เรือนใหญ่
เจียงหว่านหนิงถูกป้าเถาพาตัวมาที่เรือนใหญ่พร้อมกับสตรีทั้งสามนางนั้น นางปรายตามองดูเสวี่ยหนิงที่เสแสร้งทำท่าทีเจ็บปวดเจียนจะขาดใจ ไม่ต่างจากเยี่ยนอิงและลั่วหนิง ในใจรู้สึกดูแคลนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"เจียงหว่านหนิง เจ้าทุบตีพวกนางด้วยเหตุใดกัน?"
ไป๋ฮูหยินเอ่ยถามเจียงหว่านหนิงพลางจ้องมองนางอย่างต้องการคำตอบ เดิมทีเรื่องเช่นนี้มักเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในจวนขุนนางใหญ่ ที่เหล่าสตรีในจวนชอบตบตีกลั่นแกล้งกันเพียงเพราะความริษยา แต่นางเป็นฮูหยินใหญ่ ย่อมต้องตัดสินอย่างยุติธรรม ไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้บ่าวไพร่เอาไปนินทาได้
เจียงหว่านหนิงเงยหน้าขึ้นมองไป๋ฮูหยิน ก่อนจะเอ่ยตอบ
"พวกนางมาหาเรื่องข้าก่อนเจ้าค่ะ พวกนางบอกว่าหึงหวงคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ"
สตรีทั้งสามนางที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำท่าจะโต้แย้ง แต่ทว่าเมื่อนึกถึงที่เจียงหว่านหนิงทุบตีพวกนางอย่างไม่ออมแรง ก็ทำได้เพียงเงียบปากเสีย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางกระทำเช่นนี้ และไป๋ฮูหยินก็รู้จักนิสัยพวกนางดี
ไป๋ซู่ฮวาที่นั่งจิบชาร้อนอยู่ พลันวางถ้วยชาในมือลง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับผู้เป็นมารดา
"ท่านแม่ นี่มิใช่ครั้งแรกที่พวกนางก่อเรื่องนะเจ้าคะ เดิมทีพี่ใหญ่ต้องการให้ผู้ใดไปปรนนิบัติก็เป็นความชอบของพี่ใหญ่ พวกนางมีสิทธิ์อันใดกันมาล่วงเกินผู้อื่นเช่นนี้ ขายพวกนางทิ้งเสียไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ"
สตรีสามนางที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว พลางเอ่ยขอความเห็นใจจากไป๋ซู่ฮวาทันที
"คุณหนูโปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ"
ไป๋ฮูหยินหลับตาลงคราหนึ่ง ก่อนจะมองสตรีตัวปัญหาสามนางนี้ เดิมทีก็เป็นนางที่พาเข้ามาเอง ย่อมต้องคิดหาทางออก อีกอย่างที่ผ่านมาไป๋จื่อเซียนก็ไม่ได้ชมชอบพวกนางเลยสักคน แต่หากจะขายออกไปก็ดูจะไร้เมตตาไปเสียหน่อย เมื่อคิดได้เช่นนั้น ไป๋ฮูหยินจึงหันไปเอ่ยกับป้าเถาทันที
"ป้าเถา ส่งพวกนางไปทำงานที่เรือนนอกชานเมืองเสีย ที่นั่นเป็นบ้านสวน อากาศดี ใกล้วัดบนเขา พวกนางอยู่ใกล้พระโพธิสัตว์ จิตใจอาจจะสงบขึ้นมาบ้าง"
"เจ้าค่ะ"
ป้าเถาพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปจ้องมองสตรีสามนางด้วยแววตาที่ดุดัน เสวี่ยหนิง เยี่ยนอิง และลั่วหนิงต่างมิกล้าขัดขืน จำต้องยอมจากไปแต่โดยดี อย่างไรเสียก็ดีกว่าถูกขายออกไปมิใช่หรือ
แต่น่าเสียดายที่พวกนางจะไม่ได้พบเจอคุณชายใหญ่ผู้หล่อเหลาอีกแล้ว
ไป๋ฮูหยินหันมามองเจียงหว่านหนิงคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับนาง
"ส่วนเจ้าหว่านหนิง เจ้ามาอยู่ที่นี่ การใช้กำลังมิใช่การแก้ปัญหาที่ถูกวิธี ข้าจะลงโทษเจ้าเช่นกัน"
"เจ้าค่ะ"
"เย็นนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็นหนึ่งมื้อ แล้วก็ปรนนิบัติบุตรชายข้าให้ดี"
เอ ลงโทษเพียงเท่านี้เองหรือ?
เจียงหว่านหนิงขมวดคิ้วมุ่นพลางครุ่นคิดอย่างแปลกใจ เดิมทีนางคิดว่าจะถูกโบยเสียอีก นับว่าไป๋ฮูหยินใจดีมีเมตตาไม่น้อย
แต่ทว่าเมื่อคิดถึงไป๋จื่อเซียนนางก็หนักใจไม่น้อย นางเป็นคนมือเท้าหยาบจะปรนนิบัติเขาเช่นไรให้เขาพอใจดีนะ
ไป๋ซู่ฮวาที่เห็นว่าเจียงหว่านหนิงไม่ได้ถูกลงโทษอันใดมากมายก็ลอบโล่งใจไม่น้อย นางชอบเจียงหว่านหนิงยิ่งนัก เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงหันไปเอ่ยกับมารดาอย่างออดอ้อน
"ท่านแม่ ลูกอยากออกไปซื้อเครื่องประดับใหม่เจ้าค่ะ ของเดิมที่มีมันไม่งามเลยสักนิด อีกทั้งยังเก่าแล้วด้วย อีกไม่กี่วันก็จะต้องไปร่วมงานชมดอกเหมยแล้ว เกรงว่าผู้คนจะขบขันเอาได้ ลูกอยากพาเจียงหว่านหนิงไปเป็นเพื่อนเจ้าค่ะท่านแม่"
"ซู่เอ๋อร์"
"ท่านแม่ อีกไม่กี่วันเราต้องไปร่วมงานชมดอกเหมยในจวนเสนาบดี ลูกไม่อยากถูกคุณหนูจวนอื่นหยอกเย้าว่าไม่มีปัญญาซื้อเครื่องประดับใหม่นะเจ้าคะ"
"เอาเถิด รีบไปรีบกลับเล่า หว่านหนิง ดูแลคุณหนูของเจ้าให้ดี"
"เจ้าค่ะฮูหยินใหญ่"
เจียงหว่านหนิงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามไป๋ซู่ฮวามาที่หน้าจวน แล้วจึงขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปที่ร้านขายเครื่องประดับในทันที
ระหว่างที่นั่งในรถม้า ไป๋ซู่ฮวาก็ชวนนางพูดคุยตลอดทาง
"นี่หว่านหนิง เจ้าไม่ต้องกลัว ไว้ท่านแม่นอนหลับข้าจะให้คนนำอาหารไปให้เจ้า ถึงเวลานั้นเจ้าก็แอบกินเสีย"
เจียงหว่านหนิงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
"เจ้าไม่กลัวมารดาเจ้าดุหรือ?"
"โอ๊ย ท่านแม่น่ะใจดีที่สุด เป็นฮูหยินจวนอื่นเจ้าโดนโบยจนตายไปแล้ว ไม่ต้องกลัว มีสหายคนนี้อยู่ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าหิวตายหรอก"
"สหายหรือ?"
"แน่นอน ข้าชอบเจ้า ไม่รู้สิ ข้าถูกชะตากับเจ้ายิ่งนักหว่านหนิง ในจวนเราอาจจะเป็นเจ้านายกับสาวใช้ แต่ยามนี้เราคือสหายรักกันนะ"
"อืม ข้าเองก็จะปกป้องเจ้า ไม่ยอมให้เจ้าถูกใครเอาเปรียบได้เช่นกัน"
"อืม"
ไป๋ซู่ฮวายื่นมือของตนมาจับมือของเจียงหว่านหนิงอย่างสนิทสนม ไม่นานนักรถม้าก็มาจอดที่หน้าร้านขายเครื่องประดับ เมื่อเจียงหว่านหนิงลงมาจากรถม้าก็พบกับร้านขายเครื่องประดับที่ใหญ่โตร้านหนึ่ง
ร้านเครื่องประดับเหลียนฮวา
"ไปกันเถอะ"
ไป๋ซู่ฮวาจูงมือเจียงหว่านหนิงเดินเข้าไปในร้านเครื่องประดับ เถ้าแก่ร้านรีบออกมาต้อนรับขับสู้พวกนางอย่างขะมักเขม้น ไป๋ซู่ฮวาเลือกเครื่องประดับมาสองสามชิ้น ก่อนจะส่งให้เถ้าแก่นำไปห่อ เจียงหว่าหนิงส่งตั๋วเงินให้นาง ก่อนจะรับของมาถือเอาไว้ในมือ
"เฮ้อ ข้าหิวแล้ว เราไปที่ภัตตาคารโหยวหวงกันเถิด ที่นั่นอาหารอร่อยมาก ข้าจะพาเจ้าไปลองชิม"
"แต่ฮูหยินใหญ่บอกว่าให้เจ้ารีบกลับมิใช่หรือ?"
"รีบทำไมกัน ออกมาแล้วต้องเที่ยวให้คุ้ม อิอิ"
เจียงหว่านหนิงเองก็ไม่อยากจะคัดค้านไป๋ซู่ฮวาจึงทำได้เพียงตามนางไป ยามนี้นางดื่มยาถอนพิษเกือบจะครบตามที่ท่านหมอสั่งแล้ว ร่างกายจึงค่อนข้างจะแข็งแรงเช่นเดิม คราแรกนางก็ไม่รู้ว่ามันคือยาอันใด จวบจนเหรินห่าวมาบอกนางว่า ไป๋จื่อเซียนเป็นคนสั่งให้ท่านหมอจัดยาถอนพิษให้นาง อีกทั้งยังมียาบำรุงร่างกายอีกด้วย บุญคุณครั้งนี้นางจะจดจำไม่มีวันลืม
"ข้าต้องการห้องส่วนตัวชั้นสอง เอาที่เห็นทิวทัศน์โดยรอบของเมืองหลวง"
"เชิญขอรับคุณหนู"
เสี่ยวเอ้อร์รีบนำทางพวกนางทั้งสองไปในทันที ก่อนจะมาถึงห้องส่วนตัวชั้นบนที่ไป๋ซู่ฮวาบอกเอาไว้ เจียงหว่านหนิงมองดูไป๋ซู่ฮวาสั่งอาหารมาหลายอย่าง ก่อนจะมองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่าง พบว่าห้องนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่แสนงดงามของเมืองหลวงโจวกังของแคว้นต้าโจวได้อย่างงดงามอย่างที่ไป๋ซู่ฮวาบอกจริงๆ
แผ่นดินที่ไร้ซึ่งสงครามช่างสงบสุขยิ่งนัก
ไม่นานนักอาหารก็มาถึง เจียงหว่านหนิงไม่ได้กินอาหารที่ดีเช่นนี้มานานมากแล้ว จึงรู้สึกว่าอิ่มหนำยิ่งนัก ด้านไป๋ซู่ฮวาเอง เห็นนางเป็นสตรีบอบบาง แต่กลับกินเก่งเป็นอย่างมาก
"โอ๊ย หว่านหนิง ท้องข้าจะแตกแล้ว"
"อิอิ เจ้ากินเก่งมาก"
"แน่นอน ข้าอิ่มแล้ว กลับจวนกันเถิด ข้าง่วงแล้ว อยากจะกลับไปนอนเสียหน่อย"
"อืม"
เจียงหว่านหนิงเก็บห่อเครื่องประดับมาถือเอาไว้กับตัว ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับไป๋ซู่ฮวา แต่ทว่าพวกนางกลับพบโจทก์เก่าในวันนั้นเข้าเสียแล้ว
หลัวเหวินซิ่ง
วันนี้หลัวเหวินซิ่งไม่มีสิ่งใดทำ อีกทั้งยังถูกท่านแม่ผู้เป็นองค์หญิงไล่ตะเพิดออกมานอกจวน เนื่องจากเขาทำสิ่งใดก็ไม่ถูกใจ มารดาบอกว่าเขาโง่เง่า วันๆ หาแต่เรื่อง ไม่เอาการเอางาน เขาจำต้องออกมาหาความสำราญที่นอกจวนเสีย ครั้นจะไปหาท่านพ่อก็เกรงว่าจะถูกด่าทอมาอีก เขาจึงมาที่ภัตตาคารโยวกวง ภัตตาคารที่ตกแต่งด้วยป่าไผ่ราวกับกำลังดื่มด่ำอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีอาหารอันโอชะ มีสตรีที่งดงามคอยร่ายรำให้ชมระหว่างมื้ออาหาร ชวนให้สำราญใจยิ่งนัก
แต่ทว่าเขากลับได้พบกับคนงามถึงสองคน
หลัวเหวินซิ่งขมวดคิ้วมุ่น พลางจ้องมองเจียงหว่านหนิงและไป๋ซู่ฮวาคราหนึ่ง เจียงหว่านหนิงเองก็จ้องมองเขาเช่นกัน นางสัมผัสได้ถึงความลนลาน ความสงสัยอยู่ในดวงตาของหลัวเหวินซิ่ง
หลัวเหวินซิ่งรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะหันไปมองลูกน้องที่ติดตามเขามาด้วยคราหนึ่ง เป็นการบอกว่าห้ามทัดทานเขา ลูกน้องของหลัวเหวินซิ่งก้มหน้าลงไม่กล้าเอ่ยวาจาใด
"ไม่คิดว่าจะได้พบคนงามทั้งสองที่นี่"
หลัวเหวินซิ่งหันกลับมาส่งสายตาแทะโลมให้ไป๋ซู่ฮวาและเจียงหว่านหนิง โดยเฉพาะเจียงหว่านหนิงนั้น เขาอดที่จะมองนางนานขึ้นอีกหน่อยไม่ได้
ไป๋ซู่ฮวาเบ้ปากคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ อยู่นาน เกรงว่าจะมีไออัปมงคลติดกาย"
หลัวเหวินซิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็กัดฟันกรอด พลางจ้องมองไป๋ซู่ฮวาอย่างขุ่นเคือง
"โธ่ๆๆ คุณหนูไป๋ เห็นว่าข้าชมชอบเจ้าก็เอาใหญ่เลยนะ ข้าจะบอกให้ เจ้าน่ะงามไม่ได้ครึ่งหนึ่งของแม่นางที่มากับเจ้าเลยด้วยซ้ำ ข้านี่ตาบอดจริงๆ"
"หลัวเหวินซิ่ง!!!"
"เหอะ อย่ามาเรียกชื่อข้าส่งเดชเชียวนะ มารดาข้าเป็นถึงองค์หญิง"
"โอ้อวดอยู่ได้ เจ้าน่ะมันมารมาเกิดชัดๆ!!!"
"ไป๋ซู่ฮวา โอ๊ย!!!"
หลัวเหวินซิ่งยังไม่ทันจะได้แตะต้องไป๋ซู่ฮวา เท้าข้างขวาของเจียงหว่านหนิงก็ยกขึ้นกระทุ้งไปที่หว่างขาของเขาเสียก่อน หลัวเหวินซิ่งหน้าเขียวคล้ำ ยกมือขึ้นกุมหว่างขาตนเองอย่างน่าอนาถ
"ไปกันเถิดซู่ฮวา อย่าสนทนากับคนเช่นนี้ให้เปลืองเวลาเลย"
"อืม"
"อย่าคิดหนีนะ"
หลัวเหวินซิ่งโมโหจนเลือดขึ้นหน้า เขาสั่งให้บ่าวรับใช้สองคนพุ่งเข้าไปจับตัวเจียงหว่านหนิงเอาไว้ เล่นงานไป๋ซู่ฮวาไม่ได้ เช่นนั้นก็ลงกับสตรีนางนั้นเสีย เขาจำได้ว่านางเป็นเพียงสตรีที่อ่อนแอ แม้แต่แรงหายใจยังแทบไม่มีด้วยซ้ำ แต่ทว่าเหตุใดสตรีน้อยนางนี้จึงมาอยู่กับไป๋ซู่ฮวานั้น เขาค่อยตามสืบทีหลังก็ยังไม่สาย
เจียงหว่านหนิงรับรู้ได้ว่ามีภัยใกล้ตัว นางจึงดันตัวไป๋ซู่ฮวาไปหลบที่ด้านหลัง ก่อนจะยกเท้าเตะไปที่บ่าวรับใช้ผู้นั้นของหลัวเหวินซิ่งที่พุ่งกายเข้ามาจนล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นมาหวังจะต่อยเข้าไปใส่บ่าวอีกคน แต่ทว่านางกลับเวียนหัวขึ้นมาเสียดื้อๆ ร่างกายคล้ายจะอ่อนแรงจนแทบทรงตัวไม่อยู่ บ่าวรับใช้ผู้นั้นที่เห็นว่าเจียงหว่านหนิงเริ่มเสียหลักแล้ว จึงเอ่ยอย่างได้ใจ
"นังตัวดี วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนคุณชายเอง โอ๊ย!!!"
"รังแกสตรีเช่นนี้ไม่สมกับเป็นบุรุษเลยนะ หากข้านำความไปทูลให้องค์หญิงใหญ่ผู้เป็นมารดาของท่านทราบ เรื่องราวคงจะสนุกไม่น้อยเลย"
ห้าปีต่อมา "ท่านแม่ พวกเราจะไปอยู่ที่จวนท่านลุงนานหรือไม่ขอรับ?" ฟางหว่านหนิงที่กำลังเตรียมจัดข้าวของเพื่อออกเดินทางไปยังแคว้นฉางอัน หันมามอง ไป๋หยวน บุตรชายเพียงคนเดียวของนางที่ยามนี้มีอายุสี่ขวบแล้ว นางยิ้มให้บุตรชายก่อนจะเอ่ย"คงจะร่วมหลายเดือนเลยแหละ แม่จะพาหยวนเอ๋อร์ไปไหว้หลุมศพท่านตาท่านยายบุญธรรม ที่แคว้นฉางอันยามนี้สงครามสงบแล้ว ย่อมงดงามไม่ต่างจากแคว้นต้าโจว หยวนเอ๋อร์ของแม่อยากเห็นหรือไม่?""อยากขอรับ""เช่นนั้นก็มาช่วยแม่จัดของเร็วเข้า"ไป๋หยวนพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบมาช่วยมารดาตนจัดของอย่างมีความสุข ฟางหว่านหนิงมองบุตรชายตนอย่างรักใคร่ ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไม่นานมานี้ท่านลุงเจียงจือหยวนส่งจดหมายมาบอกนางว่า ได้จัดการทำป้ายสุสานบรรพบุรุษเป็นชื่อของท่านพ่อและท่านแม่ นำมาไว้ที่จวนตระกูลเจียงแล้ว มีการทำพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณทุกปี เดิมทีฟางหว่านหนิงตั้งใจจะไปกราบไหว้ แต่ก็ติดที่ไป๋หยวนบุตรชายของนางยังเล็กนัก การเดินทางค่อนข้างลำบาก แต่ยามนี้บุุตรของนางเติบโตมากแล้ว ย่อมเดินทางได้ง่ายขึ้น ไป๋จื่อเซียนที่กลับมาจากค่ายทหาร เมื่อเห็นว่าภรรยาและลูกชายของเขากำลังจัดเต
ฟางหว่านหนิงจ้องมองร่างของโจวชิงเหยาที่ยามนี้ถูกไฟไหม้ไม่เหลือซากก่อนจะหลับตาลง แล้วซุกกายเข้าไปในอ้อมกอดของไป๋จื่อเซียน ไป๋จื่อเซียนกอดนางเอาไว้ อีกทั้งยังปลอบประโลมนางด้วยความรักใคร่ "อาหนิง""ไป๋จื่อเซียน เดิมทีตอนที่จับตัวข้าไป เขาไม่ได้ล่วงเกินข้า เขาเพียงหวังจะฆ่าข้าให้ตายตามเขา เขาไม่ยอมให้ข้าแต่งงานกับท่าน ข้า...""ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเชื่อใจเจ้า คนเช่นเจ้า หากต้องตกเป็นของโจวชิงเหยา ข้ารู้ว่าเจ้าคงยอมปลิดชีพตนเองเสียยังดีกว่า""ฮึก ไป๋จื่อเซียน""ไม่ต้องร้องแล้ว เรากลับจวนกันเถิด""อืม"ไป๋จื่อเซียนเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน นางซบกายลงไปอิงแอบเขาอย่างรักใคร่ ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าใด ยามที่ได้อยู่ใกล้เขานางก็รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเสมอมาเมื่อกลับมาถึงจวน ฟางฮูหยินก็วิ่งเข้ามากอดบุตรสาวในทันทีด้วยความห่วงใย ฟางไฉหรงที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยกับไป๋จื่อเซียนอย่างซาบซึ้ง"อาจื่อ ขอบใจเจ้ามาก ข้าเป็นพี่ชายที่แย่ยิ่งนัก ทั้งที่นางเป็นน้องสาวของข้า แต่ว่าข้ากลับไม่ได้ตามไปช่วยนาง""เจ้าอย่าคิดมาก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เก่งวรยุทธ์เท่าใดนัก พวกมันเป็นนักฆ่าที่ถูกฝึกฝนมา ข้าเกรงว่าเจ้าจะเกิด
ไป๋จื่อเซียนมุ่งหน้าตรงมาที่จวนตระกูลฟางด้วยความร้อนใจ เมื่อมาถึงก็พบกับฟางฮูหยินที่ตกใจจนเป็นลม ด้านเสนาบดีฟางก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก เมื่อสอบถามจากสาวใช้คนสนิท จึงได้ความว่า เดิมทีฟางหว่านหนิงกำลังปักผ้าคุลมหน้าเจ้าสาว แต่เพราะว่านางรู้สึกเมื่อยล้าแล้ว จึงอยากออกไปเดินเล่นรับลมที่ด้านนอกเสียหน่อย แต่ทว่านางเห็นว่าคุณหนูออกไปนานแล้ว จึงออกมาตาม แต่กลับพบว่ายามนี้คุณหนูได้หายตัวไปแล้ว มีเพียงผ้าเช็ดหน้าที่ทำตกเอาไว้เพียงเท่านั้น จึงมาแจ้งให้นายท่านและฮูหยินทราบ เหล่าบ่าวไพร่ต่างช่วยกันออกตามหาแต่ก็ไร้ร่องรอยของฟางหว่านหนิง"อาจื่อ จะทำเช่นไรดี?"ไป๋จื่อเซียนหันไปมองฟางไฉหรงคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจยามนี้โจวชิงเหยาหายตัวไป ประจวบเหมาะกับที่ฟางหว่านหนิงก็หายตัวไปอีกเมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็มีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะหันมาเอ่ยกับฟางไฉหรงด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา"อาไฉ ข้าเกรงว่าเรื่องที่อาหนิงหายตัวไปจะเกี่ยวข้องกับท่านอ๋อง""เอ?"ฟางไฉหรงที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทีตกใจไม่ต่างกัน หลังจากกำชับบ่าวไพร่ให้ดูแลมารดาให้ดีแล้ว เขาจึงออกมาพร้อมกับไป๋จื่อเซียน "อาจื่อ เจ้าแน่ใจ
ตระกูลไป๋ถูกกักบริเวณร่วมหลายสิบวัน เมื่อตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโจวชิงเหยา จึงถูกปล่อยตัวออกมา ยามนี้ไป๋จื่อเซียนและแม่ทัพใหญ่ไป๋กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ ฮ่องเต้โจวฉินอวี้มองพวกเขาสองคนพ่อลูกคราหนึ่ง "ลำบากพวกเจ้าสองพ่อลูกและคนตระกูลไป๋แล้ว แต่ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั่นถือเป็นเรื่องดี"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย "ตระกูลไป๋ซื่อสัตย์ภักดีต่อฝ่าบาทเท่านั้น ไม่เคยคิดเป็นอื่น ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย" "เอาเถิด เรารู้แล้ว แต่เรามีอีกเรื่องที่ต้องการให้พวกเจ้าไปทำ""เชิญรับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้โจงฉินอวี้ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย "ตามจับตัวอาชิงกลับมาให้ได้ เราอยากให้จับเป็น น้องชายผู้นี้จะดีจะร้ายก็มีสายเลือดเดียวกับเรา บางคราเขาอาจจะทำไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ"ไป๋จื่อเซียนและแม่ทัพใหญ่ไป๋รับคำคราหนึ่ง ฮ่องเต้โจวฉินอวี้จึงให้พวกเขาสองพ่อลูกกลับจวนไปเสีย เมื่อพวกเขาออกจากตำหนักไปแล้ว ฮ่องเต้โจวฉินอวี้ก็ทรุดตัวนั่งลงบนบัลลังก์ ขอบตาของเขาแดงก่ำ พยายามฝืนความเสียใจเอาไว้ ตอนที่ได้รู้เรื่องที่โจวชิงเหยาคิ
"นังสารเลวเจียงหว่านหนิง ข้าจะฆ่าเจ้า!!!""ถิงเอ๋อร์!! อย่านะ!!!"ไป๋จื่อเซียนหันไปมองฟางถิงถิงที่ยามนี้กำลังเอ่ยปากด่าทอเจียงหว่านหนิง และกำลังพุ่งทะยานเข้ามาหวังจะตบตีพี่สาวตน แต่ทว่าฟางอวี้เฉวียนกลับรั้งตัวน้องสาวของเขาเอาไว้ ก่อนจะจ้องมองฟางหว่านหนิงอย่างหวาดกลัว จะไม่ให้เขาหวาดกลัวได้เช่นไรกัน สามวันก่อนเขากับฟางถิงถิงวางแผนกันว่าจะลอบทำร้ายฟางหว่านหนิง แต่ผู้ใดจะรู้พี่สาวต่างมารดาผู้นี้กลับมีวรยุทธ์ นางหักนิ้วเขาอีกทั้งยังถีบเขาจนล้มหงายท้องไม่เป็นท่า ไม่พอเท่านั้นนางยังเตะเสยปลายคางเขาจนฟันหน้าหักไปซี่หนึ่ง จากนั้นนางก็ลงมือตบตีฟางถิงถิงอย่างไร้ความปรานี จนพวกเขาสองพี่น้องสะบักสะบอมบาดเจ็บไปไม่น้อย ตั้งแต่ท่านแม่ออกจากจวนไป ท่านพ่อก็ไม่เคยสนใจไยดีพวกเขาสองพี่น้องอีกเลย เมื่อท่านพ่อรู้ว่าเขาคิดทำร้ายฟางหว่านหนิง ก็สั่งขังพวกเขาเอาไว้แต่ในเรือนไม่ให้ออกไปก่อเรื่องได้อีก ฟางหว่านหนิงจ้องมองสองพี่น้องด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเห็นฟางอวี้เฉวียนทุบต้นคอของฟางถิงถิงจนสลบ แล้วแบกน้องสาวตนหนีกลับเรือนไปด้วยความหวาดกลัว "เหตุใดพวกเขาจึงดูหวาดกลัวเจ้าเช่นนี้?"ไป๋จื่อเซียนหันมามองที่ฟางห
ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดเจียงหว่านหนิงก็ได้สติและฟื้นขึ้นมา แต่เพราะนางยังบาดเจ็บอยู่จึงยังไม่อาจขยับกายได้มากนัก นางมองดูไป๋จื่อเซียนที่ยามนี้กำลังส่งยิ้มให้นาง พลางส่งถ้วยชามาให้นางดื่มดับกระหาย นางยิ้มตอบเขาเล็กน้อย"ข้าคิดว่าจะไม่ได้พบกับท่านแล้วไป๋จื่อเซียน"ไป๋จื่อเซียนยื่นมือมาลูบผมนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าต้องตายเป็นแน่"เจียงหว่านหนิงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ไป๋จื่อเซียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยปรามนางทันที"อย่าเพิ่งขยับมาก เจ้าบาดเจ็บหนัก!!!""อืม"เจียงหว่านหนิงจึงทิ้งกายลงนอนเช่นเดิม"เมื่อครู่ท่านแม่ของข้ากับซู่เอ๋อร์มาเยี่ยมเจ้า แต่ว่าเจ้ายังหลับอยู่ พวกนางจึงกลับไปก่อน""ลำบากพวกท่านยิ่งนัก""ลำบากอันใดกัน อีกไม่นานเราสองตระกูลก็จะเกี่ยวดองกันแล้ว"ไป๋จื่อเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เจียงหว่านหนิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยื่นมือของตนไปจับมือของเขาเอาไว้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจของนาง มันทำให้นางรู้สึกปลอดภัยยามที่ได้เห็นหน้าของไป๋จื่อเซียนเขาเป็นทุกอย่างในชีวิตของนางจริงๆไป๋จื่อเซียนสั่งให้เหรินห่าวไปแจ้งที่ตระก