LOGINยามไฮ่เจียวเจียวงัวเงียตื่นเพราะถูกสาวใช้ที่เฝ้าหน้าห้องซูเม่ยปลุกให้ตื่นขึ้น บอกคุณหนูของนางต้องการดื่มชากลางดึก แม้จะงงงวยแต่เจียวเจียวก็ทำตามคำสั่งไม่บกพร่อง
“คุณหนูน้ำชามาแล้วเจ้าค่ะ”
เจียวเจียวที่ยังตื่นไม่เต็มที่เดินโซเซนำน้ำชาวางบนโต๊ะกลมกลางห้อง แต่กลับไม่เห็นหญิงสาวที่ร้องขอน้ำชาอยู่ภายในห้อง ก่อนที่จะรู้สึกเจ็บบริเวณท้ายทอยพร้อมกับสติของนางค่อย ๆ ดับลง
ซูเม่ยยังยกมือเรียวที่ฟาดสาวใช้ข้างกายให้หมดสติในครั้งเดียวค้างบนอากาศ
“ขอโทษนะเจียวเจียว ไว้กลับมาจากช่วยท่านพ่อข้าจะให้เจ้าตีคืน”
ซูเม่ยกล่าวอย่างรู้สึกผิด พลางลากสาวใช้ขึ้นไปนอนบนเตียงจัดการเปลี่ยนชุดคุณหนูแลชุดสาวใช้จนเรียบร้อย ก่อนจะวางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วออกจากเรือนเล็กไป
บ่าวไพร่ที่เฝ้าเวรยามบัดนี้ดวงตาแทบเปิดไม่ขึ้นด้วยกลางดึกลมพัดเอื่อยชวนให้หลับใหล จนมิได้สนใจว่าสตรีที่ออกจากเรือนไปเมื่อครู่นั้นเป็นเจียวเจียวจริงหรือไม่ เพียงแต่เห็นชุดสาวใช้ก็ปล่อยออกไปโดยง่าย
อาชาสีขาวคู่ใจถูกนำออกจากโรงเลี้ยงม้าอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่เสียงเกือกม้าจะดังไปตามเส้นทางออกนอกเมือง ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรีมีเพียงดวงดาราบนท้องฟ้าคอยให้แสงนำทาง เงาดำทมึนท่ามกลางแมกไม้ตลอดสองข้างทางชวนให้หวาดกลัว ทว่าซูเม่ยสตรีที่เดินทางเพียงลำพังกลับไม่คิดหวาดหวั่น สายตายังคงจ้องมองไปข้างหน้าเดินทางขึ้นเหนือตามแผนที่ของพี่ชายที่นางแอบขโมยมา
ยามเหม่า เจียวเจียวที่งัวเงียตื่นรู้สึกปวดท้ายทอยจนท้องใช้มือลูบไปมา ความทรงจำก่อนสติขาดหายค่อยๆแล่นเข้าสู่หัวที่ปวดหนึบ สายตาสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบกาย ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างวิ่งกระโจนออกจากเรือนท่ามกลางความงุนงงของบ่าวไพร่หน้าเรือนที่ยังคงเฝ้าเวรยามอยู่
“คุณชาย คุณชายเจ้าคะ! แย่แล้วเจ้าค่ะ” เจียวเจียวตะโกนเรียกเฉิงหยวนหน้าเรือนตะวันตก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!” เฉิงหยวนที่ยังสวมอาภรณ์ไม่เรียบร้อยรีบพุ่งออกมาจากภายในเรือนนอน
“คุณหนู! คุณหนูซูหนีออกจากเรือนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เจ้าค่ะ”
เจียวเจียวกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน พร้อมยื่นจดหมายที่นางคว้ามาก่อนออกจากห้องให้คุณชายใหญ่
เฉิงหยวนนวดขมับตัวเองด้วยความปวดหนึบ เขาสำรวจอาภรณ์ที่สาวใช้สวมใส่จึงมั่นใจว่าน้องสาวของตนคงวางแผนมาอย่างดี แม้เขาให้คนใช้เฝ้านางไว้แน่นหนาเพียงใดเด็กสาวจอมดื้อรั้นของเขาก็ยังคงหนีออกไปได้อยู่ดี
“เจ้าไปแจ้งท่านแม่ว่าซูเม่ยไปเมืองหลวงแล้ว บอกนางไม่ต้องห่วงข้าจะให้คนของเราที่ค้าขายในเมืองหลวงติดตามดูแลนางเอง”
ประตูเมืองหลงเฉิงตั้งตระหง่านเบื้องหน้า ซูเม่ยที่ควบม้ายาวนานถึงห้าวันรู้สึกปวดร้าวไปทั่วร่าง
“ถิงถิงทนอีกนิด เดี๋ยวถึงจวนแม่ทัพใหญ่ก็ได้พักแล้ว” ซูเม่ยลูบขนม้าคู่ใจอย่างเบามือ ก่อนจูงม้าเข้าเมืองไป
สองข้างทางบนถนนมุ่งตรงสู่พระราชวังเต็มไปด้วยชาวเมืองเดินเต็มท้องถนน สินค้ามากมายถูกวางขายข้างทาง ร้านอาหาร โรงน้ำชา ต่างเรียกลูกค้าเข้าร้านแข่งขันกันเอาเป็นเอาตาย แม้ยังเป็นกลางวันแต่ขอคณิกาหลายหอยังคงคึกคักตั้งแต่เช้าตรู่ เหล่าคุณชายไม่น้อยยิ้มกริ่มโอบเอวบางสาวงามเดินเข้าไปโดยไม่กระดากอายต่อสายตาจ้องมองของคนนอก นางเลี้ยวเข้าตรอกเอ้อร์หนันจวนหลังใหญ่ตั้งตระหง่าน หน้าจวนแขวนป้ายตระกูลเพ่ยเด่นชัด
ซูเม่ยถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนรวบรวมความกล้ามุ่งตรงไปหาทหารเฝ้าหน้าประตู
“ข้ามาหาฮูหยินใหญ่ตระกูลเพ่ย” ซูเม่ยกล่าวชัดเจน หากแต่กลับถูกสายตาสำรวจของทหารยามมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า จนเจ้าตัวเริ่มขาดความมั่นใจแม้จะสวมผ้าคลุมทับอาภรณ์ หากก็ยังเผยให้เห็นชุดสาวใช้ที่นางสวมใส่ได้ชัดเจน
“เจ้าเป็นสาวใช้บ้านใด?” ทหารยามกล่าวเสียงดัง
“ข้า...”
แม้อยากจะเถียงว่าไม่ใช่สาวใช้ แต่ชุดที่นางใส่คงกล่าวอ้างไม่ขึ้นแน่
“แจ้งฮูหยินเอก ว่าอดีตคุณหนูไป๋ซิงอีแห่งตระกูลไป๋ส่งข้ามา” ซูเม่ยไม่อยากโต้แย้งกับคนไม่เกี่ยวข้อง
เรือนฮูหยินเอก เพ่ยหลี่หว่ายังคงปักเย็บชุดสามีท่ามกลางเหล่าบุปผาหน้าเรือนที่คอยทำให้จิตใจของนางสงบนิ่งลงได้ ก่อนสาวใช้จะแจ้งถึงผู้มาเยือน
“เรียนฮูหยิน นอกจวนมีสตรีสวมชุดสาวใช้นางหนึ่งมาขอพบ นางบอกว่าคุณหนูไป๋ซิงอีส่งนางมาเจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงสาวใช้หลี่หวาตกใจจนเผลอทำเข็มทิ่มมือตนเองจนเลือดซึมออกมา
“นำนางเข้ามาพบข้า” แม้จะดีใจที่อดีตเจ้านายที่นางรักดั่งเช่นคนในครอบครัวส่งคนมาหา ทว่านางกลับรู้สึกกังวลใจมากกว่าเกรงเรื่องที่ตามมาจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี การจากกันกว่ายี่สิบสามปีทำให้นางเองแทบจำหน้าอดีตคุณหนูของตนไม่ได้แล้ว
“ฮูหยิน พานางมาแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงสาวใช้ ทำให้หลี่หว่าตื่นจากภวังค์ สายตานางจับจ้องสตรีผู้มาใหม่ ใบหน้านั่นทำให้นางตกตลึง เด็กสาวผิวขาวผ่องใบหน้างดงามดั่งจิตรกรแต่งแต้ม ดวงตากลมโตดั่งไข่มุกใต้ทะเลลึกช่างเหมือนดวงตาของซิงอีอดีตคุณหนูที่นางรับใช้ไม่มีผิด
“เจ้าคือ?” หลี่หว่าไม่แน่ใจว่าตนคาดเดาถูกหรือไม่
“ฮูหยินเอก ผู้น้อยเจียงซูเม่ย มารดาของข้าคือเจียงซิงอีเจ้าค่ะ” ซูเหม่ยยอบกายทักทาย
“เช่นนี้เอง ดวงตาของเจ้าเหมือนนางไม่น้อย”
“แล้วคุณ...แม่ของเจ้าสบายดีหรือไม่” แม้ผ่านมาถึงยี่สิบสามปีหลี่หว่ายังคงติดปากเรียกนางดั่งเช่นกาลก่อน
“สบายดีเจ้าค่ะ หากทว่าหลายวันมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นกับท่านพ่อ ผู้น้อยจึงบากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากตระกูลเพ่ย” ซูเม่ยไม่รีรอรีบเข้าเรื่องที่นางต้องมาเมืองหลวงทันที
หลี่หว่ามีสีหน้าลำบากใจเมื่อรู้จุดประสงค์การมาของซูเม่ย แม้นางจะเป็นถึงฮูหยินของแม่ทัพใหญ่ แต่ความขลาดกลัวของนางยังคงมีไม่ต่างจากตอนเป็นสาวใช้ นางกลัวว่าการตัดสินใจของตนเองจะส่งผลต่อจวนตระกูลเพ่ย หรือทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่เกิดความไม่พอใจ
“เจ้าลองพูดมาเถอะ หากช่วยได้ข้ายินดีช่วย หากเป็นเรื่องสำคัญเกินที่ข้าจะตัดสินใจได้ก็จะปรึกษาท่านแม่ทัพให้”
“ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ” แม้ไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะช่วยเหลือหรือไม่แต่นางยินดีที่จะลองดู
“ข้าต้องการขอตราอภัยโทษของตระกูลเพ่ยเจ้าค่ะ”
หลี่หว่าสำลักน้ำชาทันทีเมื่อได้ยินคำขอของเด็กสาวผู้มาเยือน นางจ้องมองสตรีเบื้องหน้าที่ยังคงทำหน้าใสซื่อไม่รู้ว่าเรื่องที่ตนขอนั้นใหญ่หลวงเพียงใด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตรานั่นที่เจ้าขอ ได้มาอย่างไร” หลี่หว่าวางถ้วยน้ำชาลงก่อนถามซูเม่ย
“พอทราบเจ้าค่ะ ตราอภัยโทษเป็นตราที่ท่านผู้เฒ่าตระกูลเพ่ยรบช่วยอดีตฮ่องเต้องค์ก่อนจนได้รับมา มันสามารถช่วยเว้นโทษให้กับผู้ที่ใช้ตรานั่นได้หนึ่งครั้ง”
“เช่นนั้นเจ้ายังคิดขอใช้ตราอีกหรือ แม้แต่ข้ายังไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน” หลี่หว่ากล่าวอย่างตำหนิ
“ฮูหยินเพ่ยโปรดเห็นใจ ท่านพ่อข้าแต่งกวีดูแคลนฝ่าบาทและราชสำนัก จนถูกฮ่องเต้จับมาคุมขังยังเมืองหลวง ผู้น้อยร้อนใจกลัวโทษนั้นร้ายแรงถึงชีวิตท่านพ่อ จึงบากหน้ามาขอความช่วยเหลือ” ซูเม่ยคุกเข่าขอความเห็นใจ
รถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม “กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร” “นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย
“ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......” ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา “ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง “แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก “นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้ โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัด
อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถาม
อาจารย์อู๋ชายชราอายุแปดสิบปีอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ตนหวังรับเป็นคนสุดท้ายด้วยแววตาปลาบปลื้ม “คุณชายรองเพ่ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” แววตาชื่นชมมองมายังอี้เฉิงที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ “เพราะมีอาจารย์คอยชี้แนะขอรับ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้าง “หากจะสอบให้ได้ขุนนางปีนี้เจ้าทำได้แน่ แต่ถ้าหากอยากหวังตำแหน่งจอหงวนยังห่างไกลนัก” อาจารย์อู๋กล่าวตามตรง “ศิษย์ไม่หวังตำแหน่งสูงเพียงนั้น เพียงไม่ทำให้มารดากับคนในครอบครัวต้องผิดหวังก็พอ” อี้เฉิงกล่าวพลางมองไปยังซูเม่ยที่นั่งยิ้มยินดีกับเขาอยู่มุมห้อง วันนี้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด การตรากตรำเรียนตำรามากว่าสองเดือนของอี้เฉิงไม่สูญเปล่า บุรุษตัวสูงยิ้มหน้าบานเดินออกจากสำนักศึกษาอย่างภาคภูมิ ทำซูเม่ยที่เดินตามหลังอดขำกับความภาคภูมิใจนี้ของคุณชายตนไม่ได้ “วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง” อี้เฉิงหันกลับมาถามสาวใช้ที่เดินตามหลัง “อืม....” ซูเม่ยคิดหนัก นางต้องกินของอร่อย ๆ สมกับที่เหน็ดเหนื่อยช่วยทบทวนตำราให้เขามาสองเดือนเต็ม “เช่นนั้นกิ
ตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน “คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้ “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า” เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง “ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร” นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ “เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”
รุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว “คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ “ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย “เจ้าค่ะ” “เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง “หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าน้อยไม่ทราบ” “หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่







