แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาต้องใบหน้าของหลี่มู่ไป๋ ขณะที่เขากำลังก้มลงสำรวจร่องรอยการต่อสู้เมื่อคืนก่อน ชายชุดดำสองคนที่เขาล้มลงยังคงนอนสลบไสลไม่ได้สติ ตราสัญลักษณ์รูปสัตว์ร้ายที่มีเขี้ยวแหลมคมบนแขนเสื้อของพวกมันยังคงเด่นชัด หลี่มู่ไป๋สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพลังยุทธ์ที่มาจากพวกมัน ซึ่งแตกต่างจากนักเลงทั่วไปที่เขาเคยเจอ บ่งบอกว่าคนเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และที่สำคัญมันเป็นคนกลุ่มเดียวกับที่ติดตามเขามาตลอด
“พรรคเมฆาโลหิตงั้นหรือหรือเป็นกลุ่มอื่นที่เกี่ยวข้องกับองค์ชายสาม” หลี่มู่ไป๋พึมพำกับตัวเอง สายตาของเขาจ้องมองไปยังตราสัญลักษณ์นั้นอย่างครุ่นคิด ลึกๆ แล้ว เขารู้สึกว่านี่อาจไม่ใช่พรรคเมฆาโลหิตเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเครือข่ายอำนาจที่ใหญ่กว่านั้นมาก
เขาไม่เสียเวลาอีกต่อไป การเผชิญหน้าเมื่อคืนยิ่งตอกย้ำให้เขามั่นใจว่าการตามหาคัมภีร์เทพมารเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง เขาเก็บกระบี่เข้าฝัก มุ่งหน้าสู่ "หุบเขาหมอกทมิฬ" อันเป็นสถานที่ที่กล่าวกันว่าเป็นที่ตั้งของสำนักโบราณที่เคยครอบครองคัมภีร์ลึกลับนั้น
การเดินทางสู่หุบเขาหมอกทมิฬนั้นไม่ง่ายเลย ชื่อของหุบเขาบ่งบอกถึงสภาพภูมิประเทศได้เป็นอย่างดี หมอกหนาทึบปกคลุมยอดเขาและหุบเหวตลอดเวลา ทำให้ทัศนวิสัยเลวร้าย เส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชันนั้นเต็มไปด้วยก้อนหินที่ปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำและเถาวัลย์รกเรื้อ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาจนแสงแดดส่องลงมาไม่ถึงพื้นดิน ทำให้บรรยากาศดูอึมครึมและชวนให้ขนลุก
หลี่มู่ไป๋ต้องใช้ทักษะวิชาตัวเบาอย่างหนักในการปีนป่ายขึ้นไปตามโขดหินที่ลื่นชัน และหลบหลีกกับดักธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ตามทาง ทั้งหลุมพรางที่ถูกปกคลุมด้วยใบไม้ ก้อนหินที่พร้อมจะร่วงหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ และพืชมีพิษที่แฝงตัวอยู่ตามพุ่มไม้รกทึบ เขาใช้ความรู้ด้านสมุนไพรที่อาจารย์เคยสอนเพื่อหลีกเลี่ยงพืชพิษเหล่านั้น และใช้ประสาทสัมผัสอันเฉียบคมในการตรวจจับอันตรายที่มองไม่เห็น
ยิ่งเขาเดินทางลึกเข้าไปในหุบเขามากเท่าไหร่ หมอกก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นเท่านั้น อากาศเย็นเยียบจนจับขั้วหัวใจ และเสียงของสัตว์ป่าที่แว่วมาในระยะไกลก็ทำให้บรรยากาศยิ่งวังเวง แต่หลี่มู่ไป๋ไม่ได้แสดงความหวาดกลัว ใบหน้าของเขายังคงสุขุม ดวงตาคู่คมจดจ่ออยู่กับการสังเกตการณ์รอบด้าน ทุกย่างก้าวของเขามั่นคงและระมัดระวัง
หลังจากเดินทางมาได้เกือบตลอดวัน หลี่มู่ไป๋ก็มาถึงจุดหนึ่งที่หมอกดูจะหนาแน่นกว่าปกติ ราวกับมีกำแพงหมอกกั้นอยู่ตรงหน้า เมื่อเขาแทรกตัวผ่านเข้าไป เขาก็พบกับสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นทางเข้าสู่ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างโบราณขนาดใหญ่ ท่ามกลางหมอกทึบและเถาวัลย์ที่ปกคลุมซากปรักหักพังไปทั่ว เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอารยธรรมที่เคยรุ่งเรืองในอดีต
นี่คือที่ตั้งของ สำนักโบราณ ที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายศตวรรษ หลี่มู่ไป๋รู้สึกตื่นเต้นระคนตื่นตัว เขาเร่งฝีเท้าเข้าไปด้านในอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้น! เสียงบางอย่าง ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เป็นเสียงของก้อนหินที่กลิ้งตกลงมาจากที่สูง หลี่มู่ไป๋หันขวับกลับไปในทันที
เบื้องหน้าของเขา ปรากฏร่างของกลุ่มคนลึกลับประมาณสิบกว่าคน พวกมันแต่งกายในชุดดำสนิทคลุมศีรษะและใบหน้ามิดชิด มีเพียงดวงตาคู่คมที่ฉายแววเย็นชาเท่านั้นที่เผยออกมา พวกมันปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบราวกับภูตผี ราวกับกลมกลืนไปกับหมอกทึบในหุบเขา
“หยุดเดี๋ยวนี้” เสียงแหบพร่าดังขึ้นจากหนึ่งในคนชุดดำ น้ำเสียงของมันแข็งกร้าวและไร้ความรู้สึก "แกไม่ควรเข้ามาในที่แห่งนี้"
หลี่มู่ไป๋ชักกระบี่ออกจากฝักอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้าเป็นใครทำไมถึงมาขัดขวางข้า”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่แกต้องรู้” อีกคนตอบ ก่อนที่พวกมันจะกรูกันเข้าโจมตีหลี่มู่ไป๋พร้อมกัน พวกมันไม่ได้พูดมาก แต่การกระทำของพวกมันบ่งบอกถึงความเด็ดขาดและโหดเหี้ยม
หลี่มู่ไป๋รู้ได้ทันทีว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่โจรป่าธรรมดาที่เขาเคยปะทะด้วย พวกมันมีฝีมือดีกว่ามาก แต่ละคนมีวิทยายุทธที่แข็งแกร่ง และการเคลื่อนไหวของพวกมันก็ประสานกันอย่างลงตัว ราวกับได้รับการฝึกฝนมาเป็นทีม
เพลงกระบี่ของหลี่มู่ไป๋ตวัดออกไปราวสายฟ้าฟาด เขาสะบัดกระบี่ป้องกันการโจมตีจากทุกทิศทาง พร้อมกับใช้เพลงตัวเบาหลบหลีกการรุมโจมตีของคนชุดดำ เขาสังเกตเห็นว่าการเคลื่อนไหวของพวกมันคล้ายกับวิชาของสำนักลับบางแห่งที่เคยได้ยินข่าวลือ แต่ก็มีบางอย่างที่แตกต่างออกไป
“พวกนี้...มีฝีมือไม่ธรรมดา” หลี่มู่ไป๋คิดในใจ เขาสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่แข็งแกร่งจากคนเหล่านี้ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นยอดฝีมือที่สามารถคุกคามเขาได้โดยตรง หากแต่จำนวนของพวกมันทำให้การต่อสู้เป็นไปอย่างยากลำบาก
การปะทะกันอย่างดุเดือดดำเนินไปท่ามกลางหมอกหนาทึบและซากปรักหักพังของสำนักโบราณ เสียงกระบี่กระทบกันดังก้องไปทั่ว เสียงลมปราณปะทะกันเกิดคลื่นพลังที่สั่นสะเทือนพื้นดิน หลี่มู่ไป๋เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับเงา เขาใช้ความชำนาญในการใช้ภูมิประเทศให้เป็นประโยชน์ หลบเข้าหลังซากกำแพง หลบออกหลังต้นไม้ และใช้หมอกทึบเป็นม่านกำบังเพื่อสร้างความได้เปรียบ
“พวกมันมีความรู้เกี่ยวกับหุบเขาแห่งนี้เป็นอย่างดี” หลี่มู่ไป๋สังเกต เขาเห็นพวกมันเคลื่อนไหวผ่านเส้นทางที่ซับซ้อนได้อย่างคล่องแคล่ว ราวกับเคยมาที่นี่มาก่อน หรือได้รับการบอกเล่าข้อมูลมาอย่างละเอียด
หนึ่งในชายชุดดำที่เป็นผู้นำกลุ่ม มีฝีมือสูงกว่าคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด มันเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจพยัคฆ์ และใช้ดาบใหญ่ในมือฟาดฟันอย่างดุดัน หลี่มู่ไป๋ต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อรับมือกับมัน
“แกไม่ใช่คนธรรมดา” ผู้นำชุดดำเอ่ยขึ้นขณะที่ดาบของมันปะทะกับกระบี่ของหลี่มู่ไป๋ “ใครส่งแกมาที่นี่”
“ข้ามาที่นี่ด้วยตัวข้าเอง” หลี่มู่ไป๋ตอบ ใบหน้าของเขาไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย "พวกเจ้าต่างหากที่ควรบอกว่าพวกเจ้าเป็นใคร”
ผู้นำชุดดำไม่ตอบ มันเพิ่มแรงกดดันในการโจมตี หวังจะบดขยี้หลี่มู่ไป๋ให้ได้ แต่หลี่มู่ไป๋ก็ไม่ยอมแพ้ เขาสามารถพลิกแพลงเพลงกระบี่ของตนเองได้อย่างรวดเร็ว หลบหลีกการโจมตีที่รุนแรงของอีกฝ่ายไปได้หลายครั้ง พร้อมกับสวนกลับอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
ในจังหวะหนึ่ง หลี่มู่ไป๋ใช้เพลงตัวเบาพุ่งทะยานขึ้นไปบนซากกำแพงสูงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งลงมาด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด ดาบในมือของเขาตวัดลงอย่างรุนแรง
ผู้นำชุดดำไม่คิดว่าหลี่มู่ไป๋จะสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนี้ มันไม่ทันตั้งตัว ทำให้ถูกกระบี่ของหลี่มู่ไป๋เฉือนเข้าที่แขนเสื้อจนขาดวิ่น เผยให้เห็นรอยสักรูป ตราสัญลักษณ์คล้ายมังกรเกล็ดดำ ที่แขน ซึ่งแตกต่างจากตราของคนชุดดำที่ติดตามเขามาก่อนหน้า
“พวกเจ้า...เป็นคนของสำนักมังกรทมิฬใช่หรือไม่” หลี่มู่ไป๋ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด สำนักมังกรทมิฬเป็นอีกหนึ่งพรรคอธรรมที่มีชื่อเสียงเรื่องความโหดเหี้ยมและอิทธิพลที่แผ่ขยายไปทั่ว และแน่นอนว่ามีข่าวลือว่าพวกมันมีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับ องค์ชายสาม
ผู้นำชุดดำชะงัก สีหน้าของมันภายใต้ผ้าคลุมศีรษะดูตกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าหลี่มู่ไป๋จะรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของพวกมัน
“แกสอดรู้สอดเห็นมากเกินไปแล้ว” ผู้นำชุดดำคำราม “วันนี้แกจะต้องตายที่นี่” มันสั่งให้ลูกน้องที่เหลือทั้งหมดรุมโจมตีหลี่มู่ไป๋อย่างไม่คิดชีวิต
หลี่มู่ไป๋ต้องต่อสู้เอาชีวิตรอด เขาใช้ความรู้ทั้งหมดที่อาจารย์เคยสอน ทั้งวิทยายุทธ วิชาตัวเบา และแม้กระทั่งความรู้ด้านภูมิประเทศในการหลบหลีกและตอบโต้ พวกคนชุดดำเหล่านั้นดูเหมือนจะต้องการจับตัวเขามากกว่าที่จะฆ่าเขาให้ตายในทันที ทำให้หลี่มู่ไป๋มีโอกาสที่จะต่อสู้และหาทางหนี
ในระหว่างการต่อสู้ หลี่มู่ไป๋เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่หลังซากกำแพงที่พังทลาย มันเป็นช่องทางแคบๆ ที่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์หนาทึบ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางลับ หรือทางเข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของสำนักโบราณ
“พวกเจ้าจงไปลงนรกซะเถอะ” หลี่มู่ไป๋ตะโกนขึ้นอย่างดุดัน ก่อนจะเร่งเพลงกระบี่ให้รวดเร็วและรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เขาใช้กระบวนท่าที่รุนแรงและฉับพลัน ทำให้คนชุดดำหลายคนต้องถอยร่นไปในทันที ก่อนที่เขาจะใช้จังหวะที่พวกมันชะงัก พุ่งตัวเข้าไปในช่องทางลับนั้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า
“ตามมันไป อย่าให้มันหนีไปได้” ผู้นำชุดดำตะโกนสั่งลูกน้อง พวกมันรีบวิ่งตามหลี่มู่ไป๋เข้าไปในช่องทางลับนั้นอย่างไม่ลดละ
หลี่มู่ไป๋พุ่งตัวเข้าไปในความมืดมิดของทางลับ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของคนชุดดำที่ตามหลังมาติดๆ ทางลับนั้นแคบและมืดสนิท อากาศภายในเย็นชื้นและมีกลิ่นอับชื้น เขารู้สึกถึงหยดน้ำที่หยดลงมาจากเพดาน ทางเดินค่อยๆ ลาดต่ำลงไปเรื่อยๆ ราวกับกำลังจะนำเขาลงไปสู่ใต้ดิน
เขาไม่รู้ว่าทางลับนี้จะนำพาเขาไปที่ใด แต่เขาก็ต้องเสี่ยง เขาเชื่อว่าเบื้องหลังทางลับนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับคัมภีร์เทพมาร และอาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาที่เขาตามหา
การต่อสู้ในหุบเขาหมอกทมิฬได้สิ้นสุดลงชั่วคราว แต่การผจญภัยที่แท้จริงของหลี่มู่ไป๋เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น เขากำลังก้าวเข้าสู่ใจกลางของความลับที่ซ่อนเร้น และเผชิญหน้ากับอำนาจมืดที่เขาตามหามาตลอดสิบปี
ตอนที่ 65บทสรุปแห่งรักและการเริ่มต้นใหม่หลังจากที่หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินได้คลี่คลายปริศนาในอดีตของหลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิง และได้รับรู้ถึงความจริงเกี่ยวกับพรรคเงาอสูรแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะใช้เวลาช่วงหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบ เพื่อฟื้นฟูจิตใจและวางแผนสำหรับอนาคตแม้ว่าตระกูลไป๋จะยิ่งใหญ่และร่ำรวย แต่ไป๋ซูเจินก็ไม่ได้ปรารถนางานแต่งงานที่หรูหราอลังการ สิ่งที่นางต้องการคือความเรียบง่ายและอบอุ่น และหลี่เทียนอี้ก็เห็นด้วยกับนางอย่างเต็มที่ด้วยความเห็นชอบจากประมุขไป๋ที่เดินทางมาถึงหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบในภายหลัง และการจัดเตรียมงานของมู่หรงชิง งานแต่งงานเล็กๆ ของหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินจึงถูกจัดขึ้นอย่างอบอุ่นและเป็นกันเองในหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบแขกในงานมีเพียงคนสนิทและชาวบ้านที่รักใคร่ หลี่ฟงและเฒ่าจันทร์เองก็เดินทางมาร่วมงานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะ และการอวยพรจากใจจริงของทุกคนไป๋ซูเจินในชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาดตา งดงามราวกับเทพธิดา นางเดินเข้ามาในลานบ้านที่ถูกประดับประดาอย่างเรียบง่ายแต่สวยงาม เคียงข้างหลี่เทียนอี้ในชุดเสื้อผ้าธรรมดาแต่ดูสง
ตอนที่ 64การกลับบ้านในเมืองเหมันต์ หลี่เทียนอี้รู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องกลับไปที่หมู่บ้านเมฆาเงียบสงบอีกครั้ง เพื่อแบ่งปันเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อแม่ฟัง และที่สำคัญที่สุด คือการพาไป๋ซูเจินผู้เป็นที่รักกลับไปแนะนำให้พวกท่านได้รู้จัก การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความคาดหวังและความอบอุ่นในหัวใจของทั้งสองคนหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินออกเดินทางจากเมืองเหมันต์ มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเมฆาเงียบสงบ การเดินทางครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและอันตราย บัดนี้มันคือการเดินทางกลับบ้าน สู่ความสงบสุขและอ้อมกอดของครอบครัว แม้จะมีเรื่องราวหนักอึ้งในอดีตที่รอการคลี่คลาย แต่การได้อยู่เคียงข้างไป๋ซูเจินทำให้หลี่เทียนอี้รู้สึกเข้มแข็งและพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่งระหว่างทาง หลี่เทียนอี้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบให้ไป๋ซูเจินฟังอย่างละเอียด เล่าถึงชีวิตที่เรียบง่าย การฝึกฝนวรยุทธ์ภายใต้การดูแลของบิดา และความรักความอบอุ่นที่มารดามอบให้ ไป๋ซูเจินตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ นางรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบกับหลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิง ผู้เป็นต้นแบบของคุณธรรมและความสามารถที่หล่อหลอมให้หลี่เทียนอี้เป็นบ
ตอนที่ 63ร่องรอยของอดีตหลังจากใช้เวลาหลายเดือนในการช่วยเหลือผู้คนและสร้างชื่อเสียงที่ดีงามในยุทธภพในฐานะ "คู่รักจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรม" หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินก็ได้เดินทางมาถึงเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า เมืองเหมันต์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และเป็นศูนย์กลางการค้าที่คึกคัก แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความสุขจากการได้ทำสิ่งดีๆ และความรักที่มั่นคงต่อกัน แต่โชคชะตาก็มักจะนำพาสิ่งที่ไม่คาดฝันมาให้เสมอ และในครั้งนี้ หลี่เทียนอี้กำลังจะได้เผชิญหน้ากับ ร่องรอยบางอย่างจากอดีตของพ่อแม่ ที่เขาไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเมื่อก้าวเข้าสู่เมืองเหมันต์ หลี่เทียนอี้รู้สึกถึงความคุ้นเคยแปลกๆ ราวกับว่าเขาเคยมาที่นี่มาก่อน ทั้งที่ในความทรงจำของเขาไม่เคยมีภาพเมืองนี้อยู่เลย กลิ่นอายของปราณที่แข็งแกร่งและแฝงด้วยความเยือกเย็นบางอย่างที่อบอวลอยู่ในอากาศ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย“ท่านหลี่เทียนอี้ ดูเหมือนเมืองนี้จะมีความพิเศษบางอย่างนะเจ้าคะ” ไป๋ซูเจินสังเกตเห็นท่าทีของเขา นางมีความละเอียดอ่อนและรับรู้ถึงพลังปราณบางอย่างได้ดีเช่นกัน“ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นขอรับไป๋ซูเจิน” หลี่เทียนอี้ตอ
ตอนที่ 62บทบาทใหม่ในยุทธภพหลังจากความรักได้รับการยอมรับจากประมุขไป๋และคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ใต้แสงจันทร์ ณ เมืองจินหลิง ชีวิตบทใหม่ของหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินก็ได้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาไม่ได้จมปลักอยู่กับความสุขส่วนตัวเพียงอย่างเดียว หากแต่เลือกที่จะก้าวเดินบนเส้นทางแห่งคุณธรรมร่วมกัน นำวิชาความรู้และจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาออกไปช่วยเหลือผู้คนในยุทธภพที่กว้างใหญ่ไพศาล สร้างบทบาทใหม่ในฐานะ คู่รักจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรมหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินไม่ได้รีบร้อนที่จะสร้างชื่อเสียงอันโด่งดัง หรือก่อตั้งสำนักใหญ่โตดุจสำนักอื่น ๆ ในยุทธภพ พวกเขาเริ่มต้นจากการช่วยเหลือผู้คนในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบเจอระหว่างการเดินทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาถนัดและเชื่อมั่นในคุณค่าของมันพวกเขาออกเดินทางจากเมืองจินหลิง มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านและเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลความเจริญและมักถูกละเลยจากสำนักใหญ่ ๆ เหล่านั้นครั้งหนึ่ง พวกเขาได้เดินทางไปถึงหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังประสบปัญหาจากภัยแล้งอย่างหนัก ผู้คนอดอยากและเจ็บป่วยล้มตายจำนวนมาก“ท่านหลี่เทียนอี้ ชาวบ้านเหล่านี้เดือดร้อนหนักมากเจ้าค่ะ” ไป๋ซูเจินกล่าวด
ตอนที่ 61การยอมรับและเส้นทางที่เลือกหลังเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองจินหลิง ที่หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินร่วมมือกันปกป้องเมืองจากเงื้อมมือของสำนักเงาดำ ความกล้าหาญและคุณธรรมของทั้งคู่เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประมุขไป๋ผู้เป็นบิดาของไป๋ซูเจิน การกระทำของพวกเขาในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมาก แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่การยอมรับความรักของทั้งคู่ ที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคมาอย่างยาวนานหลังจากความสงบกลับคืนสู่เมืองจินหลิง ประมุขไป๋ได้เรียกหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินมาพบเป็นการส่วนตัวในห้องโถงใหญ่ของจวน ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความโกรธเคืองหรือความไม่พอใจเหมือนเช่นเคย หากแต่เต็มไปด้วยความนับถือและความสำนึกผิด“ท่านหลี่เทียนอี้” ประมุขไป๋เริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าครั้งก่อนมาก “ในวันนี้ ข้าได้เห็นกับตาแล้วว่าท่านเป็นบุรุษเช่นไร”เขาถอนหายใจช้าๆ “ข้าเคยผิดพลาดที่มองคนแต่เพียงเปลือกนอก และดูถูกท่านด้วยฐานะอันต่ำต้อย” ประมุขไป๋เดินเข้าไปหาหลี่เทียนอี้ แล้ว โค้งคำนับเล็กน้อย “ข้าขออภัยท่านด้วยใจจริง ที่เคยดูหมิ่นท่านและทำให้ท่านกับบุตรสาวของข้าต้องเจ็บปวด”หลี่เที
ตอนที่ 60 บทพิสูจน์แห่งรักการกลับมาพบกันอีกครั้งที่เมืองจินหลิง ท่ามกลางสถานการณ์การบุกโจมตีของโจรป่า ทำให้หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินได้ยืนยันความรู้สึกในใจของกันและกัน แม้จะไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน แต่สายตาที่สื่อถึงกันก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่าความรักของพวกเขายังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่โลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไม่ได้มีเพียงความรักที่สวยงาม การเผชิญหน้าครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบททดสอบครั้งใหญ่ ที่พวกเขาจะต้องพิสูจน์ความรักของตนเองและสิ่งที่ยึดมั่นร่วมกันหลังจากเหตุการณ์โจรป่าบุกโจมตี ประมุขไป๋ก็จำต้องยอมรับฝีมือและคุณธรรมของหลี่เทียนอี้ที่ปรากฏให้เห็นในวันนี้ แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมรับหลี่เทียนอี้ในฐานะบุตรเขยของตระกูลไป๋ และยังคงยืนกรานที่จะให้ไป๋ซูเจินแต่งงานกับคุณชายหลินอยู่ดีหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินจึงตัดสินใจที่จะพูดคุยกันอย่างเปิดอก ณ สถานที่ลับแห่งหนึ่งในเมืองจินหลิง“ท่านหลี่เทียนอี้” ไป๋ซูเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านพ่อไม่ยอมรับท่าน…และท่านก็ยังคงต้องแต่งงานกับคุณชายหลิน”“ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาดขอรับ” หลี่เทียนอี้กล่าวด้วยความมุ่งมั่น “ข้าจะพิ