LOGINรถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน
“ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม
“กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง
“ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า
ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู
ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย
“เจ้าเป็นสาวใช้ของคุณชายรองเพ่ยมิใช่หรือ ไม่ยักรู้ว่าใต้เท้าจูเชิญบุตรที่เกิดจากสาวใช้มาร่วมงานด้วย” คำพูดเย้ยหยันดังขึ้นด้านหลังของซูเม่ย
เจิ้งเหวินเทียนเจ็บแค้นที่ถูกนางต่อว่ากลางถนนเมื่อคราวก่อน ครั้งนี้จึงคิดเอาคืน
“วันนั้นต่อหน้าคุณชายข้าไม่เห็นท่านกล้าพูดเช่นนี้” ซูเม่ยมองอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว นางรู้ว่าเจิ้งเหวินเทียนหวาดกลัวอี้เฉิงมากเพียงใด
“เจ้า!” บุรุษอันธพาลเบื้องหน้าชี้หน้านาง
“หึ! ปากดีเช่นนี้ข้าชอบนัก ดูสิว่าเมื่อตกเป็นของข้าแล้วเจ้ายังจะพูดดีเช่นนี้หรือไม่” เหวินเทียนแสยะยิ้มก่อนจะใช้แรงฉุดลากนางโดยไม่เกรงกลัวผู้ใด
“นี่เจ้าจะทำอะไรน่ะ!” ซูเม่ยหน้าซีดด้วยความตกใจ นางไม่คาดคิดว่าเหวินเทียนจะเป็นอันธพาลได้เพียงนี้ แม้แต่กลางสวนจวนเสนาบดีแขกเหรื่อมากมายกลับไม่กระดากอายเพียงนิด นางเริ่มมองไปรอบ ๆ หวังมีคนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วยื่นมือช่วยเหลือ
“เจ้ามองหาใคร สาวใช้อย่างเจ้าไม่มีใครสนใจหรอก แม้ว่าข้าจะฉีกอาภรณ์เจ้าตรงสวนนี่ทุกคนก็จะเห็นเป็นเรื่องขำขันเท่านั้น ไม่มีผู้ใดคิดอยากช่วยคนชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าหรอก”
คำพูดของเหวินเทียนคล้ายอ่านใจของนางออกว่าคิดการใดอยู่ นั่นกลับยิ่งทำให้ซูเม่ยหวาดกลัวขึ้นแล้วจริง ๆ หัวใจที่ตื่นกลัวเต้นไม่เป็นจังหวะ ในหัวรีบคิดหาวิธีเอาตัวรอด
“ปล่อยมือจากนาง”
เสียงเยือกเย็นราวน้ำแข็งดังขึ้น ทำให้คนทั้งสองที่ยื้อฉุดกันอยู่หยุดการกระทำก่อนหันมองเจ้าของเสียง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หยางอี้ยืนมองทั้งสองอยู่ ก่อนหน้านี้นางยังเห็นเขาเดินไปทักทายเสนาบดีฝ่ายซ้ายเจ้าของจวนอยู่เลย
“อ้อ! คุณชายใหญ่เพ่ย” เหวินเทียนกล่าวเป็นกันเองโดยไม่คิดปล่อยมือจากอีกฝ่าย
“ข้าถูกใจสาวใช้จวนท่านไม่น้อย อย่างไรเสียท่านไม่ได้สนใจเรื่องของพวกชั้นต่ำเช่นนี้อยู่แล้ว นางผู้นี้ข้าขอแล้วกันไว้พรุ่งนี้จะส่งของขวัญไปขอบคุณท่านถึงจวน” เหวินเทียนยิ้มได้ใจ เขารู้ว่าคนอย่างหยางอี้ไม่ลดตัวมาวุ่นวายกับเรื่องของสาวใช้ต่ำศักดิ์แน่
ซูเม่ยมองคุณชายที่ตนต้องคอยรับใช้วันนี้ด้วยสายตาอ้อนวอน มือทั้งสองของของนางแดงก่ำจากการดิ้นลนให้หลุดจากการเกาะกุมของบุรุษน่ารังเกียจผู้นี้ หยางอี้มองเห็นแววตานั้นของนางอย่างชัดเจนแม้ในใจจะเดือดดาลแต่สีหน้ากลับนิ่งเฉย
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะอยากเล่นสนุกกับสาวใช้อย่างไร แต่นางไม่ใช่สาวใช้ของข้าวันนี้เพียงยืมตัวนางมาจากอี้เฉิง เช่นนั้นเจ้าไปคุยกับเขาก่อนนำตัวนางไปแล้วกัน หากไม่แล้วก็ปล่อยนางข้ารับปากกับเขาแล้วว่าจะพานางกลับไปส่งให้ถึงมือ”
เขาพูดแสนเรียบง่ายที่ทำร้ายจิตใจคนฟังอย่างซูเม่ย กลับทำให้เหวินเทียนที่หวาดกลัวอี้เฉิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องนิ่งค้างไปชั่วครู่ ทว่ามือหนายังไม่คิดปล่อยตัวนาง
มือที่ไพล่หลังของหยางอี้บัดนี้กำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน คิ้วหน้าขมวดผูกกันเป็นปมจนชัดเจน สายตาจ้องมองไปยังมือบางที่เคยขาวผ่องบัดนี้กลับแดงช้ำจนน่าปวดใจ
“ข้าบอกให้ปล่อย! อย่าให้ข้าต้องเอ่ยเป็นครั้งที่สามไม่เช่นนั้นเกรงว่าบุตรอนุอย่างเจ้าจะไม่ได้อยู่ในตระกูลเจิ้งอีก อย่าลืมเสียว่าข้าเป็นหลานชายมหาราชครู”
เหวินเทียนที่เห็นสายตาอาฆาตของคุณชายใหญ่ ผู้ไม่คิดสนโลกบัดนี้กลับกล่าวยืดเยื้อเพื่อสตรีต่ำต้อยนางเดียว จึงยอมปล่อยมือจากซูเม่ยโดยไม่คิดตอแยอีก
“ข้าก็เพียงล้อเล่นเท่านั้น คุณชายเพ่ยไม่เห็นต้องจริงจัง เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เหวินเทียนค่อมกายลาอีกฝ่ายก่อนจะหันว่ายิ้มเยอะให้กับนางแล้วจากไป
ซูเม่ยนิ่วหน้ามองมือที่แดงก่ำทั้งสองข้างที่บัดนี้แสบร้อนไม่น้อย โดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นแววตาเป็นห่วงของหยางอี้ที่มองมา
“มาอยู่ข้างข้า อย่าไปไกลอีกไม่เช่นนั้นข้าอาจจะตามมาไม่ทันเหมือนครั้งนี้ คนอันธพาลอย่างบุตรชายเจ้ากรมพิธีการไม่คิดรามือง่าย ๆ”
“เจ้าค่ะ” ซูเม่ยกล่าวก่อนเดิมตามเขาเข้าไปยังศาลา
ด้านในศาลาแม้กว้างขวาง ทว่ามีแต่เหล่าบุรุษที่ยืนอยู่เต็มไปหมด การที่นางเป็นสตรีเพียงผู้เดียวแม้เป็นเพียงสาวใช้ อาจจะไม่นับเป็นคนในสายตาของผู้มีศักดิ์แต่นางก็ยังทำตัวไม่ถูกอยู่ดี
“โอ้! อะไรกันนี่ คุณชายเพ่ยหยางอี้ถึงขั้นให้สาวใช้ของตนมาอยู่ข้างกายหาได้ยากยิ่ง” หนึ่งในเหล่าคุณชายพูดเสียงดัง จนดึงความสนใจจากคนอื่น ๆ ให้มองมา
หยางอี้กลับไม่สนใจ เขานั่งลงตรงโต๊ะกลมมุมศาลาที่ไม่มีผู้ใดจับจองพลางใช้สายตามองซูเม่ยสลับกับกาน้ำชา ทำให้นางรู้ได้ทันทีว่าต้องทำหน้าที่สาวใช้รีบรินชาให้เขาอย่างว่าง่าย
"คุณชายเพ่ยมีสาวใช้งดงามเช่นนี้เอง ถึงว่าเหตุใดไม่สนเหล่าคุณหนูที่มองมา” แววตากรุ้มกริ่มของเหล่าคุณชายจับจ้องที่ตัวของซูเม่ยสลับกับหยางอี้
“เป็นเช่นนี้คุณหนูจูคงเสียใจไม่น้อย เมียบ่าวที่หน้าตาสะสวยคงทำให้นางขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง”
คำพูดหยอกล้อทีเล่นทีจริงแบบนี้ ทำให้ซูเม่ยที่ยืนนิ่งทนฟังไม่ไหวมือที่ยังคงแดงก่ำกำกาน้ำชาแน่น ทว่ายังไม่ทันกล่าวสิ่งใดหยางอี้กลับพูดขึ้นเสียก่อน
“ข้าไม่ได้ชื่นชอบมีภรรยาหลายคนเหมือนพวกเจ้า แลความคิดสกปรกพวกนั้นอย่าพูดให้ข้าได้ยินอีก”
เพียงประโยคสั้น ๆ ทำให้เหล่าคุณชายทั้งหลายหน้าซีดเผือดรีบค่อมกายกล่าวขอโทษไปตาม ๆ กัน
‘มีบิดาเป็นแม่ทัพใหญ่ แถมยังเป็นบุตรชายคนเดียวของมหาราชครูมันดีเช่นนี้นี่เอง เพียงกล่าวไม่กี่คำก็สามารถข่มขู่คนอื่นได้นับสิบ’ ซูเม่ยคิดพลางจ้องมองบุรุษที่ยังคงใจเย็น นั่งจิบน้ำชาเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“นี่ตกลงข้าให้เจ้ามาช่วยกันเหล่าสตรี หรือพาเจ้ามาเป็นภาระกันแน่ มีเรื่องต้องให้ข้าต้องเหนื่อยพูดครั้งแล้วครั้งเล่า” คำพูดอย่างไม่ใส่ใจของเขากลับทำให้ซูเม่ยเคืองใจไม่น้อย
“ขออภัยคุณชายเพ่ย ข้าเองก็ไม่อยากเป็นภาระของท่าน ต่อจากนี้คุณชายไม่ต้องช่วยข้าก็ได้ หากเกิดอะไรขึ้นข้าจะหาทางเอาตัวรอดเอง”
หยางอี้ที่กำลังจิบชานิ่งค้างไปชั่วครู่ก่อนจะดื่มชาในถ้วยต่อ คำพูดของซูเม่ยทำให้เขารู้ว่าตนเองกล่าวแรงเกินไป ทว่ากลับไม่กล้าขอโทษต่ออีกฝ่าย
รถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม “กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร” “นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย
“ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......” ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา “ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง “แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก “นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้ โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัด
อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถาม
อาจารย์อู๋ชายชราอายุแปดสิบปีอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ตนหวังรับเป็นคนสุดท้ายด้วยแววตาปลาบปลื้ม “คุณชายรองเพ่ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” แววตาชื่นชมมองมายังอี้เฉิงที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ “เพราะมีอาจารย์คอยชี้แนะขอรับ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้าง “หากจะสอบให้ได้ขุนนางปีนี้เจ้าทำได้แน่ แต่ถ้าหากอยากหวังตำแหน่งจอหงวนยังห่างไกลนัก” อาจารย์อู๋กล่าวตามตรง “ศิษย์ไม่หวังตำแหน่งสูงเพียงนั้น เพียงไม่ทำให้มารดากับคนในครอบครัวต้องผิดหวังก็พอ” อี้เฉิงกล่าวพลางมองไปยังซูเม่ยที่นั่งยิ้มยินดีกับเขาอยู่มุมห้อง วันนี้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด การตรากตรำเรียนตำรามากว่าสองเดือนของอี้เฉิงไม่สูญเปล่า บุรุษตัวสูงยิ้มหน้าบานเดินออกจากสำนักศึกษาอย่างภาคภูมิ ทำซูเม่ยที่เดินตามหลังอดขำกับความภาคภูมิใจนี้ของคุณชายตนไม่ได้ “วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง” อี้เฉิงหันกลับมาถามสาวใช้ที่เดินตามหลัง “อืม....” ซูเม่ยคิดหนัก นางต้องกินของอร่อย ๆ สมกับที่เหน็ดเหนื่อยช่วยทบทวนตำราให้เขามาสองเดือนเต็ม “เช่นนั้นกิ
ตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน “คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้ “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า” เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง “ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร” นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ “เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”
รุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว “คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ “ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย “เจ้าค่ะ” “เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง “หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าน้อยไม่ทราบ” “หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่







