๒๐
ฝากรับพิจารณา
ลี่จู…
“เราเข้าไปข้างในกันเถิด”
กุยฮั่นผู้มีท่าทีเปลี่ยนไปเอ่ยชวนข้าเข้าไปด้านในเขตป่าสามฤดู เขาสาวเท้าเดินนำโดยไม่รั้งรอข้า ช่วงขายาวกอปรกับการก้าวที่เร่งรีบต่างจากปกติ เวลาเพียงครู่ก็นำลิ่วไปไกลแล้ว
“รอข้าด้วยเจ้าค่ะ”
ข้าวิ่งตามเขาแล้วคว้ามือหนาเอาไว้ จังหวะก้าวนำของเขาชะงัก ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองข้าด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ไม่นานก็กลับมาเรียบเฉยเช่นเดิม
ดวงตามีเสน่ห์หลุบมองมือของข้าที่กุมมือเขาไว้ ข้าจึงได้ปล่อยมือแล้วกล่าวขออภัยเสียงเบา
“ท่านเดินเร็วมาก ข้าเดินตามไม่ทันเจ้าค่ะ”
“ข้าต่างหากที่ต้องขออภัย” เขาเอ่ยพร้อมกับยื่นมือมาให้ข้า กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “จับมือข้าไว้ เผื่อเจอเรื่องไม่คาดฝัน ข้าจะได้ช่วยลี่กูเหนียงได้ทัน”
ข้าเหลือบตามองโดยรอบ ตอนนี้เข้ามาในเขตป่าสามฤดูแล้ว ได้ยินเสียงโห่ร้องของบุรุษดังทั่วสารทิศ คาดว่าเป็นลูกพรรคที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่
เสียงเหล่านั้นข่มขวัญคนได้ดียิ่ง ข้าจึงรีบวางมือนุ่มลงบนมือหนา
“รบกวนดูแลด้วยเจ้าค่ะ”
เขายิ้มบางแล้วจูงมือข้าพาไปยังทิศทางหนึ่งซึ่งเป็นหอคอยขนาดสูง
ด้านล่างหอคอยมีบุรุษร่างหนาสองคนยืนเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่อันเป็นทางเข้าหอคอย
เมื่อเห็นนายน้อยของพรรคมาเยือน ก็รีบยกมือขึ้นทำการคารวะ
“คารวะท่านประมุขน้อย”
กุยฮั่นพยักหน้ารับเบา ๆ ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาพาข้าเดินเข้าไปด้านในหอคอยซึ่งแบ่งเป็นชั้นมากกว่า 30 ชั้น
ทว่าแต่ละชั้นกลับไม่มีบันไดเลยสักชั้นเดียว สมแล้วที่ชาวยุทธภพเรียกพวกเขาว่า ‘พรรคบ้าพลัง’
“ล่วงเกินลี่กูเหนียงแล้ว”
เพียงแค่มองหน้า ข้าก็รู้แล้วว่าเขาจะทำอะไรจึงได้พยักหน้าเบา ๆ เป็นการอนุญาต
เขาจึงเอื้อมมือมาคว้าเอวบางแนบร่าง แล้วใช้พลังยุทธ์ทะยานขึ้นชั้นบน
พลังของเขาร้ายกาจยิ่ง นับหนึ่งยังไม่ทันถึงสามก็พาข้าขึ้นมายังชั้นบนสุดของหอคอยได้แล้ว
“โอ้…”
ข้ามองเขาอย่างตื่นตะลึง มือบางยกขึ้นทาบหน้าอก ใจวูบโหวงเต้นระส่ำ
แม้ตอนก่อนหน้าที่จะทะยานขึ้นข้าจะได้เตรียมใจไว้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเร็วปานความไวแสงเช่นนี้
“ตกใจมากเลยหรือ ขออภัยด้วย”
แม้ปากจะเอ่ยขออภัย แต่สีหน้ากลับปรากฏความขำขันจนเห็นลักยิ้มตรงมุมปาก
ข้ากระแอมเบา ๆ อย่างเก้อกระดาก พยายามสงบสติอารมณ์ เรียกความสงบนิ่งกลับมา
“สูงดีเจ้าค่ะ”
ข้าเสมองไปโดยรอบจึงเห็นว่าชั้นบนสุดนี้สามารถมองเห็นผืนป่าสามฤดูได้ทั้งสามร้อยหกสิบองศา เห็นฝน หิมะและไอร้อนตามลักษณะของผืนป่า
แม้จะมองไม่เห็นตัวคน แต่ยังคงได้ยินเสียงแว่วมาให้ได้ยินตามจังหวะที่ลมพัดพามา
“หากมีกล้องส่องทางไกลก็คงดี”
ด้วยความที่ลืมตัว ข้าจึงเผลอยกสองมือขึ้นทำเป็นกล้องส่องทางไกลส่องไปโดยรอบ ประหนึ่งว่ามันสามารถซูมภาพได้จริง ๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กล้องทำมือส่องไปทางคนข้างกายซึ่งกำลังมองท่าทางของข้าด้วยสีหน้าตั้งคำถาม
ข้าจึงค่อย ๆ ลดสองมือลง ในหัวคิดหาคำอธิบายต่อพฤติกรรมของตนเอง
“เอ่อ…”
“ลี่กูเหนียงอยากเห็นในระยะใกล้กว่านี้ใช่หรือไม่”
ขอบคุณที่มองข้ามแล้วเป็นฝ่ายถามนำให้
“ใช่เจ้าค่ะ แต่ข้าแค่อยากมองเท่านั้น ไม่ได้คิดอยากลงไปสัมผัสจริง ๆ”
เพราะกลัวว่าเขาจะเอาใจข้าโดยการพาลงไปในป่าจริง ๆ ข้าจึงได้ออกตัวไว้ก่อน
“ตามใจลี่กูเหนียง หากยามใดที่สนใจสามารถบอกข้าได้ตลอดเวลา”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ข้ายิ้มจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก เขาเองก็เช่นกัน
แม้ระหว่างเราจะไร้เสียงพูดคุย แต่ข้าไม่ได้รู้สึกว่าบรรยากาศมาคุแต่อย่างใด คงเป็นเพราะบรรยากาศที่ดี ข้าจึงรู้สึกว่าเหมือนกำลังกินลมชมวิวอยู่ จนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมา…
“ข้าเป็นคนสุดท้ายที่ลี่กูเหนียงมาดูตัวด้วย”
ข้าหันมาจ้องตาเขา รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอันใด ท่าทางที่ดูจริงจังขึ้นทำให้คนฟังเช่นข้าตีสีหน้าจริงจังตาม
“ไม่ว่าลี่กูเหนียงจะตัดสินใจอย่างไร ฝากรับข้าไปพิจารณาด้วยได้หรือไม่”
นี่เขา…กำลังขอโอกาสจากข้าใช่หรือไม่
๑๐เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า “ฮูหยิน เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า!”นี่คือประโยคแรกที่ข้ากล่าวหลังจากที่ถลันกายเข้าไปในห้องนอนรอยยิ้มบนใบหน้าข้าหายไปทันทีเมื่อเห็นสภาพนางที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียง พอเห็นหน้าข้านางก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เหตุใดนางจึงร้องไห้น้ำตาอาบหน้าเช่นนี้“ฮูหยิน…”อาชิ่งรู้งานรีบเดินออกไปจากเรือนนอนปล่อยให้เราสองคนอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพัง“ฟูจวินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ไม่ต้องเข้ามา”ข้าชะงักเท้าตามที่นางสั่ง แม้จะทราบว่านางเป็นเช่นนี้เพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจห้ามความเศร้าที่กอบกุมจิตใจได้“ฮูหยินร้องไห้ด้วยเหตุใด บอกฟูจวินได้หรือไม่”“ไม่บอกเจ้าค่ะ อยากร้องไห้ต้องมีสาเหตุด้วยหรือ” ปลายเสียงนางสะบัดแต่สะอื้นฮัก ๆ เพราะร้องไห้เห็นร่างบางที่หันหลังใส่ตัวสั่นเช่นนี้ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เดินไปนั่งด้านหลังนางแล้วสวมกอดร่างบางเอาไว้จากด้านหลัง“ฮูหยิน อยากร้องก็ร้อง แต่อย่าห้ามฟูจวินให้กอดเจ้าเลย ในเวลานี้เจ้าไม่ควรให้ตัวเองอยู่คนเดียว”นางเห็นหน้าข้าแล้วอาจหงุดหงิด แต่ทำแบบนี้ย่อมดีเสียกว่าทิ้ง
๙เบื่อหน้าเขานัก บุตรสาวข้าเลี้ยงง่ายยิ่งนัก! ท่านพ่อของข้ากล่าวว่าตอนเด็กนางเหมือนข้าไม่มีผิด เวลาใครอุ้มก็จะมองหน้าคนนั้น มองนิ่ง ๆ ด้วยสายตาสำรวจ นอกจากครั้งแรกที่ร้องไฮ้ตอนเป็นทารกแล้ว ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้อีก หลางลู่หลินก็เช่นกัน! สิ่งนี้ทำให้ข้าเริ่มสงสัยว่านางเป็นแบบข้าหรือไม่ มีความทรงจำของชาติภพปัจจุบันติดมาด้วยหรือเปล่า มีวันหนึ่งข้าลองทดสอบดู พูดเป็นภาษาอังกฤษภาษาสากล แต่นางเพียงมองหน้าข้าด้วยสายตาว่างเปล่า ชัดเจนว่าไม่เข้าใจ คิดได้สองแง่ หนึ่งนางแค่ไม่ชอบร้องไฮ้ มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เกิด สองนางอาจมากันคนละยุคกับข้า การทดสอบของข้าดำเนินการมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางอายุเข้าสามหนาวข้าก็หยุดทดสอบ คิดได้ว่า… ไม่ว่าใครจะมาเกิดนางก็ตาม อย่างไรนางก็คือบุตรสาวของข้า ใช้ชีวิตเป็นมารดาของหลางลู่หลินโดยไม่ตั้งคำถามกับตนเองในใจอีก เข้าปีที่สามของการใช้ชีวิตเป็นมารดา ปีนี้ลู่หลินพูดได้เยอะขึ้น วิ่งเล่นได้เร็วขึ้น ดูสดใสตามวัยโดยเฉพาะยามที่ได้เล่นกับบิดาและน้าชาย กอปรกับข้าตั้งครรภ์อ่อน ๆ หน
๘ผู้ซึ่งสมหวังที่สุดข้าเรียนรู้วิธีการกรี๊ดแล้ว!“กรี๊ด~เจ็บ!”ที่ผ่านมาข้าคิดว่าตนเองกรี๊ดไม่เป็นจนกระทั่งวันนี้ เจ้าตัวน้อยของแม่มอบบทเรียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่กำลังลืมตาดูโลกเลย “ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ…อื้อ~” “อื้อ~”ข้าออกแรงเบ่งพร้อมเปล่งเสียงตามท่านหมอหญิง แต่เจ้าตัวน้อยของข้าก็ไม่ยอมออกเสียที“เบ่งอีกเจ้าค่ะฮูหยินน้อย เอาให้สุดแรงครั้งนี้ออกแน่เจ้าค่ะ”อีกครั้งเดียวแน่หรือ!“ฮูหยินน้อย อาชิ่งช่วยเบ่งเจ้าค่ะ”สาวใช้คนสนิทใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ข้า น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกสภาพจิตใจในตอนนี้“เอาล่ะเจ้าค่ะ เบ่งเจ้าค่ะ”“อีกทีใช่หรือไม่…อื้อ~” ข้าพยายามเบ่งอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิมคือยังไม่ออกมีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรชาย แต่ก็มีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรสาวสุดท้ายข้าเลือกเชื่อว่าเป็นบุตรสาวเพราะสามีกระซิบกับท้องข้าเบา ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสเช่น…‘พ่อไปเรียนทำผมมาแล้ว จะถักเปียให้เจ้าทุกวันดีหรือไม่ลูกสาว’ไม่ก็กล่าวกับอาไท่ว่า…‘ทำชิงช้าน้อยใต้ต้นไม้ให้บุตรสาวข้าหน่อย’เป็นเช่นนี้ตลอด! นานวันเข้าข้าก็คาดหวังว่าตัวเองจะได้บุตรสาวเช่นเดียวกับฟูจวิน“ท่านหมอ ไม่ออก…ฮึก”เมื่อค
๗นางอาจจะมาแล้ว“เกิดอันใดขึ้นกับนาง!”“ฮูหยินเป็นลมขอรับ”ข้าบีบมือตนเองแน่น ต่อให้นางจะเป็นลมข้าก็ไม่วางใจ ถามเขาถึงสถานที่ที่นางอยู่่ในตอนนี้“ฮูหยินอยู่ที่ใด”“เรือนนอนขอรับ”เมื่อทราบสถานที่ที่นางอยู่แล้วข้าก็ไม่รีรอ ใช้พลังภายในที่มีทั้งหมดเร่งความเร็วมาที่เรือนหอ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องนอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของหลางผิงและท่านหมอประจำจวนข้าถลันกายเข้าในด้านในโดยไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น“ฮูหยิน!”ใบหน้านางซีดมากจนข้าหายใจไม่ออก มารู้ว่าตนมือสั่นก็ตอนที่เอื้อมมือไปจับมือบาง“ฟูจวิน ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ทำใจดี ๆ”ทำใจดี ๆ เช่นนั้นหรือ กล่าวเช่นนี้แล้วข้าจะยังใจเย็นได้ไหวหรือ นางเป็นอันใดถึงต้องกล่าวให้ข้าทำใจดี ๆ“ฮะ ฮูหยิน พูดแบบนี้ข้าใจไม่ดีเลย”ข้าเริ่มกล่าวเสียงตะกุกตะกักแล้ว ในตอนนั้นเองที่หมอประจำจวนเรียกความสนใจจากข้า“ท่านประมุขน้อย ฮูหยินไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายขอรับ แต่เป็นข่าวดี”ข่าวดี!“บอกเขาเถิดเจ้าค่ะท่านหมอ”เสี่ยวกูกู่เอ่ยขึ้น แววตาของนางฉายความขบขันจนข้าวางใจว่าภรรยาไม่ได้ป่วยเป็นอันใดจริง ๆ“ยินดีกับท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ ฮูหยินตั้งครรภ์แล้วขอรับ”ตะ ตั้งครรภ์หรือ!“ฮูห
๖ฮูหยินเป็นอันใดลี่จู…กลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวครั้งนี้ข้ารู้สึกเบาใจขึ้นกว่าเดิมโดยไม่แน่ใจถึงสาเหตุหรือเป็นเพราะเห็นทุกคนต่างพยายามปรับตัวเข้าหากันรวมถึงปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ข้าจึงเบาใจว่าจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวหลังกลับจากพรรคมารป๋ายหลงเมื่อวาน ข้าคิดจะนอนหลับพักผ่อน แต่ไม่วายโดนฟูจวินลากไปห้องหนังสือให้ช่วยฝนหมึกให้ในตอนนั้นเองที่ข้าทราบว่าเขาไม่ได้ต้องการคนฝนหมึก เขาแค่อยากให้ข้านั่งอยู่ใกล้ ๆช่วงค่ำพวกเราทานอาหารกับประมุขเฮยหลางที่ข้าเปลี่ยนมาเรียกท่านพ่อแล้วท่านพ่อกล่าวว่าพอได้ทานอาหารร่วมกันสามคน ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าแช่มชื่นของท่านเป็นตัวแสดงความสุขได้อย่างชัดเจนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน…ข้าปรับตัวกับที่นี่ได้แล้ว!ฟูจวินทราบว่าข้าชอบดอกไม้จึงลงมือปลูกดอกไม้ให้ข้าด้วยตนเองดอกไม้ที่ลงมือปลูกโดยเขาแม้จะไม่งามเท่าคนสวนปลูก แต่ข้าเห็นถึงความตั้งใจนั้นและรักเขาเพิ่มอีกนิดหนึ่งวันหนึ่งข้ากำลังนั่งเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้ฟูจวินกับอาชิ่ง สาวใช้ประจำพรรคก็เดินเข้ามาในศาลา“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ”ข้าพยักหน้าให้นางรายงานได้“หลางผิงกูเหนียงมา ใ
๕ต่างคนต่างตามใจกันข้าจำคำพูดที่ฟูจวินกล่าวไว้วันแต่งงานได้ เขาบอกว่าสาบานเป็นพี่น้องกับลี่หลานแล้วตอนนั้นข้ารู้สึกทะแม่ง คิดอยู่นานว่าลี่หลานหรือจะยอมญาติดีกับเขาโดยง่ายแล้ววันนี้ข้อสงสัยของข้าก็ได้รับการพิสูจน์!ลี่หลานยังคงมองฟูจวินเป็นศัตรูที่แย่งความรักกับพี่สาวเขาไม่เสื่อมคลาย เพียงแต่ไม่มีสิทธิ์ห้ามฟูจวินเข้าใกล้ข้าอย่างกาลก่อน“...เจี่ยเจีย อาเตียนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้วขอรับ”ลี่หลานผายมือเชิญข้าไปยังห้องรับประทานอาหารในเรือนรับแขก เขาชายตามองฟูจวินเพียงครู่เท่านั้นก็ตวัดสายตามามองข้าไม่มองฟูจวินอีกเลย!“เชิญเจี่ยเจียอย่างเดียวหรือ ไม่เชิญเจี่ยฟุหรือ”ฟูจวินถามลี่หลานยิ้ม ๆ ก่อนที่จะยื่นมือมาสอดเอวข้าแล้วดึงเข้าใกล้กว่าเดิมลี่หลานแสดงท่าทางหวงผ่านแววตา ไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านเป็นเด็ก ๆ เช่นเคยเห็นเขาควบคุมตัวเองได้ดีแบบนี้ข้าก็ดีใจ!“เชิญเจี่ยฟุทางนี้”ข้าส่งยิ้มให้ลี่หลานทันทีเมื่อเขาเรียกฟูจวินเช่นนี้คำกล่าวเมื่อครู่ลี่หลานย่อมฝืนใจ แต่เมื่อเห็นข้าส่งยิ้มดีใจให้ ที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็ไม่ดูฝืนอีกต่อไป“ไปทานข้าวกันขอรับเจี่ยเจี่ย เจี่ยฟุ”“ไป”ถือเป็นก้าวที่ดี ลี่หลานรั