ถนนข้างสะพานพระรามสามยังคงมีเสียงรถวิ่งและไฟรถถนนส่งมาเป็นระยะบนรองเท้าส้นสูงส้นแหลมเล็ก ขนมที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กเหมือนเด็กสิบสี่สูงแค่150ในชุดรัดสั้นเดินตัวเปล่าฝ่าความมืดและเหนื่อยหนักอาจจะมีอาการเมาเล็กน้อยกลับบ้านเช่าหลังเล็กหลังจากเลิกงาน
“ไอ้บ้าเอ้ย หลอกให้ซดเหล้าอยู่ได้เงินก็ไม่ให้ ตั้งใจจะมอมเหล้ากันรึไง”
คืนนี้เป็นคืนที่ขนมรับงานพิเศษเด็กเอนฯเพื่อนดื่ม ผู้ชายรวย แต่ไม่สุภาพ เอาเปรียบโดยไม่ต้องถามความสมัครใจ เด็กเอนฯอย่างเธอไม่ใช่คนไร้ศักดิ์ศรี เพียงแต่ไม่มีโอกาสมากพอจะปฏิเสธโลกใบนี้
วอดก้าช็อตต่อช็อตรินซ้ำรอบในกระเพาะรู้สึกกระอักกระอวนขนม โก่งคออาเจียนก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ เสียงสวบสาบจากด้านข้างของสะพานดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ขนมหันไปเห็นเงาร่างคนคนหนึ่ง ยืนที่ราวสะพานเหมือนคิดจะปีนข้ามเพื่อ….ฆ่าตัวตาย
"เฮ้ย อย่านะ"
เสียงแหบแห้งของขนมตะโกนฝ่าลมวิ่งเข้าไปทั้งที่ขาแทบไม่มีแรง เข้าดึงแขนชายหนุ่มคนนั้นที่หลบอย่างรวดเร็ว และแรงโน้มถ่วงไม่ปรานีใคร
หนึ่งก้าวพลาด หนึ่งวินาทีเปลี่ยนทุกสิ่ง
รองเท้าส้นสูงลื่นบนพื้นเปียก เสียงส้นรองเท้าหักดังเปาะ ขนมเซไปข้างหน้า เสียงกรีดร้องขาดสะบั้นในลำคอเมื่อขนมหล่นจากสะพาน เสี้ยววินาทีนั้น ภาพทุกอย่างหมุนคว้าง
“กูไม่น่ามาช่วยมึงเลย”
ความคิดสุดท้ายก่อนกระแทกผิวน้ำ ดวงตาคู่เดิมที่เคยเห็นท้องฟ้ากรุงเทพฯ มืดดับในเงาแห่งสายน้ำเชี่ยว โลกทั้งใบเป็นเพียงความมืดที่เย็นชืดและแหลมคมดั่งใบมีดที่กรีดผ่านขั้วหัวใจ
ขนมไม่อยากตายเลย ไม่มีใครอยากตายทั้งนั้น
เมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาอีกครั้ง โลกไม่ได้มีเสียงรถหรือแสงไฟอีกต่อไป มีเพียงความเย็นของพื้นหินกลิ่นอับชื้น แสงสลัวลอดผ่านซี่กรงไม้ผุและเสียงโซ่เหล็กเสียดสีกับข้อเท้า ถูกบ่ามโซ่ ยมทูตล่ามโซ่ฉันหรือ
ขนม ลืมตาขึ้นมาพบว่าตัวเองถูกจับขังอยู่ในกรงไม้ ในโลกที่ไม่คุ้นเคย ในร่างที่ไม่ใช่ของตัวเอง ราวกับเชลยก็เชลยนั่นแหละ เสียงฝนจากภายนอกหยุดลงแล้ว แค่ยังหนาวเหน็บ
ขยับนิ้วมือดูช้าๆ เปลือกตาหนักอึ้งลืมขึ้นช้าๆ ดวงตาปรือมองเห็นเพียงแสงสลัวลอดช่องซี่ไม้ด้านบน และแสงคบเพลิงที่วูบไหวจากภายนอกกรง
ขนมอยากถามว่า ที่นี่ที่ไหน แต่เสียงของตัวเองกลับติดอยู่ในลำคอ ราวกับใช้ไม่ได้อีกแล้ว แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างตื่นเต้น
"นางฟื้นแล้ว นางฟื้นแล้ว" ต้นเสียงเป็นหญิงชราร่างผอมเกร็งในกรงถัดไปทางขวา
"เมื่อครู่นี้ข้าเห็นนางชักกระตุก ตาค้างเหมือนจะขาดใจตาย นึกว่าจะตายเสียแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะยังหายใจอยู่" อีกเสียงพูดขึ้น
"แต่นางรอดไปก็เท่านั้น อ๋องโหดผู้นั้นรู้เข้าคงไม่ปล่อยนางไว้แน่" หญิงวัยกลางคนพูดเสียงต่ำ เสียงถอนหายใจดังขึ้นเป็นทอดๆ
"ข้าว่านางตายด้วยตัวเองยังดีเสียกว่าถูกทรมานจากอ๋องโหดผู้นั้น... อย่างน้อยก็ยังเลือกจุดจบเองได้"
ขนมในร่างเล็กเหมือนกับจ้าวอินหลัวที่เพิ่งฟื้นขึ้นมากะพริบตาและยังไม่รู้เลยว่า อ๋องโหด ที่พวกเขาเอ่ยถึงนั้น เป็นผู้ใด
ยังไม่ทันจะได้ประมวลว่าตนกำลังฝันอยู่หรือตื่น เสียงของหญิงชราเมื่อครู่ก็ค่อยๆ เลือนหาย เสียงกุญแจโซ่ เสียงฝีเท้า และเสียงกระซิบแผ่วเบาค่อยๆ ดังแทรกเข้ามาในห้วงความคิดที่ยังพร่าเลือน
"รอค่ำก่อน... ท่านอ๋องสั่งไว้แล้ว"
"ใช่ เขาส่งคำสั่งมาด้วยตัวเอง บอกให้ พานางไปพบที่กระโจม"
"ข้าคาดว่านางคง... ไม่รอดหรอก ก็ดูว่านางเหมือนคนที่ป่วยหนัก "
ร่างกายจ้าวอินหลัวหนักอึ้ง แต่สมองกลับรับรู้ได้ชัดเจน คำว่า นำตัวไปพบ ไม่ได้ให้ความรู้สึกยินดีใดๆ ในบริบทนี้เลย
ขนมสะดุ้งตื่นมาอีกครั้งความอ่อนเพลียเริ่มหายไปกำลังวังชากลับมาเหมือนเดิม ขนมมองมือตัวเอง ก้มมองเสื้อผ้าสีสันสดใสผ้าเนื้อดี และผิวพรรณขาวผ่องผิดวิสัยเชลยทั่วไป
เสียงฝีเท้าไกลออกไปแล้ว แต่เสียงกระซิบของเชลยในกรงใหญ่ที่ขังคนรวมกันข้างๆ ยังไม่จางหาย
"นางช่างโชคร้ายนัก..." เสียงแหบพร่าของชายชราเอ่ยอย่างเวทนา
"หากท่านอ๋องหลี่เจินหรงให้พาไปพบในยามค่ำ ข้าว่า..." เสียงหญิงคนหนึ่งพูดแผ่วเบา
"คงไม่พ้นให้ม้าแยกร่าง หรือไม่ก็ถูกมัดไว้เป็นเป้าให้ฝึกยิงธนู"
"เงียบเถิด เดี๋ยวนางจะได้ยินเข้า จะหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม" หญิงชราอีกคนตำหนิ
"ข้าก็อดสงสารนางไม่ได้นี่...นางไม่เคยผ่านความลำบากจะทนได้สักเท่าไหร่กัน"
"ชายาอ๋อง…จ้าวอินหลัว สามีถูกฆ่าตายแล้วถูกจับมาในฐานะเชลย อย่างไรก็หนีไม่พ้นอ๋องโหด"
แต่ในจังหวะเดียวกันนั้น ชื่อของร่างนี้... เป็นที่จะต้องจดจำไว้ ฉันที่นี่ชื่อ… จ้าวอินหลัว
"ชอบยั่วยวนบุรุษเช่นนี้สินะ ไม่แปลกใจเลยเจ้าจึงทำให้มีคนหลงใหลเจ้ามากมาย กี่คนกันนะ ทั้งอ๋องเหล่ย ทั้งท่านหมอ หรือว่าจะรวมคนสนิทของบิดาเจ้าก็คือเสียนหยางคนนั้นด้วยหรือแต่ละคนท่าทางองอาจหล่อเหลา เอหรือจะรวมเจ้าเสี่ยวหม่าไว้ด้วยหรือเปล่า ออกรับแทนเจ้าตลอดเวลา"ฟาดงวงฟาดงาคำพูดของหลี่เจินหรงกระแทกเข้าไปในใจของอินหลัว ไม่รู้ว่ามันเป็นการพูดด้วยความโกรธเกลียด หรือความหึงหวงที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาอินหลัวกดความเจ็บปวดในใจเอาไว้ลึกๆ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา "ท่านอ๋องคิดจะพูดถึงใครก็พูดเถอะ ข้าทำอะไรท่านไม่ได้ ข้าแค่... เป็นคนที่ไม่มีค่าเท่านั้นเอง ในสายตาท่านจะทำอะไรก็ผิดไม่ทำก็ผิดอยู่แล้ว"หลี่เจินหรงจ้องมองอินหลัวอยู่ในท่าทางนิ่งๆ ตลอดเวลา ความรู้สึกที่เขามีกับเธอนั้นดูเหมือนจะเป็นการผสมผสานระหว่างความโกรธและไอ้ความรุ้สึกอีกอย่างที่มันนถาโถมนี่คือความรู้สึกใดกันแน่"...ปราณเราเชื่อมกันสินะตอนนี้ข้ารู้สึกแปลกๆ หรือว่าเป็นเจ้าที่รู้สึกแบบนั้นแล้วส่งต่อมาถึงข้า ชิ…ช่างเถอะข้าหาสนใจไม่ เพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงต้องมาคอยสนใจเจ้าแบบนี้"หลี่เจินหรงพึมพำเบาๆ ความรู้สึกของทั้งสองคนยิ่
กระโจมที่พักในขบวนเดินทางเงียบสงัด อากาศยามเช้าเย็นสบาย ลมอ่อนๆ พัดผ่านรอบๆ ขบวนที่พัก เสียงใบไม้ไหวเป็นระยะๆ ขณะที่ท่านหมอไป๋อี้เซิงเดินเข้ามาในกระโจมที่พักของอินหลัว ใบหน้าของเขาแสดงความห่วงใยเมื่อเห็นอินหลัวนอนอยู่บนแท่นนอน“เจ้า...ดูดีขึ้นมากทีเดียว” ท่านหมอพูดอย่างพอใจ พร้อมยิ้มเล็กน้อย “ท่านอ๋องให้เวลาสามวันเจ้าใช้ไม่คุ้มเลยนี่ขาดอีกตั้งวันหนึ่งเลยทีเดียว”อินหลัวขยับตัวเล็กน้อย ขยี้ตาแล้วยิ้มบางๆ ให้ท่านหมอ ก่อนที่จะบอกออกมาอย่างขำขัน “อย่างนั้นข้านอนต่อเถอะรอให้ครบสามวันฮ่าาาา” แล้วทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งเหมือนจะหลับไปท่านหมอยิ้มขำเอ็นดูท่าทางของอินหลัว แต่ไม่ยอมให้นอนต่อ “ลุกขึ้นมานั่งเสียบ้าง นอนแบบนี้ ท่านอ๋องมาเห็น ข้าจะโมโหได้เขาอากจะเดินทางต่อแล้ว” ไป๋อี้เซิงพูดออกไปอย่างยิ้มๆ พร้อมพยายามยกตัวอินหลัวให้ลุกขึ้น แต่อินหลัวก็แกล้งทำท่าเหมือนจะลุกไม่ขึ้น“โอ๊ยๆๆ ...ข้าไม่ไหวแล้วข้าไม่มีแรงจะลุกขึ้นเลย” อินหลัวบ่นออกมาเสียงแผ่ว ราวกับยังอ่อนแอจากอาการป่วยเมื่อก่อนหน้านี้ท่านหมอที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบยื่นมือไปดึงตัวอินหลัวขึ้น “โอ๊ะ” ทำให้เขาพลาดไปล้มตัวลงบนร่างเล็กของอินหลัว
ในความเงียบของกระโจม เสียงลมหายใจของผู้คนที่หลับไปแล้วรวมถึงเสียงลมหายใจเบาๆ ของอินหลัวที่เผลอหลับอยู่ในอ้อมแขนของหลี่เจินหรงทำให้บรรยากาศรอบตัวชวนให้รู้สึกเงียบสงบ ท่ามกลางแสงจางๆ ที่ส่องผ่านจากโคมไฟที่ยังติดอยู่บนเพดาน กระโจมเล็กๆ ดูอบอุ่นและเต็มไปด้วยความเงียบสงบหลี่เจินหรงนั่งอยู่ข้างแท่นนอนของอินหลัว ร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดของเขายังคงหลับสนิท ท่าทางของหลี่เจินหรงนั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวล สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของอินหลัวที่นอนหลับนิ่งอย่างอ่อนโยน มือของเขาพาดอยู่บนตัวจ้าวอินหลัวอย่างเบามือ ทั้งยังคงโอบกอดร่างบางนั้นให้แนบชิดกับตัวเขาท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบและความวิตกกังวล ทุกอย่างเหมือนจะหมุนวนไปช้าๆเสี่ยวหม่าที่เดินเข้ามาในกระโจม เห็นภาพตรงหน้าและหยุดยืนอยู่ที่ประตู กระทั่งยิ้มบางๆ ด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถบอกออกมาเป็นคำพูดได้ เขาไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ยิ้มให้กับภาพนั้นอย่างรู้ดี“หาตั้งนานท่านอ๋องมาอยู่นี่เองสินะ”ในใจของเสี่ยวหม่าเต็มไปด้วยความเข้าใจ “ท่านอ๋องในที่สุดก็รู้ใจตัวเองสินะ...” เขาพึมพำเบาๆ ยิ้มน้อยๆภายใต้รอยยิ้มนั้นเสี่ยวหม่ารู้สึกเป็
หลี่เจินหรงมองไปที่อินหลัวที่หลับอยู่บนแท่นนอน“ข้าให้เวลาแค่สามวัน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายในเวลานั้น ข้าจะไม่รออีกต่อไปต่อให้ต้องหามนางก็ต้องเดินทาง” เขาหันไปมองไป๋อี้เซิงไป๋อี้เซิงพยักหน้าด้วยท่าทีสงบแต่ก็มีความกังวลในแววตา "ท่านอ๋อง ท่านไม่ต้องกังวล ข้าน้อยเองก็คิดว่าไม่น่าเกินสองหรือสามวันต่อไปนี้จะจัดยาบำรุงร่างกายเพิ่มให้ด้วย”“จะทำอะไรก็รีบทำ ข้าเบื่อและรำคาญเกินทนแล้ว เดี๋ยวก็พิษกำเริบเดี๋ยวก็ป่วยไข้เมื่อไหร่จะถึงวังหลวง”หลี่เจินหรงพูดด้วยน้ำเสียงที่ยากจะเข้าใจ “ยิ่งพักนานในป่านี้ยิ่งไม่สามารถควบคุมอันตรายจากการมาถึงของผู้ที่หวังร้ายได้ ถ้ามีคนมาชิงตัวอินหลัวไปอีกยิ่งจะทำให้เสียเวลา แค่สามวันไม่เกินนั้น”เสี่ยวหม่าที่ยืนอยู่ข้างๆ ฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างล้อเล่น แต่ก็แฝงด้วยความหมาย“ตั้งสามวันเชียวหรือ ดีจัง ปกติถ้าเป็นเสี่ยวหม่าป่วยวันเดียวท่านอ๋องก็ไล่ให้ลุกแล้ว ข้าจะไปไหนก็ไปกันเร็วๆ ถ้าป่วยนานเกินไป ข้าก็จะโดนดุแล้ว” เสี่ยวหม่าพูดพร้อมกับยิ้มแห้งๆหลี่เจินหรงหันมามองเสี่ยวหม่าด้วยท่าทีหงุดหงิด แล้วถอนหายใจออกมาเสียงดังจนเสี่ยวหม่าถึงกับยิ้มแห้งอีกครั้ง“อยากจะไปเ
ร่างของอินหลัวในอ้อมแขนของเขายังคงมีแต่ความอ่อนแอ บนใบหน้าของหลี่เจินหรงมีเพียงความเย็นชา บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังเล่นเกมกับความรู้สึกในใจ ที่จริงเขารู้ดีว่าเขาควรจะให้ความสนใจกับการป่วยของอินหลัวมากขึ้น แต่เพราะความเคยชินที่ต้องปกป้องตัวเอง เขาจึงพยายามจะหลบหลีกมันไปไม่นานนัก ไป๋อี้เซิงก็เดินเข้ามา พร้อมกับเสี่ยวหม่าเยว่หรงและอวิ๋นเอ่อร์ เขาหยุดลงตรงหน้า “ข้าจะตรวจดูอาการของนางเสียก่อนจึงจะบอกได้ว่าเป็นอย่างไร” หลี่เจินหรงพยักหน้าเยว่หรงกับอวิ๋นเอ่อร์ช่วยกันจัดท่านอนและอวิ๋นเอ่อร์ที่นำผ้าชุบน้ำมาเช้ดใบหน้าซีดเซียวของอินหลัว"ท่านอ๋อง... นางมีอาการไข้สูงมาก เป็นพิษจากภายนอกที่ยังคงคั่งค้างในร่างกาย อาการกำเริบเพราะความเครียดและการเดินทางที่ยาวนาน และความที่เมื่อยล้าในการเดินทาง" ไป๋อี้เซิงรายงานอย่างเป็นทางการหลี่เจินหรงพยักหน้า "ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ เพื่อบรรเทาอาการ""ขอรับท่านอ๋อง" ไป๋อี้เซิงตอบรับแล้วเข้าไปดูแลอินหลัวหลี่เจินหรงขยับไปที่ข้างๆ ไม่นานก็เห็นไป๋อี้เซิงเริ่มจัดการกับยาที่เขานำมาด้วยสายตาที่มุ่งมั่น หลี่เจินหรงยังคงยืนอยู่ข้างๆ ในท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่ส
ในห้องหรูของต้าหวางจ้าวจินเทา เสียงลมหายใจที่หนักหน่วงดังก้องในห้อง จ้าวจินเทานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่อาจกลั้นได้ ข้อมือที่กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนเหมือนจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อเสียนหยางที่บาดเจ็บสาหัสและกลับมาหลังจากทำงานพลาด รีบรุดเข้ามาในห้องด้วยท่าทางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาฝืนยิ้ม พยายามไม่ให้ตัวเองเกิดอาการ แต่สายตาของจ้าวจินเทาที่จับจ้องมา จนไม่อาจซ่อนเร้น"เสี่ยวหยางรู้ไหมว่าควรทำอย่างไร ข้าบอกแล้วหากไม่สำเร็จไม่ต้องกลับมา" เสียงของจ้าวจินเทาดังขึ้นจากคออย่างเกรี้ยวกราด เสียนหยางยืนอยู่ตรงประตู มองเจ้านายตัวเองด้วยความหวาดกลัวในดวงตา"ขออภัยขอรับต้าหวางข้ายินดีให้ลงทัณฑ์...ข้าทำพลาด...ข้า..."จ้าวจินเทากระชากร่างของเสี่ยวหยางเข้าไปใกล้ ราวกับจะบดขยี้เขาด้วยสายตา จ้าวจินเทาตะคอกเสียงดังสนั่น"ควรทำเช่นไร เจ้าบอกข้ามาว่าเจ้าทำงานพลาด ข้าสั่งให้เจ้าพาจ้าวอินหลัวกลับมา และเจ้ากลับได้รับบาดเจ็บแทน หลี่เจินหรงผู้นั้นเจ้าไม่อาจต่อกรด้วยเชียวหรือ”เสียนหยางก้มหน้าหลบสายตาจ้าวจินเทา รู้ตัวดีว่าเขาผิด "เสียนหยางผิดไปแล้ว เสียนหยางกำลังจะได้ตัวคุณ