วันต่อมาฉัตรนลินทร์ก็ปรากฏตัวที่มหาวิทยาลัย ทำให้หลาย ๆ คนที่รู้ว่าเธอแต่งงานเมื่อคืนต่างพากันตกใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่เวลานี้เธอควรจะพักผ่อน หรือไม่ก็กำลังเก็บเสื้อผ้าไปฮันนีมูน
เมื่อคืนหลังออกจากโรงแรมเธอก็ขับรถกลับกรุงเทพโดยไม่ได้บอกใคร ในเมื่อศิวัฒน์มองว่าการแต่งงานมันไม่ได้สำคัญและเขาพร้อมที่จะหักหน้าเธอ ฉะนั้นเธอก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไว้หน้าเขา และเธอก็รู้ดีว่าหลังจากนี้ เขาก็จะตามมาต่อว่าเธอ
และเป็นอย่างที่เธอคิด เพราะหลังจากงานแต่งผ่านไปสองวันเขาก็ตามมาหาเธอถึงมหาวิทยาลัย
“ออกจากโรงแรมทำไมถึงไม่รอฉัน” เขาบีบต้นแขนของเธอด้วยความโกรธ “ฉันโดนแม่ด่ามาสารพัดเพราะเธอคนเดียว”
“คุณเองยังไม่อยากอยู่ห้องนั้นเลย แล้วคนอื่นเขาจะไม่อยากอยู่เหมือนคุณไม่ได้หรือไง”
“เธอมัน...”
“ทำไมคะ คุณอยากทำอะไรก็ทำไปสิ ฉันไม่ห้ามหรอก” เธอเผชิญหน้ากับเขา “แล้วคุณก็ห้ามยุ่งกับชีวิตของฉันด้วย”
“เธอแน่ใจเหรอว่าเธอจะไม่ห้าม”
“ค่ะ”
เธอไม่ได้สนใจคนข้าง ๆ มากนัก เพราะตอนนี้โทรศัพท์ของเธอกำลังมีสายเข้า
“ฮัลโหลค่ะ พี่กันต์เหรอ อยู่ที่ห้องแล็บใช่มั้ยคะ โอเคฉัตรกำลังไปค่ะ” เธอรับสายจากใครคนหนึ่งแล้วเดินออกไปโดยไม่สนใจศิวัฒน์
เพราะคำพูดในวันนั้นหลังพวกเขาเข้ามาอยู่ในบ้านที่ศศิณีซื้อให้ ประมาณเดือนกว่า ๆ แล้วที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกัน ในบ้านหลังใหญ่ ชั้นบนมีสองห้องเธอกับศิวัฒน์จึงแยกห้องกันนอน ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีคืนไหนที่ศิวัฒน์จะกลับมาบ้าน พวกเขาไม่เคยนั่งโต๊ะรับประทานอาหารพร้อมกันเลยสักครั้ง ซึ่งฉัตรนลินทร์เองก็ไม่ได้สนใจ
“คุณฉัตรคะ คืนนี้จะกลับหรือเปล่า”
แม่บ้านที่ศศิณีจ้างไว้ให้ดูแลบ้านชื่อกิ่งกาญจน์ อายุห้าสิบปี เธอวิ่งมาถามฉัตรนลินทร์ เพราะหลายครั้งแล้วที่เธอต้องเทอาหารทิ้ง ในวันที่ฉัตรนลินทร์และศิวัฒน์ไม่กลับบ้าน
“กลับค่ะป้ากิ่ง”
เธอหันไปตอบ ก่อนจะขับรถเพื่อไปมหาวิทยาลัย แต่ไม่ทันที่รถของเธอจะพ้นรั้วบ้าน เธอก็เห็นศิวัฒน์ขับรถเข้ามา แต่ไม่ได้ลดกระจกลงไปทักทาย เขาก็เช่นกัน ทั้งคู่ขับสวนไปเหมือนไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ
18.00 น
ฉัตรนลินทร์ก็กลับมาจากมหาวิทยาลัย เธอหอบเอกสารที่เอากลับมาจากมหาวิทยาลัยแล้วเดินเข้าบ้าน
“พี่ไตรอ่ะ”
เสียงของใครบางคนทำให้ฉัตรนลินทร์หยุดแล้วหันไปมอง เป็นจังหวะเดียวกันที่ศิวัฒน์หันมาเห็นเธอเช่นกัน
“นี่มันอะไรกันคะ” ฉัตรนลินทร์ต้องการคำตอบจากใครสักคน เขาคิดอะไรอยู่ถึงได้พากันมาพลอดรักถึงในบ้าน
“ก็อย่างที่เห็น” ศิวัฒน์ยืนขึ้น “มาก็ดีแล้วรับรู้ไว้ซะว่าหลังจากวันนี้ เกลจะมาอยู่กับฉันที่นี่”
“แบบนี้มันเกินไปหรือเปล่า?”
“เกินไปยังไงเหรอ? คนรักกันเขาก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ”
“คุณไม่อายบ้างเหรอ”
“อายทำไม ในเมื่อฉันมันเป็นตัวจริง ไม่ใช่ตัวแสดงแทนแบบเธอ” เกวลินพูดแทรกขึ้น
“ก่อนจะพูดฉันอยากให้คุณคิดก่อนนะ หากคนที่มีทะเบียนสมรสเรียกว่าตัวแสดงแทน แสดงว่าคนที่ไม่มีอะไรเลยแล้วปล่อยให้ผู้ชายหิ้วไปนั่นที หิ้วไปนี่ทีเขาเรียกว่าอะไร”
“หยุดนะ!! เธอไม่มีสิทธิ์มาว่าเกล” เขาตวาดใส่เธอ
“คุณก็ไม่มีสิทธิ์พาเธอเข้ามาในบ้านหลังนี้เหมือนกันค่ะ” ฉัตรนลินทร์เถียงกลับ
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ในเมื่อเกลเป็นเมียของฉัน” ฉัตรลินทร์รู้สึกหน้าชากับคำพูดของผู้ชายคนนี้ เขาไม่ได้มองว่าเธอคือภรรยายังไม่พอ เขายังไม่ไว้หน้าเธออีก
“แล้วคุณจะให้อยู่กันแบบนี้เหรอ ทุเรศสิ้นดี” เธอส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อคิดตามที่พูด
“ทุเรศยังไง เธอก็อยู่ในห้องของเธอ ฉันกับเกลก็อยู่ในห้องของฉัน”
เกวลินเบะปากใส่ฉัตรนลินทร์ไปหลายครั้ง เมื่อเธอรู้สึกว่าเธอคือผู้ชนะ แต่ฉัตรนลินทร์ก็ไม่ได้สนใจท่าทางต่ำ ๆ นั้น เธอไม่ได้โทษเกวลินแต่เธอกลับโทษศิวัฒน์ที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
“นั่นแหละค่ะที่เรียกว่าทุเรศ บ้านหลังนี้เป็นเรือนหอของเรา คุณแม่ของคุณซื้อให้เราสองคนแต่คุณกลับพาชู้มาอยู่ ไม่เกรงใจฉันก็เกรงใจแม่คุณบ้างนะ”
“นี่เธอ!!” เกวลินโกรธที่โดนฉัตรนลินทร์ด่าทางอ้อม
“ทำไมคะ” เธอตวัดสายตามองเกวลิน “ฉันแค่อยากบอกคุณแค่นั้นว่าคนที่ยุ่งกับคนที่มีทะเบียนสมรสเขาเรียกว่าชู้ เผื่อคุณยังเรียนไม่ถึงกฎหมายข้อนี้”
“หยุดนะ!!” ศิวัฒน์เข้าไปกระชากแขนของฉัตรนลินทร์ด้วยความโกรธ “เธอพูดเองว่าฉันจะทำอะไรก็ได้”
ใช่ เธอพูดแต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำถึงขนาดนี้
“...” แม้จะเจ็บแต่เธอก็ไม่แสดงออกให้เขาเห็น
“ถ้าไม่อยากอยู่ในสภาพนี้ก็หย่าให้ฉัน แล้วออกจากชีวิตฉันไป”
“ฉันก็ไม่ได้อยากอยู่ในชีวิตของคุณนักหรอก”
“ก็หย่าซะ” เขาผลักเธอจนเซไปด้านหลังสองก้าว เอกสารที่อยู่ในมือหล่นกระจัดกระจายบนพื้น จนเธอต้องก้มลงไปเก็บ
เกวลินได้แต่ยิ้มสะใจ เธอชื่นชมแฟนหนุ่มที่ทำให้เธอเห็นว่าผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้สำคัญสำหรับเขาเลย
“เอาเถอะ ในเมื่อพวกคุณทั้งสองยังไม่อาย แล้วฉันจะอายทำไม เพราะฉันไม่ได้ทำอะไรผิด” เธอลุกขึ้นมายืนเต็มความสูงหลังจากเก็บเอกสารเสร็จเธอยิ้มอ่อน ๆ ให้คนทั้งสอง “ส่วนเรื่องหย่าต้องรอนานหน่อยนะคะ ตอนนี้ฉันยังชอบมันอยู่”
“อีหน้าด้าน ไม่มียางอาย อีชอบแย่ง อีต่ำ สถุน”
“จุ๊ ๆ ฉันเพิ่งรู้นะคะ” เธอทำตาใสใส่เกวลิน “ว่าคุณเป็นพวกที่ชอบด่าตัวเอง”
กรี๊ด!!
เธอกรี๊ดลั่น พยายามจะเข้าไปคว้าตัวฉัตรนลินทร์ที่กำลังเดินขึ้นห้องไป แต่เกวลินก็โดนศิวัฒน์คว้าตัวไว้
“ปล่อยเกลนะ เกลจะเอาเลือดหัวมันออกมันว่าเกลกับพี่ พี่ไม่ได้ยินหรือไง” เธอดิ้นอยู่ในอ้อมกอดของศิวัฒน์
“พอเถอะ” ศิวัฒน์เอ่ยห้ามเสียงเรียบ
ศิวัฒน์มองหญิงสาวเดินขึ้นบันไดไป จนเธอหายเข้าไปในห้อง เขาได้แต่คิดว่าเขาประเมินผู้หญิงคนนี้ต่ำไปจริง ๆ เธอเก็บอารมณ์ได้ดี และมีความอดทนมากกว่าที่เขาคิดซะอีก
19.10 น.
ฉัตรนลินทร์เดินลงมารับประทานอาหารที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้ก็เห็นศิวัฒน์กับเกวลินนั่งทานอยู่ก่อนแล้ว แม้จะไม่ค่อยชอบใจแต่เธอก็ทำเป็นไม่สนใจ เดินเข้าไปนั่งลงเก้าอี้ตัวที่ห่างจากคนทั้งสอง
“คุณฉัตรคะ”
“คะป้ากิ่ง” เธอหันไปมอง
“นี่ของโปรดคุณฉัตรค่ะ ป้าทำไว้ให้”
“ว้าวกำลังอยากกินอยู่พอดี ขอบคุณมากนะคะ” เธอยกมือไหว้พลางรับจานที่มีปลาราดพริกมาจากแม่บ้าน
แต่กลับมีหญิงสาวที่เธอกำลังรู้สึกอิจฉาตาร้อนอยากจะแย่งขึ้นมา เพราะกับข้าวที่เธอทานไม่มีเมนูปลาราดพริก
“พี่ไตรคะ เกลอยากทานปลาราดพริกค่ะ”
“ได้สิ” ศิวัฒน์ขานรับพลางหันมามองฉัตรนลินทร์ “ส่งมาสิ”
“ไม่ค่ะ นี่ของฉัน” เธอขยับจานปลาราดพริกเข้าหาตัว
“เอ๊ะ!! เธอนี่มันยังไง ของแค่นี้ทำมาขี้เหนียว”
“คุณก็บอกคนของคุณสิว่าของแค่นี้ อย่ามาทำเป็นอยากกิน” ฉัตรนลินทร์ย้อน เธอเบะปากใส่ศิวัฒน์ไปหนึ่งที
“เธอนี่ยังไง หาเรื่องจะทะเลาะกับฉันให้ได้ใช่มั้ย”
“ใครกันคะที่หาเรื่อง” เธอเถียงตาใส
ท่าทางรั้น ๆ นั้นทำศิวัฒน์รู้สึกหมั่นไส้เธอยังไงไม่รู้ เขาทำได้แค่กัดปากตัวเองเพื่อระงับอารมณ์
“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่พาไปทานตัวใหญ่กว่านี้ วันนี้อย่าไปอยากทานเลยนะ”
“แต่เกลอยากทานวันนี้นี่คะ พาไปตอนนี้ได้มั้ย”
“ก็ได้ครับ” เขาเอื้อมมือไปลูบแก้มเกวลินที่กำลังทำหน้าอ้อนใส่เขา “ป้ากิ่งครับเก็บเลย ผมจะไปทานต่อข้างนอกครับ”
หลังทั้งสองลุกออกไปฉัตรนลินทร์ก็ได้แต่ทำท่าเลียนแบบศิวัฒน์ จนกิ่งกาญจน์ที่ยืนมองอยู่ยิ่งรู้สึกเอ็นดูเธอเข้าไปอีก
“คุณฉัตรโอเคใช่มั้ยคะ” เธอถามด้วยความเป็นห่วง
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องที่คุณไตร...” เธอไม่รู้ว่าสมควรพูดหรือเปล่า
“ทำไงได้ล่ะคะ เขารักกันปานจะฉีกวานดมขนาดนั้น” เธอเปรียบเปรยจนคนฟังเผลอยิ้มออกมา
“ฮ่า ๆ คุณฉัตรนี่เป็นคนอารมณ์ขันเหมือนกันนะคะ”
“ไม่รู้จะเครียดไปทำไมค่ะ” เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ “หนูขออะไรป้ากิ่งสักเรื่องได้มั้ยคะ”
“เรื่องอะไรคะ”
“อย่าบอกคุณแม่ก่อนได้มั้ยคะ”
“ทำไมล่ะคะ”
“ฉัตรขอจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองก่อน”
“ถ้าเป็นแบบนั้นคุณฉัตรก็ต้องทะเลากกับคุณไตรอีกนะคะ” เมื่อตอนเย็นที่ทั้งสองคนเถียงกันกิ่งกาญจน์ได้ยินชัดเจน เพราะเธอกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว
“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ป้ากิ่งก็เห็นนี่คะ” ตั้งแต่ที่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน ทุกครั้งที่ทั้งคู่เจอกันก็มีเรื่องให้เถียงกันตลอด เพราะไม่มีใครยอมใคร จนป้าแม่บ้านมองเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
“ก็ได้ค่ะ” เธอจำใจรับปาก ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็รู้สึกสงสารฉัตรนลินทร์อยู่ไม่น้อย
“ขอบคุณมากนะคะ”
แม้จะพูดออกไปแบบนั้นแต่ฉัตรนลินทร์ก็ยังคิดไม่ออกว่าเธอจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง
วันต่อมาฉัตรนลินทร์ก็ปรากฏตัวที่มหาวิทยาลัย ทำให้หลาย ๆ คนที่รู้ว่าเธอแต่งงานเมื่อคืนต่างพากันตกใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่เวลานี้เธอควรจะพักผ่อน หรือไม่ก็กำลังเก็บเสื้อผ้าไปฮันนีมูนเมื่อคืนหลังออกจากโรงแรมเธอก็ขับรถกลับกรุงเทพโดยไม่ได้บอกใคร ในเมื่อศิวัฒน์มองว่าการแต่งงานมันไม่ได้สำคัญและเขาพร้อมที่จะหักหน้าเธอ ฉะนั้นเธอก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไว้หน้าเขา และเธอก็รู้ดีว่าหลังจากนี้ เขาก็จะตามมาต่อว่าเธอและเป็นอย่างที่เธอคิด เพราะหลังจากงานแต่งผ่านไปสองวันเขาก็ตามมาหาเธอถึงมหาวิทยาลัย“ออกจากโรงแรมทำไมถึงไม่รอฉัน” เขาบีบต้นแขนของเธอด้วยความโกรธ “ฉันโดนแม่ด่ามาสารพัดเพราะเธอคนเดียว”“คุณเองยังไม่อยากอยู่ห้องนั้นเลย แล้วคนอื่นเขาจะไม่อยากอยู่เหมือนคุณไม่ได้หรือไง”“เธอมัน...”“ทำไมคะ คุณอยากทำอะไรก็ทำไปสิ ฉันไม่ห้ามหรอก” เธอเผชิญหน้ากับเขา “แล้วคุณก็ห้ามยุ่งกับชีวิตของฉันด้วย”“เธอแน่ใจเหรอว่าเธอจะไม่ห้าม”“ค่ะ”เธอไม่ได้สนใจคนข้าง ๆ มากนัก เพราะตอนนี้โทรศัพท์ของเธอกำลังมีสายเข้า“ฮัลโหลค่ะ พี่กันต์เหรอ อยู่ที่ห้องแล็บใช่มั้ยคะ โอเคฉัตรกำลังไปค่ะ” เธอรับสายจากใครคนหนึ่งแล้
วันแต่งงานเป็นอีกวันที่ฉัตรนลินทร์รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าวันสำคัญที่ผ่าน ๆ มาของเธอ แม้จะไม่ใช่การแต่งงานที่เต็มใจกันทั้งสองฝ่ายก็ตามช่วงเช้าเป็นพิธีหมั้นและรดน้ำสังฆ์ หญิงสาวที่อยู่ในชุดไทยช่างสวยสง่าจนแขกที่มาร่วมงานต่างก็พากันชื่นชมไม่ขาดปาก ซึ่งพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมากเมื่อถึงเวลาที่ทั้งคู่ต้องจดทะเบียนสมรสกันต่อหน้าแขกที่มาร่วมงาน ทุกคนต่างพากันชื่นชมและยินดีให้กับคู่บ่าวสาว แต่ไม่รวมไปถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่เธอนั่งมองพลางกำหมัดแน่น น้ำตาที่มันคลอหน่วยทำให้เธอต้องกักเก็บมันไว้ เธอจะปล่อยให้มันไหลออกมาตอนนี้ไม่ได้“ตาไตร” ศศิณีก้มลงไปเรียกชื่อลูกชายเบา ๆ “รีบ ๆ เซ็นเข้า”“ทำไมต้องจดทะเบียนด้วยครับ” ศิวัฒน์หันไปกระซิบ “เดี๋ยวก็ต้องหย่า”“นี่ปากแกเหรอ” ศศิณีกัดฟันพูด “เซ็นซะ อย่าให้ฉันต้องใช้ไม้ตาย”ศิวัฒน์จำใจจรดปลายปากกาลงไปเพื่อเซ็นชื่อในใบสำคัญสมรสนั้น ขณะที่เขาวางปากกาลงสายตาของเขาก็มองไปยังคนรักที่นั่งปาดน้ำตาอยู่ เขาห้ามเธอแล้วว่าอย่ามาแต่เธอก็ไม่เชื่อฟัง ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ แต่เพราะเงื่อนไขบ้า ๆ นี้ เขาเลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวังว
ก่อนงานแต่งหนึ่งสัปดาห์ ศศิณีบังคับให้ลูกชายไปรับฉัตรนลินทร์มาทานข้าวที่บ้าน เพราะเธอรู้มาว่าทุกครั้งที่ให้ลูกชายตัวดีพาว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ศิวัฒน์ไม่เคยพาฉัตรนลินทร์ไปถึงร้านอาหารเลยสักครั้ง“มาแล้วเหรอลูก” ทันทีที่เห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้เธอก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตา จนคนที่เดินตามหลังมาต้องขมวดคิ้วแม่ของเขานับวันหายใจเข้าหายใจออกก็เป็นฉัตรนลินทร์เข้าไปทุกที“สวัสดีค่ะคุณป้า”“ป้าอะไรกันล่ะอีกอาทิตย์เดียวก็แต่งเข้าบ้านนี้แล้ว เรียกแม่สิ”“เอ่อ”“อย่ามาทำเป็นอาย ทั้ง ๆ ที่เธอไม่มียางอาย”เพี๊ยะ!!“ตาไตร ทำไมว่าน้องแบบนั้น” เพราะอยู่ใกล้ ๆ มือ เธอเลยฟาดไปที่ต้นแขนของลูกชายหนึ่งที“ก็จริงนิแม่ แม่ไม่รู้เหรอขนาดผมบอกว่ามีแฟนแล้ว เธอยังยืนยันจะแต่งกับผม”“ทำดีมากลูก” เธอหันมาชมว่าที่ลูกสะใภ้“แม่ ผมเป็นลูกแม่นะ”“หึ อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกพูดไม่ให้เกียรติหนูฉัตรต่อหน้าคนอื่น ฉันก็จะไม่ไว้หน้าแกเหมือนกัน” เธอยื่นคำขาดกับลูกชาย “ไปเถอะลูกวันนี้แม่เข้าครัวเองเลยนะ”“นี่ขนาดยังไม่ทันแต่งนะ เธอมันร้ายกาจกว่าที่ฉันคิดมากเลยฉัตรนลินทร์” เขาบ่นคนเดียวเบา ๆ ก่อนจะเดินตามทั้ง
ถึงวันที่ทั้งคู่ต้องไปถ่ายพรีเวดดิ้ง เพราะงานแต่งใกล้เข้ามาทุกทีงานทุกอย่างเลยดูเร่งรีบไปหมดจนฉัตรนลินทร์เองมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก เพราะเธอต้องขับรถไปกลับกรุงเทพกับบ้านเกิดสัปดห์ละหลาย ๆ รอบ ร่างกายเลยอ่อนเพลีย เช้านี้เธอเลยรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว“ฉัตรไหวมั้ยลูก” ผู้เป็นแม่ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเขามาเห็นลูกสาวกำลังนอนซม“ไหวค่ะแม่”“เลื่อนไปก่อนดีมั้ย”“ไม่เป็นไรค่ะ ถ่ายให้มันเสร็จ ๆ ไป หนูจะได้กลับไปทำงานอีก”“ให้พี่ขับรถไปส่งนะ”“ไม่เป็นไรค่ะ วันหยุดทั้งทีให้พี่พักเถอะ หนูขับไหว”ฉัตรนลินทร์เธอมีพี่ชายหนึ่งคน ทั้งคู่ห่างกันสามปี ซึ่งตอนนี้พี่ชายของเธอก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว แถมยังมีเจ้าตัวน้อยวัยสามขวบหนึ่งคนปี๊น!เสียงแตรรถที่ดังอยู่หลายครั้งทำให้คนในบ้านแปลกใจว่าใครกันนะทำไมถึงไม่มีมารยาทแบบนี้ แต่กลับมีคนหนึ่งที่รู้ดีว่าคนที่ทำพฤติกรรมแย่ ๆ นี้เป็นใคร“หนูออกไปดูเองค่ะ”พูดจบฉัตรนลินทร์ก็ลุกแล้วเดินออกไป และก็ไม่ผิดหวังกับความคิดของตัวเอง เพราะเขาใช่คนที่เธอคิดจริง ๆ“คุณมีธุระอะไรคะ”“วันนี้มีถ่ายพรีเวดดิ้งเธอลืมไปแล้วหรือยังไง”“ไม่ลืมค่ะ”“เห็นเธอยังไม่แต่งตัว”“ฉันไม่รีบนี่คะ”
ณ.ร้านพรีเวดดิ้ง วันนี้ศศิณีให้ศิวัฒน์ไปรับฉัตรนลินทร์เพื่อไปลองชุดแต่งงานที่เธอเคยแวะไปวัดตัวทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ แต่ฉัตรนลินทร์กลับปฏิเสธโดยอ้างว่าเธอมีธุระต่อหลังจากลองชุด เธอจึงขอเอารถไปเองสาเหตุจริง ๆ ที่ฉัตรนลินทร์ปฏิเสธเพราะเธอโดนเขาทิ้งไว้กลางทางสองครั้งแล้ว แต่เธอไม่เคยบอกให้ศศิณีรู้ ซึ่งครั้งล่าสุดคือวันที่เธอมาวัดตัวนี่แหละ เธอจึงเข็ดหลาบไม่กล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงกับผู้ชายคนนี้อีก“เชิญค่ะ” พนักงานสาวเดินเข้ามาต้อนรับเธอทันทีที่ย่างเท้าเข้าไปในร้าน “มาลองชุดใช่มั้ยคะ”“ใช่ค่ะ”“นั่งรอสักครู่นะคะ แล้วเอ่อ...” พนักงานชะเง้อคอมองออกไปนอกร้าน “เจ้าบ่าวล่ะคะ”“อ๋อ กำลังตามมาค่ะ พอดีมากันคนละคัน”“โห...พี่ไตร”หญิงสาวคนหนึ่งอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่ชื่อที่เธอเรียกทำให้ฉัตรนลินทร์เงยหน้าขึ้นจากนิตยสารในมือ บุคคลที่เห็นทำเธอต้องขมวดคิ้ว ผู้ชายคนนี้ไม่คิดที่จะไว้หน้าของเธอเลยจริง ๆ แต่เธอก็เข้าใจอะไรได้ไม่ยากเพราะแน่นอนว่าเขาคงจะเกลียดเธอ คิดได้ดังนั้นฉัตรนลินทร์ก็ก้มลงไปดูนิตยสารในมือต่อ“ขอเกลลองได้มั้ยคะ”“ได้สิ”“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าสนใจเป็นเซ็ตไหนคะ” พนักงานสาวอีกคนเข้าไปต้อนรั
เช้าวันเสาร์เดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว แปลกที่ปกติหญิงสาวมักจะรอวันหยุด เพราะเธอจะได้พักผ่อน แต่นี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอไม่อยากให้วันหยุดมาถึงรถคันงามมาจอดหน้าบ้านของฉัตรนลินทร์ เขาบีบแตรเรียกอยู่หลายครั้ง ส่วนคนด้านในก็รีบวิ่งออกมา เธอใส่รองเท้าที่เตรียมเอาไว้แล้วเดินมาหยุดยืนตรงฝั่งคนขับ เพียงไม่นานกระจกรถก็ถูกลดลง พร้อมกับหน้าตาของคนขับ หากไม่นับที่เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เธอ เธอคงจะได้ชื่นชมความหล่อของเขา แต่จะว่าไปถึงแม้เขาจะทำหน้าแบบนั้นก็ไม่ได้บดบังความหล่อของเขาไปได้เลยสักนิด‘คนนี้เหรอคุณไตรลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณศศิณี’ไตร หรือศิวัฒน์ หนุ่มหล่อใบหน้าคมคาย คิ้วหนาเข้มนัยน์ตาสีนิล เจ้าของความสูง 185 เซนติเมตร วัย 33 ปี เขาเป็นลูกคนเดียวของศศิณี ด้วยความเสเพลย์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เป็นหนุ่ม ซึ่งศศิณีมองว่าคงจะถ่ายทอดกันทางสายเลือด แม้ว่าพ่อของเขาจะเสียไปแล้วแต่กลับทิ้งความเสเพลย์ไว้ให้ลูกชายตัวดี ทำให้ศศิณีเริ่มเอือมระอากับพฤติกรรมของลูกชาย จึงอยากให้มีครอบครัวจะได้มีความรับผิดชอบมากขึ้น แต่บังเอิญคนที่ศิวัฒน์เลือกกลับไม่ถูกใจศศิณี...“ยืนทำบื้ออะไรอยู่”ประโยคแรกที่เขาพูดออกมา