เช้าวันเสาร์เดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว แปลกที่ปกติหญิงสาวมักจะรอวันหยุด เพราะเธอจะได้พักผ่อน แต่นี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอไม่อยากให้วันหยุดมาถึง
รถคันงามมาจอดหน้าบ้านของฉัตรนลินทร์ เขาบีบแตรเรียกอยู่หลายครั้ง ส่วนคนด้านในก็รีบวิ่งออกมา เธอใส่รองเท้าที่เตรียมเอาไว้แล้วเดินมาหยุดยืนตรงฝั่งคนขับ เพียงไม่นานกระจกรถก็ถูกลดลง พร้อมกับหน้าตาของคนขับ หากไม่นับที่เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เธอ เธอคงจะได้ชื่นชมความหล่อของเขา แต่จะว่าไปถึงแม้เขาจะทำหน้าแบบนั้นก็ไม่ได้บดบังความหล่อของเขาไปได้เลยสักนิด
‘คนนี้เหรอคุณไตรลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณศศิณี’
ไตร หรือศิวัฒน์ หนุ่มหล่อใบหน้าคมคาย คิ้วหนาเข้มนัยน์ตาสีนิล เจ้าของความสูง 185 เซนติเมตร วัย 33 ปี เขาเป็นลูกคนเดียวของศศิณี ด้วยความเสเพลย์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เป็นหนุ่ม ซึ่งศศิณีมองว่าคงจะถ่ายทอดกันทางสายเลือด แม้ว่าพ่อของเขาจะเสียไปแล้วแต่กลับทิ้งความเสเพลย์ไว้ให้ลูกชายตัวดี ทำให้ศศิณีเริ่มเอือมระอากับพฤติกรรมของลูกชาย จึงอยากให้มีครอบครัวจะได้มีความรับผิดชอบมากขึ้น แต่บังเอิญคนที่ศิวัฒน์เลือกกลับไม่ถูกใจศศิณี...
“ยืนทำบื้ออะไรอยู่”
ประโยคแรกที่เขาพูดออกมาทำฉัตรนลินทร์ต้องขมวดคิ้ว ผู้ชายคนนี้ต้องเป็นคนแบบไหนถึงได้ทักทายคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแบบนี้ ช่างไม่มีอะไรที่น่าประทับใจเลยสักนิด
“อ้าว! ยังไม่ขึ้นอีก”
ฉัตรนลินทร์รีบวิ่งไปทางฝั่งตรงข้างคนขับ เธอเปิดประตูขึ้นไปก็ต้องพบกับบรรยากาศที่เย็นเฉียบ ทั้ง ๆ ที่เธอก็ใส่เสื้อแขนยาวแล้วนะยังรู้สึกหนาวขนาดนี้ เขาเปิดแอร์ไว้แช่แข็งเนื้อสัตว์หรือไงกัน
“คิดดีแล้วเหรอ”
รถเคลื่อนตัวออกมาไม่นานศิวัฒน์ก็เอ่ยออกมา
“อะไรคะ” เธอเอียงหน้ามองเขา
“เรื่องที่จะแต่งงานกับฉัน”
“ค่ะ” เธอตอบโดยไม่ลังเล
“ฉันมีข้อเสนอ”
“...”
“ฉันจะให้เงินสดเธอหนึ่งล้าน เพื่อให้เธอไปยกเลิกงานแต่งของฉันกับเธอ”
“...”
“น้อยไปสินะ” เมื่อเห็นว่าฉัตรนลินทร์เงียบ เขาเลยคิดว่าเธอยังไม่พอใจจำนวนเงินที่เขาเสนอไป
“สองล้าน”
“...”
“ห้าล้าน!!”
“...”
“เอ๊ะ!!...เธอจะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา” เขาเริ่มหมดความอดทนแล้ว
“ไม่เอาค่ะ” เธอตอบเสียงเรียบ
“งั้นก็ไปยกเลิกงานแต่งซะ”
“ไม่ค่ะ...คุณก็ไปยกเลิกเองสิ”
“นี่เธอ” เขาวางมือจากพวงมาลัยข้างหนึ่งแล้วไปบีบแขนของเธออย่างลืมตัว “อย่าโง่ไปหน่อยเลย ถ้าฉันทำได้ฉันไม่มาเสียเงินจ้างเธอหรอ”
“ค่ะ” ฉัตรนลินทร์ตอบพลางแกะมือของเขาออก
“ค่ะ คือ”
“เปล่าค่ะ”
“เธอนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ แม่คิดยังไงนะถึงได้เลือกผู้หญิงอย่างเธอมาแต่งงานกับฉัน”
“...”
“ไปทำอีท่าไหนล่ะ แม่ฉันถึงเลือกให้มาแต่งกับฉัน เห็นก็รู้ว่าหน้าเงิน”
“...”
“แม่ฉันให้เธอเท่าไหร่ ถึงไม่ยอมรับข้อเสนอของฉัน หา!”
เขาพ่นคำดูถูกมากมายใส่เธอ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอเลยสักนิด
“ฉันให้เธอเลือก ถ้ายกเลิกงานแต่งตอนนี้ฉันจะปล่อยเธอไป แต่ถ้าเธอยังดื้อที่จะแต่งแล้วเธอจะรู้ว่านรกมีจริง”
“...”
เมื่อเห็นว่าคนด้านข้างนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ ไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ อารมณ์โกรธของเขายิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ความหนาวจากสายฝนที่แผ่ปกคลุมมาถึงในรถก็ไม่สามารถทำให้อารมณ์ของเขาเย็นลงได้เลย
“โถ่เว้ย!!” เขาตะโกนออกมาจนฉัตรนลินทร์สะดุ้ง “เธอพูดอะไรบ้างสิ อยากแต่งงานกับฉันมากหรือไง”
ตอนนี้ชายหนุ่มเครียดมาก จริง ๆ เขาเครียดมาหลายเดือนแล้วตั้งแต่รู้ว่าแม่ของเขาจะให้แต่งงานกับหญิงสาวที่แม่ของเขาหามาให้ ซึ่งเขาเองก็ปฏิเสธมาตั้งแต่ต้น และหวังว่าผู้หญิงที่แม่ของเขาหาให้จะปฏิเสธเช่นกัน
“จะบอกอะไรให้นะ ฉันมีแฟนอยู่แล้ว”
“ฉันรู้ค่ะ” เธอพูดเสียงเบาลง เพราะนี่คือสิ่งที่เธอกังวลมากที่สุดในตอนนี้
“รู้แล้วเธอยังจะแต่ง”
“ค่ะ”
“ไม่หน้าด้านไปหน่อยเหรอ”
“นี่คุณ!!” คราวนี้ฉัตรนลินทร์ทนไม่ไหว เธอตวัดสายตามองคนที่จ้องมองเธออยู่เหมือนกัน
“ทำไม รับความจริงไม่ได้หรือไง ฉันก็พูดอยู่ว่ามีแฟนแล้ว เธอยังจะแต่ง เธอจะให้ฉันคิดว่ายังไงนอกจากเธอมันหน้าไม่อาย”
“คุณจะมองฉันเป็นแบบไหนก็ช่าง” ฉัตรนลินทร์หันกลับไปมองบนถนนต่อ “หากคุณไม่อยากแต่งคุณก็ไปบอกแม่ของคุณให้ยกเลิก ส่วนฉันมีหน้าที่ทำตามคำสั่งแม่ของคุณเท่านั้น”
สัญญานไฟสีแดงทำให้รถชะลอตัวและจอดลงไปในที่สุด ก่อนที่คนขับจะหันหน้ามามองหญิงสาวเต็ม ๆ ตา จมูกเชิดนั้นทำเขาเดาไปว่าเธอต้องเป็นคนที่ดื้อรั้นแน่ ๆ ปากเรียวได้รูปสีกุหลาบ ใบหน้านวลดูมีเลือดฝาด แม้จะเห็นเธอเพียงแค่ด้านข้างก็ทำให้คนมองหัวใจกระตุกได้เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
เขารู้สึกหมั่นไส้เธอจริง ๆ ที่เอาแต่นั่งมองไปด้านหน้าโดยไม่สนว่าเขาจะมองอยู่ ศิวัฒน์ทำได้แค่ผ่อนลมหายใจยาว ๆ ในหัวเอาแต่คิดว่าจะหว่านล้อมเธอยังไงดี
“ไฟเขียวแล้วค่ะ”
ฉัตรนลินทร์พูดโดยไม่หันไปมอง ไม่ใช่เธอไม่รู้ว่าเขาจ้องมองอยู่ เพียงแต่เธอทำเป็นไม่สนใจมากกว่า
“ข้อเสนอของฉันคิดดูดี ๆ”
“...”
“เธอนี่มันดื้อด้านจริง ๆ”
“...”
ฉัตรนลินทร์ไม่อยากจะสนใจ เธอยอมรับทุกอย่างที่เขาพูด แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ของเขา เพราะตอนนี้ครอบครัวของเธอสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด
กริ้ง!!
ศิวัฒน์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ปรากฏว่าเป็นชื่อของคนรัก ทำให้เขายิ้มกว้างออกมา
“ว่าไงครับ” น้ำเสียงเปลี่ยนไปจากที่ใช้กับฉัตรนลินทร์โดยสิ้นเชิง
‘อยู่ไหนคะ’ เสียงหวาน ๆ ของเธอทำเขาเหล่มองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
“ออกมาธุระนิดหน่อย” เขาโกหกเพราะไม่อยากให้คนรักไม่สบายใจ
‘อย่าลืมนัดของเรานะ’
“ไม่ลืมหรอก”
‘เกลแต่งตัวรอแล้วนะ’
“พี่จะไปรับเดี๋ยวนี้”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ฉัตรนลินทร์ก็ชำเลืองมองเขาทันที ไปรับเดี๋ยวนี้ของเขาหมายความว่าไง แล้วเธอล่ะ?
ไม่ทันที่ฉัตรนลินทร์ได้สงสัยนาน รถคันงามก็เลี้ยวจอดตรงฟุตบาท เธอจึงหันไปมองหน้าเขา
“ทำอะไรคะ” ฉัตรนลินทร์ถามด้วยความแปลกใจ
“ลงไปสิ”
“คะ?...” เธอไม่อยากจะเชื่อหู นี่เขาจะเล่นงานเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเลยเหรอ
“หูไม่ดี หรือซื่อบื้อ ถึงได้ไม่เข้าใจที่ฉันบอก”
“คุณจะทิ้งฉันไว้กลางทางเนี่ยนะ”
“ก็ใช่ไง” เขาตอบโดยไม่ต้องคิด
“แต่ตรงนี้ไม่มีที่หลบฝนเลยนะ”
“นั่นมันเรื่องของเธอ” เขาไม่แยแส “ลงไปสิ แฟนฉันรออยู่”
“...” คราวนี้ฉัตรนลินทร์ไม่พูดอะไรต่อ เธอเปิดประตูลงไปทั้งที่ฝนยังกระหน่ำเทลงมา
ทันทีที่ประตูรถปิดลงเขาก็ออกรถไปทันที โดยไม่สนใจว่าเธอจะเป็นยังไง
ฉัตรนลินทร์มองตามรถไปจนลับสายตา ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาว ๆ ออกมาหนึ่งครั้ง เธอไม่ได้แปลกใจกับการกระทำนี้สักเท่าไหร่ การถูกทิ้งไว้กลางทางก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมายของเธอสักเท่าไหร่
“นี่สินะสิ่งที่ฉันต้องเจอหลังจากนี้ เห้อ...เอาน่าเอาแค่ทนไหวละกัน” เธอเฝ้าบอกกับตัวเอง เพราะเธอเองก็ไม่ได้อยากแต่ง แต่เพราะไม่มีทางเลือกเธอจึงยอมรับข้อเสนอไปก่อน วันหนึ่งเมื่อเธอมีทางออกที่ดีกว่านี้เธอค่อยยุติทุกอย่างลง
ด้านศิวัฒน์หลังขับรถออกไป เขาก็ตรงไปหาแฟนสาวที่คอนโดที่เขาเป็นคนซื้อให้
เขากับเกวลินคบกันมาปีกว่า ๆ แล้วโดยการแนะนำของแฟนเพื่อนสนิทของเขา เขาเจอเธอในผับแห่งหนึ่งตอนที่ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ เธอเป็นหญิงสาวที่มีรสนิยม ชอบปาร์ตี้สังสรรค์ซึ่งศิวัฒน์เองก็ชอบเช่นกัน พวกเขาทั้งสองเลยจูนกันติดไวมาก
“นัดเพื่อนไว้กี่โมง”
“เที่ยงค่ะ นัดเมาท์มอยกันนิดหน่อย”
เธอเกาะแขนแกร่งของเขาขณะนั่งอยู่บนรถ
“พี่ไตร”
“หือ” สายตายังจดจ้องไปยังถนน เพราะฝนตกเขาเลยไม่อยากประมาท
“เรื่องแต่งงานไปถึงไหนแล้ว”
เพียงได้ยินคำว่าแต่งงานศิวัฒน์ก็ต้องผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ เพราะเขาเพิ่งไปจัดการเรื่องนี้มา แต่ก็ยังไม่สำเร็จ
“พี่จัดการอยู่”
“เกลกลัวจังเลยค่ะ” เธอทำเสียงให้เศร้าลง
“ไม่มีทางที่งานแต่งจะเกิดขึ้นแน่นอน เชื่อใจพี่นะ” เขายืนยันหนักแน่น แต่ในอกกลับรู้สึกจุก เพราะจากที่ได้คุยกับว่าที่เจ้าสาวก่อนหน้านี้ ไม่มีท่าทีว่าเธอจะร่วมมือกับเขาเลย
“ค่ะ เกลจะรอนะคะ”
ขณะขับรถผ่านที่ที่เขาจอดให้ใครคนหนึ่งลง พลันสายตาก็หันไปมอง แต่ปรากฏว่าไม่พบร่างบางที่เขาทิ้งให้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว เขาเลยหันไปสนใจบนท้องถนนต่อ...
วันต่อมาฉัตรนลินทร์ก็ปรากฏตัวที่มหาวิทยาลัย ทำให้หลาย ๆ คนที่รู้ว่าเธอแต่งงานเมื่อคืนต่างพากันตกใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่เวลานี้เธอควรจะพักผ่อน หรือไม่ก็กำลังเก็บเสื้อผ้าไปฮันนีมูนเมื่อคืนหลังออกจากโรงแรมเธอก็ขับรถกลับกรุงเทพโดยไม่ได้บอกใคร ในเมื่อศิวัฒน์มองว่าการแต่งงานมันไม่ได้สำคัญและเขาพร้อมที่จะหักหน้าเธอ ฉะนั้นเธอก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไว้หน้าเขา และเธอก็รู้ดีว่าหลังจากนี้ เขาก็จะตามมาต่อว่าเธอและเป็นอย่างที่เธอคิด เพราะหลังจากงานแต่งผ่านไปสองวันเขาก็ตามมาหาเธอถึงมหาวิทยาลัย“ออกจากโรงแรมทำไมถึงไม่รอฉัน” เขาบีบต้นแขนของเธอด้วยความโกรธ “ฉันโดนแม่ด่ามาสารพัดเพราะเธอคนเดียว”“คุณเองยังไม่อยากอยู่ห้องนั้นเลย แล้วคนอื่นเขาจะไม่อยากอยู่เหมือนคุณไม่ได้หรือไง”“เธอมัน...”“ทำไมคะ คุณอยากทำอะไรก็ทำไปสิ ฉันไม่ห้ามหรอก” เธอเผชิญหน้ากับเขา “แล้วคุณก็ห้ามยุ่งกับชีวิตของฉันด้วย”“เธอแน่ใจเหรอว่าเธอจะไม่ห้าม”“ค่ะ”เธอไม่ได้สนใจคนข้าง ๆ มากนัก เพราะตอนนี้โทรศัพท์ของเธอกำลังมีสายเข้า“ฮัลโหลค่ะ พี่กันต์เหรอ อยู่ที่ห้องแล็บใช่มั้ยคะ โอเคฉัตรกำลังไปค่ะ” เธอรับสายจากใครคนหนึ่งแล้
วันแต่งงานเป็นอีกวันที่ฉัตรนลินทร์รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าวันสำคัญที่ผ่าน ๆ มาของเธอ แม้จะไม่ใช่การแต่งงานที่เต็มใจกันทั้งสองฝ่ายก็ตามช่วงเช้าเป็นพิธีหมั้นและรดน้ำสังฆ์ หญิงสาวที่อยู่ในชุดไทยช่างสวยสง่าจนแขกที่มาร่วมงานต่างก็พากันชื่นชมไม่ขาดปาก ซึ่งพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมากเมื่อถึงเวลาที่ทั้งคู่ต้องจดทะเบียนสมรสกันต่อหน้าแขกที่มาร่วมงาน ทุกคนต่างพากันชื่นชมและยินดีให้กับคู่บ่าวสาว แต่ไม่รวมไปถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่เธอนั่งมองพลางกำหมัดแน่น น้ำตาที่มันคลอหน่วยทำให้เธอต้องกักเก็บมันไว้ เธอจะปล่อยให้มันไหลออกมาตอนนี้ไม่ได้“ตาไตร” ศศิณีก้มลงไปเรียกชื่อลูกชายเบา ๆ “รีบ ๆ เซ็นเข้า”“ทำไมต้องจดทะเบียนด้วยครับ” ศิวัฒน์หันไปกระซิบ “เดี๋ยวก็ต้องหย่า”“นี่ปากแกเหรอ” ศศิณีกัดฟันพูด “เซ็นซะ อย่าให้ฉันต้องใช้ไม้ตาย”ศิวัฒน์จำใจจรดปลายปากกาลงไปเพื่อเซ็นชื่อในใบสำคัญสมรสนั้น ขณะที่เขาวางปากกาลงสายตาของเขาก็มองไปยังคนรักที่นั่งปาดน้ำตาอยู่ เขาห้ามเธอแล้วว่าอย่ามาแต่เธอก็ไม่เชื่อฟัง ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ แต่เพราะเงื่อนไขบ้า ๆ นี้ เขาเลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวังว
ก่อนงานแต่งหนึ่งสัปดาห์ ศศิณีบังคับให้ลูกชายไปรับฉัตรนลินทร์มาทานข้าวที่บ้าน เพราะเธอรู้มาว่าทุกครั้งที่ให้ลูกชายตัวดีพาว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ศิวัฒน์ไม่เคยพาฉัตรนลินทร์ไปถึงร้านอาหารเลยสักครั้ง“มาแล้วเหรอลูก” ทันทีที่เห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้เธอก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตา จนคนที่เดินตามหลังมาต้องขมวดคิ้วแม่ของเขานับวันหายใจเข้าหายใจออกก็เป็นฉัตรนลินทร์เข้าไปทุกที“สวัสดีค่ะคุณป้า”“ป้าอะไรกันล่ะอีกอาทิตย์เดียวก็แต่งเข้าบ้านนี้แล้ว เรียกแม่สิ”“เอ่อ”“อย่ามาทำเป็นอาย ทั้ง ๆ ที่เธอไม่มียางอาย”เพี๊ยะ!!“ตาไตร ทำไมว่าน้องแบบนั้น” เพราะอยู่ใกล้ ๆ มือ เธอเลยฟาดไปที่ต้นแขนของลูกชายหนึ่งที“ก็จริงนิแม่ แม่ไม่รู้เหรอขนาดผมบอกว่ามีแฟนแล้ว เธอยังยืนยันจะแต่งกับผม”“ทำดีมากลูก” เธอหันมาชมว่าที่ลูกสะใภ้“แม่ ผมเป็นลูกแม่นะ”“หึ อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกพูดไม่ให้เกียรติหนูฉัตรต่อหน้าคนอื่น ฉันก็จะไม่ไว้หน้าแกเหมือนกัน” เธอยื่นคำขาดกับลูกชาย “ไปเถอะลูกวันนี้แม่เข้าครัวเองเลยนะ”“นี่ขนาดยังไม่ทันแต่งนะ เธอมันร้ายกาจกว่าที่ฉันคิดมากเลยฉัตรนลินทร์” เขาบ่นคนเดียวเบา ๆ ก่อนจะเดินตามทั้ง
ถึงวันที่ทั้งคู่ต้องไปถ่ายพรีเวดดิ้ง เพราะงานแต่งใกล้เข้ามาทุกทีงานทุกอย่างเลยดูเร่งรีบไปหมดจนฉัตรนลินทร์เองมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก เพราะเธอต้องขับรถไปกลับกรุงเทพกับบ้านเกิดสัปดห์ละหลาย ๆ รอบ ร่างกายเลยอ่อนเพลีย เช้านี้เธอเลยรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว“ฉัตรไหวมั้ยลูก” ผู้เป็นแม่ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเขามาเห็นลูกสาวกำลังนอนซม“ไหวค่ะแม่”“เลื่อนไปก่อนดีมั้ย”“ไม่เป็นไรค่ะ ถ่ายให้มันเสร็จ ๆ ไป หนูจะได้กลับไปทำงานอีก”“ให้พี่ขับรถไปส่งนะ”“ไม่เป็นไรค่ะ วันหยุดทั้งทีให้พี่พักเถอะ หนูขับไหว”ฉัตรนลินทร์เธอมีพี่ชายหนึ่งคน ทั้งคู่ห่างกันสามปี ซึ่งตอนนี้พี่ชายของเธอก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว แถมยังมีเจ้าตัวน้อยวัยสามขวบหนึ่งคนปี๊น!เสียงแตรรถที่ดังอยู่หลายครั้งทำให้คนในบ้านแปลกใจว่าใครกันนะทำไมถึงไม่มีมารยาทแบบนี้ แต่กลับมีคนหนึ่งที่รู้ดีว่าคนที่ทำพฤติกรรมแย่ ๆ นี้เป็นใคร“หนูออกไปดูเองค่ะ”พูดจบฉัตรนลินทร์ก็ลุกแล้วเดินออกไป และก็ไม่ผิดหวังกับความคิดของตัวเอง เพราะเขาใช่คนที่เธอคิดจริง ๆ“คุณมีธุระอะไรคะ”“วันนี้มีถ่ายพรีเวดดิ้งเธอลืมไปแล้วหรือยังไง”“ไม่ลืมค่ะ”“เห็นเธอยังไม่แต่งตัว”“ฉันไม่รีบนี่คะ”
ณ.ร้านพรีเวดดิ้ง วันนี้ศศิณีให้ศิวัฒน์ไปรับฉัตรนลินทร์เพื่อไปลองชุดแต่งงานที่เธอเคยแวะไปวัดตัวทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ แต่ฉัตรนลินทร์กลับปฏิเสธโดยอ้างว่าเธอมีธุระต่อหลังจากลองชุด เธอจึงขอเอารถไปเองสาเหตุจริง ๆ ที่ฉัตรนลินทร์ปฏิเสธเพราะเธอโดนเขาทิ้งไว้กลางทางสองครั้งแล้ว แต่เธอไม่เคยบอกให้ศศิณีรู้ ซึ่งครั้งล่าสุดคือวันที่เธอมาวัดตัวนี่แหละ เธอจึงเข็ดหลาบไม่กล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงกับผู้ชายคนนี้อีก“เชิญค่ะ” พนักงานสาวเดินเข้ามาต้อนรับเธอทันทีที่ย่างเท้าเข้าไปในร้าน “มาลองชุดใช่มั้ยคะ”“ใช่ค่ะ”“นั่งรอสักครู่นะคะ แล้วเอ่อ...” พนักงานชะเง้อคอมองออกไปนอกร้าน “เจ้าบ่าวล่ะคะ”“อ๋อ กำลังตามมาค่ะ พอดีมากันคนละคัน”“โห...พี่ไตร”หญิงสาวคนหนึ่งอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่ชื่อที่เธอเรียกทำให้ฉัตรนลินทร์เงยหน้าขึ้นจากนิตยสารในมือ บุคคลที่เห็นทำเธอต้องขมวดคิ้ว ผู้ชายคนนี้ไม่คิดที่จะไว้หน้าของเธอเลยจริง ๆ แต่เธอก็เข้าใจอะไรได้ไม่ยากเพราะแน่นอนว่าเขาคงจะเกลียดเธอ คิดได้ดังนั้นฉัตรนลินทร์ก็ก้มลงไปดูนิตยสารในมือต่อ“ขอเกลลองได้มั้ยคะ”“ได้สิ”“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าสนใจเป็นเซ็ตไหนคะ” พนักงานสาวอีกคนเข้าไปต้อนรั
เช้าวันเสาร์เดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว แปลกที่ปกติหญิงสาวมักจะรอวันหยุด เพราะเธอจะได้พักผ่อน แต่นี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอไม่อยากให้วันหยุดมาถึงรถคันงามมาจอดหน้าบ้านของฉัตรนลินทร์ เขาบีบแตรเรียกอยู่หลายครั้ง ส่วนคนด้านในก็รีบวิ่งออกมา เธอใส่รองเท้าที่เตรียมเอาไว้แล้วเดินมาหยุดยืนตรงฝั่งคนขับ เพียงไม่นานกระจกรถก็ถูกลดลง พร้อมกับหน้าตาของคนขับ หากไม่นับที่เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เธอ เธอคงจะได้ชื่นชมความหล่อของเขา แต่จะว่าไปถึงแม้เขาจะทำหน้าแบบนั้นก็ไม่ได้บดบังความหล่อของเขาไปได้เลยสักนิด‘คนนี้เหรอคุณไตรลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณศศิณี’ไตร หรือศิวัฒน์ หนุ่มหล่อใบหน้าคมคาย คิ้วหนาเข้มนัยน์ตาสีนิล เจ้าของความสูง 185 เซนติเมตร วัย 33 ปี เขาเป็นลูกคนเดียวของศศิณี ด้วยความเสเพลย์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เป็นหนุ่ม ซึ่งศศิณีมองว่าคงจะถ่ายทอดกันทางสายเลือด แม้ว่าพ่อของเขาจะเสียไปแล้วแต่กลับทิ้งความเสเพลย์ไว้ให้ลูกชายตัวดี ทำให้ศศิณีเริ่มเอือมระอากับพฤติกรรมของลูกชาย จึงอยากให้มีครอบครัวจะได้มีความรับผิดชอบมากขึ้น แต่บังเอิญคนที่ศิวัฒน์เลือกกลับไม่ถูกใจศศิณี...“ยืนทำบื้ออะไรอยู่”ประโยคแรกที่เขาพูดออกมา