“ท่านแม่ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้าค่ะ”
“มีอันใดเล่าอี้เอ๋อ” ฮูหยินใหญ่บูที่มีเพียงนามเพราะแต่งเข้ามาทีหลังเอ่ยถามคุณหนูใหญ่บูผู้เป็นธิดาคนโต
“เรื่องที่ข้าเคยขอท่านเขาวัง ท่านแม่ตัดสินใจได้หรือยังเจ้าคะ”
“อี้เอ๋อ หากไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อเจ้าครบ 3 ปี ข้าก็จะขอแยกไปอยู่บ้านสวน เจ้าเอาเงินส่วนนี้ไปเก็บไว้เป็นสินเดิมมิดีกว่าหรือ” เข้าวังไหนจะต้องมีเสื้อผ้าเครื่องประดับแล้ว ฮวยซวง ก็เป็นหูเป็นตาแทนบุตรสาวไม่ได้ ฮูหยินใหญ่กังวลยิ่งนักเพราะ วังหลัง ก็มิต่างจากถ้ำเสือวังมังกรตัวนางเองกว่าจะหลุดออกมาได้นั้นก็มิใช่ง่าย
“ท่านแม่ มีสินเดิมก็คือต้องแต่งงาน แต่งกับใครก็มีอนุกันทั้งนั้น จะมีอะไรต่างกัน หากข้าเข้าวังยังมีโอกาสได้เป็นกุ้ยเฟย หรือกระทั่ง....” แม้จะกล่าวออกมาไม่หมดแต่การคิดการใหญ่เช่นนั้นก็เป็นที่น่าตกใจไม่น้อย
“แล้วสาวใช้ติดตามเจ้าเล่า” ด้วยพวกนาง 2 คนแม่ลุกเคยถกเรื่องนี้กันมาหลานหน ฮวยซวงมีนิสัยโอหัง ไม่เหมาะเป็นสาวใช้ติดตาม แต่พวกนาง 2 คนก็ยังมองไม่เห็นใครที่มีคุณสมบัติที่ดีพอ ก็อย่างที่บูอี้กล่าว แต่งกับใครก็ต้องมีสาวใช้ติดตามอยู่ดีและคนผู้นั่นจะต้องมีความรอบคอบและรู้จักวางตัวมิให้เป็นภัยต่อตัวนางเอง
“ท่านแม่จำอาจินน้องสาวที่ข้าเพิ่งได้พบหรือไม่ เมื่อครู่ข้าเพิ่งทราบว่าท่านน้ามู่อีเป็นน้าชายของนางและที่สำคัญ ไป่จินโดนฮูหยินใหญ่ไป่โบยและกำลังจะถูกขายออกมาเป็นบ่าว ท่านน้ามู่ไปเบิกเงินสะสมที่เก็บไว้ให้เสี่ยวเมาเพื่อจะไปซื้อตัวพวกนางทั้ง 2 คนแม่ลูกแต่กลับเบิกเงินในวันนี้ไม่ได้ ข้ามองว่าหากช่วยพวกนางไว้ได้ข้าก็จะมีคนที่ไว้วางใจได้ไว้ข้างกาย แถมนางยังไม่ต้องไปตกระกำลำบากที่ไหนอีก อ้อ ยังมีพี่ใหญ่ต้าอีกคนเห็นว่าเป็นลูกอี๋เหนียงที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ท่านแม่ของอาจินเลี้ยงเขามานางคงให้ความสำคัญต่อเขาเช่นกัน”
“แล้วนางจะยอมหรือ เป็นลูกบ่าวก็ยังมีความเป็นเจ้านายกึ่งหนึ่ง”
“ท่านแม่เจ้าขาท่านก็ทราบว่าข้ากับนางสถานการณ์แทบไม่ต่างกันนึก ตั้งแต่นายท่านจากไป นางก็กลายเป็นแรงงานชั้นต่ำในเรือน ข้ายังดีท่านยังมีศักดิฐานะอยู่บ้าง มิเช่นนั้นพวกเราก็คงไม่ต่างกันเจ้าค่ะ”
“เอาเถิดจะเข้าวังหรือไม่ก็ต้องดูชะตาของเจ้าอีกที แต่เรื่องไป่จินนี้แม่เห็นด้วย บางทีกุศลครั้งนี้อาจจะช่วยชีวิตตัวเจ้าเองได้ด้วย” เมื่อเห็นว่าลูกสาวคนโตได้ไตรตรองมาอย่างดีแล้ว ฮูหยินใหญ่ตระกูลบูก็ได้แต่โอนอ่อนผ่อนตามก่อนจะเปิดกำปั่นเหล็กข้างเตียงนำเอาเงินตำลึงออกมาจำนวนหนึ่งเพื่อให้บูอี้ไว้ใช้ในการนี้
“นี่มันอันใดกันนายหญิง คุณหนูใหญ่” มู่อีตกใจมากที่เงินตำลึงถุงใหญ่ถูกส่งมาตรงหน้า
“ท่านน้ามู่ ข้ารู้ว่าเงินสะสมของท่านนั้นต้องเก็บไว้ส่งเสี่ยวเมาเข้าโรงเรียน เงินนี่ข้าช่วยท่านไถ่ตัวน้องหญิงจิน ไม่ปิดบังท่านข้าเคยได้พบกับนางและถูกชะตาจนตกลงเป็นพี่สาวน้องสาวกันแล้ว ครั้งนี้ข้าคงปล่อยนางไปตามยถากรรมไม่ได้ เพียงแต่ว่าข้าคงต้องให้นางลดเกียรติมาติดตามข้าในฐานะบ่าวรับใช้ หากนางเห็นด้วยท่านก็นำเงินนี้ไปซื้อตัวนางออกมาจากตระกูลไป่เถิดเจ้าค่ะ”
“โธ่คุณหนูใหญ่ ท่านจะนำเงินเอ่อ เงินมรดกส่วนนี้มาใช้สุรุ่ยสุร่ายมิได้นะขอรับ” แม้จะซาบซึ้งเพียงใด มู่อีที่รู้ดีว่าพวกนางสองคนได้รับส่วนแบ่งมรดกจากการจากไปของนายท่านบูน้อยนิดเพียงใดทั้งที่ฮูหยินใหญ่เอาสินเดิมออกมาช่วยกิจการโรงไม้เป็นจำนวนไม่น้อยแต่นั่นก็ทำให้ฮูหยินใหญ่คนเก่าที่ถูกลดตำแหน่งลงไปเป็นฮูหยินรองเกลียดชังนางมากมายไปด้วยเช่นกัน
“น้องมู่ เจ้าไปจัดการเถิด ไป่จินหน้าตาดีไม่น้อย หากต้องไปเป็นบ่าวในตระกุลไหนชะตานางคงไม่ดีแน่ แล้วมารดานางหากขายมิได้เล่า พวกเขาทั้ง 3 คน ท่านไถ่ตัวมาให้หมด แม้จะต้องใช้คำว่ารับซื้อก็ตามเถิด พาฮวยซวงไปจัดการอย่าออกหน้าด้วยตนเองข้าสั่งนางไว้หมดแล้ว รีบไปเถิดก่อนที่จะเสียโอกาส แล้วก็ฝากพวกเขาให้เจ้าดูแลต่ออีกสักพักข้าให้ฮวยซวงไปเช่าบ้านหลังเล็กใกล้บ้านของเจ้าเรียบร้อนแล้ว อย่าเสียเวลาอยู่เลย” ฮูหยินใหญ่บูได้แต่รวบรัดให้ใช้เวลาน้อยที่สุดเพราะหากช้าเกินไปหากมีใครรู้ข่าวก่อนก็อาจต้องเสียใจภายหลังได้
“ขอบพระคุณพวกท่านทั้งสอง ข้ากับพี่ใหญ่และอาจิน อาต้าจะไม่มีทางลืมพระคุณพวกท่านเลย” หลังกล่าวจบมู่อีก็ก้มลงโขกศีรษะที่พื้นดินหน้าเรือนก่อนจะถือถุงเงินรีบเดินจากไปจัดการเรื่องสำคัญ
“เหตุใดคุณหนูใหญ่บูถึงรู้เรื่องเร็วนัก นางมีสายสืบอยู่ในจวนข้าหรือไร” ฮูหยินใหญ่ไป่เอ่ยถามฮวยซวงที่รับหน้าที่มาเจรจากับนาง
“คืออย่างนี้เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ของข้ามีดำริจะให้ข้าติดตามฮูหยินไปอยู่บ้านสวน เลยอยากได้สาวใช้มาฝึกฝนไว้ใช้งานข้างกาย พอดีข้าได้ยินบ่าวจากจวนเอ่ยถึงเรื่องที่ท่านจะขายไป่จินและมารดา ข้าเห็นว่านางก็เติบโตมาในตระกูลที่ดีน่าจะมีความรอบคอบพอที่จะมาทำงานแทนข้าได้ ข้าเลยนำเรื่องไปปรึกษาพวกนาง แล้วก็อย่างที่เห็นนี่แหล่ะเจ้าค่ะ พวกนางให้ข้ามาถามความเห็นของท่านก่อนเพราะตระกูลเราไม่มีเรื่องผิดใจกัน พวกนางเข้าใจเจตนาของท่านดีจะดูแลพวกนางอย่างดีเลยเจ้าค่ะ” แม้ปากจะพูดว่าจะดูแลอย่างดีแต่สีหน้าและแววตาของฮวยซวงก็บอกความหมายของคำพูดที่มากไปกว่านั้นและยังถูกใจฮูหยินไป่อีกต่างหาก
“เอาสิหากพวกนางอยากได้บ่าวใช้ที่พอจะออกหน้าออกตาได้บ้างเจ้าก็จ่ายมา 10 ตำลึง ข้าแถมอาต้าให้ด้วย เห็นว่าเจ้าเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้านฮวย เผื่อจะได้มีสามีแต่งเข้าไว้กตัญญูต่อวงศ์ตระกูลได้บ้าง” ฮูหยินใหญ่ไป่การข่าวไม่น้อย แถมยังใจกว้างยกคนทั้งคนให้ฮวยซวงมิใช่เพราะหวังดี แต่เพราะหวังกดขี่ทำร้ายจิตใจของอาต้าหากต้องไปเป็นเขยแต่งเข้าบ้านจริงๆ คงอึดอัดไม่น้อย แถมเขายังต้องเปลี่ยนไปใช้แซ่ภรรยาอีกด้วย เท่านี้ก็กำจัดมารหัวขนไปได้อีกหนึ่งคน ได้กำไรจะตายไป
“คารวะฮูหยินไป่ ข้าฮวยซวงขอขอบคุณในความเมตตาครั้งนี้เจ้าค่ะ”
“เจ้าตามอาเตาไปรับคนเถอะ คงไม่ว่ากันหากต้องรบกวนเจ้าออกประตูหลัง” ไป๋ฮูหยินรีบออกตัวให้รับคนออกไปทางประตูหลังจวนเพราะนางอยากปิดเรื่องนี้ไว้ให้นานที่สุด นายท่านไป่เพิ่งสิ้นไปไม่ถึง 3 เดือนนางก็จัดการขายอี๋เหนียงและบุตรธิดาของเขาคงไม่มีใครชื่นชม
“เจ้าค่ะ ข้ามิลำบากขอบคุณท่านอีกครั้ง ฮวยซวงขอลาเจ้าค่ะ” เมื่อเจรจาธุระสำคัญเสร็จฮวยซวงก็อยากจะออกจากสถานที่กินคนแห่งนี้เสียที
“ท่านแม่ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้าค่ะ” “มีอันใดเล่าอี้เอ๋อ” ฮูหยินใหญ่บูที่มีเพียงนามเพราะแต่งเข้ามาทีหลังเอ่ยถามคุณหนูใหญ่บูผู้เป็นธิดาคนโต “เรื่องที่ข้าเคยขอท่านเขาวัง ท่านแม่ตัดสินใจได้หรือยังเจ้าคะ” “อี้เอ๋อ หากไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อเจ้าครบ 3 ปี ข้าก็จะขอแยกไปอยู่บ้านสวน เจ้าเอาเงินส่วนนี้ไปเก็บไว้เป็นสินเดิมมิดีกว่าหรือ” เข้าวังไหนจะต้องมีเสื้อผ้าเครื่องประดับแล้ว ฮวยซวง ก็เป็นหูเป็นตาแทนบุตรสาวไม่ได้ ฮูหยินใหญ่กังวลยิ่งนักเพราะ วังหลัง ก็มิต่างจากถ้ำเสือวังมังกรตัวนางเองกว่าจะหลุดออกมาได้นั้นก็มิใช่ง่าย “ท่านแม่ มีสินเดิมก็คือต้องแต่งงาน แต่งกับใครก็มีอนุกันทั้งนั้น จะมีอะไรต่างกัน หากข้าเข้าวังยังมีโอกาสได้เป็นกุ้ยเฟย หรือกระทั่ง....” แม้จะกล่าวออกมาไม่หมดแต่การคิดการใหญ่เช่นนั้นก็เป็นที่น่าตกใจไม่น้อย “แล้วสาวใช้ติดตามเจ้าเล่า” ด้วยพวกนาง 2 คนแม่ลุกเคยถกเรื่องนี้กันมาหลานหน ฮวยซวงมีนิสัยโอหัง ไม่เหมาะเป็นสาวใช้ติดตาม แต่พวกนาง 2 คนก็ยังมองไม่เห็นใครที่มีคุณสมบัติที่ดีพอ ก็อย่างที่บูอี้กล่าว แต่งกับใครก็ต้องมีสาวใช้ติดตามอยู่
“ท่านยายจางเล่า” หลังจากทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดจากความทรงจำขอเจ้าของร่างเดิมจนหลับไปจริงๆ จินนี่ที่เคยอ่านนิยายจีนแนวข้ามภพมาบ้างก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ตนเองมากขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือตามหาผู้มีอำนาจให้ได้เกาะขอทองคำ ในเมื่อมาเกิดใหม่ในรัชสมัยของจักรพรรดิถังไท่จงทั้งทีคนต่อไปที่จะครองราชย่อมต้องเป็น บูเชคเทียน แล้วจะไปตามหาได้ที่ไหนกันนะ “ฟื้นแล้วรึอาจิน” เมื่อได้ยินเสียงยายจางก็ขานรับทันใดเพราะตอนนี้นางได้วางมือจากงานครัวลงบ้างแล้ว จึงมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นและสามารถเฝ้าไข้คนเจ็บในความดูแลทั้ง 2 ได้อย่างเต็มที่ “ท่านยายฮูหยินใหญ่จะให้นายหน้ามาดูพวกข้าเมื่อใดหรือ” จินนี่ผู้เกิดมาในยุคประชาธิปไตยมีหรือจะยอมถูกขายไปเป็นทาส นางถามเพียงเพื่อต้องการยื้อเวลาเท่านั้น “น่าจะอีกสัก 2-3 วัน รอให้สภาพพวกเจ้าดีขึ้นสักนิดเพื่อจะได้ขายออกไปง่ายๆ แต่เจ้าไม่ต้องห่วงไปข้าให้อาโกว่ไปแจ้งน้าชายเจ้าแล้วเขาคงจะกำลังหาวิธีช่วยเจ้าสองคนแม่ลูกออกไป” ท่านยายจางเอ่ยตอบยาวยืดหวังให้คนถามสบายใจ “ท่านยายเจ้าคะ ถ้าขอถามท่านสักหน่อยว่าตอนนี้เป็นรัชสมัยใดกันแน่”
“ฮูหยินใหญ่ อี๋เหนียงไม่ผิด ข้าแอบออกไปเอง ข้าขอรับโทษโบยแทนนางเถิดเจ้าค่ะ” ไป่จินไม่อาจทำใจเห็นมารดาที่แสนจะบอบบางของนางถูกโบย 20 ไม้ได้ลงคอ ได้แต่กัดฟันขอรับไว้เอง “ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้กตัญญูต่อนางเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้เจ้าตายเสียไวๆจะได้ไม่ต้องถูกขายอย่างไรเล่า ลาก่อนนังตัวเสนียด” ด้วยมั่นใจว่าโดนโบย 40 ไม้ครานี้ไป่จินต้องมิรอดแน่จึงได้พูดจาทำร้ายจิตใจนางเสียให้เต็มที่แล้วเดินจากไป “พี่ใหญ่ต้า ท่าน...” ไป่จินพูดไม่ออกเมื่อเห็นร่างใหญ่ที่ถูกมัดอยู่บนม้ายาว เมื่อนางถูกกดให้นอนลงบนม้ายาวอีกตัวที่วางข้างกัน “ไม่ต้องพูดอันใด หายใจเข้าออกลึกๆ อย่าเกร็งต้าน” 3 ประโยคสั้นๆ ก่อนที่ไม้โบยหนาหนักและแบนกว้างจะฟาดลงมาที่บั้นท้ายของทั้ง 2 ไม่มีเสียงอ้อนวอนจากริมฝีปากบาง แม้เสียงสะอื้นก็มิมี เพียงแต่ริมฝีปากบางนั้นแตกและมีรอยเลือดหยาดหยดจนบ่าวไพร่ที่เคยได้รับความช่วยเหลือสงสารจนน้ำตาอาบหน้าไปตามๆ กัน “ปล่อยข้า ปล่อยข้า ข้าจะรับโทษเอง” เสียงแหบแห้งดังมาตามทางซึ่งบ่าวไพร่สตรีล้วนพากันยื้อยุดมู่อี๋เหนียงไว้ไม่ให้ต้องเห็นภาพอันชวนสลดใจเบื้อง
“เจ้าหรือคือคุณหนูใหญ่ตระกูลไป่ที่ช่วงนี้คนเค้าลือกันว่า...” คุณหนูบูเอ่ยถามแต่ก็มิได้จบประโยคเพราะเป็นเรื่องที่ไม่ควรเอ่ยถามแต่แรก แต่เพราะความที่นางเป็นคนปากไวใจร้อน จึงอดเอ่ยปากถามไม่ได้ กว่าจะรู้สึกตัวก็เกือบจบประโยคเสียแล้ว “เรียกข้าว่าอาจินก็พอเจ้าค่ะคุณหนูบู เรื่องที่ท่านถามนั่นก็มิมีอันใดต้องปิดบัง ข้านั้นจะเรียกว่า ตกอับ อย่างที่ใครๆเขากล่าวถึงก็คงมิได้ เพราะตัวข้าเองมิเคยได้ถูกวางไว้บนที่สูงแต่อย่างไร ตำแหน่งคุณหนูใหญ่นั่นก็เป็นเพียงคำที่ฮูหยินใหญ่ใช้แดกดัน ใครๆในจวนไป่ต่างทราบดีว่าข้าก็มีชีวิตเทียบเท่าบ่าวไพร่ทั่วไปเท่านั้นเจ้าค่ะ” ไป่จินตอบคำถามครึ่งประโยคด้วยความในใจอันยาวเหยียด ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงได้ไว้ใจสตรีแปลกหน้าที่บังเอิญได้พบกันเพียงครั้งแรก หรือจะเป็นเพราะคุณหนูใหญ่บูตรงหน้าก็มีชีวิตไม่ต่างจากนางเท่าใดนัก “ข้าเข้าใจเจ้าดี อย่างไรเสียพวกเราก็มีชะตาต้องกันในเมื่อเจ้าไม่ให้ข้าเรียกว่าคุณหนู ก็จงเรียกข้าว่าพี่สาวเถิด เรามาเป็นพี่น้องกันน่าจะดี เพราะข้าเองก็มีเพียงน้องชายทั้งยังเล็กนัก จะพูดคุยอันใดก็ยังมิรู่ความ” คุณหนูใหญ่บูค
“ท่านแม่ มู่อี๋เหนียง1 อาการไม่ดีเลยท่านช่วยให้คนตามหมอมาดูอาการนางหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” ไป่จินคุกเข่าขอร้องแม่ใหญ่ หรือก็คือภรรยาเอกของบิดาที่เพิ่งจากไปของนาง “ยาในโกดังมีอยู่มากมาย เจ้าไปเอามาต้มให้นางกินซะก็สิ้นเรื่อง จะต้องตามหมอมาทำไมให้เปลืองเงินเปลืองทอง ไหนท่านพี่เอ็นดูเจ้านักหนาจนถึงขั้นสอนตำหรับยาให้มิใช่รึ ขนาดพี่ใหญ่เจ้าที่เป็นลูกเมียเอกอย่างข้าท่านพี่ยังไม่เคยสอนแม้สักครึ่งคำ ในเมื่อเก่งนักก็รักษานางเองสิ” หม่าซื่อตอบบุตรสาวของมู่เจี่ย อนุที่สามีนางทั้งรักทั้งหลง เมื่อสามีจากไปนางก็คิดกำจัดสองคนแม่ลูกในทันทีเป็นผลให้นางมู่เจี่ยต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ตัวไป่จินผู้เป็นบุตรสาวก็ไม่ค่อยดีไปกว่ากันมากเท่าใดต้องอดมื้อกินมื้อและทำงานหนักในจวนไม่ต่างจากบ่าวไพร่ “อาจิน อย่าไปรบกวนฮูหยินเลย ข้า... แค่กๆ ” เสียงแผ่วเบาดังมาตามทางเดินริมระเบียง เจ้าของเสียงอยู่ในสภาพหนังหุ้มกระดูกกำลังกระอักกระไอหลังจากเอื้อนเอ่ยได้เพียงแค่ครึ่งประโยค “อี๋เหนียงท่านออกมาจากห้องทำไม เดี๋ยวก็ต้องลมเย็นจนไอไม่หยุดอีก” ไป่จินถลาเข้าไปประคองผู้เป็นมารดาบังเกิดเกล้าด้วยความห