“ท่านยายจางเล่า” หลังจากทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดจากความทรงจำขอเจ้าของร่างเดิมจนหลับไปจริงๆ จินนี่ที่เคยอ่านนิยายจีนแนวข้ามภพมาบ้างก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ตนเองมากขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือตามหาผู้มีอำนาจให้ได้เกาะขอทองคำ ในเมื่อมาเกิดใหม่ในรัชสมัยของจักรพรรดิถังไท่จงทั้งทีคนต่อไปที่จะครองราชย่อมต้องเป็น บูเชคเทียน แล้วจะไปตามหาได้ที่ไหนกันนะ
“ฟื้นแล้วรึอาจิน” เมื่อได้ยินเสียงยายจางก็ขานรับทันใดเพราะตอนนี้นางได้วางมือจากงานครัวลงบ้างแล้ว จึงมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นและสามารถเฝ้าไข้คนเจ็บในความดูแลทั้ง 2 ได้อย่างเต็มที่
“ท่านยายฮูหยินใหญ่จะให้นายหน้ามาดูพวกข้าเมื่อใดหรือ” จินนี่ผู้เกิดมาในยุคประชาธิปไตยมีหรือจะยอมถูกขายไปเป็นทาส นางถามเพียงเพื่อต้องการยื้อเวลาเท่านั้น
“น่าจะอีกสัก 2-3 วัน รอให้สภาพพวกเจ้าดีขึ้นสักนิดเพื่อจะได้ขายออกไปง่ายๆ แต่เจ้าไม่ต้องห่วงไปข้าให้อาโกว่ไปแจ้งน้าชายเจ้าแล้วเขาคงจะกำลังหาวิธีช่วยเจ้าสองคนแม่ลูกออกไป” ท่านยายจางเอ่ยตอบยาวยืดหวังให้คนถามสบายใจ
“ท่านยายเจ้าคะ ถ้าขอถามท่านสักหน่อยว่าตอนนี้เป็นรัชสมัยใดกันแน่”
“อะไรกันโดนฟาดไป 40 ไม้ ถึงกับจำวันเวลาไม่ได้เลยหรือ ปีนี้เป็นศักราชไท่จง เจ้าจำชื่อตัวเองได้หรือไม่” ท่านยายจางกล่าวจบก็เอามือมาอังหน้าผาดเพื่อตรวจดูว่าผู้ถามมีไข้หรือไม่ เพราะเริ่มสงสัยว่านางจะมีไข้จนเสียสติได้
“ข้าไม่เป็นไร แค่สับสนนิดหน่อยเจ้าค่ะ” แม่จะตะขิดตะขวงในการใช้คำโบราณแต่เศษความทรงจะของเจ้าของร่างยังพอมีอยู่จินนี่จึงไม่ลำบากมากนักในการพูดคุยกับคนในยุคนี้
“ไม่มีไข้ก็ดีแล้ว เอ้า น้ำแกงแม่ไก่แก่ข้าเพิ่งเคี่ยวเสร็จ ไว้พรุ่งนี้ค่อยเติมรากโสม ไม่ต้องห่วงอี๋เหนียงของเจ้า ข้าให้ฮวยซวงคอยเทียวไปดู คืนนี้ก็จะให้นางไปนอนเป็นเพื่อน อย่าเพิ่งหาเรื่องเอาร่างตอนนี้ไปให้นางเห็นเป็นอันขาดเชียว”
“แล้วพี่ใหญ่ต้า ทำไมท่านยายไม่พูดถึง เห็นว่าให้คนไปบอกท่านน้าให้มาซื้อข้ากับแม่แล้วพี่ใหญ่ต้าเล่า ท่านยายได้บอกท่านน้าด้วยหรือไม่” จินนี่ไม่มีเวลามาคิดหาเหตุผลที่ต้องมาอยู่ในร่างนี้ ตอนนี้ต้องหาทางเอาตัวรอดจากการตกเป็นทาสก่อน เพราะนางเป็นคนไทย และคนไทย แปลว่าอิสระ จะมาตกเป็นทาสในเรือนเบี้ยใครได้อย่างไร
“เจ้าไม่ต้องห่วงแม้อาต้าจะไม่ได้ให้ข้าบอกน้าชายเจ้าแต่ข้าก็อดรนทนเก็บเอาไว้ไม่ได้ดอก ส่วนมู่อีจะมีปัญญาจะมาซื้อตัวพวกเจ้าทั้งหมดหรือไม่ข้าก็ไม่รู้ได้ หากข้ายังไม่ได้เอาอัฐส่งไปบ้านเดิมก็คงดี อาจินเอ้ย การเกิดเป็นหญิงนั้นลำบากมากมายแล้ว การตกเป็นบ่าวนั้นก็ไม่ต่างจากการขายชีวิต ไม่ว่าเขาจะกระทำย่ำยีแค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอันใดได้ หากแม้นมีความรักก็จงอย่ารักกับเจ้านายเป็นอันขาด ดูจากแม่เจ้าเถิด มาก่อนแล้วเยี่ยงไรฐานะอันใดก็ไม่มี เฮ้อ พูดมากไปเสียข้านี่ ยิ่งแก่ยิ่งเลอะเลือน ดื่มซะ อีกเดี๋ยวข้าจะมาเปลี่ยนยาให้จะได้เช็ดตัวก่อนนอนอีกรอบ ข้าไปกินข้าวก่อนล่ะ” หลังจากพร่ำบ่นไปเรื่อยโดยไม่รู้ว่าตั้งใจสั่งสอนหรือแค่เวทนาท่านยายจางก็ขอตัวออกไป
“ศักราชไท่จง หมายถึง ถังไท่จงหรือไม่นะ ถ้าใช่ก็ต้องรีบตรวจสอบดูว่าตอนนี้บูเชคเทียนเข้าวังหรือยังจะได้ไปเกาะขาทองคำขนาด เซี่ยงเส้าหลง ยัง เจาะเวลาหาจิ๋นซี ได้ แล้วทำไมจินนี่จะ เจาะเวลาหาบูเชคเทียน บ้างไม่ได้” เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้วจินนี่ก็ดื่มน้ำแกงไก่ที่ท่านยายจางตั้งใจเคี่ยวมาให้แล้วบ้วนปากล้มตัวลงนอนเพื่อหวังให้แผลหายไวๆ
“ฮูหยินข้าขอเบิกงานตัวเองเหตุใดท่านจึงไม่อนุญาต ข้ามีเหตุจำเป็นต้องใช้จริงๆ มิเช่นนั้นคงมิมาขอเบิกก่อนเวลาเช่นนี้” มู่อีเอ่ยวิงวอนต่อนายหญิงตระกูลบู ตั้งแต่นายท่านบูจากไปเงินทั้งหมดก็ต้องเบิกจ่ายผ่านฮูหยินรองแต่เพียงผู้เดียว จนคนงานที่เคยเข้าโครงการออมรายได้เพื่อสะสมเงินก้อนต้องจารนัยเหตุผลสารพัดทั้งๆที่เงินนั่นคือเงินสะสมของตัวเอง แต่ก็พูดมากอันใดมิได้ ด้วยฮูหยินใหญ่นั้นเป็นเพียงภรรยาใหม่ที่แต่งเข้ามาสร้างบารมีให้นายท่านบูจึงมิมีส่วนร่วมในกิจการมากนัก
“เหตุผลก็ส่วนเหตุผล แต่เงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นหากใครคิดจะเบิกก็มาเบิกได้ทันที สภาพคล่องในโรงไม้จะเป็นเยี่ยงไร หากพวกเจ้ามาเบิกพร้อมกันทุกคนโดยมิแจ้งล่วงหน้าโรงไม้ตระกูลบูมิล้มละลายกันหรอกหรือ อีกห้าวันค่อยมารับเอาที่ข้า” พูดจบแล้วผู้พูดก็หันหลังเดินจากไปโดยมิฟังอันใดต่อ
“ท่านน้ามู่ ท่านมีอันใดที่คิดว่าข้าพอจะช่วยได้หรือไม่” คุณหนูใหญ่บูแอบฟังการสนทนานี้มาแต่ต้นจนจบและได้เห็นสีหน้าร้อนรนรวมถึงความกังวลในแววตาก็อดไถ่ถามด้วยความอยากรู้มิได้ อีกทั้งท่านน้ามู่ผู้นี้ยังเป็นคนเก่าแก่ของบิดาที่เพิ่งจากไปของนางและมีความสนิทสนมกับนางเป็นการส่วนตัวอยู่บ้าง
“อ้อ คุณหนูใหญ่ตอนนี้พี่สาวข้าและธิดาของนางกำลังถูกขายออกมาจากตระกูลไป่ ท่านอย่าคิดว่าพวกนางเป็นคนเลวร้ายอันใดเชียวนาเพียงแต่ฮูหยินใหญ่ไป่อยากกำจัดพวกนางมานานแล้ว เห็นว่าเมื่อวานอาจินหลบออกไปซื้อยาที่โรงยาของคู่แข่งจนโดนโบยด้วยข้อหาผิดกฎบ้านไป 20 ไม้ แล้วนางยังรับแทนมารดาอีก 20 ไม้ จนปางตาย แถมมู่อี๋เหนียงพี่สาวข้าก็ป่วยกระเสาะกระแสะเสียจนแทบไม่มีแรงเดิน ท่านยายจางคนเก่าคนแก่ส่งหลานสาวมาบอกข้าเมื่อวานเย็น เงินฝากที่คิดว่าจะสะสมไว้ให้อาอี้เข้าสำนักศึกษาจึงเป็นทางเดียวที่ข้าจะช่วยพวกนาง 2 คนแม่ลูกได้ อ้อไม่สิยังมีพี่ใหญ่ต้าอีกคนที่เฝ้าประตูแล้วปล่อยให้อาจินออกไปโดยมิได้ขออนุญาตฮูหยินใหญ่อีกคน พวกเรารักและดูแลกันไม่ต่างจากพี่น้องแท้เพราะอี๋เหนียงของพี่ใหญ่ต้าจากไปเร็วท่านแม่ของข้าจึงเลี้ยงดูเขามากับมือ” ท่านน้ามู่เล่าถึงสถานการณ์ที่จำเป็นต้องเบิกเงินก้อนที่เฝ้าสะสมไว้ให้ลูกชายคนเดียวได้เข้าเรียนในสำนักศึกษา แต่นั่นทำให้คุณหนูใหญ่บูทราบว่าท่านน้ามู่อีผู้นี้เป็นน้าชายแท้ๆของน้องสาวคนใหม่ของนาง แต่ตอนนี้สถานการณ์ของไป่จินและมารดาช่างเลวร้ายนักหากสามารถช่วยได้นางจะไม่ปล่อยให้ผ่านไปแน่นอน
“ข้าขอเวลาท่านสักหน่อยไว้หลังเลิกงานรบกวนท่านน้ามู่ไปพบข้าที่เรือนท่านแม่ด้วยนะเจ้าคะ” คุณหนูใหญ่บูได้แต่ขอเวลาคิดและหาวิธีหน่อยเพื่อหาทางช่วยเหลือไป่จินและมารดาหากสามารถทำได้ พี่ใหญ่ต้านั่นก็คงมีความสำคัญกับนางไม่น้อยเช่นกัน
“เอาเถอะข้าขอตัวไปทำงานก่อน คุณหนูใหญ่ไม่ต้องกังวลไปอย่างมากบ้านของข้าก็ยังสามารถนำไปจำนำได้อยู่ นั่นเป็นเงินพี่เหลือจากการไถ่ตัวข้าออกมาจนได้มาฝึกวิชาที่โรงไม้แห่งนี้ นางยังใจดีซื้อบ้านให้ข้าจนเงินสินสอดหมดตัว ครานี้หากจำเป็นก็ไม่จำเป็นต้องหวงแหน บ้านเช่าราคาย่อมเยาหลังตลาดยังพอหาได้ ช้าไปล่ะ” แม้ว่าจะเป็นพี่สาวที่ออกเรือนไปแล้วแต่ความรักความผูกพันของ 2 พี่น้องมากกว่าผู้ใด
“ท่านแม่ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้าค่ะ” “มีอันใดเล่าอี้เอ๋อ” ฮูหยินใหญ่บูที่มีเพียงนามเพราะแต่งเข้ามาทีหลังเอ่ยถามคุณหนูใหญ่บูผู้เป็นธิดาคนโต “เรื่องที่ข้าเคยขอท่านเขาวัง ท่านแม่ตัดสินใจได้หรือยังเจ้าคะ” “อี้เอ๋อ หากไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อเจ้าครบ 3 ปี ข้าก็จะขอแยกไปอยู่บ้านสวน เจ้าเอาเงินส่วนนี้ไปเก็บไว้เป็นสินเดิมมิดีกว่าหรือ” เข้าวังไหนจะต้องมีเสื้อผ้าเครื่องประดับแล้ว ฮวยซวง ก็เป็นหูเป็นตาแทนบุตรสาวไม่ได้ ฮูหยินใหญ่กังวลยิ่งนักเพราะ วังหลัง ก็มิต่างจากถ้ำเสือวังมังกรตัวนางเองกว่าจะหลุดออกมาได้นั้นก็มิใช่ง่าย “ท่านแม่ มีสินเดิมก็คือต้องแต่งงาน แต่งกับใครก็มีอนุกันทั้งนั้น จะมีอะไรต่างกัน หากข้าเข้าวังยังมีโอกาสได้เป็นกุ้ยเฟย หรือกระทั่ง....” แม้จะกล่าวออกมาไม่หมดแต่การคิดการใหญ่เช่นนั้นก็เป็นที่น่าตกใจไม่น้อย “แล้วสาวใช้ติดตามเจ้าเล่า” ด้วยพวกนาง 2 คนแม่ลุกเคยถกเรื่องนี้กันมาหลานหน ฮวยซวงมีนิสัยโอหัง ไม่เหมาะเป็นสาวใช้ติดตาม แต่พวกนาง 2 คนก็ยังมองไม่เห็นใครที่มีคุณสมบัติที่ดีพอ ก็อย่างที่บูอี้กล่าว แต่งกับใครก็ต้องมีสาวใช้ติดตามอยู่
“ท่านยายจางเล่า” หลังจากทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดจากความทรงจำขอเจ้าของร่างเดิมจนหลับไปจริงๆ จินนี่ที่เคยอ่านนิยายจีนแนวข้ามภพมาบ้างก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ตนเองมากขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือตามหาผู้มีอำนาจให้ได้เกาะขอทองคำ ในเมื่อมาเกิดใหม่ในรัชสมัยของจักรพรรดิถังไท่จงทั้งทีคนต่อไปที่จะครองราชย่อมต้องเป็น บูเชคเทียน แล้วจะไปตามหาได้ที่ไหนกันนะ “ฟื้นแล้วรึอาจิน” เมื่อได้ยินเสียงยายจางก็ขานรับทันใดเพราะตอนนี้นางได้วางมือจากงานครัวลงบ้างแล้ว จึงมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นและสามารถเฝ้าไข้คนเจ็บในความดูแลทั้ง 2 ได้อย่างเต็มที่ “ท่านยายฮูหยินใหญ่จะให้นายหน้ามาดูพวกข้าเมื่อใดหรือ” จินนี่ผู้เกิดมาในยุคประชาธิปไตยมีหรือจะยอมถูกขายไปเป็นทาส นางถามเพียงเพื่อต้องการยื้อเวลาเท่านั้น “น่าจะอีกสัก 2-3 วัน รอให้สภาพพวกเจ้าดีขึ้นสักนิดเพื่อจะได้ขายออกไปง่ายๆ แต่เจ้าไม่ต้องห่วงไปข้าให้อาโกว่ไปแจ้งน้าชายเจ้าแล้วเขาคงจะกำลังหาวิธีช่วยเจ้าสองคนแม่ลูกออกไป” ท่านยายจางเอ่ยตอบยาวยืดหวังให้คนถามสบายใจ “ท่านยายเจ้าคะ ถ้าขอถามท่านสักหน่อยว่าตอนนี้เป็นรัชสมัยใดกันแน่”
“ฮูหยินใหญ่ อี๋เหนียงไม่ผิด ข้าแอบออกไปเอง ข้าขอรับโทษโบยแทนนางเถิดเจ้าค่ะ” ไป่จินไม่อาจทำใจเห็นมารดาที่แสนจะบอบบางของนางถูกโบย 20 ไม้ได้ลงคอ ได้แต่กัดฟันขอรับไว้เอง “ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้กตัญญูต่อนางเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้เจ้าตายเสียไวๆจะได้ไม่ต้องถูกขายอย่างไรเล่า ลาก่อนนังตัวเสนียด” ด้วยมั่นใจว่าโดนโบย 40 ไม้ครานี้ไป่จินต้องมิรอดแน่จึงได้พูดจาทำร้ายจิตใจนางเสียให้เต็มที่แล้วเดินจากไป “พี่ใหญ่ต้า ท่าน...” ไป่จินพูดไม่ออกเมื่อเห็นร่างใหญ่ที่ถูกมัดอยู่บนม้ายาว เมื่อนางถูกกดให้นอนลงบนม้ายาวอีกตัวที่วางข้างกัน “ไม่ต้องพูดอันใด หายใจเข้าออกลึกๆ อย่าเกร็งต้าน” 3 ประโยคสั้นๆ ก่อนที่ไม้โบยหนาหนักและแบนกว้างจะฟาดลงมาที่บั้นท้ายของทั้ง 2 ไม่มีเสียงอ้อนวอนจากริมฝีปากบาง แม้เสียงสะอื้นก็มิมี เพียงแต่ริมฝีปากบางนั้นแตกและมีรอยเลือดหยาดหยดจนบ่าวไพร่ที่เคยได้รับความช่วยเหลือสงสารจนน้ำตาอาบหน้าไปตามๆ กัน “ปล่อยข้า ปล่อยข้า ข้าจะรับโทษเอง” เสียงแหบแห้งดังมาตามทางซึ่งบ่าวไพร่สตรีล้วนพากันยื้อยุดมู่อี๋เหนียงไว้ไม่ให้ต้องเห็นภาพอันชวนสลดใจเบื้อง
“เจ้าหรือคือคุณหนูใหญ่ตระกูลไป่ที่ช่วงนี้คนเค้าลือกันว่า...” คุณหนูบูเอ่ยถามแต่ก็มิได้จบประโยคเพราะเป็นเรื่องที่ไม่ควรเอ่ยถามแต่แรก แต่เพราะความที่นางเป็นคนปากไวใจร้อน จึงอดเอ่ยปากถามไม่ได้ กว่าจะรู้สึกตัวก็เกือบจบประโยคเสียแล้ว “เรียกข้าว่าอาจินก็พอเจ้าค่ะคุณหนูบู เรื่องที่ท่านถามนั่นก็มิมีอันใดต้องปิดบัง ข้านั้นจะเรียกว่า ตกอับ อย่างที่ใครๆเขากล่าวถึงก็คงมิได้ เพราะตัวข้าเองมิเคยได้ถูกวางไว้บนที่สูงแต่อย่างไร ตำแหน่งคุณหนูใหญ่นั่นก็เป็นเพียงคำที่ฮูหยินใหญ่ใช้แดกดัน ใครๆในจวนไป่ต่างทราบดีว่าข้าก็มีชีวิตเทียบเท่าบ่าวไพร่ทั่วไปเท่านั้นเจ้าค่ะ” ไป่จินตอบคำถามครึ่งประโยคด้วยความในใจอันยาวเหยียด ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงได้ไว้ใจสตรีแปลกหน้าที่บังเอิญได้พบกันเพียงครั้งแรก หรือจะเป็นเพราะคุณหนูใหญ่บูตรงหน้าก็มีชีวิตไม่ต่างจากนางเท่าใดนัก “ข้าเข้าใจเจ้าดี อย่างไรเสียพวกเราก็มีชะตาต้องกันในเมื่อเจ้าไม่ให้ข้าเรียกว่าคุณหนู ก็จงเรียกข้าว่าพี่สาวเถิด เรามาเป็นพี่น้องกันน่าจะดี เพราะข้าเองก็มีเพียงน้องชายทั้งยังเล็กนัก จะพูดคุยอันใดก็ยังมิรู่ความ” คุณหนูใหญ่บูค
“ท่านแม่ มู่อี๋เหนียง1 อาการไม่ดีเลยท่านช่วยให้คนตามหมอมาดูอาการนางหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” ไป่จินคุกเข่าขอร้องแม่ใหญ่ หรือก็คือภรรยาเอกของบิดาที่เพิ่งจากไปของนาง “ยาในโกดังมีอยู่มากมาย เจ้าไปเอามาต้มให้นางกินซะก็สิ้นเรื่อง จะต้องตามหมอมาทำไมให้เปลืองเงินเปลืองทอง ไหนท่านพี่เอ็นดูเจ้านักหนาจนถึงขั้นสอนตำหรับยาให้มิใช่รึ ขนาดพี่ใหญ่เจ้าที่เป็นลูกเมียเอกอย่างข้าท่านพี่ยังไม่เคยสอนแม้สักครึ่งคำ ในเมื่อเก่งนักก็รักษานางเองสิ” หม่าซื่อตอบบุตรสาวของมู่เจี่ย อนุที่สามีนางทั้งรักทั้งหลง เมื่อสามีจากไปนางก็คิดกำจัดสองคนแม่ลูกในทันทีเป็นผลให้นางมู่เจี่ยต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ตัวไป่จินผู้เป็นบุตรสาวก็ไม่ค่อยดีไปกว่ากันมากเท่าใดต้องอดมื้อกินมื้อและทำงานหนักในจวนไม่ต่างจากบ่าวไพร่ “อาจิน อย่าไปรบกวนฮูหยินเลย ข้า... แค่กๆ ” เสียงแผ่วเบาดังมาตามทางเดินริมระเบียง เจ้าของเสียงอยู่ในสภาพหนังหุ้มกระดูกกำลังกระอักกระไอหลังจากเอื้อนเอ่ยได้เพียงแค่ครึ่งประโยค “อี๋เหนียงท่านออกมาจากห้องทำไม เดี๋ยวก็ต้องลมเย็นจนไอไม่หยุดอีก” ไป่จินถลาเข้าไปประคองผู้เป็นมารดาบังเกิดเกล้าด้วยความห