ก่อนงานแต่งหนึ่งสัปดาห์ ศศิณีบังคับให้ลูกชายไปรับฉัตรนลินทร์มาทานข้าวที่บ้าน เพราะเธอรู้มาว่าทุกครั้งที่ให้ลูกชายตัวดีพาว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ศิวัฒน์ไม่เคยพาฉัตรนลินทร์ไปถึงร้านอาหารเลยสักครั้ง
“มาแล้วเหรอลูก” ทันทีที่เห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้เธอก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตา จนคนที่เดินตามหลังมาต้องขมวดคิ้ว
แม่ของเขานับวันหายใจเข้าหายใจออกก็เป็นฉัตรนลินทร์เข้าไปทุกที
“สวัสดีค่ะคุณป้า”
“ป้าอะไรกันล่ะอีกอาทิตย์เดียวก็แต่งเข้าบ้านนี้แล้ว เรียกแม่สิ”
“เอ่อ”
“อย่ามาทำเป็นอาย ทั้ง ๆ ที่เธอไม่มียางอาย”
เพี๊ยะ!!
“ตาไตร ทำไมว่าน้องแบบนั้น” เพราะอยู่ใกล้ ๆ มือ เธอเลยฟาดไปที่ต้นแขนของลูกชายหนึ่งที
“ก็จริงนิแม่ แม่ไม่รู้เหรอขนาดผมบอกว่ามีแฟนแล้ว เธอยังยืนยันจะแต่งกับผม”
“ทำดีมากลูก” เธอหันมาชมว่าที่ลูกสะใภ้
“แม่ ผมเป็นลูกแม่นะ”
“หึ อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกพูดไม่ให้เกียรติหนูฉัตรต่อหน้าคนอื่น ฉันก็จะไม่ไว้หน้าแกเหมือนกัน” เธอยื่นคำขาดกับลูกชาย “ไปเถอะลูกวันนี้แม่เข้าครัวเองเลยนะ”
“นี่ขนาดยังไม่ทันแต่งนะ เธอมันร้ายกาจกว่าที่ฉันคิดมากเลยฉัตรนลินทร์” เขาบ่นคนเดียวเบา ๆ ก่อนจะเดินตามทั้งคู่ไป
“หนูนั่งตรงนี้นะลูก” ศศิณีพูดพลางขยับเก้าอี้ให้ลูกสะใภ้ จนฉัตรนลินทร์ต้องรีบแย่งขยับเอง
“ขอบคุณค่ะ”
“เอาใจกันเข้าไป”
“หุบปากของแกไป ถ้ายังอยากกินของร้อนได้” ศศิณีหันไปแหวใส่ลูกชาย
ถ้าไม่เกรงใจศศิณี ฉัตรนลินทร์อยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็จะถูกมองว่าไม่มีมารยาท เธอเลยทำได้แค่อมยิ้ม แต่ถึงยังไงก็ไม่รอดพ้นสายตาของศิวัฒน์ เขาจึงเอามือชี้หน้าเธอ พอเห็นศศิณีมองมาเขาก็รีบเอามือลง
หลังรับประทานอาหารเสร็จศศิณีก็ใช้ให้ลูกชยตัวดีพาลูกสะใภ้คนโปรดไปดูหนังสักเรื่อง โดยต้องถ่ายรูปส่งมาให้เธอดูด้วยเพื่อยืนยันว่าศิวัฒน์ทำตามที่เธอสั่ง
“ตั้งแต่รู้จักเธอชีวิตฉันก็ไม่เคยสงบเลย”
“คุณแน่ใจเหรอ” ฉัตรนลินทร์ย้อน
“แน่ใจสิ เธอมันตัววุ่นวายเลยรู้หรือเปล่า”
“ลองคิดกลับกันบ้างสิคะ ว่าบางทีอาจจะเป็นผลจากการกระทำที่ผ่านมาของคุณหรือเปล่า ชีวิตของคุณถึงได้เป็นแบบนี้” เธอพูดเสียงเรียบจนคนฟังก็เผลอคิดตาม
“เธอจะไปรู้อะไร” สุดท้ายเขาก็ไม่ยอมรับตัวเอง
“ค่ะ”
“ค่ะอีกแล้ว” เขาตวัดสายตามองเธอ เพราะรู้ดีว่าถ้าฉัตรนลินทร์ตอบแบบนี้แสดงว่าเธอไม่อยากเถียง
เมื่อทั้งคู่มาถึงห้าง ศิวัฒน์ก็เดินไปยังหน้าโรงหนังโดยมีฉัตรนลินทร์เดินตามไปห่าง ๆ ตั้งแต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่ชอบมาโรงหนังเพราะคนเยอะ เธอไม่ชอบสถานที่แออัดสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายเธอก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอาชีพที่เธอทำก็ต้องอยู่ในสถานที่แออีดไปด้วยผู้คนอยู่บ่อยครั้ง
“เธอไปเลือกสิจะดูเรื่องอะไร” เขาชี้ให้เธอดูจอด้านหน้า
“ฉันไม่ชอบดูหนัง” เธอบอกออกไปตรง ๆ
“ทำไมเธอไม่บอกแม่ว่าเธอไม่อยากดู ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
“ถึงฉันพูดคุณคิดว่าคุณแม่ของคุณจะยอมเหรอ” แม้จะเพิ่งรู้จักกับศศิณีไม่นาน ฉัตรนลินทร์ก็พอจะรู้ว่าศศิณีเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครขัดใจ
“เธอมันน่าเบื่อจริง ๆ” เขาส่ายหัวเบา ๆ
“ค่ะ”
เธอก็อยากให้เขาเบื่อเธอนั่นแหละ หลังแต่งงานเขาจะได้ไม่มายุ่งกับเธอ
“เลือกเอาสักเรื่องเถอะ”
“เอาเรื่องที่กำลังเข้าฉายดีกว่า จะได้ไม่ต้องรอนาน” เธอมองไปยังจอที่บอกเวลาฉายหนังอีกรอบ ก่อนจะชี้ไปยังเรื่องที่กำลังเข้าฉายล่าสุด
“อืม”
ศิวัฒน์เดินไปซื้อตัวหนังไม่นานเขาก็เดินกลับมาพร้อมตั๋วหนังสองใบ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเซลฟี่แล้วส่งภาพไปให้แม่ของเขา
“เสร็จไปเรื่องหนึ่ง เหลือในโรงหนังอีก แม่นะแม่” ศิวัฒน์พึมพำ
แต่ก็ทำให้ฉัตรนลินทร์แอบขำ ผู้ชายคนนี้อายุเลขสามแล้ว แต่ก็ยังให้แม่บงการทุกอย่าง เท่าที่เธอสังเกตไม่เชิงว่าเขาเป็นลูกแหง่หรอก แต่อาจจะเป็นเพราะเขายังเกรงใจและให้เกียรติแม่ของเขาก็เท่านั้น
“พี่ไตร” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังมจากด้านหลังของพวกเขา
เธอวิ่งเข้ามากอดเอวของศิวัฒน์จนคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็พากันหันมอง
“มาดูหนังไม่เห็นชวนกันเลย” แล้วสายตาก็มาหยุดอยู่ที่ฉัตรนลินทร์ก่อนจะทำหน้าบึ้ง “ทำไมต้องมากับแม่คนนี้คะ ไหนว่าไม่ได้คิดอะไรกับมันไง”
“แล้วใครบอกว่าพี่คิดล่ะ”
“ไม่คิดแต่มาดูหนังด้วยกันเนี่ยนะ เกลไม่ยอม” เธอแสดงท่าทีไม่พอใจ
“ไม่เอาครับ อย่าโกรธมันเป็นคำสั่งของแม่”
“แม่พี่นี่ก็ดีนะ อายุก็เยอะยังมานั่งบงการเรื่องแบบนี้อยู่อีก”
“...” ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นฉัตรนลินทร์ตวัดสายตามองเกวลิน
“ทำไม ฉันพูดผิดตรงไหน” เธอเชิดหน้าใส่ฉัตรนลินทร์
“ไม่รู้ตัวเลยเหรอคะ ว่าที่พูดน่ะคือการลามปามผู้ใหญ่” ฉัตรนลินทร์หันไปเผชิญหน้ากับเกวลิน “ฉันไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมคุณแม่ถึงไม่รับคุณเป็นลูกสะใภ้”
“เธอพล่ามอะไร” ศิวัฒน์ตะคอกใส่ฉัตรนลินทร์
“คุณก็แปลกนะ ตอนเธอว่าแม่ของคุณทำไมถึงไม่ห้ามล่ะคะ พอฉันปกป้องแม่ของคุณ คุณกลับตวาดใส่ฉัน ฉันมองคุณผิดไปจริง ๆ”
“นี่เธอ อย่ามาอวดเก่งนะ” เธอพูดเสียงดังจนคนที่อยู่บริเวณนั้นให้ความสนใจ “จะอวดเก่งแค่ไหนก็ยังได้ชื่อว่าแย่งสามีชาวบ้านนั่นแหละ”
“...” ฉัตรนลินทร์เม้มปากเข้าหากันแน่น เพราะข้อกล่าวหาข้อนี้เธอไม่มีทางแก้ต่างได้เลย ทั้งคู่คบกันส่วนเธอคือคนอื่นที่กำลังเข้ามาแทรกระหว่างพวกเขา
"คงจะฝันหวานอยู่สินะว่ากำลังจะได้แต่งงานกับผู้ชายหล่อรวยแบบนี้" เธอพูดพลางเกาะแขนของศิวัฒน์
"..."
"เมียแต่งหรือจะสู้เมียที่เขากกกอดบนเตียงทุกคืน"
“พอแล้วเกล คนมองใหญ่แล้ว” พอพูดแบบนี้ศิวัฒน์เองก็ต้องเอ่ยห้ามเธอ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดต่อหน้าคนมากมายแบบนี้
“มองเยอะ ๆ แหละดีจะได้รู้ว่าอาจารย์มหาลัยชื่อดังกำลังจะแย่งสามีชาวบ้าน ไม่มียางอายจริง ๆ”
“เธอจะไปไหน” ศิวัฒน์เรียกขึ้นเมื่อเห็นว่าฉัตรนลินทร์กำลังจะเดินไป
ฉัตรนลินทร์ทนฟังคำพูดพวกนั้นไม่ได้อีกต่อไป เธอต้องไปจากตรงนี้
“กลับบ้าน” เธอตอบโดยไม่หันไปมอง
“ยังกลับไม่ได้” เขาเดินเข้าไปรั้งแขนของเธอ
“ห้ามมันทำไมคะ” เกวลินรีบเข้าไปแกะมือของศิวัฒน์ออกจากแขนของฉัตรนลินทร์
“พี่ยังไม่เสร็จธุระนะเกล” เขาหันไปตวาดใส่เกวลิน
“พี่ก็เหมือนกัน เกลไม่คิดว่าพี่จะเป็นลูกแหง่แบบนี้” เธอต่อว่าศิวัฒน์ด้วยความโกรธ หลายครั้งแล้วที่เขาเอาแต่อ้างว่าเป็นคำสั่งของแม่ เธอไม่เข้าใจจริง ๆ โตขนาดนี้แล้วทำไมไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง
“พอเถอะเกล ใจเย็นหน่อยนะ”
เมื่อเห็นว่าเกวลินโกรธจนพูดเพ้อเจ้อออกมาเขาเลยปล่อยแขนฉัตรนลินทร์แล้วหันมาสนใจเกวลิน
“พี่จะให้เกลใจเย็นเหรอ มันกำลังแย่งพี่ไปจากเกลนะ”
“ไม่มีใครแย่งพี่ไปได้หรอก เพราะพี่รังเกียจเธอจะตายเกลก็รู้” เขาพูดเสียงดังฟังชัด
“เกลเชื่อค่ะ พี่ชอบพูดให้เกลฟังทุกคืน” เธอเข้าไปซบอกของเขาอย่างออดอ้อน
สิ้นประโยคของเกวลิน ฉัตรนลินทร์ก็เดินออกมาจากตรงนั้นโดยไม่สนใจเสียงเรียกของศิวัฒน์
ฉัตรนลินทร์รู้สึกอับอายเป็นที่สุด ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยอับอายอะไรถึงขนาด ถึงเวลานั้นไม่มีใครสามารถปกป้องเธอได้นอกจากตัวเธอเอง ดังนั้นก็อย่าหวังพึ่งใคร เธอสัญญากับตัวเองว่าเธอจะหลีกเลี่ยงการไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนนี้ให้มากที่สุด
วันต่อมาฉัตรนลินทร์ก็ปรากฏตัวที่มหาวิทยาลัย ทำให้หลาย ๆ คนที่รู้ว่าเธอแต่งงานเมื่อคืนต่างพากันตกใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่เวลานี้เธอควรจะพักผ่อน หรือไม่ก็กำลังเก็บเสื้อผ้าไปฮันนีมูนเมื่อคืนหลังออกจากโรงแรมเธอก็ขับรถกลับกรุงเทพโดยไม่ได้บอกใคร ในเมื่อศิวัฒน์มองว่าการแต่งงานมันไม่ได้สำคัญและเขาพร้อมที่จะหักหน้าเธอ ฉะนั้นเธอก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไว้หน้าเขา และเธอก็รู้ดีว่าหลังจากนี้ เขาก็จะตามมาต่อว่าเธอและเป็นอย่างที่เธอคิด เพราะหลังจากงานแต่งผ่านไปสองวันเขาก็ตามมาหาเธอถึงมหาวิทยาลัย“ออกจากโรงแรมทำไมถึงไม่รอฉัน” เขาบีบต้นแขนของเธอด้วยความโกรธ “ฉันโดนแม่ด่ามาสารพัดเพราะเธอคนเดียว”“คุณเองยังไม่อยากอยู่ห้องนั้นเลย แล้วคนอื่นเขาจะไม่อยากอยู่เหมือนคุณไม่ได้หรือไง”“เธอมัน...”“ทำไมคะ คุณอยากทำอะไรก็ทำไปสิ ฉันไม่ห้ามหรอก” เธอเผชิญหน้ากับเขา “แล้วคุณก็ห้ามยุ่งกับชีวิตของฉันด้วย”“เธอแน่ใจเหรอว่าเธอจะไม่ห้าม”“ค่ะ”เธอไม่ได้สนใจคนข้าง ๆ มากนัก เพราะตอนนี้โทรศัพท์ของเธอกำลังมีสายเข้า“ฮัลโหลค่ะ พี่กันต์เหรอ อยู่ที่ห้องแล็บใช่มั้ยคะ โอเคฉัตรกำลังไปค่ะ” เธอรับสายจากใครคนหนึ่งแล้
วันแต่งงานเป็นอีกวันที่ฉัตรนลินทร์รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าวันสำคัญที่ผ่าน ๆ มาของเธอ แม้จะไม่ใช่การแต่งงานที่เต็มใจกันทั้งสองฝ่ายก็ตามช่วงเช้าเป็นพิธีหมั้นและรดน้ำสังฆ์ หญิงสาวที่อยู่ในชุดไทยช่างสวยสง่าจนแขกที่มาร่วมงานต่างก็พากันชื่นชมไม่ขาดปาก ซึ่งพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมากเมื่อถึงเวลาที่ทั้งคู่ต้องจดทะเบียนสมรสกันต่อหน้าแขกที่มาร่วมงาน ทุกคนต่างพากันชื่นชมและยินดีให้กับคู่บ่าวสาว แต่ไม่รวมไปถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่เธอนั่งมองพลางกำหมัดแน่น น้ำตาที่มันคลอหน่วยทำให้เธอต้องกักเก็บมันไว้ เธอจะปล่อยให้มันไหลออกมาตอนนี้ไม่ได้“ตาไตร” ศศิณีก้มลงไปเรียกชื่อลูกชายเบา ๆ “รีบ ๆ เซ็นเข้า”“ทำไมต้องจดทะเบียนด้วยครับ” ศิวัฒน์หันไปกระซิบ “เดี๋ยวก็ต้องหย่า”“นี่ปากแกเหรอ” ศศิณีกัดฟันพูด “เซ็นซะ อย่าให้ฉันต้องใช้ไม้ตาย”ศิวัฒน์จำใจจรดปลายปากกาลงไปเพื่อเซ็นชื่อในใบสำคัญสมรสนั้น ขณะที่เขาวางปากกาลงสายตาของเขาก็มองไปยังคนรักที่นั่งปาดน้ำตาอยู่ เขาห้ามเธอแล้วว่าอย่ามาแต่เธอก็ไม่เชื่อฟัง ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ แต่เพราะเงื่อนไขบ้า ๆ นี้ เขาเลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวังว
ก่อนงานแต่งหนึ่งสัปดาห์ ศศิณีบังคับให้ลูกชายไปรับฉัตรนลินทร์มาทานข้าวที่บ้าน เพราะเธอรู้มาว่าทุกครั้งที่ให้ลูกชายตัวดีพาว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ศิวัฒน์ไม่เคยพาฉัตรนลินทร์ไปถึงร้านอาหารเลยสักครั้ง“มาแล้วเหรอลูก” ทันทีที่เห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้เธอก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตา จนคนที่เดินตามหลังมาต้องขมวดคิ้วแม่ของเขานับวันหายใจเข้าหายใจออกก็เป็นฉัตรนลินทร์เข้าไปทุกที“สวัสดีค่ะคุณป้า”“ป้าอะไรกันล่ะอีกอาทิตย์เดียวก็แต่งเข้าบ้านนี้แล้ว เรียกแม่สิ”“เอ่อ”“อย่ามาทำเป็นอาย ทั้ง ๆ ที่เธอไม่มียางอาย”เพี๊ยะ!!“ตาไตร ทำไมว่าน้องแบบนั้น” เพราะอยู่ใกล้ ๆ มือ เธอเลยฟาดไปที่ต้นแขนของลูกชายหนึ่งที“ก็จริงนิแม่ แม่ไม่รู้เหรอขนาดผมบอกว่ามีแฟนแล้ว เธอยังยืนยันจะแต่งกับผม”“ทำดีมากลูก” เธอหันมาชมว่าที่ลูกสะใภ้“แม่ ผมเป็นลูกแม่นะ”“หึ อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกพูดไม่ให้เกียรติหนูฉัตรต่อหน้าคนอื่น ฉันก็จะไม่ไว้หน้าแกเหมือนกัน” เธอยื่นคำขาดกับลูกชาย “ไปเถอะลูกวันนี้แม่เข้าครัวเองเลยนะ”“นี่ขนาดยังไม่ทันแต่งนะ เธอมันร้ายกาจกว่าที่ฉันคิดมากเลยฉัตรนลินทร์” เขาบ่นคนเดียวเบา ๆ ก่อนจะเดินตามทั้ง
ถึงวันที่ทั้งคู่ต้องไปถ่ายพรีเวดดิ้ง เพราะงานแต่งใกล้เข้ามาทุกทีงานทุกอย่างเลยดูเร่งรีบไปหมดจนฉัตรนลินทร์เองมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก เพราะเธอต้องขับรถไปกลับกรุงเทพกับบ้านเกิดสัปดห์ละหลาย ๆ รอบ ร่างกายเลยอ่อนเพลีย เช้านี้เธอเลยรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว“ฉัตรไหวมั้ยลูก” ผู้เป็นแม่ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเขามาเห็นลูกสาวกำลังนอนซม“ไหวค่ะแม่”“เลื่อนไปก่อนดีมั้ย”“ไม่เป็นไรค่ะ ถ่ายให้มันเสร็จ ๆ ไป หนูจะได้กลับไปทำงานอีก”“ให้พี่ขับรถไปส่งนะ”“ไม่เป็นไรค่ะ วันหยุดทั้งทีให้พี่พักเถอะ หนูขับไหว”ฉัตรนลินทร์เธอมีพี่ชายหนึ่งคน ทั้งคู่ห่างกันสามปี ซึ่งตอนนี้พี่ชายของเธอก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว แถมยังมีเจ้าตัวน้อยวัยสามขวบหนึ่งคนปี๊น!เสียงแตรรถที่ดังอยู่หลายครั้งทำให้คนในบ้านแปลกใจว่าใครกันนะทำไมถึงไม่มีมารยาทแบบนี้ แต่กลับมีคนหนึ่งที่รู้ดีว่าคนที่ทำพฤติกรรมแย่ ๆ นี้เป็นใคร“หนูออกไปดูเองค่ะ”พูดจบฉัตรนลินทร์ก็ลุกแล้วเดินออกไป และก็ไม่ผิดหวังกับความคิดของตัวเอง เพราะเขาใช่คนที่เธอคิดจริง ๆ“คุณมีธุระอะไรคะ”“วันนี้มีถ่ายพรีเวดดิ้งเธอลืมไปแล้วหรือยังไง”“ไม่ลืมค่ะ”“เห็นเธอยังไม่แต่งตัว”“ฉันไม่รีบนี่คะ”
ณ.ร้านพรีเวดดิ้ง วันนี้ศศิณีให้ศิวัฒน์ไปรับฉัตรนลินทร์เพื่อไปลองชุดแต่งงานที่เธอเคยแวะไปวัดตัวทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ แต่ฉัตรนลินทร์กลับปฏิเสธโดยอ้างว่าเธอมีธุระต่อหลังจากลองชุด เธอจึงขอเอารถไปเองสาเหตุจริง ๆ ที่ฉัตรนลินทร์ปฏิเสธเพราะเธอโดนเขาทิ้งไว้กลางทางสองครั้งแล้ว แต่เธอไม่เคยบอกให้ศศิณีรู้ ซึ่งครั้งล่าสุดคือวันที่เธอมาวัดตัวนี่แหละ เธอจึงเข็ดหลาบไม่กล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงกับผู้ชายคนนี้อีก“เชิญค่ะ” พนักงานสาวเดินเข้ามาต้อนรับเธอทันทีที่ย่างเท้าเข้าไปในร้าน “มาลองชุดใช่มั้ยคะ”“ใช่ค่ะ”“นั่งรอสักครู่นะคะ แล้วเอ่อ...” พนักงานชะเง้อคอมองออกไปนอกร้าน “เจ้าบ่าวล่ะคะ”“อ๋อ กำลังตามมาค่ะ พอดีมากันคนละคัน”“โห...พี่ไตร”หญิงสาวคนหนึ่งอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่ชื่อที่เธอเรียกทำให้ฉัตรนลินทร์เงยหน้าขึ้นจากนิตยสารในมือ บุคคลที่เห็นทำเธอต้องขมวดคิ้ว ผู้ชายคนนี้ไม่คิดที่จะไว้หน้าของเธอเลยจริง ๆ แต่เธอก็เข้าใจอะไรได้ไม่ยากเพราะแน่นอนว่าเขาคงจะเกลียดเธอ คิดได้ดังนั้นฉัตรนลินทร์ก็ก้มลงไปดูนิตยสารในมือต่อ“ขอเกลลองได้มั้ยคะ”“ได้สิ”“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าสนใจเป็นเซ็ตไหนคะ” พนักงานสาวอีกคนเข้าไปต้อนรั
เช้าวันเสาร์เดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว แปลกที่ปกติหญิงสาวมักจะรอวันหยุด เพราะเธอจะได้พักผ่อน แต่นี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอไม่อยากให้วันหยุดมาถึงรถคันงามมาจอดหน้าบ้านของฉัตรนลินทร์ เขาบีบแตรเรียกอยู่หลายครั้ง ส่วนคนด้านในก็รีบวิ่งออกมา เธอใส่รองเท้าที่เตรียมเอาไว้แล้วเดินมาหยุดยืนตรงฝั่งคนขับ เพียงไม่นานกระจกรถก็ถูกลดลง พร้อมกับหน้าตาของคนขับ หากไม่นับที่เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เธอ เธอคงจะได้ชื่นชมความหล่อของเขา แต่จะว่าไปถึงแม้เขาจะทำหน้าแบบนั้นก็ไม่ได้บดบังความหล่อของเขาไปได้เลยสักนิด‘คนนี้เหรอคุณไตรลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณศศิณี’ไตร หรือศิวัฒน์ หนุ่มหล่อใบหน้าคมคาย คิ้วหนาเข้มนัยน์ตาสีนิล เจ้าของความสูง 185 เซนติเมตร วัย 33 ปี เขาเป็นลูกคนเดียวของศศิณี ด้วยความเสเพลย์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เป็นหนุ่ม ซึ่งศศิณีมองว่าคงจะถ่ายทอดกันทางสายเลือด แม้ว่าพ่อของเขาจะเสียไปแล้วแต่กลับทิ้งความเสเพลย์ไว้ให้ลูกชายตัวดี ทำให้ศศิณีเริ่มเอือมระอากับพฤติกรรมของลูกชาย จึงอยากให้มีครอบครัวจะได้มีความรับผิดชอบมากขึ้น แต่บังเอิญคนที่ศิวัฒน์เลือกกลับไม่ถูกใจศศิณี...“ยืนทำบื้ออะไรอยู่”ประโยคแรกที่เขาพูดออกมา