Masuk๑๖
ค้างคืนจนได้
กุยฮั่น…
ก่อนหน้านี้ข้าพอจะรู้ว่าเฟิ่งหงซีดูสนใจลี่จูอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับหลางยี เขาชัดเจนมาตั้งแต่แรกว่าจะไม่สานสัมพันธ์กับนางเป็นอันขาด
ตอนที่ได้รับรายงานว่าประมุขน้อยทั้งสองมาเยือนหมู่บ้านกุยหานข้าก็สะกิดใจอยู่แล้ว จนกระทั่งมาเห็นด้วยสายตาของตนเองจึงแน่ใจ
“น่าสนใจ”
ข้าเอ่ยออกมาอย่างที่ใจคิด ตอนแรกตั้งใจว่าจะทำการดูตัวครั้งนี้ให้ผ่าน ๆ ไปเท่านั้น
แต่เห็นทีคงจะไม่ได้แล้ว!
“ทายาทปีศาจแมงมุมต้องใช้เวลาจัดการพอตัว เพื่อความปลอดภัยของลี่กูเหนียง คืนนี้ค้างที่พรรคมารกุยหานเป็นอย่างไร เดี๋ยวข้าจะให้คนไปแจ้งท่านประมุขลี่หลง”
“ไม่ได้/ไม่ได้”
หลางยีและเฟิ่งหงซีกล่าวพร้อมกัน แต่ดูเหมือนหลางยีจะตกใจในสิ่งที่ตัวเองเอ่ยออกมาไม่น้อย เขาถึงได้รีบอธิบาย
“สตรียังไม่ได้ออกเรือนจะนอนค้างอ้างแรมที่อื่นได้อย่างไร รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น”
ข้าไม่คิดว่าประโยคนี้จะหลุดจากปากคนอย่างหลางยี เขากลายเป็นบุรุษเคร่งในธรรมเนียมตั้งแต่เมื่อไร
“แต่หลางผิงกูเหนียงก็เคยมาค้างที่หมู่บ้านป๋ายหลงนะเจ้าคะ ท่านหลางยีจำไม่ได้แล้วหรือ”
คำพูดของลี่จูทำหลางยีคิ้วกระตุก รู้เลยว่าทั้งสองต้องมีเหตุการณ์ใดเพิ่งเกิดขึ้นแน่
“ไม่เหมือนกัน กูกู่ของข้าพักที่บ้านญาติ แต่ลี่กูเหนียงมิใช่”
ทุกคนในที่นี้เข้าใจคำพูดของหลางยี เพราะข้าก็ถือว่าเป็นหนึ่งในว่าที่สามีของนาง
การที่นางจะมาค้างอ้างแรมในพรรคมารกุยหานล้วนไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
“ลี่จูเม่ยเม่ย หงซีเกอเกอจะไปส่งเจ้ากลับพรรคเอง เชื่อใจในฝีมือของเกอเกอหรือไม่”
ใบหน้าดวงน้อยหันไปมองเฟิ่งหงซี ดวงตากลมโตฉายร่องรอยขบคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้ารับ
“รบกวนหงซีเกอเกอแล้วเจ้าค่ะ”
ลี่จูกับเฟิ่งหงซีเรียกกันด้วยคำพูดสนิทสนมดูมีพัฒนาการกว่าเจ้าหลางยีผู้ปากร้ายเป็นอย่างยิ่ง
แต่ก็นะ! เมื่อได้เรียกเกอเกอแล้วก็คงต้องเรียกไปตลอดชีวิต
“ในเมื่อลี่กูเหนียงตัดสินใจเช่นนี้ ข้าก็จะร่วมเดินทางไปส่งด้วยเช่นกัน ไว้วันหลังข้าจะไปรับมาเที่ยวพรรคมารกุยหาน”
คำพูดของข้าชัดเจนว่าวันนี้ไม่นับเป็นวันดูตัวของข้ากับลี่จู การที่ข้ากล่าวว่าจะไปรับนางด้วยตนเองก็มีความหมายในตัวอยู่แล้วว่าข้าให้ความสำคัญกับนางไม่น้อย
“ถือสิทธิ์อันใด วันนี้เจ้าเจอนางแล้วก็ไม่มีสิทธิ์เจออีก ไม่ยุติธรรมเลยสักนิดคิดบ้างหรือไม่กุยฮั่น!”
หลางยีเผลอขึ้นเสียงจนลี่จูสะดุ้ง เมื่อเจ้าตัวรู้ตัวถึงได้ปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง
“วันนี้เจ้าก็ได้เจอนางอีกมิใช่หรือ อย่างไรที่เรียกว่าไม่ยุติธรรม”
ข้าจ้องหน้าหลางยีนิ่ง ๆ สายตาฆ่าฟันของเขายิ่งทำให้มุมปากของข้าโค้งสูง
จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ความสนใจของทุกคนจึงไปอยู่ที่เขา
“ยากนักจะได้เห็นฉากนี้เกิดขึ้น สตรีผู้นี้เป็นใครหรือ ถึงได้ทำให้ว่าที่ประมุขพรรคมารทั้งสามทะเลาะกัน”
“ไม่ได้ทะเลาะ!”
หลางยีเป็นคนตอบโต้กลับไป ส่วนข้านิ่งเงียบ ใช้สายตาสงบนิ่งจับจ้องหย่งเหิงผู้ที่มาทำลายความสงบของหมู่บ้านกุยหาน
“ถวายพระพรองค์ชายรอง ทรงมีกิจให้พรรคมารกุยหานรับใช้ไยไม่ตรัสตามตรง ปีศาจอารักษ์ตนนี้คือสิ่งที่ได้รับการยกเว้นจากพรรคเรา เกรงว่าองค์ชายจะไม่ทรงทราบ”
“เปิ่นหวางไม่ทราบจริง ๆ”
หึ! ก็เพราะทราบดีถึงได้ลักลอบเข้ามาสิไม่ว่า แม้แต่เสด็จพ่อของเขาแท้ ๆ จะไปจะมายังมีการให้คนมากล่าวบอกก่อน องค์ชายผู้นี้ช่างโอหัง
น่าเจ็บใจตรงที่จัดการเขาไม่ได้ แม้เมืองหนานหยาจะเป็นระบบปกครองพิเศษ แต่อย่างไรก็ได้ขึ้นชื่อว่าอยู่แคว้นจุน
ตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ แล้วนี่เป็นพระโอรสของฮ่องเต้ อย่างไรก็ต้องไว้หน้าพระบิดาของเขา
ครื้น~
เสียงฟ้าคำราม ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท เมฆดำจับกลุ่มกันจนหนาขึ้นเรื่อย ๆ บ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนจะเทกระหน่ำจนน้ำเจิ่งนอง
“ดูท่าฝนกำลังจะตกหนัก หากเปิ่นหวางขอค้างแรมที่พรรคมารกุยฮั่นหนึ่งคืนจะเป็นการขอที่มากเกินหรือไม่”
ในยามปกติข้าคงหาเรื่องปฏิเสธได้อย่างตรงไปตรงมาแน่ แต่เมื่อมองไปยังใบหน้างามที่กำลังแหงนหน้ามองฟ้าแล้วดวงตาเป็นกังวล ข้าจึงพยักหน้าลงโดยไม่ลังเล
“เช่นนั้นคืนนี้เชิญทุกคนเป็นแขกเข้าพักที่พรรคมารกุยหาน ข้าจะให้คนเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสรรพ”
แม้คำพูดจะดูเหมือนเชื้อเชิญทุกคน แต่สายตาของข้ากลับตรึงอยู่ที่ใบหน้าพริ้มเพราจนนางใบหน้าแดงเรื่อ
ลี่จูพยายามซ่อนอาการด้วยการหลุบตาลงต่ำ จากนั้นก็เสหน้ามองไปทางอื่นกลบเกลื่อนอาการเขินอาย
เห็นแล้วรู้สึกคันยุบยิบในใจ!
(จบกุยฮั่น)
๑๐เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า “ฮูหยิน เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า!”นี่คือประโยคแรกที่ข้ากล่าวหลังจากที่ถลันกายเข้าไปในห้องนอนรอยยิ้มบนใบหน้าข้าหายไปทันทีเมื่อเห็นสภาพนางที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียง พอเห็นหน้าข้านางก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เหตุใดนางจึงร้องไห้น้ำตาอาบหน้าเช่นนี้“ฮูหยิน…”อาชิ่งรู้งานรีบเดินออกไปจากเรือนนอนปล่อยให้เราสองคนอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพัง“ฟูจวินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ไม่ต้องเข้ามา”ข้าชะงักเท้าตามที่นางสั่ง แม้จะทราบว่านางเป็นเช่นนี้เพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจห้ามความเศร้าที่กอบกุมจิตใจได้“ฮูหยินร้องไห้ด้วยเหตุใด บอกฟูจวินได้หรือไม่”“ไม่บอกเจ้าค่ะ อยากร้องไห้ต้องมีสาเหตุด้วยหรือ” ปลายเสียงนางสะบัดแต่สะอื้นฮัก ๆ เพราะร้องไห้เห็นร่างบางที่หันหลังใส่ตัวสั่นเช่นนี้ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เดินไปนั่งด้านหลังนางแล้วสวมกอดร่างบางเอาไว้จากด้านหลัง“ฮูหยิน อยากร้องก็ร้อง แต่อย่าห้ามฟูจวินให้กอดเจ้าเลย ในเวลานี้เจ้าไม่ควรให้ตัวเองอยู่คนเดียว”นางเห็นหน้าข้าแล้วอาจหงุดหงิด แต่ทำแบบนี้ย่อมดีเสียกว่าทิ้ง
๙เบื่อหน้าเขานัก บุตรสาวข้าเลี้ยงง่ายยิ่งนัก! ท่านพ่อของข้ากล่าวว่าตอนเด็กนางเหมือนข้าไม่มีผิด เวลาใครอุ้มก็จะมองหน้าคนนั้น มองนิ่ง ๆ ด้วยสายตาสำรวจ นอกจากครั้งแรกที่ร้องไฮ้ตอนเป็นทารกแล้ว ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้อีก หลางลู่หลินก็เช่นกัน! สิ่งนี้ทำให้ข้าเริ่มสงสัยว่านางเป็นแบบข้าหรือไม่ มีความทรงจำของชาติภพปัจจุบันติดมาด้วยหรือเปล่า มีวันหนึ่งข้าลองทดสอบดู พูดเป็นภาษาอังกฤษภาษาสากล แต่นางเพียงมองหน้าข้าด้วยสายตาว่างเปล่า ชัดเจนว่าไม่เข้าใจ คิดได้สองแง่ หนึ่งนางแค่ไม่ชอบร้องไฮ้ มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เกิด สองนางอาจมากันคนละยุคกับข้า การทดสอบของข้าดำเนินการมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางอายุเข้าสามหนาวข้าก็หยุดทดสอบ คิดได้ว่า… ไม่ว่าใครจะมาเกิดนางก็ตาม อย่างไรนางก็คือบุตรสาวของข้า ใช้ชีวิตเป็นมารดาของหลางลู่หลินโดยไม่ตั้งคำถามกับตนเองในใจอีก เข้าปีที่สามของการใช้ชีวิตเป็นมารดา ปีนี้ลู่หลินพูดได้เยอะขึ้น วิ่งเล่นได้เร็วขึ้น ดูสดใสตามวัยโดยเฉพาะยามที่ได้เล่นกับบิดาและน้าชาย กอปรกับข้าตั้งครรภ์อ่อน ๆ หน
๘ผู้ซึ่งสมหวังที่สุดข้าเรียนรู้วิธีการกรี๊ดแล้ว!“กรี๊ด~เจ็บ!”ที่ผ่านมาข้าคิดว่าตนเองกรี๊ดไม่เป็นจนกระทั่งวันนี้ เจ้าตัวน้อยของแม่มอบบทเรียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่กำลังลืมตาดูโลกเลย “ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ…อื้อ~” “อื้อ~”ข้าออกแรงเบ่งพร้อมเปล่งเสียงตามท่านหมอหญิง แต่เจ้าตัวน้อยของข้าก็ไม่ยอมออกเสียที“เบ่งอีกเจ้าค่ะฮูหยินน้อย เอาให้สุดแรงครั้งนี้ออกแน่เจ้าค่ะ”อีกครั้งเดียวแน่หรือ!“ฮูหยินน้อย อาชิ่งช่วยเบ่งเจ้าค่ะ”สาวใช้คนสนิทใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ข้า น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกสภาพจิตใจในตอนนี้“เอาล่ะเจ้าค่ะ เบ่งเจ้าค่ะ”“อีกทีใช่หรือไม่…อื้อ~” ข้าพยายามเบ่งอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิมคือยังไม่ออกมีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรชาย แต่ก็มีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรสาวสุดท้ายข้าเลือกเชื่อว่าเป็นบุตรสาวเพราะสามีกระซิบกับท้องข้าเบา ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสเช่น…‘พ่อไปเรียนทำผมมาแล้ว จะถักเปียให้เจ้าทุกวันดีหรือไม่ลูกสาว’ไม่ก็กล่าวกับอาไท่ว่า…‘ทำชิงช้าน้อยใต้ต้นไม้ให้บุตรสาวข้าหน่อย’เป็นเช่นนี้ตลอด! นานวันเข้าข้าก็คาดหวังว่าตัวเองจะได้บุตรสาวเช่นเดียวกับฟูจวิน“ท่านหมอ ไม่ออก…ฮึก”เมื่อค
๗นางอาจจะมาแล้ว“เกิดอันใดขึ้นกับนาง!”“ฮูหยินเป็นลมขอรับ”ข้าบีบมือตนเองแน่น ต่อให้นางจะเป็นลมข้าก็ไม่วางใจ ถามเขาถึงสถานที่ที่นางอยู่่ในตอนนี้“ฮูหยินอยู่ที่ใด”“เรือนนอนขอรับ”เมื่อทราบสถานที่ที่นางอยู่แล้วข้าก็ไม่รีรอ ใช้พลังภายในที่มีทั้งหมดเร่งความเร็วมาที่เรือนหอ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องนอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของหลางผิงและท่านหมอประจำจวนข้าถลันกายเข้าในด้านในโดยไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น“ฮูหยิน!”ใบหน้านางซีดมากจนข้าหายใจไม่ออก มารู้ว่าตนมือสั่นก็ตอนที่เอื้อมมือไปจับมือบาง“ฟูจวิน ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ทำใจดี ๆ”ทำใจดี ๆ เช่นนั้นหรือ กล่าวเช่นนี้แล้วข้าจะยังใจเย็นได้ไหวหรือ นางเป็นอันใดถึงต้องกล่าวให้ข้าทำใจดี ๆ“ฮะ ฮูหยิน พูดแบบนี้ข้าใจไม่ดีเลย”ข้าเริ่มกล่าวเสียงตะกุกตะกักแล้ว ในตอนนั้นเองที่หมอประจำจวนเรียกความสนใจจากข้า“ท่านประมุขน้อย ฮูหยินไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายขอรับ แต่เป็นข่าวดี”ข่าวดี!“บอกเขาเถิดเจ้าค่ะท่านหมอ”เสี่ยวกูกู่เอ่ยขึ้น แววตาของนางฉายความขบขันจนข้าวางใจว่าภรรยาไม่ได้ป่วยเป็นอันใดจริง ๆ“ยินดีกับท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ ฮูหยินตั้งครรภ์แล้วขอรับ”ตะ ตั้งครรภ์หรือ!“ฮูห
๖ฮูหยินเป็นอันใดลี่จู…กลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวครั้งนี้ข้ารู้สึกเบาใจขึ้นกว่าเดิมโดยไม่แน่ใจถึงสาเหตุหรือเป็นเพราะเห็นทุกคนต่างพยายามปรับตัวเข้าหากันรวมถึงปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ข้าจึงเบาใจว่าจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวหลังกลับจากพรรคมารป๋ายหลงเมื่อวาน ข้าคิดจะนอนหลับพักผ่อน แต่ไม่วายโดนฟูจวินลากไปห้องหนังสือให้ช่วยฝนหมึกให้ในตอนนั้นเองที่ข้าทราบว่าเขาไม่ได้ต้องการคนฝนหมึก เขาแค่อยากให้ข้านั่งอยู่ใกล้ ๆช่วงค่ำพวกเราทานอาหารกับประมุขเฮยหลางที่ข้าเปลี่ยนมาเรียกท่านพ่อแล้วท่านพ่อกล่าวว่าพอได้ทานอาหารร่วมกันสามคน ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าแช่มชื่นของท่านเป็นตัวแสดงความสุขได้อย่างชัดเจนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน…ข้าปรับตัวกับที่นี่ได้แล้ว!ฟูจวินทราบว่าข้าชอบดอกไม้จึงลงมือปลูกดอกไม้ให้ข้าด้วยตนเองดอกไม้ที่ลงมือปลูกโดยเขาแม้จะไม่งามเท่าคนสวนปลูก แต่ข้าเห็นถึงความตั้งใจนั้นและรักเขาเพิ่มอีกนิดหนึ่งวันหนึ่งข้ากำลังนั่งเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้ฟูจวินกับอาชิ่ง สาวใช้ประจำพรรคก็เดินเข้ามาในศาลา“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ”ข้าพยักหน้าให้นางรายงานได้“หลางผิงกูเหนียงมา ใ
๕ต่างคนต่างตามใจกันข้าจำคำพูดที่ฟูจวินกล่าวไว้วันแต่งงานได้ เขาบอกว่าสาบานเป็นพี่น้องกับลี่หลานแล้วตอนนั้นข้ารู้สึกทะแม่ง คิดอยู่นานว่าลี่หลานหรือจะยอมญาติดีกับเขาโดยง่ายแล้ววันนี้ข้อสงสัยของข้าก็ได้รับการพิสูจน์!ลี่หลานยังคงมองฟูจวินเป็นศัตรูที่แย่งความรักกับพี่สาวเขาไม่เสื่อมคลาย เพียงแต่ไม่มีสิทธิ์ห้ามฟูจวินเข้าใกล้ข้าอย่างกาลก่อน“...เจี่ยเจีย อาเตียนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้วขอรับ”ลี่หลานผายมือเชิญข้าไปยังห้องรับประทานอาหารในเรือนรับแขก เขาชายตามองฟูจวินเพียงครู่เท่านั้นก็ตวัดสายตามามองข้าไม่มองฟูจวินอีกเลย!“เชิญเจี่ยเจียอย่างเดียวหรือ ไม่เชิญเจี่ยฟุหรือ”ฟูจวินถามลี่หลานยิ้ม ๆ ก่อนที่จะยื่นมือมาสอดเอวข้าแล้วดึงเข้าใกล้กว่าเดิมลี่หลานแสดงท่าทางหวงผ่านแววตา ไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านเป็นเด็ก ๆ เช่นเคยเห็นเขาควบคุมตัวเองได้ดีแบบนี้ข้าก็ดีใจ!“เชิญเจี่ยฟุทางนี้”ข้าส่งยิ้มให้ลี่หลานทันทีเมื่อเขาเรียกฟูจวินเช่นนี้คำกล่าวเมื่อครู่ลี่หลานย่อมฝืนใจ แต่เมื่อเห็นข้าส่งยิ้มดีใจให้ ที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็ไม่ดูฝืนอีกต่อไป“ไปทานข้าวกันขอรับเจี่ยเจี่ย เจี่ยฟุ”“ไป”ถือเป็นก้าวที่ดี ลี่หลานรั







