ถึงวันที่ทั้งคู่ต้องไปถ่ายพรีเวดดิ้ง เพราะงานแต่งใกล้เข้ามาทุกทีงานทุกอย่างเลยดูเร่งรีบไปหมดจนฉัตรนลินทร์เองมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก เพราะเธอต้องขับรถไปกลับกรุงเทพกับบ้านเกิดสัปดห์ละหลาย ๆ รอบ ร่างกายเลยอ่อนเพลีย เช้านี้เธอเลยรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว
“ฉัตรไหวมั้ยลูก” ผู้เป็นแม่ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเขามาเห็นลูกสาวกำลังนอนซม
“ไหวค่ะแม่”
“เลื่อนไปก่อนดีมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ่ายให้มันเสร็จ ๆ ไป หนูจะได้กลับไปทำงานอีก”
“ให้พี่ขับรถไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ วันหยุดทั้งทีให้พี่พักเถอะ หนูขับไหว”
ฉัตรนลินทร์เธอมีพี่ชายหนึ่งคน ทั้งคู่ห่างกันสามปี ซึ่งตอนนี้พี่ชายของเธอก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว แถมยังมีเจ้าตัวน้อยวัยสามขวบหนึ่งคน
ปี๊น!
เสียงแตรรถที่ดังอยู่หลายครั้งทำให้คนในบ้านแปลกใจว่าใครกันนะทำไมถึงไม่มีมารยาทแบบนี้ แต่กลับมีคนหนึ่งที่รู้ดีว่าคนที่ทำพฤติกรรมแย่ ๆ นี้เป็นใคร
“หนูออกไปดูเองค่ะ”
พูดจบฉัตรนลินทร์ก็ลุกแล้วเดินออกไป และก็ไม่ผิดหวังกับความคิดของตัวเอง เพราะเขาใช่คนที่เธอคิดจริง ๆ
“คุณมีธุระอะไรคะ”
“วันนี้มีถ่ายพรีเวดดิ้งเธอลืมไปแล้วหรือยังไง”
“ไม่ลืมค่ะ”
“เห็นเธอยังไม่แต่งตัว”
“ฉันไม่รีบนี่คะ”
“ไปอาบน้ำแต่งตัวฉันจะรอ” เขาพูดพลางดับเครื่องยนต์
“รอทำไมคะ”
“ก็รอไปพร้อมกันไง”
มาแนวนี้อีกแล้ว ฉัตรนลินทร์รู้สึกเสียวสันหลังยังไงไม่รู้ สองครั้งที่ถูกทิ้งไว้กลางทางบอกตรง ๆ เธอเข็ด
“ฉันบอกคุณแล้วไงว่าฉันจะขับรถไปเอง”
“บอกตอนไหน” เขาทำเป็นจำไม่ได้
“คุณอย่ามาทำไขสือ”
“ไหน ๆ ฉันก็มาแล้ว ไปเถอะ” เขาพูดแกมอ้อนวอนจนฉัตรนลินทร์เองก็แปลกใจ
“คุณไปก่อนเถอะ” เธอยังใจแข็ง “คุณจะทำอะไร”
“แขกมาไม่เห็นเชิญเข้าบ้าน เธอมันไม่ได้เรื่องเลย”
“เดี๋ยว ๆ คุณ คุณไม่ได้ยินที่ฉันบอกหรือไง”
ศิวิฒน์ไม่สนใจ เขาเดินผ่านฉัตรนลินทร์แล้วเข้าไปในบ้าน
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ มารับยัยฉัตรเหรอคะ
“ใช่ครับ พอดีผมเห็นว่าเมื่อคืนฉัตรเขาเพิ่งขับรถมาจากกรุงเทพ เลยคิดว่าคงจะเหนื่อย วันนี้เลยอยากให้นั่งรถสบาย ๆ หน่อยครับ”
ฉัตรนลินทร์ที่เดินตามเข้ามา เธอทันได้ฟังคำพูดเลี่ยน ๆ นั้นพอดี เธอไม่อยากจะหักหน้าเขาเหมือนที่เขาทำกับเธออยู่หลายครั้ง เพราะเธอไม่ได้มีนิสัยแบบนั้น เธอจึงทำได้แค่มองบน
“รีบไปอาบน้ำแต่งตัวสิลูก อย่าปล่อยให้คุณไตรรอนาน”
“อย่าเรียกคุณเลยครับ เรียกไตรเฉย ๆ ก็พอครับ”
“ได้ค่ะ”
ความสุภาพนี้ดูจะผิดหูผิดตาของฉัตรนลินทร์จนเธองงไปหมด ผู้ชายคนนี้กินอะไรผิดมาหรือเปล่าทำไมถึงได้ผิดเพี้ยงไปได้ถึงขนาดนี้ ดูเปลี่ยนไปราวเป็นคนละคน
“ยังยืนอยู่อีกอย่าให้พี่เขารอนาน”
“เอ่อ...ค่ะ” ฉัตร์นลินทร์รีบหมุนตัวเดินเข้าห้องไปทันที โดยที่เธอไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้น
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงฉัตรนลินทร์ก็เดินออกมาจากห้อง ปกติเธอไม่ใช่คนอาบน้ำแต่งตัวนานแบบนี้ เธอเพียงแค่อยากแกล้งคนที่อยู่ด้านนอกก็เท่านั้น เพราะเธอมั่นใจว่าที่เขามาวันนี้ไม่ได้มาดีแน่นอน
ทันทีที่หันไปเห็นศิวัฒน์ก็ลุกจากโซฟา เขารอเธอมาพักใหญ่ คุยเรื่อยเปื่อยกับแม่ของฉัตรนลินทร์จนไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรแล้ว กว่าเธอจะออกมาได้
“คิดว่าจะออกมาสวยกว่านี้ซะอีก”
เขาก้มลงไปกระซิบเมื่อเธอมาหยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ เขา
“อาจจะสวยกว่านี้ถ้าคนที่มารอไม่ใช่คุณ”
เขาไม่สนใจคำพูดของเธอเหมือนที่เธอไม่สนใจคำพูดของเขานั่นแหละ
“ผมไปก่อนนะครับคุณแม่” ศิวัฒน์ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้แม่ของฉัตรนลินทร์อย่างนอบน้อม
“ขับรถดี ๆ นะลูก”
“ครับ”
“ฉัตรเอายาไปหรือยังลูก” แม่ของเธอพูดขึ้นขณะที่เธอหมุนตัวเดินตามศิวัฒน์ไป
“เอาแล้วค่ะ”
พวกเขามาถึงตามสถานที่นัดหมายในเวลาต่อมาหลังจากก่อนหน้านี้ได้แวะไปแต่งหน้าทำผมที่ร้านเรียบร้อยแล้ว แม้จะเป็นงานแต่งตามใจของศศิณี แต่ก็ไม่ทั้งหมดไปซะทีเดียว เพราะเธอเปิดโอกาสให้ทั้งคู่เลือกสถานที่ถ่ายพรีเวดดิ้งเอง แม้จะใช้เวลานานในการตัดสินใจก็เถอะ เพราะไม่ลงรอยกันจึงไม่ยอมรับความเห็นของกันและกัน แต่สุดท้ายฉัตรนลินทร์ก็ต้องยอมศิวัฒน์เพื่อตัดปัญหา เธอไม่อยากมาเสียเวลากับเรื่องนี้
“ทำไมถึงเป็นที่นี่คะ”
“ฉันว่ามันก็สวยดี ที่สำคัญสะดวกไม่ต้องขับรถไปไกล” เขาตอบโดยไม่หันมามองเธอ
นั่นสิตอนแรกฉัตรลินทร์ก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมอยู่ ๆ ทางร้านถึงโทรมาเปลี่ยนเวลาจาก 6 โมงเช้าเป็น 9 โมง เพราะถ้าไปทะเลเธอจะต้องออกเช้ากว่านี้
“คุณโอเคใช่มั้ย”
“อืม”
เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นที่ ๆ ฉัตรลินทร์เสนอตั้งแต่แรก แต่ศิวัฒน์ไม่เห็นด้วย และปฏิเสธทุกอย่างไม่ว่าเธอจะเสนออะไร เขาเลือกที่จะไปถ่ายที่ทะเล แต่ฉัตรลนิทร์ไม่ชอบ เธอชอบที่มีต้นหญ้าใบไม้เขียวขจีดูแล้วสบายตา นั่นก็คือสวนสาธรณะที่ที่เป็นแลนมาร์คของบ้านเกิดเธอนั่นเอง
“เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาถึงแล้วค่ะ” ช่างแต่งหน้าบอกช่างถ่ายรูปที่กำลังเซตสถานที่อยู่
“งั้นเชิญทั้งคู่มายืนตรงนี้นะครับ”
ทั้งสองเดินไปหยุดอยู่ตรงตำแหน่งที่ช่างถ่ายรูปบอก
“เจ้าบ่าวโอบไหล่เจ้าสาวหน่อยครับ”
ทั้งคู่มองหน้ากัน
“เร็วครับแดดกำลังสวยเลย” ช่างถ่ายรูปก็เดินเข้าไปจัดท่าให้ทั้งคู่เสร็จสรรพ เป็นท่าที่ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันศิวัฒน์กำลังกอดเอวฉัตรนลินทร์ ส่วนฉัตรนลินทร์ก็เอามือวางไว้ตรงอกของศิวัฒน์
“ยิ้มให้กันหน่อยครับ...นั่นแหละครับ...เจ้าบ่าวขยับหน้าเข้าไปหน่อยครับ”
สิ้นคำสั่งของช่างถ่ายรูปฉัตรนลินทร์ก็ต้องตาโตเมื่อศิวัฒน์ขยับหน้าเข้ามาใกล้เธอจนจมูกของเขาแตะกับจมูกของเธอ
“ใกล้เกินไปแล้วนะคะ” ฉัตรนลินทร์พูดเบา ๆ
“เดี๋ยวช่างก็บอกให้ใกล้อีก ใกล้อีก ฉันก็ทำก่อนเลยไม่ต้องรอให้เขาสั่ง เสียเวลา”
“คุณก็ขยับหน้าออกไปอีกหน่อยสิ”
“หึ...” เขายิ้มมุมปาก เมื่อเห็นว่าว่าที่เจ้าสาวของเขากำลังหน้าแดง
“ยิ้มอะไร” เธอถลึงตาใส่เขา แต่แล้วก็ต้องรีบหลุบตาต่ำลงเมื่อเขาก็จ้องมองเธออยู่เช่นกัน
ความหล่อของคนตรงหน้าปั่นป่วนหัวใจเธอมากในตอนนี้ ปกติแค่เห็นกัน แต่ไม่เคยเข้าใกล้กันมากเท่านี้มาก่อน และไม่คิดด้วยว่าคนตรงหน้าจะมีเสน่ห์มากเท่านี้ หากตัดเรื่องปากไม่ดีออกไปเขาคงเป็นผู้ชายเพอร์เฟ็กคนหนึ่งในสายตาของเธอ
“เจ้าสาวมองหน้าเจ้าบ่าวหน่อยครับ”
หา!
ฉัตรนลินทร์หันไปมองช่างถ่ายรูปด้วยสายตาเว้าวอน
“ไม่ต้องเขินครับ ภาพจะได้ออกมาสวย ๆ นะครับ เป็นความทรงจำที่ดีเลยครับ”
เธอไม่รู้จะพูดยังไง เพราะพวกเขาไม่รู้ว่างานแต่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากคู่บ่าวสาวที่รักกัน เธอไม่ได้ถูกรักจนขอแต่งงาน แต่เธอโดนจับแต่งงานเพื่อให้อีกคู่หมดรักกันต่างหาก
ฉัตรนลินทร์หันไปมองสบตาของศิวัฒน์อีกครั้ง คราวนี้ทั้งสองเหมือนคนที่ต้องมนต์สะกด ไม่มีใครละสายตาจากใครเพราะต่างก็มองลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน จนเกิดรอยยิ้มบาง ๆ ขึ้นบนใบหน้าของคนทั้งสอง
“นั่นแหละครับ สวยมากครับ...เจ้าบ่าวขยับหน้าเข้าไปอีกนิดครับ...ดีครับ...เจ้าสาวเอามือคล้องคอเจ้าบ่าวครับ...ดีครับ”
และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
“เอ่อ...” ช่างภาพได้แต่อ้าปากค้าง แต่เพราะความเป็นมืออาชีพ เขาก็ยังกดชัตเตอร์รัว ๆ
“อื้อ...” ตาคู่กลมเบิกโพรงด้วยความตกใจ เมื่อเธอโดนศิวัฒน์ประกบจูบลงไปบนกลีบปากสีแดงสดของเธอโดยที่เธอเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว
“คุณไตรใจเย็นก่อนค่ะ” ฟาร่ารีบร้องห้าม
นั่นแหละศิวัฒน์ถึงจะมีสติ เขาดันตัวเธอออกห่างจากตัวก่อนจะเช็ดปากของตัวเอง นึกสับสนตัวเองว่ากำลังทำอะไรลงไป ส่วนฉัตรนลินทร์เธอรีบหันหลังให้ศิวัฒน์ทันที
“มาค่ะคุณฉัตร ดูสิลิปเลอะหมดแล้วเดี๋ยวฟาร่าเช็ดให้นะคะ”
ฟาร่าจูงมือฉัตรนลินทร์ไปนั่งตรงที่พัก ก่อนจะบรรจงเช็ดรอยลิปให้เธอ เพียงไม่นานศิวัฒน์ก็ตามไปนั่งลงข้าง ๆ เพื่อให้ช่างจัดการรอยลิปบนหน้าให้เขา
ฉัตรนลินทร์ปรายตามองนิดหนึ่งก่อนที่เธอจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกสติของตัวเองออกมา เธออยากโวยวายกับเขา แต่เพราะไม่มีใครรู้ว่าเธอกับเขาไม่ใช่คนรักกัน ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่นิ่ง
แต่กลับมีหนึ่งคนที่รู้เรื่องราวนี้ดี ฉากจูบเมื่อครู่ทำเธอแอบบฟินไม่น้อย และเธอก็ทันได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายพอดี จึงส่งภาพนี้ไปให้ศศิณี เพราะเธอได้รับทิปพิเศษจากศศิณีให้ดูแลฉัตรนลินทร์เป็นอย่างดีตั้งแต่การตัดชุดไปจนถึงถ่ายพรีเวดดิ้ง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในร้านวันนั้นก็ไม่รอดพ้นจากศศิณีแน่นอน...
กว่าการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งจะผ่านไปได้ ก็เล่นเอาช่างภาพเหงื่อตก เพราะหลังเหตุการณ์นั้นฉัตรนลินทร์ก็ระวังตัวมากขึ้น จนดูไม่เป็นธรรมชาติ จนฟาร่าต้องแอบไปกระซิบบอกช่างถ่ายรูปว่าทั้งคู่เพิ่งคบกันไม่นาน เพราะแม่ของฝ่ายชายหาลูกสะใภ้เอง ทำให้เจ้าสาวเขินมากกว่าคู่บ่าวสาวทั่วไป
“ขึ้นรถสิ” ศิวัฒน์เปิดกระจกเรียนคนที่ยังยืนอยู่
ที่ฉัตรนลินทร์ไม่ยอมขึ้นรถ เพราะเธอรู้ดีว่าศิวัฒน์ก็คงใช้มุกเดิม แล้วทิ้งเธอไว้ที่ไหนสักแห่งสู้เธอไม่ขึ้นไปเลยตั้งแต่แรกดีกว่า
"ไม่ดีกว่าค่ะ”
“ฝนจะตกแล้ว ไม่สบายอยู่ไม่กลัวโดนฝนหรือไง”
“คุณรู้ได้ไง”
“ขึ้นมาเถอะไม่ต้องถาม”
ตอนเช้าที่ออกมาเขาได้ยินแม่ของฉัตรนลินทร์ถามเรื่องยา แล้วตอนที่ยืนถ่ายรูปด้วยกันตัวของฉัตรนลินทร์ก็ยังอุ่น ๆ อีก เขาเลยคิดว่าเธอคงจะไม่สบาย แผนของเขาจึงต้องพับเก็บไว้ก่อน
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนว่าฝนกำลังจะตก ฉัตรนลินทร์จึงตัดสินใจขึ้นรถ เธอไม่อยากตากฝนเพราะพรุ่งนี้เธอต้องขับรถกลับกรุงเทพไปทำงานต่ออีก
เธอนั่งรถไปด้วยใจระทึก ลุ้นอยู่ตลอดว่าเขาจะจอดตรงไหน และในที่สุดเขาก็ขับมาส่งเธอจนถึงบ้าน
“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณก่อนลงจากรถไป
ศิวัฒน์มองตามจนเธอเข้าบ้านไปในบ้าน อยู่ ๆ ภาพเหตุการณ์วันนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว เขาเอามือแตะปากตัวเองเบา ๆ แต่แล้วก็ต้องสะบัดหน้าไปมาสองสามครั้งเพื่อขับไล่ความคิด แล้วขับรถออกไป
วันต่อมาฉัตรนลินทร์ก็ปรากฏตัวที่มหาวิทยาลัย ทำให้หลาย ๆ คนที่รู้ว่าเธอแต่งงานเมื่อคืนต่างพากันตกใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่เวลานี้เธอควรจะพักผ่อน หรือไม่ก็กำลังเก็บเสื้อผ้าไปฮันนีมูนเมื่อคืนหลังออกจากโรงแรมเธอก็ขับรถกลับกรุงเทพโดยไม่ได้บอกใคร ในเมื่อศิวัฒน์มองว่าการแต่งงานมันไม่ได้สำคัญและเขาพร้อมที่จะหักหน้าเธอ ฉะนั้นเธอก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไว้หน้าเขา และเธอก็รู้ดีว่าหลังจากนี้ เขาก็จะตามมาต่อว่าเธอและเป็นอย่างที่เธอคิด เพราะหลังจากงานแต่งผ่านไปสองวันเขาก็ตามมาหาเธอถึงมหาวิทยาลัย“ออกจากโรงแรมทำไมถึงไม่รอฉัน” เขาบีบต้นแขนของเธอด้วยความโกรธ “ฉันโดนแม่ด่ามาสารพัดเพราะเธอคนเดียว”“คุณเองยังไม่อยากอยู่ห้องนั้นเลย แล้วคนอื่นเขาจะไม่อยากอยู่เหมือนคุณไม่ได้หรือไง”“เธอมัน...”“ทำไมคะ คุณอยากทำอะไรก็ทำไปสิ ฉันไม่ห้ามหรอก” เธอเผชิญหน้ากับเขา “แล้วคุณก็ห้ามยุ่งกับชีวิตของฉันด้วย”“เธอแน่ใจเหรอว่าเธอจะไม่ห้าม”“ค่ะ”เธอไม่ได้สนใจคนข้าง ๆ มากนัก เพราะตอนนี้โทรศัพท์ของเธอกำลังมีสายเข้า“ฮัลโหลค่ะ พี่กันต์เหรอ อยู่ที่ห้องแล็บใช่มั้ยคะ โอเคฉัตรกำลังไปค่ะ” เธอรับสายจากใครคนหนึ่งแล้
วันแต่งงานเป็นอีกวันที่ฉัตรนลินทร์รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าวันสำคัญที่ผ่าน ๆ มาของเธอ แม้จะไม่ใช่การแต่งงานที่เต็มใจกันทั้งสองฝ่ายก็ตามช่วงเช้าเป็นพิธีหมั้นและรดน้ำสังฆ์ หญิงสาวที่อยู่ในชุดไทยช่างสวยสง่าจนแขกที่มาร่วมงานต่างก็พากันชื่นชมไม่ขาดปาก ซึ่งพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมากเมื่อถึงเวลาที่ทั้งคู่ต้องจดทะเบียนสมรสกันต่อหน้าแขกที่มาร่วมงาน ทุกคนต่างพากันชื่นชมและยินดีให้กับคู่บ่าวสาว แต่ไม่รวมไปถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่เธอนั่งมองพลางกำหมัดแน่น น้ำตาที่มันคลอหน่วยทำให้เธอต้องกักเก็บมันไว้ เธอจะปล่อยให้มันไหลออกมาตอนนี้ไม่ได้“ตาไตร” ศศิณีก้มลงไปเรียกชื่อลูกชายเบา ๆ “รีบ ๆ เซ็นเข้า”“ทำไมต้องจดทะเบียนด้วยครับ” ศิวัฒน์หันไปกระซิบ “เดี๋ยวก็ต้องหย่า”“นี่ปากแกเหรอ” ศศิณีกัดฟันพูด “เซ็นซะ อย่าให้ฉันต้องใช้ไม้ตาย”ศิวัฒน์จำใจจรดปลายปากกาลงไปเพื่อเซ็นชื่อในใบสำคัญสมรสนั้น ขณะที่เขาวางปากกาลงสายตาของเขาก็มองไปยังคนรักที่นั่งปาดน้ำตาอยู่ เขาห้ามเธอแล้วว่าอย่ามาแต่เธอก็ไม่เชื่อฟัง ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ แต่เพราะเงื่อนไขบ้า ๆ นี้ เขาเลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวังว
ก่อนงานแต่งหนึ่งสัปดาห์ ศศิณีบังคับให้ลูกชายไปรับฉัตรนลินทร์มาทานข้าวที่บ้าน เพราะเธอรู้มาว่าทุกครั้งที่ให้ลูกชายตัวดีพาว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ศิวัฒน์ไม่เคยพาฉัตรนลินทร์ไปถึงร้านอาหารเลยสักครั้ง“มาแล้วเหรอลูก” ทันทีที่เห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้เธอก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตา จนคนที่เดินตามหลังมาต้องขมวดคิ้วแม่ของเขานับวันหายใจเข้าหายใจออกก็เป็นฉัตรนลินทร์เข้าไปทุกที“สวัสดีค่ะคุณป้า”“ป้าอะไรกันล่ะอีกอาทิตย์เดียวก็แต่งเข้าบ้านนี้แล้ว เรียกแม่สิ”“เอ่อ”“อย่ามาทำเป็นอาย ทั้ง ๆ ที่เธอไม่มียางอาย”เพี๊ยะ!!“ตาไตร ทำไมว่าน้องแบบนั้น” เพราะอยู่ใกล้ ๆ มือ เธอเลยฟาดไปที่ต้นแขนของลูกชายหนึ่งที“ก็จริงนิแม่ แม่ไม่รู้เหรอขนาดผมบอกว่ามีแฟนแล้ว เธอยังยืนยันจะแต่งกับผม”“ทำดีมากลูก” เธอหันมาชมว่าที่ลูกสะใภ้“แม่ ผมเป็นลูกแม่นะ”“หึ อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกพูดไม่ให้เกียรติหนูฉัตรต่อหน้าคนอื่น ฉันก็จะไม่ไว้หน้าแกเหมือนกัน” เธอยื่นคำขาดกับลูกชาย “ไปเถอะลูกวันนี้แม่เข้าครัวเองเลยนะ”“นี่ขนาดยังไม่ทันแต่งนะ เธอมันร้ายกาจกว่าที่ฉันคิดมากเลยฉัตรนลินทร์” เขาบ่นคนเดียวเบา ๆ ก่อนจะเดินตามทั้ง
ถึงวันที่ทั้งคู่ต้องไปถ่ายพรีเวดดิ้ง เพราะงานแต่งใกล้เข้ามาทุกทีงานทุกอย่างเลยดูเร่งรีบไปหมดจนฉัตรนลินทร์เองมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก เพราะเธอต้องขับรถไปกลับกรุงเทพกับบ้านเกิดสัปดห์ละหลาย ๆ รอบ ร่างกายเลยอ่อนเพลีย เช้านี้เธอเลยรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว“ฉัตรไหวมั้ยลูก” ผู้เป็นแม่ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเขามาเห็นลูกสาวกำลังนอนซม“ไหวค่ะแม่”“เลื่อนไปก่อนดีมั้ย”“ไม่เป็นไรค่ะ ถ่ายให้มันเสร็จ ๆ ไป หนูจะได้กลับไปทำงานอีก”“ให้พี่ขับรถไปส่งนะ”“ไม่เป็นไรค่ะ วันหยุดทั้งทีให้พี่พักเถอะ หนูขับไหว”ฉัตรนลินทร์เธอมีพี่ชายหนึ่งคน ทั้งคู่ห่างกันสามปี ซึ่งตอนนี้พี่ชายของเธอก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว แถมยังมีเจ้าตัวน้อยวัยสามขวบหนึ่งคนปี๊น!เสียงแตรรถที่ดังอยู่หลายครั้งทำให้คนในบ้านแปลกใจว่าใครกันนะทำไมถึงไม่มีมารยาทแบบนี้ แต่กลับมีคนหนึ่งที่รู้ดีว่าคนที่ทำพฤติกรรมแย่ ๆ นี้เป็นใคร“หนูออกไปดูเองค่ะ”พูดจบฉัตรนลินทร์ก็ลุกแล้วเดินออกไป และก็ไม่ผิดหวังกับความคิดของตัวเอง เพราะเขาใช่คนที่เธอคิดจริง ๆ“คุณมีธุระอะไรคะ”“วันนี้มีถ่ายพรีเวดดิ้งเธอลืมไปแล้วหรือยังไง”“ไม่ลืมค่ะ”“เห็นเธอยังไม่แต่งตัว”“ฉันไม่รีบนี่คะ”
ณ.ร้านพรีเวดดิ้ง วันนี้ศศิณีให้ศิวัฒน์ไปรับฉัตรนลินทร์เพื่อไปลองชุดแต่งงานที่เธอเคยแวะไปวัดตัวทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ แต่ฉัตรนลินทร์กลับปฏิเสธโดยอ้างว่าเธอมีธุระต่อหลังจากลองชุด เธอจึงขอเอารถไปเองสาเหตุจริง ๆ ที่ฉัตรนลินทร์ปฏิเสธเพราะเธอโดนเขาทิ้งไว้กลางทางสองครั้งแล้ว แต่เธอไม่เคยบอกให้ศศิณีรู้ ซึ่งครั้งล่าสุดคือวันที่เธอมาวัดตัวนี่แหละ เธอจึงเข็ดหลาบไม่กล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงกับผู้ชายคนนี้อีก“เชิญค่ะ” พนักงานสาวเดินเข้ามาต้อนรับเธอทันทีที่ย่างเท้าเข้าไปในร้าน “มาลองชุดใช่มั้ยคะ”“ใช่ค่ะ”“นั่งรอสักครู่นะคะ แล้วเอ่อ...” พนักงานชะเง้อคอมองออกไปนอกร้าน “เจ้าบ่าวล่ะคะ”“อ๋อ กำลังตามมาค่ะ พอดีมากันคนละคัน”“โห...พี่ไตร”หญิงสาวคนหนึ่งอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่ชื่อที่เธอเรียกทำให้ฉัตรนลินทร์เงยหน้าขึ้นจากนิตยสารในมือ บุคคลที่เห็นทำเธอต้องขมวดคิ้ว ผู้ชายคนนี้ไม่คิดที่จะไว้หน้าของเธอเลยจริง ๆ แต่เธอก็เข้าใจอะไรได้ไม่ยากเพราะแน่นอนว่าเขาคงจะเกลียดเธอ คิดได้ดังนั้นฉัตรนลินทร์ก็ก้มลงไปดูนิตยสารในมือต่อ“ขอเกลลองได้มั้ยคะ”“ได้สิ”“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าสนใจเป็นเซ็ตไหนคะ” พนักงานสาวอีกคนเข้าไปต้อนรั
เช้าวันเสาร์เดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว แปลกที่ปกติหญิงสาวมักจะรอวันหยุด เพราะเธอจะได้พักผ่อน แต่นี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอไม่อยากให้วันหยุดมาถึงรถคันงามมาจอดหน้าบ้านของฉัตรนลินทร์ เขาบีบแตรเรียกอยู่หลายครั้ง ส่วนคนด้านในก็รีบวิ่งออกมา เธอใส่รองเท้าที่เตรียมเอาไว้แล้วเดินมาหยุดยืนตรงฝั่งคนขับ เพียงไม่นานกระจกรถก็ถูกลดลง พร้อมกับหน้าตาของคนขับ หากไม่นับที่เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เธอ เธอคงจะได้ชื่นชมความหล่อของเขา แต่จะว่าไปถึงแม้เขาจะทำหน้าแบบนั้นก็ไม่ได้บดบังความหล่อของเขาไปได้เลยสักนิด‘คนนี้เหรอคุณไตรลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณศศิณี’ไตร หรือศิวัฒน์ หนุ่มหล่อใบหน้าคมคาย คิ้วหนาเข้มนัยน์ตาสีนิล เจ้าของความสูง 185 เซนติเมตร วัย 33 ปี เขาเป็นลูกคนเดียวของศศิณี ด้วยความเสเพลย์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เป็นหนุ่ม ซึ่งศศิณีมองว่าคงจะถ่ายทอดกันทางสายเลือด แม้ว่าพ่อของเขาจะเสียไปแล้วแต่กลับทิ้งความเสเพลย์ไว้ให้ลูกชายตัวดี ทำให้ศศิณีเริ่มเอือมระอากับพฤติกรรมของลูกชาย จึงอยากให้มีครอบครัวจะได้มีความรับผิดชอบมากขึ้น แต่บังเอิญคนที่ศิวัฒน์เลือกกลับไม่ถูกใจศศิณี...“ยืนทำบื้ออะไรอยู่”ประโยคแรกที่เขาพูดออกมา