรคเงาอสูรแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะใช้เวลาช่วงหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบ เพื่อฟื้นฟูจิตใจและวางแผนสำหรับอนาคตแม้ว่าตระกูลไป๋จะยิ่งใหญ่และร่ำรวย แต่ไป๋ซูเจินก็ไม่ได้ปรารถนางานแต่งงานที่หรูหราอลังการ สิ่งที่นางต้องการคือความเรียบง่ายและอบอุ่น และหลี่เทียนอี้ก็เห็นด้วยกับนางอย่างเต็มที่ด้วยความเห็นชอบจากประมุขไป๋ที่เดินทางมาถึงหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบในภายหลัง และการจัดเตรียมงานของมู่หรงชิง งานแต่งงานเล็กๆ ของหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินจึงถูกจัดขึ้นอย่างอบอุ่นและเป็นกันเองในหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบแขกในงานมีเพียงคนสนิทและชาวบ้านที่รักใคร่ หลี่ฟงและเฒ่าจันทร์เองก็เดินทางมาร่วมงานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะ และการอวยพรจากใจจริงของทุกคนไป๋ซูเจินในชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาดตา งดงามราวกับเทพธิดา นางเดินเข้ามาในลานบ้านที่ถูกประดับประดาอย่างเรียบง่ายแต่สวยงาม เคียงข้างหลี่เทียนอี้ในชุดเสื้อผ้าธรรมดาแต่ดูสง่
ตอนที่ 64การกลับบ้านในเมืองเหมันต์ หลี่เทียนอี้รู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องกลับไปที่หมู่บ้านเมฆาเงียบสงบอีกครั้ง เพื่อแบ่งปันเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อแม่ฟัง และที่สำคัญที่สุด คือการพาไป๋ซูเจินผู้เป็นที่รักกลับไปแนะนำให้พวกท่านได้รู้จัก การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความคาดหวังและความอบอุ่นในหัวใจของทั้งสองคนหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินออกเดินทางจากเมืองเหมันต์ มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเมฆาเงียบสงบ การเดินทางครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและอันตราย บัดนี้มันคือการเดินทางกลับบ้าน สู่ความสงบสุขและอ้อมกอดของครอบครัว แม้จะมีเรื่องราวหนักอึ้งในอดีตที่รอการคลี่คลาย แต่การได้อยู่เคียงข้างไป๋ซูเจินทำให้หลี่เทียนอี้รู้สึกเข้มแข็งและพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่งระหว่างทาง หลี่เทียนอี้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบให้ไป๋ซูเจินฟังอย่างละเอียด เล่าถึงชีวิตที่เรียบง่าย การฝึกฝนวรยุทธ์ภายใต้การดูแลของบิดา และความรักความอบอุ่นที่มารดามอบให้ ไป๋ซูเจินตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ นางรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบกับหลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิง ผู้เป็นต้นแบบของคุณธรรมและความสามารถที่หล่อหลอมให้หลี่เทียนอี้เป็นบ
ตอนที่ 63ร่องรอยของอดีตหลังจากใช้เวลาหลายเดือนในการช่วยเหลือผู้คนและสร้างชื่อเสียงที่ดีงามในยุทธภพในฐานะ "คู่รักจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรม" หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินก็ได้เดินทางมาถึงเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า เมืองเหมันต์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และเป็นศูนย์กลางการค้าที่คึกคัก แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความสุขจากการได้ทำสิ่งดีๆ และความรักที่มั่นคงต่อกัน แต่โชคชะตาก็มักจะนำพาสิ่งที่ไม่คาดฝันมาให้เสมอ และในครั้งนี้ หลี่เทียนอี้กำลังจะได้เผชิญหน้ากับ ร่องรอยบางอย่างจากอดีตของพ่อแม่ ที่เขาไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเมื่อก้าวเข้าสู่เมืองเหมันต์ หลี่เทียนอี้รู้สึกถึงความคุ้นเคยแปลกๆ ราวกับว่าเขาเคยมาที่นี่มาก่อน ทั้งที่ในความทรงจำของเขาไม่เคยมีภาพเมืองนี้อยู่เลย กลิ่นอายของปราณที่แข็งแกร่งและแฝงด้วยความเยือกเย็นบางอย่างที่อบอวลอยู่ในอากาศ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย“ท่านหลี่เทียนอี้ ดูเหมือนเมืองนี้จะมีความพิเศษบางอย่างนะเจ้าคะ” ไป๋ซูเจินสังเกตเห็นท่าทีของเขา นางมีความละเอียดอ่อนและรับรู้ถึงพลังปราณบางอย่างได้ดีเช่นกัน“ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นขอรับไป๋ซูเจิน” หลี่เทียนอี้ตอ
ตอนที่ 62บทบาทใหม่ในยุทธภพหลังจากความรักได้รับการยอมรับจากประมุขไป๋และคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ใต้แสงจันทร์ ณ เมืองจินหลิง ชีวิตบทใหม่ของหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินก็ได้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาไม่ได้จมปลักอยู่กับความสุขส่วนตัวเพียงอย่างเดียว หากแต่เลือกที่จะก้าวเดินบนเส้นทางแห่งคุณธรรมร่วมกัน นำวิชาความรู้และจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาออกไปช่วยเหลือผู้คนในยุทธภพที่กว้างใหญ่ไพศาล สร้างบทบาทใหม่ในฐานะ คู่รักจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรมหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินไม่ได้รีบร้อนที่จะสร้างชื่อเสียงอันโด่งดัง หรือก่อตั้งสำนักใหญ่โตดุจสำนักอื่น ๆ ในยุทธภพ พวกเขาเริ่มต้นจากการช่วยเหลือผู้คนในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบเจอระหว่างการเดินทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาถนัดและเชื่อมั่นในคุณค่าของมันพวกเขาออกเดินทางจากเมืองจินหลิง มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านและเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลความเจริญและมักถูกละเลยจากสำนักใหญ่ ๆ เหล่านั้นครั้งหนึ่ง พวกเขาได้เดินทางไปถึงหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังประสบปัญหาจากภัยแล้งอย่างหนัก ผู้คนอดอยากและเจ็บป่วยล้มตายจำนวนมาก“ท่านหลี่เทียนอี้ ชาวบ้านเหล่านี้เดือดร้อนหนักมากเจ้าค่ะ” ไป๋ซูเจินกล่าวด
ตอนที่ 61การยอมรับและเส้นทางที่เลือกหลังเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองจินหลิง ที่หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินร่วมมือกันปกป้องเมืองจากเงื้อมมือของสำนักเงาดำ ความกล้าหาญและคุณธรรมของทั้งคู่เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประมุขไป๋ผู้เป็นบิดาของไป๋ซูเจิน การกระทำของพวกเขาในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมาก แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่การยอมรับความรักของทั้งคู่ ที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคมาอย่างยาวนานหลังจากความสงบกลับคืนสู่เมืองจินหลิง ประมุขไป๋ได้เรียกหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินมาพบเป็นการส่วนตัวในห้องโถงใหญ่ของจวน ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความโกรธเคืองหรือความไม่พอใจเหมือนเช่นเคย หากแต่เต็มไปด้วยความนับถือและความสำนึกผิด“ท่านหลี่เทียนอี้” ประมุขไป๋เริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าครั้งก่อนมาก “ในวันนี้ ข้าได้เห็นกับตาแล้วว่าท่านเป็นบุรุษเช่นไร”เขาถอนหายใจช้าๆ “ข้าเคยผิดพลาดที่มองคนแต่เพียงเปลือกนอก และดูถูกท่านด้วยฐานะอันต่ำต้อย” ประมุขไป๋เดินเข้าไปหาหลี่เทียนอี้ แล้ว โค้งคำนับเล็กน้อย “ข้าขออภัยท่านด้วยใจจริง ที่เคยดูหมิ่นท่านและทำให้ท่านกับบุตรสาวของข้าต้องเจ็บปวด”หลี่เที
ตอนที่ 60 บทพิสูจน์แห่งรักการกลับมาพบกันอีกครั้งที่เมืองจินหลิง ท่ามกลางสถานการณ์การบุกโจมตีของโจรป่า ทำให้หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินได้ยืนยันความรู้สึกในใจของกันและกัน แม้จะไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน แต่สายตาที่สื่อถึงกันก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่าความรักของพวกเขายังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่โลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไม่ได้มีเพียงความรักที่สวยงาม การเผชิญหน้าครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบททดสอบครั้งใหญ่ ที่พวกเขาจะต้องพิสูจน์ความรักของตนเองและสิ่งที่ยึดมั่นร่วมกันหลังจากเหตุการณ์โจรป่าบุกโจมตี ประมุขไป๋ก็จำต้องยอมรับฝีมือและคุณธรรมของหลี่เทียนอี้ที่ปรากฏให้เห็นในวันนี้ แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมรับหลี่เทียนอี้ในฐานะบุตรเขยของตระกูลไป๋ และยังคงยืนกรานที่จะให้ไป๋ซูเจินแต่งงานกับคุณชายหลินอยู่ดีหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินจึงตัดสินใจที่จะพูดคุยกันอย่างเปิดอก ณ สถานที่ลับแห่งหนึ่งในเมืองจินหลิง“ท่านหลี่เทียนอี้” ไป๋ซูเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านพ่อไม่ยอมรับท่าน…และท่านก็ยังคงต้องแต่งงานกับคุณชายหลิน”“ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาดขอรับ” หลี่เทียนอี้กล่าวด้วยความมุ่งมั่น “ข้าจะพิ