LOGINรุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว
“คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้
“ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย
“เจ้าค่ะ”
“เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง”
“แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง
“หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร
“ข้าน้อยไม่ทราบ”
“หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่หัวจรดเท้าเต็มไปด้วยความดูแคลน
“ข้าขอเตือนเจ้าอย่าเข้าใกล้บุตรชายข้าอีก หากเจ้ายังคิดจะมีชีวิตที่ดีในจวนตระกูลเพ่ย”
“ข้าน้อยทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางรู้เหตุผลแท้จริงที่นางถูกลากมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางทันที
ซูเม่ยออกจากเรือนฮูหยินรองไม่ทันไรกลับถูกมือหนาของใครบางคนลากนางตรงไปศาลาหยกกลางสวนบุปผาของจวน หยางอี้หยุดฝีเท้าก่อนยอมปล่อยมือนางในที่สุด
“คุณชายรองลากข้ามาที่นี่ทำไม” ซูเม่ยเดินตามบุรุษแทบไม่ทันจนนางต้องหายใจหอบเหนื่อย
“แม่ข้าทำร้ายเจ้าหรือไม่” เสียงทุ้มต่ำแฝงด้วยความห่วงใยถามสตรีที่ยังหอบหายใจอยู่
“ไม่เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายปฏิเสธทั้งยังส่ายหน้าจริงจัง หยางอี้จึงวางใจได้
“แล้วแม่ข้าเรียกเจ้าไปทำไม”
“แค่ถามเรื่องคุณชายรอง และสั่งข้าให้อยู่ห่างจากคุณชายใหญ่” นางสบตาบุรุษเบื้องหน้าพลางกล่าวตรงไปตรงมา
“ขอโทษด้วย ข้าทำให้เจ้าเดือดร้อนเช่นสาวใช้คนอื่น ๆ”
ซูเม่ยมองเห็นสีหน้าของหยางอี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คงเป็นเพราะมีสาวใช้หลายคนต้องรับโทษอย่างไม่เป็นธรรม เพียงเพราะฮูหยินรองเห็นว่าเป็นภัยกับบุตรชายตน
“ท่านไม่ต้องขอโทษ เพียงข้าไม่อยู่ใกล้คุณชายใหญ่เท่านี้ก็ปลอดภัยแล้ว” ซูเม่ยกล่าวพลางก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวก่อนจะยักคิ้วให้เขาราวกับว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นมันเล็กน้อย แต่นั้นกลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
“หึ! ทำเป็นเรื่องตลกไปเถอะ แม่ข้าน่ากลัวกว่าที่เจ้าคิด” หยางอี้กล่าวจบก็เดินผ่านนางไป ทว่าใบหน้าที่เคยเย็นชากลับมีรอยยิ้มขึ้นมาชั่วครู่
ซูเม่ยเร่งฝีเท้าไปยังเรือนคุณชายรอง หวังจะไปปลุกให้อีกฝ่ายตื่นไปให้ทันเข้าเรียนตำรา ทว่าเมื่อถึงหน้าเรือนเขากลับยืนรอนางอยู่ก่อนแล้ว
“วันนี้เหตุใดมาช้านัก สาวใช้อย่างไรกันให้คุณชายต้องยืนรอ” เป็นอี้เฉิงที่ยืนกอดอกก่อนจะส่ายหน้าเมื่อเห็นสาวใช้ของตน
“ขอโทษเจ้าค่ะ ฮูหยินรองเรียกข้าไปพบจึงมาช้า”
“แล้วเจ็บตรงไหนหรือไม่” อี้เฉิงจับซูเม่ยหมุนกายสำรวจบาดแผลทันที
“ข้าไม่ได้ถูกทำร้าย” นางตอบให้อีกฝ่ายสบายใจหลังที่ถูกจับหมุนได้หนึ่งรอบ
“เช่นนั้นก็ดี อยู่ให้ห่างจากพี่ชายข้าไว้” สายตาจริงใจมองไปยังอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
“อือ” ซูเม่ยพยักหน้า ก่อนเดินตามหลังคุณชายของตนไปยังรถม้านอกเรือน
วันนี้อาจารย์อู๋ดูพอใจกับการเรียนของคุณชายรองอยู่บ้าง แม้การเขียนบทความของเขาจะยังไม่ก้าวหน้าเท่าบัณฑิตในสำนักศึกษา หากแต่การถกปัญหาบ้านเมืองของเขากลับมีเหตุมีผลมากกว่าขุนนางหลายคนเสียอีก
“วันนี้คุณชายเพ่ยทำได้ไม่เลว ถือว่าก้าวหน้าไม่น้อย”
“ขอบคุณอาจารย์ที่ชม” อี้เฉิงยิ้มยินดี ก่อนหันไปหาซูเม่ยที่นั่งมองอยู่เงียบ ๆ
การเรียนวันนี้จบลงเร็วกว่าครั้งก่อน ทำให้อี้เฉิงมีเวลามากพอไปฝึกดาบเช่นครั้งก่อน
“เจ้ารอข้าที่โรงน้ำชา อีกชั่วยามข้าจะกลับมา”
“เจ้าค่ะ” ซูเม่ยตอบอย่างว่าง่าย ก่อนเดินไปที่โรงน้ำชาข้างสำนักศึกษาเช่นเคย
ภายในร้านผู้คนยังพลุกพล่านเช่นเดิมทำให้ดูวุ่นวายไม่น้อย เสี่ยวเอ้อร์กึ่งเดินกึ่งวิ่งส่งอาหารให้ทันใจเหล่าชนชั้นขุนนาง ที่มักวางอำนาจบาตรใหญ่ไม่เห็นใจเหล่าลูกจ้างเพียงน้อย
“แม่นางซูเม่ย” เสียงหวานทักขึ้น ทำให้ซูเม่ยที่จิตใจเหม่อลอยกลับมามีสติอีกครั้ง
“คุณหนูมู่” ซูเม่ยลุกขึ้นทักทาย
“ท่านอยู่ที่นี่จริงด้วย” หยุนเสี่ยวยิ้มดีใจ
“คุณหนูมู่อยากพบข้าหรือ”
“อือ ข้าทำขนมมาเพื่อขอบคุณเจ้าที่ช่วยเหลือเมื่อคราวก่อน” หยุนเสียวยื่นขนมในมือสาวใช้ให้อีกฝ่าย
“ท่านเกรงใจไปแล้ว ข้าเพียงทนไม่ไหวเลยช่วยต่อว่าคนอันธพาลนั่นไม่กี่ประโยค” ซูเม่ยเชิญผายมือเชิญอีกฝ่ายนั่งลง
อย่างไรเสียข้าก็ต้องขอบคุณ หากเจ้าไม่รังเกียจรับข้าเป็นสหายได้หรือไม่” สายตาคาดหวังของคุณหนูตระกูลมู่ส่งมายังซูเม่ย
“ข้าเป็นเพียงสาวใช้ไม่ใช่บุตรขุนนางเช่นท่าน หากคุณหนูมู่ไม่รังเกียจข้าก็ยินดี” รอยยิ้มจริงใจปรากฏบนใบหน้างาม
“ข้าไม่รังเกียจแม้แต่น้อย ขอบคุณแม่นางซูเม่ยที่นับข้าเป็นสหาย” หยุนเสี่ยวยิ้มดีใจไม่ต่างกัน
“แล้ว....ที่ตระกูลเพ่ย คุณชายใหญ่สบายดีหรือไม่”
ใบหน้าของหยุนเสียงแดงระเรื่อเมื่อถามถึงบุรุษอีกคน อีกทั้งเสียงนั้นกลับแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ทั้งท่าทางที่เขินอายใบหน้าที่ก้มต่ำเช่นนี้ทำให้ซูเม่ยเดาได้ไม่ยากว่าสาวน้อยเบื้องหน้าคงมีใจให้หยางอี้แน่นอน
“สบายดี เขายังคงสุขุมและเย็นชาอยู่ทุกวัน”
“ท่านเห็นเขาบ่อยหรือไม่” ดวงตาเป็นประกายของอีกฝ่ายจ้องมองซูเม่ยอย่างลืมตัว
“ไม่บ่อยนัก แค่บังอิญผ่านไปพบเป็นครั้งคราว” สายตาสงสัยของนางทำมู่หยุนเสี่ยวต้องรีบหลบหน้าอย่างเขินอาย
“เช่นนั้น~ ขะ ข้าขอตัวก่อน ออกมานานแล้วท่านแจะเป็นห่วง” อีกฝ่ายรีบลุกออกจากโรงน้ำชาไปในทันที โดยท่าทางเขินอายนี้ของหญิงสาวทำให้ซูเม่ยอดขบขันไม่ได้
อี้เฉิงที่พึ่งกลับจากการฝึกกระบี่ บังเอิญเห็นหยุนเสี่ยวที่รีบเดินจ้ำอ้าวออกจากโรงน้ำชา โดยที่เขาเองเข้าไปทักทายไม่ทันได้แต่เก็บความเสียดายแล้วรีบตามหาสาวใช้ส่วนตัว
“คุณหนูมู่มาหาเจ้าหรือ” อี้เฉิงถามขึ้นทันทีเมื่อพบตัวซูเม่ยที่บัดนี้กำลังนั่งกินขนมโดยมิรู้ร้อนรู้หนาว
“อือ นางมาขอบคุณที่ช่วยเหลือครั้งก่อน พร้อมให้ขนมกุ้ยฮวาเป็นของตอบแทน”
“เหตุใดเจ้าไม่รั้งนางไว้นานกว่านี้ ข้าจักได้พูดคุยด้วย” เขากล่าวอย่างเสียดายก่อนนั่งลงดื่มน้ำชาดับความทุกข์ในใจ
“ข้าจะรู้หรือว่าคุณชายอยากพบนาง” ซูเม่ยปรายตามองบุรุษเบื้องหน้าก่อนกลับมาตั้งใจกินขนมต่อ
“เจ้ามิรู้หรือว่าข้ามีใจให้กับนาง” อี้เฉิงกล่าวอย่างไม่ปิดบัง
“แล้วท่านมิรู้หรือ ว่านางมีใจให้คุณชายใหญ่” ซูเม่ยหวังดีบอกอีกฝ่ายให้รับรู้
อี้เฉิงนิ่งงันไปชั่วขณะเมื่อรับรู้ความจริงจากอีกฝ่าย นางมักปฏิเสธน้ำใจจากเขาหลายครั้ง โดยที่ตัวเขาเองก็แอบคาดเดาว่าสตรีงดงามเช่นนางคงมีชายในดวงใจอยู่แล้ว ทว่าไม่คิดว่าจะเป็นพี่ชายของตนเช่นนี้
รถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม “กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร” “นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย
“ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......” ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา “ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง “แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก “นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้ โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัด
อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถาม
อาจารย์อู๋ชายชราอายุแปดสิบปีอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ตนหวังรับเป็นคนสุดท้ายด้วยแววตาปลาบปลื้ม “คุณชายรองเพ่ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” แววตาชื่นชมมองมายังอี้เฉิงที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ “เพราะมีอาจารย์คอยชี้แนะขอรับ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้าง “หากจะสอบให้ได้ขุนนางปีนี้เจ้าทำได้แน่ แต่ถ้าหากอยากหวังตำแหน่งจอหงวนยังห่างไกลนัก” อาจารย์อู๋กล่าวตามตรง “ศิษย์ไม่หวังตำแหน่งสูงเพียงนั้น เพียงไม่ทำให้มารดากับคนในครอบครัวต้องผิดหวังก็พอ” อี้เฉิงกล่าวพลางมองไปยังซูเม่ยที่นั่งยิ้มยินดีกับเขาอยู่มุมห้อง วันนี้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด การตรากตรำเรียนตำรามากว่าสองเดือนของอี้เฉิงไม่สูญเปล่า บุรุษตัวสูงยิ้มหน้าบานเดินออกจากสำนักศึกษาอย่างภาคภูมิ ทำซูเม่ยที่เดินตามหลังอดขำกับความภาคภูมิใจนี้ของคุณชายตนไม่ได้ “วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง” อี้เฉิงหันกลับมาถามสาวใช้ที่เดินตามหลัง “อืม....” ซูเม่ยคิดหนัก นางต้องกินของอร่อย ๆ สมกับที่เหน็ดเหนื่อยช่วยทบทวนตำราให้เขามาสองเดือนเต็ม “เช่นนั้นกิ
ตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน “คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้ “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า” เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง “ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร” นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ “เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”
รุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว “คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ “ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย “เจ้าค่ะ” “เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง “หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าน้อยไม่ทราบ” “หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่







