ไป๋ซู่ฮวารีบเข้ามาประคองเจียงหว่านหนิงเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองผู้มาใหม่ เจียงหว่านหนิงเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ทว่าใบหน้ายังคงซีดเซียวอยู่ ให้ตายเถอะ คงเพราะยังกินยาถอนพิษไม่ครบ อาการของนางจึงกำเริบขึ้นมาเช่นนี้
"หว่านหนิง เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?"
"ซู่ฮวา ข้าไม่เป็นอันใด เจ้าเล่า"
"ข้าก็ไม่เป็นอันใด ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรง เหตุใดจึงไม่ระวังบ้างเล่า"
เจียงหว่านหนิงยิ้มให้ไป๋ซู่ฮวาคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปจ้องมองบุรุษผู้มาใหม่ เขาสวมชุดสีฟ้าอ่อน ใบหน้าดูหล่อเหลาคมคาย ภายในมือถือพัดเอาไว้ ดูแล้วคงจะเป็นคุณชายสูงศักดิ์จากจวนใดสักจวนหนึ่ง เขาใช้พัดฟาดใส่ลูกน้องของหลัวเหวินซิ่งจนล้มลงกับพื้น ก่อนจะเอ่ยกับหลัวเหวินซิ่งพร้อมรอยยิ้ม หลัวเหวินซิ่งคล้ายจะหวาดกลัวคุณชายผู้มาใหม่ท่านนี้อย่างเห็นได้ชัด
"ฮ่าๆ คุณชายฟาง ข้าเพียงเล่นสนุกกับพวกนางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น"
"เล่นสนุกหรือ?"
"ใช่แล้ว"
"เช่นนั้น คุณชายหลัวคงเล่นแรงเกินไปหน่อยกระมัง เรื่องนี้คงต้องกราบทูลองค์หญิงใหญ่ให้ทรงทราบเสียแล้ว"
"อย่านะ!!! ข้าจะไปแล้ว ไม่อยากอยู่นานหรอก"
หลัวเหวินซิ่งรีบพาลูกน้องจากไปทันที ขืนอยู่นานกว่านี้แล้วท่านพ่อท่านแม่รู้เรื่องเข้า มีหวังเขาได้อดข้าวเป็นแน่
เมื่อหลัวเหวินซิ่งจากไปแล้ว ไป๋ซู่ฮวาจึงหันมาเอ่ยกับเจียงหว่านหนิงทันที
"นี่คือคุณชายฟางไฉหรง เป็นคุณชายจวนตระกูลฟาง บุตรชายของท่านเสนาบดี ในการสอบเคอจวี่เมื่อปีที่แล้ว เขาสอบได้เป็นจอหงวน อนาคตไกลเชียวแหละ อีกทั้งฮ่องเต้ก็ทรงโปรดปรานเขาไม่น้อย อีกอย่างเขาเป็นพี่ชายของฟางถิงถิง คู่หมั้นของพี่ใหญ่ข้า อ้อ เป็นสหายสนิทกับพี่ใหญ่ของข้าด้วยนะ"
"อ้อ"
เจียงหว่านหนิงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะมองฟางไฉหรงที่กำลังเดินเข้ามาหาพวกนาง ฉับพลันในห้วงความคิดของนางรู้สึกว่าเขาดูคุ้นตาไม่น้อย
ฟางไฉหรงที่เห็นว่าเจียงหว่านหนิงจับจ้องเขาอย่างไม่วางตา ก็กระแอมไอคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ข้ารู้ว่าตนเองมีใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับเทพสวรรค์ แต่แม่นางมาจับจ้องข้าเช่นนี้ ข้าเขินอายยิ่งนัก"
ว่าแล้วเขาก็ยกพัดในมือขึ้นมาปิดใบหน้าเอาไว้ แสร้งทำท่าทีเขินอายราวกับสตรีน้อยแรกรุ่น เจียงหว่านหนิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง พลางครุ่นคิดในใจ
หลงตนเองไม่เบาเลยทีเดียว
เมื่อหยอกเย้าเจียงหว่านหนิงจนพอใจแล้ว ฟางไฉหรงก็หันไปส่งยิ้มให้ไป๋ซู่ฮวาทันที
"คุณหนูไป๋ ไม่พบกันเสียนาน เจ้าดูมีน้ำมีนวลขึ้นไม่น้อย"
ไป๋ซู่ฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันจางหายไปทันที นี่เขา เขาหาว่านางอ้วนขึ้นอย่างนั้นหรือ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ไป๋ซู่ฮวาก็หันมาส่งยิ้มให้ฟางไฉหรงคราหนึ่ง
"ขอบคุณคุณชายฟางที่กล่าวชมเจ้าค่ะ ไม่พบกันเสียนานคุณชายปากเหม็นเช่นไรก็ยังปากเหม็นเช่นนั้น อ้อ วันนี้ขอบคุณอีกคราที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ไม่รบกวนคุณชายฟางแล้ว ไปกันเถอะหว่านหนิง"
เจียงหว่านหนิงมองดูสองคนนี้เอ่ยวาจาเสียดสีกันไปมาก็อดขบขันไม่ได้ นางอดที่จะมองฟางไฉหรงอีกคราไม่ได้
คล้ายว่านางคุ้นหน้าเขามากจริงๆ
"งานเลี้ยงชมดอกเหมยที่จวนข้า เจ้าจะไปหรือไม่ซู่ฮวา?"
ฟางไฉหรงเอ่ยถามไป๋ซู่ฮวา ในขณะที่นางเพียงหันมามองเขา ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ฟางไฉหรงยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ข้าจะรอเจ้านะ"
ไป๋ซู่ฮวาแลบลิ้นใส่เขาคราหนึ่ง ก่อนจะจับมือเจียงหว่านหนิงเดินออกมาจากภัตตาคารโยวกวงในทันที
เมื่อกลับมาถึงจวนแล้ว เจียงหว่านหนิงก็กลับมาที่เรือนของตน ยามนี้ก็ผ่านมาครึ่งค่อนวันแล้ว อีกไม่นานไป๋จื่อเซียนคงจะกลับมาถึงจวนแล้ว ยามนี้เมื่อได้พักและไม่ขยับตัวบ่อยอาการของนางดีขึ้นมาก จึงรู้สึกว่ามีแรงขึ้นมาบ้าง
เรื่องราวในวันนี้ไป๋ซู่ฮวาบอกกับนางว่าห้ามบอกคนในจวนเป็นอันขาด นางมิอยากให้ท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายต้องเป็นห่วง อีกอย่างนางยังอยากออกไปเที่ยวเล่นที่นอกจวนอยู่
เจียงหว่านหนิงเดินไปหาป้าเถา เพื่อดูว่าป้าเถามีสิ่งใดให้นางช่วยหรือไม่ พอเดินมาถึงก็พบกับป้าเถากำลังอยู่ในโรงครัว เมื่อเห็นว่าเจียงหว่านหนิงมาถึงแล้ว ก็ยิ้มให้นางทันที
"กลับมาแล้วหรือ?"
"เจ้าค่ะ"
ยามนี้ป้าเถากำลังทำอาหารอยู่ ภายในจวนหอมฟุ้งจึงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของวัตถุดิบ
"เจ้าช่วยล้างผักให้ข้าที"
"ได้เจ้าค่ะ"
เจียงหว่านหนิงรับผักไปล้าง ก่อนจะได้ยินป้าเถาเอ่ยกับนาง
"วันนี้ข้าจะทำสาลี่ตุ๋นน้ำตาลกรวดกับบะหมี่ในน้ำมันหอมเจียวเอาไว้ให้คุณชายใหญ่ เจ้าจงจำไว้ล่ะ คุณชายใหญ่ชอบกินอาหารสองอย่างนี้เป็นที่สุด"
"เจ้าค่ะ"
เจียงหว่านหนิงรับคำพลางมองดูอาหารที่ป้าเถาจัดเตรียมเอาไว้ แม้จะไม่เข้าใจว่าป้าเถามาบอกนางทำไม ไป๋จื่อเซียนจะชอบกินสิ่งใด อย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับนางเท่าใดนัก เพราะนางไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ไปตลอด หากพบเจอบิดามารดานางก็จะไปแล้ว แต่นางก็ทำได้เพียงรับฟังและพยักหน้ารับเพียงเท่านั้น
เวลาผ่านไปจวบจนพระอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า ไป๋จื่อเซียนก็กลับมาที่จวนพอดี สองวันมานี้เขาไม่ได้ให้นางผสมน้ำให้อาบอีกแล้ว แต่ยกหน้าที่นี้ให้กับเหรินห่าวแทน เมื่อเห็นว่าเขาสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เจียงหว่านหนิงจึงยกอาหารเข้าไปให้เขา ไป๋จื่อเซียนมองดูอาหารตรงหน้า ก่อนจะเอ่ย
"ฝีมือป้าเถาสินะ ช่างรู้ใจข้าจริงๆ"
"ข้ารินชาให้นะเจ้าค่ะ"
"อืม"
ไป๋จื่อเซียนพยักหน้ารับ ก่อนจะยื่นมือไปหยิบตะเกียบ เตรียมจะคีบบะหมี่ขึ้นมากิน แต่ทว่าเมื่อเขาเหลือบตาขึ้นมอง ก็แทบจะสำลักบะหมี่ออกมาในทันที
"แค่กๆ"
"คุณชายใหญ่ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"
เจียงหว่านหนิงรีบโน้มกายเข้ามาหา ก่อนจะยื่นมือไปลูบแผ่นหลังให้เขา ไป๋จื่อเซียนพยายามเบนสายตามองไปที่อื่น ยามนี้กลิ่นหอมจากกายของนางทำให้จิตใจที่สงบนิ่งมาโดยตลอดของเขาพลันเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง
"เอ่อ แค่กๆ"
"คุณชายใหญ่ท่านสำลักอาหารหรือเจ้าคะ"
"เอ่อ...นม เอ่อ...แค่กๆ"
"เอ? ท่านอยากดื่มนมหรือเจ้าคะ?"
ไป๋จื่อเซียนยกกำปั้นขึ้นมาทุบหน้าอกของตนอย่างแรงคราหนึ่ง ใบหน้าของเขาเริ่มเขียวคล้ำ เจียงหว่านหนิงเห็นท่าไม่ดี นางจึงกำมือแน่น ก่อนจะสูดลมหายใจเขาลึก แล้วทุบกำปั้นเข้าไปที่กลางหลังของไป๋จื่อเซียนอย่างเต็มแรง"
"แค่กๆ อุแหวะ"
ไป๋จื่อเซียนตาเหลือก สำรอกอาหารออกมาจนหมด ก่อนจะหอบหายใจ พลางมองนางด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เห็นเพียงเจียงหว่านหนิงที่มองเขาพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
"คุณชาย ข้าตกใจแทบแย่ เร็วเข้า ดื่มชาเถิดเจ้าค่ะ จะได้โล่งคอ"
ไป๋จื่อเซียนไม่เอ่ยสิ่งใด เขาค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ให้ตายเถอะ เหตุใดนางจึงมือหนักเช่นนี้กันนะ ทุบลงมาครั้งหนึ่งปอดเขาแทบจะทะลุแล้ว!!
ไม่นานนักเจียงหว่านหนิงก็ยื่นถ้วยชามาตรงหน้าเขา ไป๋จื่อเซียนรับมาดื่มจนหมดถ้วย ก่อนจะกระแอมไอคราหนึ่ง
"เลอะเทอะหมดแล้ว ข้าจะทำความสะอาดให้นะเจ้าค่ะ"
"เอ่อ ไม่ต้อง อีกเดี๋ยวข้าจะให้เหรินห่าวมาเก็บกวาดเอง"
"ไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าทำเอง มันเป็นหน้าที่ของข้านะเจ้าคะ"
"ไม่ต้อง เอ่อ..."
เพราะต่างยื้อยุดกันไปมา ทำให้เจียงหว่านหนิงที่เดิมทีมีอาการเวียนศีรษะอยู่ก่อนหน้า ซวนเซลงมานั่งลงบนตักของไป๋จื่อเซียน สองมือของนางกอดรอบลำคอของเขาเอาไว้ ในขณะที่มือของไป๋จื่อเซียนก็โอบรัดรอบเอวบางของนางเอาไว้เช่นกัน
เจียงหว่านหนิงจ้องมองเขาด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่ฝ่ามือสวยจะฟาดลงไปบนใบหน้าของเขา แต่ทว่าไป๋จื่อเซียนครานี้ระวังตัวเอาไว้ก่อนแล้ว เขารีบจับข้อมือของนางเอาไว้ทันที ก่อนจะเอ่ย
"เจ้าจะทำสิ่งใด?"
"คุณชายใหญ่ โรคบ้าจี้ของข้ากำเริบอีกแล้วเจ้าค่ะ"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไป๋จื่อเซียนจึงดีดกายของตนออกห่างจากนางทันที ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
"ข้าไม่กินแล้ว เจ้าเก็บไปเถิด แล้วจะไปทำสิ่งใดก็ไปทำเถิด พรุ่งนี้ข้าต้องไปร่วมงานชมดอกเหมย อยากจะพักเร็วๆ เสียหน่อย"
"เจ้าค่ะ"
เจียงหว่านหนิงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินจากไป
ค่ำคืนที่อากาศกำลังเย็นสบาย แต่ทว่าไป๋จื่อเซียนกลับนอนไม่หลับ เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าของเจียงหว่านหนิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งภาพเนินอกขาวผ่องของนางก็ติดอยู่ในสมองของเขาไม่ยอมจางหาย
เขาพลิกกายไปมา ก่อนจะหันไปมองเจียงหว่านหนิงที่นั่งเอนกายพิงประตูอยู่ สองคืนแล้วที่นางมานอนเฝ้าเขาเช่นนี้ นางนอนเฝ้าเขาจริงๆ ไม่ได้มีท่าทียั่วยวนเขาเลยแม้แต่น้อย
เขาอดที่จะมองนางให้นานขึ้นอีกหน่อยไม่ได้ พบว่ายามที่นางหลับ ใบหน้างดงามดูอ่อนโยนและน่าทะนุถนอมยิ่งนัก
ห้าปีต่อมา "ท่านแม่ พวกเราจะไปอยู่ที่จวนท่านลุงนานหรือไม่ขอรับ?" ฟางหว่านหนิงที่กำลังเตรียมจัดข้าวของเพื่อออกเดินทางไปยังแคว้นฉางอัน หันมามอง ไป๋หยวน บุตรชายเพียงคนเดียวของนางที่ยามนี้มีอายุสี่ขวบแล้ว นางยิ้มให้บุตรชายก่อนจะเอ่ย"คงจะร่วมหลายเดือนเลยแหละ แม่จะพาหยวนเอ๋อร์ไปไหว้หลุมศพท่านตาท่านยายบุญธรรม ที่แคว้นฉางอันยามนี้สงครามสงบแล้ว ย่อมงดงามไม่ต่างจากแคว้นต้าโจว หยวนเอ๋อร์ของแม่อยากเห็นหรือไม่?""อยากขอรับ""เช่นนั้นก็มาช่วยแม่จัดของเร็วเข้า"ไป๋หยวนพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบมาช่วยมารดาตนจัดของอย่างมีความสุข ฟางหว่านหนิงมองบุตรชายตนอย่างรักใคร่ ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไม่นานมานี้ท่านลุงเจียงจือหยวนส่งจดหมายมาบอกนางว่า ได้จัดการทำป้ายสุสานบรรพบุรุษเป็นชื่อของท่านพ่อและท่านแม่ นำมาไว้ที่จวนตระกูลเจียงแล้ว มีการทำพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณทุกปี เดิมทีฟางหว่านหนิงตั้งใจจะไปกราบไหว้ แต่ก็ติดที่ไป๋หยวนบุตรชายของนางยังเล็กนัก การเดินทางค่อนข้างลำบาก แต่ยามนี้บุุตรของนางเติบโตมากแล้ว ย่อมเดินทางได้ง่ายขึ้น ไป๋จื่อเซียนที่กลับมาจากค่ายทหาร เมื่อเห็นว่าภรรยาและลูกชายของเขากำลังจัดเต
ฟางหว่านหนิงจ้องมองร่างของโจวชิงเหยาที่ยามนี้ถูกไฟไหม้ไม่เหลือซากก่อนจะหลับตาลง แล้วซุกกายเข้าไปในอ้อมกอดของไป๋จื่อเซียน ไป๋จื่อเซียนกอดนางเอาไว้ อีกทั้งยังปลอบประโลมนางด้วยความรักใคร่ "อาหนิง""ไป๋จื่อเซียน เดิมทีตอนที่จับตัวข้าไป เขาไม่ได้ล่วงเกินข้า เขาเพียงหวังจะฆ่าข้าให้ตายตามเขา เขาไม่ยอมให้ข้าแต่งงานกับท่าน ข้า...""ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเชื่อใจเจ้า คนเช่นเจ้า หากต้องตกเป็นของโจวชิงเหยา ข้ารู้ว่าเจ้าคงยอมปลิดชีพตนเองเสียยังดีกว่า""ฮึก ไป๋จื่อเซียน""ไม่ต้องร้องแล้ว เรากลับจวนกันเถิด""อืม"ไป๋จื่อเซียนเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน นางซบกายลงไปอิงแอบเขาอย่างรักใคร่ ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าใด ยามที่ได้อยู่ใกล้เขานางก็รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเสมอมาเมื่อกลับมาถึงจวน ฟางฮูหยินก็วิ่งเข้ามากอดบุตรสาวในทันทีด้วยความห่วงใย ฟางไฉหรงที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยกับไป๋จื่อเซียนอย่างซาบซึ้ง"อาจื่อ ขอบใจเจ้ามาก ข้าเป็นพี่ชายที่แย่ยิ่งนัก ทั้งที่นางเป็นน้องสาวของข้า แต่ว่าข้ากลับไม่ได้ตามไปช่วยนาง""เจ้าอย่าคิดมาก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เก่งวรยุทธ์เท่าใดนัก พวกมันเป็นนักฆ่าที่ถูกฝึกฝนมา ข้าเกรงว่าเจ้าจะเกิด
ไป๋จื่อเซียนมุ่งหน้าตรงมาที่จวนตระกูลฟางด้วยความร้อนใจ เมื่อมาถึงก็พบกับฟางฮูหยินที่ตกใจจนเป็นลม ด้านเสนาบดีฟางก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก เมื่อสอบถามจากสาวใช้คนสนิท จึงได้ความว่า เดิมทีฟางหว่านหนิงกำลังปักผ้าคุลมหน้าเจ้าสาว แต่เพราะว่านางรู้สึกเมื่อยล้าแล้ว จึงอยากออกไปเดินเล่นรับลมที่ด้านนอกเสียหน่อย แต่ทว่านางเห็นว่าคุณหนูออกไปนานแล้ว จึงออกมาตาม แต่กลับพบว่ายามนี้คุณหนูได้หายตัวไปแล้ว มีเพียงผ้าเช็ดหน้าที่ทำตกเอาไว้เพียงเท่านั้น จึงมาแจ้งให้นายท่านและฮูหยินทราบ เหล่าบ่าวไพร่ต่างช่วยกันออกตามหาแต่ก็ไร้ร่องรอยของฟางหว่านหนิง"อาจื่อ จะทำเช่นไรดี?"ไป๋จื่อเซียนหันไปมองฟางไฉหรงคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจยามนี้โจวชิงเหยาหายตัวไป ประจวบเหมาะกับที่ฟางหว่านหนิงก็หายตัวไปอีกเมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็มีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะหันมาเอ่ยกับฟางไฉหรงด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา"อาไฉ ข้าเกรงว่าเรื่องที่อาหนิงหายตัวไปจะเกี่ยวข้องกับท่านอ๋อง""เอ?"ฟางไฉหรงที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทีตกใจไม่ต่างกัน หลังจากกำชับบ่าวไพร่ให้ดูแลมารดาให้ดีแล้ว เขาจึงออกมาพร้อมกับไป๋จื่อเซียน "อาจื่อ เจ้าแน่ใจ
ตระกูลไป๋ถูกกักบริเวณร่วมหลายสิบวัน เมื่อตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโจวชิงเหยา จึงถูกปล่อยตัวออกมา ยามนี้ไป๋จื่อเซียนและแม่ทัพใหญ่ไป๋กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ ฮ่องเต้โจวฉินอวี้มองพวกเขาสองคนพ่อลูกคราหนึ่ง "ลำบากพวกเจ้าสองพ่อลูกและคนตระกูลไป๋แล้ว แต่ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั่นถือเป็นเรื่องดี"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย "ตระกูลไป๋ซื่อสัตย์ภักดีต่อฝ่าบาทเท่านั้น ไม่เคยคิดเป็นอื่น ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย" "เอาเถิด เรารู้แล้ว แต่เรามีอีกเรื่องที่ต้องการให้พวกเจ้าไปทำ""เชิญรับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้โจงฉินอวี้ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย "ตามจับตัวอาชิงกลับมาให้ได้ เราอยากให้จับเป็น น้องชายผู้นี้จะดีจะร้ายก็มีสายเลือดเดียวกับเรา บางคราเขาอาจจะทำไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ"ไป๋จื่อเซียนและแม่ทัพใหญ่ไป๋รับคำคราหนึ่ง ฮ่องเต้โจวฉินอวี้จึงให้พวกเขาสองพ่อลูกกลับจวนไปเสีย เมื่อพวกเขาออกจากตำหนักไปแล้ว ฮ่องเต้โจวฉินอวี้ก็ทรุดตัวนั่งลงบนบัลลังก์ ขอบตาของเขาแดงก่ำ พยายามฝืนความเสียใจเอาไว้ ตอนที่ได้รู้เรื่องที่โจวชิงเหยาคิ
"นังสารเลวเจียงหว่านหนิง ข้าจะฆ่าเจ้า!!!""ถิงเอ๋อร์!! อย่านะ!!!"ไป๋จื่อเซียนหันไปมองฟางถิงถิงที่ยามนี้กำลังเอ่ยปากด่าทอเจียงหว่านหนิง และกำลังพุ่งทะยานเข้ามาหวังจะตบตีพี่สาวตน แต่ทว่าฟางอวี้เฉวียนกลับรั้งตัวน้องสาวของเขาเอาไว้ ก่อนจะจ้องมองฟางหว่านหนิงอย่างหวาดกลัว จะไม่ให้เขาหวาดกลัวได้เช่นไรกัน สามวันก่อนเขากับฟางถิงถิงวางแผนกันว่าจะลอบทำร้ายฟางหว่านหนิง แต่ผู้ใดจะรู้พี่สาวต่างมารดาผู้นี้กลับมีวรยุทธ์ นางหักนิ้วเขาอีกทั้งยังถีบเขาจนล้มหงายท้องไม่เป็นท่า ไม่พอเท่านั้นนางยังเตะเสยปลายคางเขาจนฟันหน้าหักไปซี่หนึ่ง จากนั้นนางก็ลงมือตบตีฟางถิงถิงอย่างไร้ความปรานี จนพวกเขาสองพี่น้องสะบักสะบอมบาดเจ็บไปไม่น้อย ตั้งแต่ท่านแม่ออกจากจวนไป ท่านพ่อก็ไม่เคยสนใจไยดีพวกเขาสองพี่น้องอีกเลย เมื่อท่านพ่อรู้ว่าเขาคิดทำร้ายฟางหว่านหนิง ก็สั่งขังพวกเขาเอาไว้แต่ในเรือนไม่ให้ออกไปก่อเรื่องได้อีก ฟางหว่านหนิงจ้องมองสองพี่น้องด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเห็นฟางอวี้เฉวียนทุบต้นคอของฟางถิงถิงจนสลบ แล้วแบกน้องสาวตนหนีกลับเรือนไปด้วยความหวาดกลัว "เหตุใดพวกเขาจึงดูหวาดกลัวเจ้าเช่นนี้?"ไป๋จื่อเซียนหันมามองที่ฟางห
ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดเจียงหว่านหนิงก็ได้สติและฟื้นขึ้นมา แต่เพราะนางยังบาดเจ็บอยู่จึงยังไม่อาจขยับกายได้มากนัก นางมองดูไป๋จื่อเซียนที่ยามนี้กำลังส่งยิ้มให้นาง พลางส่งถ้วยชามาให้นางดื่มดับกระหาย นางยิ้มตอบเขาเล็กน้อย"ข้าคิดว่าจะไม่ได้พบกับท่านแล้วไป๋จื่อเซียน"ไป๋จื่อเซียนยื่นมือมาลูบผมนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าต้องตายเป็นแน่"เจียงหว่านหนิงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ไป๋จื่อเซียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยปรามนางทันที"อย่าเพิ่งขยับมาก เจ้าบาดเจ็บหนัก!!!""อืม"เจียงหว่านหนิงจึงทิ้งกายลงนอนเช่นเดิม"เมื่อครู่ท่านแม่ของข้ากับซู่เอ๋อร์มาเยี่ยมเจ้า แต่ว่าเจ้ายังหลับอยู่ พวกนางจึงกลับไปก่อน""ลำบากพวกท่านยิ่งนัก""ลำบากอันใดกัน อีกไม่นานเราสองตระกูลก็จะเกี่ยวดองกันแล้ว"ไป๋จื่อเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เจียงหว่านหนิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยื่นมือของตนไปจับมือของเขาเอาไว้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจของนาง มันทำให้นางรู้สึกปลอดภัยยามที่ได้เห็นหน้าของไป๋จื่อเซียนเขาเป็นทุกอย่างในชีวิตของนางจริงๆไป๋จื่อเซียนสั่งให้เหรินห่าวไปแจ้งที่ตระก