Share

บทที่ 14 หลงเชื่อใจ

last update Last Updated: 2025-11-14 10:03:12

        อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น

                “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย

                “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า

                “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ”

        ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท

                “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน”

        หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถามออกไป

                “ขอบคุณอีกครั้งเจ้าค่ะ”

        หยุนเสี่ยวยอบกายส่งอีกฝ่าย เช่นเดียวกับอี้เฉิงค่อมกายกล่าวลานางแล้วหันหลังกลับขึ้นรถม้า

                “เหตุใดท่านกลับขึ้นมาเร็วนักเล่า นางอุตส่าห์ออกมาพบท่าน” เป็นซูเม่ยที่รู้สึกเสียดายแทน

                “บ่ายคล้อยแล้ว ควรกลับได้แล้ว” เสียงเรียบเฉยดังขึ้นพลางบอกให้คนขับรถม้ากลับจวน

        ตลอดเส้นทางอี้เฉิงไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขากลับนั่งนิ่งทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ทำให้ซูเม่ยงุนงงไม่น้อยท่าทางของคุณชายเพ่ยไม่เหมือนคนที่มีความสุขจากการได้พบสตรีในดวงใจแม้แต่น้อย จนรถม้าหยุดลงหน้าจวนอีกครั้งเขาก็ยังนั่งนิ่งเช่นเดิม

                “คุณชายเพ่ย พรุ่งนี้ข้าจะขอไปคุกหลวงหาท่านพ่อได้หรือไม่” นางลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ

                “อือ แล้วแต่เจ้าเลยอย่างไรเสียพรุ่งนี้อาจารย์ก็ให้หยุดไว้หนึ่งวัน” อี้เฉิงดึงความสนใจมาที่นางอีกครั้ง

                “หากอยากรบกวนท่านขอฮูหยินเอก.......” นางเกรงใจตระกูลเพ่ยไม่น้อย แต่นี่เกือบสองเดือนแล้วที่นางไม่ได้ข่าวของบิดา

                “เจ้าอยากให้ข้าขอท่านแม่ให้ใช่หรือไม่”

                “อื้อ!” ซูเม่ยพยักหน้ารับเต็มแรง

                “ได้! พรุ่งนี้ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า” เขายิ้มอ่อนโยนให้อีกฝ่าย

                “ขอบคุณเจ้าค่ะ” ซูเม่ยกล่าวเสียงหวานก่อนยิ้มบาง

        อี้เฉิงตกอยู่ในภวังค์เพียงแค่มองรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ของนาง แววตาใสซื่อเปิดเผยสำหรับเขากลับดูน่าหลงใหลจนมิอาจละสายตา

                “เช่นนั้นพรุ่งนี้ยามเฉินข้าจะมาพบท่านที่เรือน” นางกล่าวจบก่อนลงจากรถม้าไป โดยไม่ได้สังเกตแววตาเป็นประกายของบุรุษเบื้องหน้าแม้แต่น้อย

        ซูเม่ยยิ้มกว้างก่อนเดินกลับไปยังเรือนสาวใช้ ทว่าศาลาหยกที่เดิมกลับพบหยางอี้นั่งดื่มชาอยู่นางได้แต่ทำตัวให้เงียบรีบเดินผ่านศาลาเจ้าปัญหา

                “ทำท่าทางเช่นนั้น กลัวข้ากินเจ้าหรือไง”

        เสียงเย็นชาดังไล่หลัง ซูเม่ยหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเดินต่อไปนางหวังว่าเขาคงไม่ได้พูดกับนาง

                “เหตุใดเจ้านายพูดด้วย สาวใช้อย่างเจ้ายังคิดเดินหนี” เสียงที่เย็นชากลายเป็นเยือกเย็นในทันที

        ครานี้ซูเม่ยจำต้องหยุดเดินแลหันกลับมาพูดกับเขาแต่โดยดี

                “คารวะคุณชายใหญ่”

                “เหตุใดข้าพูดด้วยกลับเดินหนี”

        ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หยางอี้เดินลงจากศาลาตรงมาหยุดห่างจากนางไม่กี่ก้าว

                “ข้าเพียงไม่อยากขัดคำสั่งของฮูหยินรอง จึงไม่อยากรบกวนคุณชาย” นางตอบอย่างสัตย์จริง

                “เจ้ากลัวแม่ข้าหรือ?” หยางอี้ไม่คิดว่าคนอย่างนางจะเกรงกลัวผู้ใด

                “หากอยู่บ้านตระกูลเจียงข้าคงไม่กลัว แต่ตอนนี้เป็นเพียงสาวใช้ย่อมกลัวเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ”

                “คุณชายเรียกข้ามีอะไรหรือไม่” ซูเม่ยมักคิดว่าเขาคอยยุ่งเกี่ยวกับนางอยู่บ่อยครั้ง

                “เปล่าหรอก เพียงอยากถามว่าอี้เฉิงเรียนตำราเป็นอย่างไรบ้าง อีกไม่กี่วันท่านพ่อจะกลับมาแล้ว หากเขาทำได้ดีท่านพ่อคงสบายใจมากขึ้น”

                “คุณชายใหญ่ไม่ต้องกังวล คุณชายรองก้าวหน้าไม่น้อยถึงขั้นอาจารย์อู๋ออกปากชมอยู่หลายครั้ง”

                “จริงหรือ?”

        หยางอี้ไม่อยากจะเชื่อนัก อาจารย์อู๋เป็นผู้ที่แตกฉานด้านปราชญ์และปรัชญา หากเขาออกปากชมนั่นหมายถึงศิษย์ผู้นั้นก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

                “อื้อ ข้าไม่กล้าโกหกคุณชายใหญ่” ซูเม่ยพยักหน้าตอบ

                “เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน”

                “ช้าก่อน”

        ยังไม่ทันที่นางจะก้าวเท้ากลับถูกบุรุษเบื้องหน้าห้ามไว้

                “รุ่งเช้าเจ้าต้องตามข้าไปงานชมบุปผาที่จวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย”

                “เหตุใดข้าต้องไปกับท่านด้วย ข้าไม่ใช่สาวใช้ข้างกายคุณชายใหญ่เสียหน่อย” ซูเม่ยขมวดคิ้วแน่นพลางจ้องบุรุษเบื้องหน้าอย่างเอาเรื่อง

                “ข้าขอฮูหยินเอกแล้ว และนางอนุญาตแล้วด้วย” หยางอี้โน้มตัวลงจ้องมองสตรีตัวเล็กเบื้องหน้า

                “แต่ข้าไม่ยินดี”

                “ตอนนี้เจ้าเป็นสาวใช้ ไม่ใช่คุณหนูตระกูลเจียงที่มีท่านตาเป็นอดีตท่านโหว เจ้าไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของเจ้านายได้”

                “นี่ท่านข่มขู่ข้าหรือ” ซูเม่ยไม่พอใจกับการกระทำของบุตรชายคุณโตของท่านแม่ทัพเสียแล้ว

                “ข้าไม่ได้ข่มขู่ เพียงยื่นข้อเสนอ”

                “ข้อเสนอ! ข้อเสนออะไรของท่าน”

                “นี่เจ้าคงยังไม่รู้? เมื่อเกือบสองเดือนก่อนอาจารย์เจียงบิดาของเจ้าถูกฮ่องเต้ย้ายไปยังคุกลับของพระองค์แล้ว หากเจ้ายอมตามที่ข้าเสนอข้าจะช่วยสืบข่าวในวังให้”

        คำพูดของอีกฝ่ายทำสมองของซูเม่ยขาวโพลน ในหูได้ยินเสียงอื้ออึงเต็มไปหมดร่างกายโงนเงนแทบทรงตัวไม่อยู่ หยางอี้ตกใจที่เห็นนางเป็นเช่นนั้นรีบเข้ามาประคองร่างบางไว้ ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายคว้าแขนทั้งสองข้างของเขาไว้แน่น แววตาตกใจจ้องมองดวงตาแสนเย็นชาของอีกฝ่าย

                “ท่านว่าอะไรนะ! ท่านพ่อถูกย้ายไปที่ใด”

                “นี่แม่ใหญ่ไม่ได้บอกเจ้าหรือ” หยางอี้แปลกใจที่เรื่องนานถึงเพียงนี้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่รับรู้

        ซูเม่ยผละออกจากหยางอี้ ก่อนจะรีบวิ่งไปยังเรือนฮูหยินเอกโดยไม่ได้สนใจเสียงเรียกของบุรุษด้านหลัง

        ภายในห้องโถงเรือนฮูหยินเอก อี้เฉิงยังไม่ทันกลับเรือนทว่ากลับตรงมาหามารดาที่ยังคงนั่งปักผ้าอยู่

                “ท่านแม่ พรุ่งนี้ลูกอยากจะขอพาซูเม่ยไปเยี่ยมอาจารย์เจียงที่คุกหลวง แต่ท่านแม่โปรดวางใจลูกไม่เปิดเผยว่าเป็นคนตระกูลเพ่ยแน่”

        หลี่หว่าหยุดฝีเข็มทันทีที่ได้ยินคำขอของบุตรชาย สีหน้าเป็นกังวลจ้องมองยังอี้เฉิง

                “อี้เอ๋อร์คืออย่างนี่นะ ที่จริงแล้ว.....”

                “ฮูหยิน ท่านพ่อข้าถูกย้ายไปยังคุกลับจริงหรือไม่”

        ยังไม่ทันที่หลี่หว่าจะบอกความจริงกับบุตรชาย กลับโดนซูเม่ยที่วิ่งหน้าตาตื่นมาจากด้านนอกถามขึ้นเสียก่อน

                “เจ้าว่าอะไรนะ?” อี้เฉิงตกใจไม่แพ้อีกฝ่าย ทว่าหลี่หว่ากลับนั่งนิ่งไม่ตกใจกับข่าวที่ได้ยินแต่อย่างใด

                “นี่! ใครบอกกับเจ้ากัน” ฮูหยินเอกถามใจเย็น

                “คุณชายใหญ่”

                “จริงหรือขอรับท่านแม่” อี้เฉิงหันไปจ้องมองมารดาด้วยสายตาคาดคั้น

        หลี่หว่ามองบุตรชายก่อนพยักหน้า “อือ อาจารย์เจียงถูกย้ายไปคุกลับเมื่อเกือบสองเดือนก่อน”

                “แล้วเหตุใดท่านไม่บอกข้า” ซูเม่ยผิดหวังกับสตรีเบื้องหน้า นางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าปิดบังเรื่องสำคัญได้นานเพียงนี้

                “ก็ถ้าข้าบอกเจ้า เกรงว่าจะเป็นเช่นตอนนี้ที่ร้อนรนจนควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วหากเจ้าเอาแต่หมกมุ่นเรื่องบิดาแล้วเรื่อเรียนของอี้เฉิงเล่า” หลี่หว่าล่าวเสียงเบาในประโยคท้ายพลางหลบสายตาของอีกฝ่าย

        ซูเม่ยกล่าวสิ่งใดไม่ออก นางเพียงจ้องมองสตรีที่ตนเองหลงคิดว่าเข้าอกเข้าใจตน ทว่ากลับเห็นแก่การร่ำเรียนของบุตรชายจนต้องปกปิดเรื่องสำคัญขนาดนี้กับนาง

        อี้เฉิงมองหญิงสาวข้างกายอย่างเห็นใจ สายตาของนางบ่งบอกถึงความผิดหวังอย่างชัดเจน นั่นกลับทำให้ภายในอกของเขาบีบรัดรุนแรงความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นอย่างไร้สาเหตุ จู่ ๆ เขากลับกลัวว่านางจะจากไป

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 16 นำมาเป็นภาระ

    รถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม “กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร” “นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 15 สิ้นหวัง

    “ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......” ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา “ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง “แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก “นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้ โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัด

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 14 หลงเชื่อใจ

    อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถาม

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 13 ไร้สิ้นหนทาง

    อาจารย์อู๋ชายชราอายุแปดสิบปีอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ตนหวังรับเป็นคนสุดท้ายด้วยแววตาปลาบปลื้ม “คุณชายรองเพ่ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” แววตาชื่นชมมองมายังอี้เฉิงที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ “เพราะมีอาจารย์คอยชี้แนะขอรับ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้าง “หากจะสอบให้ได้ขุนนางปีนี้เจ้าทำได้แน่ แต่ถ้าหากอยากหวังตำแหน่งจอหงวนยังห่างไกลนัก” อาจารย์อู๋กล่าวตามตรง “ศิษย์ไม่หวังตำแหน่งสูงเพียงนั้น เพียงไม่ทำให้มารดากับคนในครอบครัวต้องผิดหวังก็พอ” อี้เฉิงกล่าวพลางมองไปยังซูเม่ยที่นั่งยิ้มยินดีกับเขาอยู่มุมห้อง วันนี้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด การตรากตรำเรียนตำรามากว่าสองเดือนของอี้เฉิงไม่สูญเปล่า บุรุษตัวสูงยิ้มหน้าบานเดินออกจากสำนักศึกษาอย่างภาคภูมิ ทำซูเม่ยที่เดินตามหลังอดขำกับความภาคภูมิใจนี้ของคุณชายตนไม่ได้ “วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง” อี้เฉิงหันกลับมาถามสาวใช้ที่เดินตามหลัง “อืม....” ซูเม่ยคิดหนัก นางต้องกินของอร่อย ๆ สมกับที่เหน็ดเหนื่อยช่วยทบทวนตำราให้เขามาสองเดือนเต็ม “เช่นนั้นกิ

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 12 ช่วยเหลือ

    ตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน “คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้ “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า” เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง “ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร” นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ “เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 11 นับเป็นสหาย

    รุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว “คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ “ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย “เจ้าค่ะ” “เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง “หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าน้อยไม่ทราบ” “หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status