ทาบทามนางไปเป็นสะใภ้
เสียงวิ่งย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบตามมาด้วยร่างของเด็กชายคนหนึ่งโผล่พ้นชายป่า ป๋อเหวิน บุตรชายคนโตของฉู่มู่เฉินวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาบอกซูหนี่ซึ่งเป็นน้องสาวร่วมมารดาด้วยอาการตื่นตระหนก เขาและเสวียนหนี่น้องสาวคนเล็กได้ชวนกันเล่นซ่อนหาบริเวณหลังจวน โดยที่ตนเป็นคนซ่อนตัวแล้วให้อีกฝ่ายเป็นคนตามหา เวลาไล่หลังผ่านไปได้หนึ่งเค่อ ป๋อเหวินไม่เห็นเสวียนหนี่จึงออกจากที่หลบซ่อนร้องเรียกหานาง ทว่าไม่พบแม้กระทั่งเงา
“ทำเช่นไรดี ฮูหยินใหญ่ต้องตีข้าแน่ ข้าจะทำเช่นไรดีซูหนี่”
เขาถามน้องสาวเสียงสั่น ขอบตาแดงรื้นราวกับว่าน้ำตาที่กักเก็บเอาไว้จะหล่นแหมะอยู่รอมร่อ แต่ไหนแต่ไรฉู่ป๋อ
เหวินมักจะมีนิสัยหัวอ่อนขี้ขลาด และทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง หากพบเจอปัญหาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็มักจะวิ่งเต้นหาคนช่วยอยู่ร่ำไป แม้กระทั่งฉู่ซูหนี่ที่อายุน้อยกว่าเขาก็ยังหวังยึดเอาเป็นที่พึ่งฉู่มู่เฉินเป็นผู้นำตระกูลฉู่ ซึ่งดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสาม มีภรรยาเอกนามว่าซินหยาง เมื่อแปดปีก่อนนางได้ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคนตั้งชื่อให้ว่าฉู่เสวียนหนี่ นอกจากนั้นเขายังมีบุตรชายและบุตรสาวที่เกิดจากเจียวเหมยซึ่งเป็นอนุ บุตรชายคนโตฉู่ป๋อเหวินอายุย่างสิบเอ็ดหนาว และบุตรสาวคนรองฉู่ซูหนี่อายุเก้าหนาว
ปกติแล้วฉู่เสวียนหนี่จะติดพี่ชายคนโต ส่วนซูหนี่ซึ่งเป็นพี่รองไม่ค่อยสุงสิงกับพี่น้องคนอื่น ๆ มากนัก หรือถ้าหากมีโอกาสได้เล่นด้วยกันอีกฝ่ายก็มักจะหาเรื่องกลั่นแกล้งน้องสาวคนเล็กจนได้รับบาดเจ็บเนื้อตัวเขียวช้ำอยู่เป็นประจำ ด้วยสาเหตุนี้ฉู่เสวียนหนี่จึงไม่ค่อยให้ความสนิทสนมกับพี่สาวเท่าไหร่นัก
“ข้าจะทำอย่างไรดี หากนางเป็นอะไรขึ้นมาข้าต้องถูกตีแน่ ๆ”
เหงื่อกาฬเม็ดเล็กผุดขึ้นที่หน้าผาก เขาพูดพลางย่ำเท้าสลับไปมา เนื่องด้วยลึกเข้าไปนั้นเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ นอกจากต้นไม้สูงตระหง่านและหญ้ารกชัฏยังมีสัตว์ป่าหลายชนิด รวมไปถึงสัตว์ป่าดุร้ายที่พร้อมกระโจนปลิดชีพไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่
“อย่าตาขาว! มีคนอื่นรู้หรือไม่ว่าท่านพี่พานางเข้าไปเล่นหลังจวน”
“ไม่ ไม่มีผู้ใดรู้ เช่นนั้นข้า... ข้าต้องรีบไปแจ้งท่านพ่อกับฮูหยินใหญ่ก่อนว่าเสวียนหนี่หายตัวไป”
เด็กชายพูดจบก็ทำท่าจะวิ่งกลับไปที่เรือนหลัก ทว่าก็ถูกผู้เป็นน้องสาวรั้งตัวไว้เสียก่อน นางมองหน้าพี่ชายด้วยแววตานิ่งเฉยไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนกับการที่อีกฝ่ายหายตัวไป ก่อนหน้านี้นางกับพี่ชายก็มักจะไปเล่นบริเวณนั้นอยู่เป็นประจำ ซึ่งมันก็ไม่เห็นว่ามีอะไรให้น่าเป็นห่วง
วันนี้เรือนใหญ่ค่อนข้างวุ่นวายนัก ท่านพ่อกับฮูหยินใหญ่คงไม่มีเวลามาคอยดูแลบุตรสาวของตนเองหรอก เพราะซีฮันอ๋องมาเยี่ยมเยือนบิดาถึงจวน ทำให้เหล่าบรรดาบ่าวรับใช้ต่างถูกเรียกไปปรนนิบัติรับใช้ สาวใช้ที่คอยดูแลเสวียนหนี่ก็ถูกเกณฑ์ไปด้วย ทำให้อีกฝ่ายพ้นขอบเขตระยะสายตาผู้ใหญ่ ครั้นพอถูกพี่ชายคนโตชวนไปเล่นก็หายตัวไปอีก
ซีฮันอ๋องนับเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมืองอันดับต้น ๆ แต่ไม่มีผู้ใดพูดได้ว่าเทียบเท่ากับกษัตริย์ เพราะต่างรู้กันเป็นอย่างดีว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรพูดถึง ด้วยความที่ซีฮันอ๋องเป็นผู้กุมอำนาจเสียส่วนใหญ่ เป็นดั่งนิ้วมือที่คอยชักใยหุ่นเชิดจึงไม่มีผู้ใดอาจหาญลบหลู่ การที่ซีฮันอ๋องมาเยี่ยมจวนตระกูลฉู่ครั้งนี้ถือเป็นหน้าเป็นตาแก่ตระกูล ผู้ใหญ่ทุกคนจึงต้องอยู่เพื่อต้อนรับอย่างดีจะได้ไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง
“พี่ใหญ่ ช้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าว่าเอาอย่างนี้ดีหรือไม่” เด็กหญิงที่มีใจริษยาได้คิดบางสิ่งบางอย่างออก มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยนึกถึงคำพร่ำสอนของมารดาที่บอกให้นางชิงดีชิงเด่นกับฉู่เสวียนหนี่ คิดได้เช่นนั้นนางจึงแสร้งแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจพี่ชายอยู่บ้าง “ตอนนี้ท่านพ่อ ฮูหยินใหญ่ และท่านแม่ของเรากำลังต้อนรับการมาของซีฮันอ๋องอยู่ เวลานี้เด็กอย่างพวกเราไม่สมควรเข้าไปยุ่มย่าม”
“นี่... เจ้าหมายความว่า!” ป๋อเหวินมีท่าทีมึนงง ไม่เข้าใจว่าน้องสาวกำลังหมายถึงอะไร
“เสวียนหนี่กับท่านพี่เล่นซ่อนหากันอยู่ไม่ใช่หรือ บางทีนางอาจไม่ได้หายไปไหน เผลอ ๆ หากนางหาพี่ใหญ่ไม่เจอก็อาจจะเดินกลับจวนเองด้วยซ้ำ” ฉู่ซูหนี่เอ่ยแนะนำพี่ชาย
“ตะ...แต่เสวียนหนี่” เด็กชายมีท่าทีลังเล
“หากท่านพี่ไปแจ้งฮูหยินใหญ่ว่าบุตรสาวของนางหายตัวไปตอนที่กำลังเล่นอยู่กับท่านพี่” นางเว้นจังหวะเล็กน้อย ค่อยเสริมอย่างจริงจังว่า “ฮูหยินใหญ่จะต้องฆ่าท่านพี่ตายแน่”
“ฆะ... ฆ่าเลยหรือ!” ฉู่ป๋อเหวินมีท่าตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด ความที่ตนเองยังเป็นเด็กจึงเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
“อืม! ใช่” ฉู่ซูหนี่พยักหน้าช้า ๆ อย่างเห็นอกเห็นใจ นางลูบหลังมือพี่ชายปลอบขวัญแล้วเสนอทางออกวิธีอื่นให้ โดยที่ป๋อเหวินไม่รู้เลยว่าภายในใจของนางนั้นกำลังคิดการใดอยู่
“อีกเพียงไม่นานก็จะเย็นแล้ว ยามนั้นเมื่อท่านพ่อกับฮูหยินใหญ่ไม่เห็นว่านางกลับจวน พวกเขาก็จะออกตามหาตัวนางเอง จำไว้ว่าท่านพี่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ทำตามที่ข้าบอกแล้วท่านพี่จะไม่มีความผิด”
“ขะ... ข้าต้องทำเช่นนั้นหรือถึงจะไม่มีความผิด” เด็กชายยังมีสีหน้าเป็นกังวล เขาเชื่อในคำพูดของน้องสาวทุกประการ
“ใช่แล้ว...ข้าหวังดีกับท่านพี่นะเจ้าคะ” นางพยักหน้าหงึกหงัก แต่ถึงกระนั้นผู้เป็นพี่ชายก็ยังคงไม่มั่นใจ เขายังเด็กนักยังไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมอันใดทั้งสิ้น
“แต่... แต่ฮูหยินใหญ่จะไม่ทำอะไรข้าจริง ๆ หรือถ้านางรู้ภายหลัง”
“แล้วนางจะทำอันใดพี่ใหญ่ได้เล่า หากพี่ใหญ่ยืนกรานว่าไม่รู้ไม่เห็น” นางบอกกล่าวอย่างใจเย็น
ความคิดของนางไปไกลเกินกว่าเด็กวัยเก้าขวบแล้ว นางไม่ได้พูดเพราะความไร้เดียงสา แต่พูดเลียนแบบตามคำสั่งสอนของมารดาต่างหาก สาเหตุหลักที่บิดาโปรดปรานท่านแม่เป็นพิเศษ เพราะท่านได้ให้กำเนิดป๋อเหวินซึ่งเป็นบุตรชายคนแรกของตระกูล สำหรับท่านพ่อที่เป็นขุนนางระดับสาม การที่ได้บุตรชายถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากกว่าบุตรสาวเสียอีก
ส่วนซินหยางแม้จะเป็นภรรยาเอกแต่นางไม่สามารถมีบุตรชายให้แก่ท่านพ่อได้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้รับความโปรดปรานเทียบเท่ากับท่านแม่ที่เป็นเพียงอนุ
ด้านซีฮันอ๋องที่อยู่พูดคุยกับฉู่มู่เฉินจนถึงยามเซิน ทันทีที่ส่งอีกฝ่ายเสร็จเจียวเหมยจึงได้ถามผู้เป็นสามีอย่างใคร่รู้ เพราะนางยังคงไม่กระจ่างกับสิ่งที่ซีฮันอ๋องพูดเมื่อครู่
“ท่านพี่ หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ ท่านอ๋องอยากหมั้นหมายเสวียนหนี่ไว้ให้บุตรชายคนโต ข้าเข้าใจถูกหรือไม่”
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว” ฉู่มู่เฉินหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างพึงพอใจ เพราะการที่ได้เกี่ยวดองกับซีฮันอ๋องเป็นสิ่งที่เขาปรารถนามาตลอด ในที่สุดเสวียนหนี่ก็ทำให้เขาสมหวังโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากร้องขอใด ๆ
“โชคเข้าข้างจริง ๆ ในที่สุดข้าก็จะได้เกี่ยวดองกับซีฮันอ๋องแล้ว” อีกฝ่ายเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี ส่งผลให้เจียวเหมยรู้สึกขุ่นเคืองใจไม่น้อย เพราะเหตุใดสตรีที่ท่านอ๋องหมายตาเอาไว้ให้บุตรชายถึงไม่เป็นบุตรสาวของนาง ไม่รู้ว่าเสวียนหนี่มีวาสนาดีขนาดไหนกัน ถึงได้มีตระกูลทรงอิทธิพลที่สุดในแคว้นเถียนมาทาบทามไว้ตั้งแต่ยังเด็กเช่นนี้
เจียวเหมยพยายามข่มกลั้นความริษยาไว้ภายใน ก่อนจะแสร้งปั้นหน้ายิ้มเสมือนยินดีกับอีกฝ่ายไปด้วย “การเกี่ยวดองกับท่านอ๋องถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง ตระกูลฉู่ของเราจะได้มั่นคงยิ่งกว่าเดิม ข้าดีใจกับท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ ยินดีกับเสวียนหนี่และฮูหยินใหญ่ด้วย”
ซินหยางมองดูทั้งคู่แย้มยิ้มหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข นางจึงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ใจจริงแล้วนางไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายกับการทาบทามในครั้งนี้เท่าใดนัก เพราะนางมองเจตนาของคนผู้นั้นออก การที่เขาอยากได้เสวียนหนี่ไปเป็นสะใภ้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่ฉู่มู่เฉินที่อยากได้ซีฮันอ๋องมาคอยหนุนรากฐานตระกูลให้มั่นคงหรอกนะ แต่อีกฝ่ายก็กระหายอำนาจไม่แพ้กัน
ดังนั้นแม้ตระกูลฉู่จะมีอิทธิพลไม่เทียบเท่ากับท่านอ๋อง แต่ก็มิได้น้อยหน้ากว่าตระกูลอื่น ๆ ออกจะเป็นหมายเลขหนึ่งเสียด้วยซ้ำเมื่อพิจารณาดูดี ๆ
“แล้วนี่! เสวียนหนี่ไปไหน วันนี้ข้ายังไม่เห็นนางเลย” ครั้นเมื่อหัวเราะจนพอใจเขาจึงได้หันมาถามภรรยา
“น่าจะเล่นอยู่ที่ศาลากลางสวนเจ้าค่ะ” นางตอบกลับ
“อืม! ฮูหยิน ต่อไปนี้เจ้าต้องดูแลบุตรสาวของเราให้ดี นางจะเป็นตัวนำโชคมาสู่ตระกูลเราเข้าใจหรือไม่” เขาเอ่ยกำชับภรรยา
“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” ซินหยางตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในใจรู้สึกเป็นกังวลไม่น้อย
ลึกเข้าไปในป่าหลังจวนตระกูลฉู่ เสวียนหนี่ร่ำไห้น้ำตาอาบแก้มด้วยความหวาดกลัวจับจิต เด็กหญิงตัวน้อยเดินไปไม่รู้ทิศรู้ทาง ด้วยความที่ยังเด็กมากนักและไม่รู้ว่าตนเองกำลังหลงทางอยู่ในป่า นางจึงเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ป่าฟังดูน่าขนลุก เสวียนหนี่พยายามสะกดกลั้นเสียงสะอื้นให้เงียบลง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าได้มีบางอย่างที่อันตรายกว่า สิ่งนั้นคือแมงมุมพิษร้ายแรงมันกำลังไต่จากชายอาภรณ์ขึ้นมาที่บริเวณลำคอ เมื่อเสวียนหนี่รู้สึกตัวนางจึงรีบปัดมันออกให้พ้น ทว่ากลับถูกแมงมุมกัดเข้าที่ปลายนิ้ว ความเจ็บปวดจากการถูกกัดทำให้นางเผลอปล่อยเสียงกรีดร้องออกมาอย่างลืมตัว ระยะแรกเด็กหญิงรู้สึกเจ็บปวดอย่างมหาศาลจนยกแขนไม่ขึ้น แต่เวลาผ่านไปไม่นานกลับรู้สึกชาไปทั้งตัวไร้เรี่ยวแรงจะขยับกาย ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็พลันตกอยู่ในความมืดมิด เสียงกรีดร้องดังอยู่ในหูได้ไม่นานสติสัมปชัญญะของนางก็พลันดับวูบลงไปพร้อมกับร่างน้อย ๆ ที่ทิ้งตัวหมดสติลงแนบผืนพสุธา
แสร้งเป็นคนดีอะไรตอนนี้“ป๋อเหวิน เจ้ารอข้าตรงนี้กับเสวียนหนี่ก่อน ข้ามีธุระต้องไปคุยกับแม่ชีหยูถง”“ขอรับฮูหยิน เชิญท่านฮูหยินคุยธุระตามสบาย ข้าจะรออยู่ที่นี่กับเสวียนหนี่”ป๋อเหวินรับปากแล้วหันไปยิ้มให้เสวียนหนี่อย่างรู้ใจกัน เพราะต่างก็รู้กันดีว่าเมื่อลับตาท่านแม่ไปแล้ว เสวียนหนี่จะได้รับอนุญาตให้ทานขนมได้มากเท่าที่นางพอใจพี่ป๋อเหวินไม่เคยขัดใจนางเลยสักครั้ง ไม่ว่านางจะร้องขอสิ่งใดหลังจากที่ลงเขาไปแล้ว เขาก็จะจัดการหามาให้นางในครั้งถัดไปสองพี่น้องต่างมารดา หนึ่งคนสื่อสารด้วยวาจาอีกคนสื่อสารด้วยภาษามือ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าห้วงเวลาในวัยเยาว์ของทั้งคู่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง...ซินหยางที่แยกตัวออกมาจากทั้งสอง ได้เดินเข้ามาหาแม่ชีหยูถงในห้องนั่งสมาธิ นางเห็นแม่ชีกำลังนั่งอยู่หน้าเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ นางจึงเข้าไปคุกเข่าสักการะเทวรูปด้วยจิตศรัทธา ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานอยู่นานความไม่สบายใจใดเล่าจะเท่าความห่วงหาอาลัยอาวรณ
ส่งนางไปอารามเจียวเหมยได้พาซินแสเจิ้งมาที่ห้องของเสวียนหนี่ ซินหยางที่กำลังเฝ้าดูอาการลูกน้อยอยู่ลุกขึ้นยืนมองคนทั้งสองด้วยแววตาประหลาดใจ ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างบ่งบอกว่าเจียวเหมยไม่ได้ประสงค์ดีต่อนางสองแม่ลูกเป็นแน่ เจียวเหมยมองหน้าซินหยางวูบหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มอย่างสมเพชเวทนา“ฮูหยินใหญ่ ท่านอาวุโสผู้นี้คือซินแสเจิ้ง ท่านพี่อนุญาตให้ข้าพาซินแสเจิ้งมาเพื่อตรวจดูดวงชะตาเสวียนหนี่”“ตรวจดูดวงชะตา?”“เจ้าค่ะ”“ลูกข้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเมื่อวาน ร่างกายยังไม่แข็งแรงพอ ข้ายังไม่อยากให้ใครมารบกวนนางในเวลานี้”“ถ้าเสวียนหนี่ได้ตรวจดูดวงชะตา หากพบว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับนางเราก็จะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงที อีกอย่างท่านพี่ก็อนุญาตแล้วเชิญฮูหยินถอยไปก่อนเถิด” เจียวเหมยตัดความรำคาญ“ไม่! ข้าไม่อนุญาต ซินแสผู้นี้เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด หากตรวจดูดวงชะตาให้เสวียนหนี่มั่วซั่วล่ะใครจะรับผิดชอบ เสวียนหนี่เป็นลูกสาวข
4.ไม่ปรารถนาสะใภ้ที่เป็นลูกอนุ“ใช่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าซูหนี่ของเราเหมาะสมกับตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่ของซีฮันอ๋องมากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” เจียวเหมยเมื่อเห็นผู้เป็นสามีคล้อยตาม นางจึงเอ่ยคำพูดที่น่าเชื่อถือลงไปอีก อย่างน้อยหากบุตรสาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องนางก็จะพลอยมีหน้ามีตาตามไปด้วย“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านพี่!”ซินหยางแย้งขึ้น หากเปลี่ยนตัวว่าที่ลูกสะใภ้ก็เท่ากับว่าเสวียนหนี่ต้องถูกส่งตัวไปหุบเขาอูยาเป็นแน่นอน นางรู้ดีว่าผู้เป็นสามีหลงใหลในลาภยศ ไม่ได้รู้สึกรักหรือหวงแหนบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงระยะหลังมานี้ที่เขามาทำดีกับพวกนางสองแม่ลูกเพราะรู้ว่าซีฮันอ๋องโปรดปรานเสวียนหนี่ถึงขั้นอยากได้มาเป็นสะใภ้“ท่านพี่ ท่านจะเปลี่ยนตัวไม่ได้เป็นอันขาด อย่าให้ลูกของเราต้องไปหุบเขาอูยาเลยนะเจ้าคะ ข้าขอร้อง... ท่านพี่ได้โปรด!”ซินหยางคลานเข่าเข้าไปกอดขาของสามีเอาไว้แน่น นางร้องไห้อ้อนวอนขอร้องเขาอย่างน่าสงสาร ในใจของนางรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวยิ่งนัก ทว่ามู่เฉินกลับไม่ได้รู้สึกเห็นใจหรือเกิดความสงสารแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาบึ้งตึงก่อนจะสะบัดนางออกด้วยความรำคาญ สตรีอ่อนแอและโง่เขลาอย่างซินหยางไม่คู่ควรให้เขาต้องใ
นับจากนี้ข้าคือเจ้าของชีวิตนาง“ใช่ ใช่แล้วนางคือลูกข้า เสวียนหนี่! เสวียนหนี่!”มู่เฉินกระโดดลงจากหลังม้าตรงเข้าไปหาบุตรสาวที่นอนนิ่งยังไม่ได้สติ เขาเขย่าตัวนางเบา ๆ เพื่อปลุกนางตื่นจากการหลับใหลแต่ยังไม่มีวี่แววว่านางจะลืมตาขึ้นมา“เกิดอะไรขึ้นกับนาง พวกท่านทำอะไรนาง!”“พวกข้าไม่ได้ทำอะไรนางทั้งนั้น เพียงแต่ที่นางยังไม่ได้สติเพราะถูกพิษแมงมุม” โม่โฉวอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ เนื่องจากเกรงว่าหากเข้าใจผิดจะเกิดมาซึ่งหายนะได้“อย่าบอกนะว่าเป็นแมงมุมพิษสือยี่เหยียน!” หงมู่เฉินอุทานออกมาอย่างตกใจ เขารีบคว้ามือลูกสาวขึ้นมามองดูปลายเล็บว่าเป็นสีดำหรือไม่ ปรากฏว่าไม่เห็นมีรอยดำแต่อย่างใด เห็นเพียงรอยแดงที่ปลายนิ้วชี้ข้างหนึ่ง“นางถูกพิษแมงมุมสือยี่เหยียนอย่างที่ท่านเข้าใจ แต่อาจารย์ของข้าได้รักษาจนอาการของนางทุเลาลงแล้ว” หลีเหว่ยอธิบายน้ำเสียงเรียบหลังจากมู่เฉินได้ฟังก็รู้สึกเบาใจขึ้นบ้าง เช่นนั้นเมื่อกลับถึงจวนเขาจะได้ตามหมอมาดูอาการของนางต่อ“ค่อยยังชั่วที่เจอคนดีอย่างพวกท่าน มิเช่นนั้นลูกสาวข้าอาจสิ้นใจตายในป่า หรือไม่อย่างนั้นข้าก็อาจเจอตัวนางช้าไปจนสิ้นหนทางรักษา ขอบคุณ... เอ่อ... ไม่ท
นางสิ้นใจแล้วหรือ?“อาจารย์ นางสิ้นใจไปแล้วหรือขอรับ”“ยัง! ยังหรอก”“ถ้าอย่างนั้นเราช่วยนางดีหรือไม่”“สุดแล้วแต่ท่านประมุขน้อย”บุรุษกลุ่มหนึ่งประกอบไปด้วย อี้เฉิน ที่ถูกเรียกว่าประมุขน้อยวัยสิบสี่หนาว หลีเหว่ย สหายร่วมสำนักวัยสิบสามหนาวและโม่โฉวผู้อาวุโสสุด ซึ่งทั้งสองนับถือเป็นอาจารย์ ร่วมด้วยผู้ติดตามเป็นชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นอีกสี่นาย พวกเขาเหล่านี้ได้สัญจรผ่านเส้นทางที่เสวียนหนี่หมดสติและพบนางเข้าโดยบังเอิญ หลังจากที่สังเกตเห็นว่ามีคนนอนหมดสติอยู่ในป่าเขตเมืองหลวงแคว้นเถียน อี้เฉินจึงได้สั่งขบวนรถม้าให้หยุดแล้วรีบลงมาดูอาการเด็กตัวน้อยท่าทางอ่อนแรงนอนแน่นิ่ง ไม่ว่าจะปลุกเช่นไรนางก็ไร้ปฏิกิริยาตอบรับ เสียงลมหายใจของนางแผ่วเบาลงทุกที ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มซีดเซียวดุจกระดาษขาว แวบแรกที่อี้เฉินสะดุดตาเข้ากับร่างของคนที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก น่าแปลกตรงที่ในป่าเช่นนี้เหตุใดถึงได้มีเด็กผู้หญิงมานอนหมดสติอยู่เพียงลำพัง แต่พอคิดได้ว่าจากจุดที่เจอนางไปอีกไม่ไกลน่าจะมีบ้านคน อาจจะเป็นไปได้ว่านางหลงเข้ามาในเขตป่าแล้วหาทางกลับออกไปไม่ได้“ท่านคิดเห็นอย่างไรประมุขน้อย เอ๊ะ
ทาบทามนางไปเป็นสะใภ้เสียงวิ่งย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบตามมาด้วยร่างของเด็กชายคนหนึ่งโผล่พ้นชายป่า ป๋อเหวิน บุตรชายคนโตของฉู่มู่เฉินวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาบอกซูหนี่ซึ่งเป็นน้องสาวร่วมมารดาด้วยอาการตื่นตระหนก เขาและเสวียนหนี่น้องสาวคนเล็กได้ชวนกันเล่นซ่อนหาบริเวณหลังจวน โดยที่ตนเป็นคนซ่อนตัวแล้วให้อีกฝ่ายเป็นคนตามหา เวลาไล่หลังผ่านไปได้หนึ่งเค่อ ป๋อเหวินไม่เห็นเสวียนหนี่จึงออกจากที่หลบซ่อนร้องเรียกหานาง ทว่าไม่พบแม้กระทั่งเงา“ทำเช่นไรดี ฮูหยินใหญ่ต้องตีข้าแน่ ข้าจะทำเช่นไรดีซูหนี่”เขาถามน้องสาวเสียงสั่น ขอบตาแดงรื้นราวกับว่าน้ำตาที่กักเก็บเอาไว้จะหล่นแหมะอยู่รอมร่อ แต่ไหนแต่ไรฉู่ป๋อเหวินมักจะมีนิสัยหัวอ่อนขี้ขลาด และทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง หากพบเจอปัญหาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็มักจะวิ่งเต้นหาคนช่วยอยู่ร่ำไป แม้กระทั่งฉู่ซูหนี่ที่อายุน้อยกว่าเขาก็ยังหวังยึดเอาเป็นที่พึ่งฉู่มู่เฉินเป็นผู้นำตระกูลฉู่ ซึ่งดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสาม มีภรรยาเอกนามว่าซินหยาง เมื่อแปดปีก่อนนางได้ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคนตั้งชื่อให้ว่าฉู่เสวียนหนี่ นอกจากนั้นเขายังมีบุตรชายและบุตรสาวที่เกิด