LOGIN“ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......”
ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา
“ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง
“แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก
“นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป
ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้
โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัดนี้ข้ามมายังอีกฝั่งของเมือง
“เถ้าแก่ข้าจะพักที่นี่คืนนึง” ซูเม่ยวางตราประจำตระกูลลงตรงหน้าเถ้าแก่ร้านที่ยังคงก้มหน้าตรวจบัญชีอยู่
กว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าคุณหนูของตนมาเยือน นางก็เดินขึ้นชั้นสองของโรงเตี๊ยมไปแล้ว
“คุณ คุณหนู มาได้อย่างไรขอรับใครมาส่งกัน” เถ้าแก่จางรีบวิ่งตามหลังซูเม่ยขึ้นไป พลางมองหารถม้าที่มาส่งนางถึงที่นี่
“ข้าอยากพักแล้ว เจ้าไม่ต้องถาม” นางยืนมองอีกฝ่ายใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ทำให้เถ้าแก่จางจำต้องเงียบปากก่อนจะเปิดห้องให้แต่โดยดี
ด้านอี้เฉิงบัดนี้ออกตามหาซูเม่ยด้วยความร้อนใจ ยิ่งดึกมากเพียงใดความเงียบสงัดยิ่งมีมากขึ้น ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมขั้วหัวใจของบุรุษร่างสูงที่บัดนี้ยังคงอยู่บนหลังม้า ทั่วทุกแห่งที่คิดว่านางจะไปเขาค้นจนทั่วแล้วกลับไม่พบแม้แต่เงาของอีกฝ่าย
“คุณชาย รู้ที่อยู่ของแม่นางเจียงแล้ว” ซิงเหว่ยควบม้าหยุดข้างผู้เป็นนาย
“ที่ใด!” อี้เฉิงที่มีสีหน้าเป็นกังวลรีบถามขึ้นทันที
“อีกฝั่งของเมืองโรงเตี๊ยมซูเจียง ที่นั่นเป็นกิจการของตระกูลเจียงขอรับ”
“ไป” อี้เฉิงควบม้ามุ่งตรงไปยังโรงเตี๊ยมตามตำแหน่งที่ซิงเหว่ยบอกเมื่อครู่
โรงเตี๊ยมขนาดเล็กตั้งอยู่บนถนนหลังเมือง เส้นทางนี้ผู้คนสัญจรน้อยกว่าด้านหน้าเมือง ด้วยความที่มักเป็นเส้นถนนแห่งความตายการเคลื่อนย้ายศพออกนอกเมืองมักใช้เส้นทางนี้ เหล่าคหบดีจึงไม่คิดทำกิจการ ชาวบ้านยากจนจึงพอมีพื้นที่ให้ทำกินบ้าง
ม้าศึกที่ถูกเลือกมาเป็นพิเศษหยุดฝีเท้าลงพร้อมกับอี้เฉิงบัดนี้ลงจากหลังม้าก่อนม้าจะหยุดนิ่งเสียอีก เขาพุ่งเข้าไปโรงเตี๊ยมในทันที
“คุณชายเพ่ย” เถ้าแก่จางรีบออกมาทักทายเมื่อเห็นว่าใครมาถึงที่แห่งนี้
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นใคร” อี้เฉิงส่งสายตาคาดคั้นไปยังอีกฝ่าย เขาแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักกับชายชราผู้นี้มาก่อน
“คุณชายอย่าพึ่งร้อนใจ เจ้านายของข้าคุณชายเจียงให้ข้าตามดูแลคุณหนู จึงรู้ว่าท่านคือคนที่นางต้องคอยดูแลตลอดสองเดือน”
“เช่นนั้นเจียงซูเม่ยเล่า” เมื่อรู้ที่ไปที่มาจึงรีบถามหาคนที่ตนเองอยากพบทันที
“คุณหนูพักผ่อนแล้วขอรับ”
อี้เฉิงโล่งใจเมื่อรู้ว่านางปลอดภัย สายตาเขามองทอดไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยม
ยามเหม่าซูเม่ยที่ยังคงนอนตาค้างตั้งแต่เมื่อคืนลุกออกจากเตียงอย่างเหนื่อยล้า แม้คิดใคร่ครวญมาทั้งคืนนางกลับไม่เจอทางออกที่ดีกว่าการยอมไปเป็นสาวใช้ให้หยางอี้ เพื่อให้อีกฝ่ายช่วยสืบเรื่องบิดาเพราะอย่างไรเสียเขาเป็นถึงหลานชายคนเดียวของมหาราชครู แลเป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงคงช่วยสืบเรื่องบิดาได้ไม่น้อย
ซูเม่ยเดินลงจากชั้นบนของโรงเตี๊ยมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เพราะเกรงจะไม่ทันหยางอี้ออกจากจวนทว่าด้านล่างของโรงเตี๊ยมนางกลับพบอี้เฉิงนั่งอยู่
“คุณชายเพ่ย ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่” แววตาสงสัยส่งไปยังอี้เฉิงก่อนที่ร่างบางจะหยุดตรงหน้าเขา
“ตั้งแต่เมื่อคืน” เขาลุกขึ้นมองนางด้วยความเป็นห่วง
คำตอบของอี้เฉิงทำให้ซูเม่ยต้องแปลกใจ ‘เหตุใดเขาต้องมารออยู่ที่นี่ทั้งคืน’ ความคิดเลยเถิดผุดขึ้นในหัวของนาง
“คุณชายมาหาข้าถึงนี่ มีเรื่องสำคัญอะไรไหรือไม่”
“ข้าเป็นห่วงเจ้า เหตุใดต้องออกมาเพียงลำพังหากเจ้าไม่สบายใจให้ข้ามาส่งก็ได้ แลอยากขอโทษที่ท่านแม่เห็นแก่ประโยชน์ของตนโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของเจ้าแม้แต่น้อย”
“ขอบคุณคุณชายที่เป็นห่วง ข้าไม่ได้โทษฮูหยินเอกนางเพียงต้องการทำทุกอย่างเพื่อท่าน” ซูเม่ยไม่คิดลากอี้เฉิงมายุ่งเกี่ยวกับเรื่อง แม้นางจะผิดหวังในตัวฮูหยินเอกที่ปิดบังเรื่องสำคัญเพียงนี้กับตัวเอง ทว่าอี้เฉิงไม่ได้รู้เห็นด้วย
“ท่านมาถูกเวลาพอดี เช่นนั้นช่วยพาข้ากลับจวนด้วยได้หรือไม่”
“อือ” อี้เฉิงพยักหน้าก่อนเดินนำนางออกจากโรงเตี๊ยม
“เช่นนั้นวันนี้ไปคุกหลวงดีหรือไม่ เผื่อได้รู้ข่าวอาจารย์เจียงเพิ่ม” เพ่ยอี้เฉิงถามความเห็นของนาง พลางช่วยนางขึ้นรถมาที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว
“เอาไว้ก่อนเถอะ วันนี้ข้าจะไปงานชมบุปผากับคุณชายใหญ่”
ซูเม่ยกล่าวโดยไม่ใส่ใจก่อนก้าวขึ้นรถม้า ทว่านั่นกลับทำให้บุรุษตัวสูงยืนนิ่งไม่ยอมก้าวขึ้นรถม้าตามนาง
“เหตุใดยังไม่ขึ้นรถม้า?”
“เจ้าไม่ใช่สาวใช้ของท่านพี่ เหตุใดต้องตามเขาไปด้วย” ใบหน้าที่เคยอบอุ่นกลับเย็นชาเมื่อมองสตรีบนรถม้า
“เขาสัญญาว่าจะช่วยสืบข่าวท่านพ่อให้ อีกอย่างฮูหยินเอกก็อนุญาตแล้ว”
“หากเพราะเรื่องอาจารย์เจียง เจ้าไม่ต้องไปก็ได้ข้าจะช่วยเจ้าหาข่าวเขาเอง”
“ได้ข่าวจากหลายแหล่งย่อมดีกว่าแหล่งเดียว อีกอย่างงานวันนี้ขุนนางน้อยใหญ่ต้องพาบุตรของตนไปร่วมงานไม่น้อย นี่ถือเป็นโอกาสที่จะได้รู้ข่าวท่านพ่อ”
“คุณชายรองอย่าเล่นอีกเลยตอนนี้สายแล้วข้าจะไปไม่ทันคุณชายใหญ่แล้วนะ”
แววตาอ้อนวอนของซูเม่ยทำให้เขามิกล้าขัดขืน แม้ไม่เต็มใจหากแต่ก็มิอาจทำให้นางผิดหวังได้
รถม้าหยุดที่หน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ประจวบเหมาะกับที่หยางอี้กำลังจะขึ้นรถม้า เขารั้งรอเมื่อเห็นซิงเหว่ยควบรถม้ากลับมา
“คุณชายใหญ่รอข้าด้วย”
เสียงหวานที่ลอดผ่านรถม้าออกมา ทำบุรุษในอาภรณ์สีดำยกยิ้มอย่างพอใจ ต่างจากน้องชายที่ลงรถม้าตามสาวใช้มาบัดนี้ใบหน้ากลับบึ้งตึงจ้องมองพี่ชายอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่รับข้อเสนอ”
“เปล่า แค่ขอเวลาไตร่ตรองเท่านั้น” ซูเม่ยส่ายหน้าปฏิเสธ
“ดี เช่นนั้นก็ขึ้นรถม้า”
ยังไม่ทันที่นางจะก้าวเท้ามือหยาบของอี้เฉิงกลับรั้งแขนนางไว้
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ที่นั่นหากมีคนรู้ว่าเจ้าเป็นบุตรสาวอาจารย์เจียงคงไม่เป็นผลดีกับเจ้าแน่”
“ท่านวางใจเถอะ ข้าจะระวังให้มาก” ซูเม่ยจ้องมองอี้เฉิงด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว
“น้องรองวางใจข้าจะช่วยดูแลนาง รับรองว่าจะส่งนางคืนให้โดยไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย” หยางอี้จ้องมองมือที่ยังรั้งแขนของสาวใช้ไว้ไม่ยอมปล่อย
“หวังว่าท่านพี่จะรักษาคำพูด หากซูเม่ยได้รับความไม่เป็นธรรมแม้แต่น้อยข้าคิดบัญชีกับท่านแน่” อี้เฉิงละสายตาจากสตรีเบื้องหน้า ก่อนจ้องมองพี่ชายต่างมารดาแทน
หยางอี้แปลกใจกับคำพูดของผู้เป็นน้องชาย บุรุษที่มักเงียบขรึมบัดนี้กลับพูดจายาวเหยียด แววตาอ่อนโยนกลับแฝงด้วยไฟโทสะแลยังกล้าข่มขู่เขาทั้งที่เมื่อก่อนทั้งสองแทบไม่พูดคุยกันด้วยซ้ำ
รถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม “กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร” “นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย
“ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......” ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา “ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง “แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก “นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้ โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัด
อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถาม
อาจารย์อู๋ชายชราอายุแปดสิบปีอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ตนหวังรับเป็นคนสุดท้ายด้วยแววตาปลาบปลื้ม “คุณชายรองเพ่ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” แววตาชื่นชมมองมายังอี้เฉิงที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ “เพราะมีอาจารย์คอยชี้แนะขอรับ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้าง “หากจะสอบให้ได้ขุนนางปีนี้เจ้าทำได้แน่ แต่ถ้าหากอยากหวังตำแหน่งจอหงวนยังห่างไกลนัก” อาจารย์อู๋กล่าวตามตรง “ศิษย์ไม่หวังตำแหน่งสูงเพียงนั้น เพียงไม่ทำให้มารดากับคนในครอบครัวต้องผิดหวังก็พอ” อี้เฉิงกล่าวพลางมองไปยังซูเม่ยที่นั่งยิ้มยินดีกับเขาอยู่มุมห้อง วันนี้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด การตรากตรำเรียนตำรามากว่าสองเดือนของอี้เฉิงไม่สูญเปล่า บุรุษตัวสูงยิ้มหน้าบานเดินออกจากสำนักศึกษาอย่างภาคภูมิ ทำซูเม่ยที่เดินตามหลังอดขำกับความภาคภูมิใจนี้ของคุณชายตนไม่ได้ “วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง” อี้เฉิงหันกลับมาถามสาวใช้ที่เดินตามหลัง “อืม....” ซูเม่ยคิดหนัก นางต้องกินของอร่อย ๆ สมกับที่เหน็ดเหนื่อยช่วยทบทวนตำราให้เขามาสองเดือนเต็ม “เช่นนั้นกิ
ตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน “คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้ “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า” เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง “ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร” นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ “เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”
รุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว “คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ “ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย “เจ้าค่ะ” “เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง “หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าน้อยไม่ทราบ” “หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่







