นางสิ้นใจแล้วหรือ?
“อาจารย์ นางสิ้นใจไปแล้วหรือขอรับ”
“ยัง! ยังหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นเราช่วยนางดีหรือไม่”
“สุดแล้วแต่ท่านประมุขน้อย”
บุรุษกลุ่มหนึ่งประกอบไปด้วย อี้เฉิน ที่ถูกเรียกว่าประมุขน้อยวัยสิบสี่หนาว หลีเหว่ย สหายร่วมสำนักวัยสิบสามหนาวและโม่โฉวผู้อาวุโสสุด ซึ่งทั้งสองนับถือเป็นอาจารย์ ร่วมด้วยผู้ติดตามเป็นชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นอีกสี่นาย พวกเขาเหล่านี้ได้สัญจรผ่านเส้นทางที่เสวียนหนี่หมดสติและพบนางเข้าโดยบังเอิญ หลังจากที่สังเกตเห็นว่ามีคนนอนหมดสติอยู่ในป่าเขตเมืองหลวงแคว้นเถียน อี้เฉินจึงได้สั่งขบวนรถม้าให้หยุดแล้วรีบลงมาดูอาการ
เด็กตัวน้อยท่าทางอ่อนแรงนอนแน่นิ่ง ไม่ว่าจะปลุกเช่นไรนางก็ไร้ปฏิกิริยาตอบรับ เสียงลมหายใจของนางแผ่วเบาลงทุกที ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มซีดเซียวดุจกระดาษขาว แวบแรกที่อี้เฉินสะดุดตาเข้ากับร่างของคนที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก น่าแปลกตรงที่ในป่าเช่นนี้เหตุใดถึงได้มีเด็กผู้หญิงมานอนหมดสติอยู่เพียงลำพัง แต่พอคิดได้ว่าจากจุดที่เจอนางไปอีกไม่ไกลน่าจะมีบ้านคน อาจจะเป็นไปได้ว่านางหลงเข้ามาในเขตป่าแล้วหาทางกลับออกไปไม่ได้
“ท่านคิดเห็นอย่างไรประมุขน้อย เอ๊ะ ที่ตัวนางมีป้ายอักษรเขียนว่าฉู่”
โม่โฉวหันมาถามอี้เฉินหลังจากที่ตนและหลีเหว่ยศิษย์อีกคนหารือกันแล้วยังไม่ได้คำตอบที่ลงตัว ทว่าภายใต้ดวงตาดำขลับของอี้เฉินไม่แสดงถึงความรู้สึกอื่นใด มีเพียงประกายเย็นชาทอดมองร่างเล็กไร้สตินั้น โม่โฉวประคองเสวียนหนี่ขึ้นมาแล้วใช้มือคลำชีพจรที่ข้อมือของนางซ้ำอีกครั้งเพื่อประเมินอาการให้แน่ชัด ยามนี้ชีพจรของนางเต้นอ่อนเต็มที หากปล่อยไว้นานกว่านี้เกรงว่าอาการของนางจะทรุดลงเรื่อย ๆ
“นางเป็นอะไร”
“จากลักษณะภายนอกเล็บมือของนางเปลี่ยนเป็นสีดำ ริมฝีปากม่วงคล้ำ เหงื่อผุดทั่วกายจนชุ่มแต่อุณหภูมิร่างกายกลับเย็นเฉียบ... ข้าคิดว่านางน่าจะถูกแมงมุมพิษสือยี่เหยียนกัด”
“แมงมุมพิษสือยี่เหยียน?”
"ถูกต้อง แมงมุมพิษสือยี่เหยียนเป็นแมงมุมที่มีพิษร้ายแรง ผู้ถูกแมงมุมพิษสือยี่เหยียนกัดจะไม่ได้สิ้นใจในทันทีหลังจากถูกพิษ แต่จะเป็นอัมพาตไปทั้งตัวแล้วค่อย ๆ ตายอย่างทรมาน หากเราทำการรักษานางตอนนี้... ถึงจะรักษาหายนางก็คงอายุไม่ยืนเพราะพิษส่งผลให้ร่างกายของนางต่อจากนี้ไม่เหมือนเดิม... ผลข้างเคียงข้าไม่อาจตอบได้"
“หากรักษานางจะอยู่ได้นานเท่าใด”
“อย่างน้อยเก้าปี อย่างมากสิบสองปี”
หลีเหว่ยเห็นสภาพของเด็กคนนี้แล้วก็นึกเวทนาอยู่ไม่น้อย นางยังเด็กอยู่แท้ ๆ กลับต้องมาเจอเรื่องราวเช่นนี้ จากที่ยืนฟังอาจารย์กับท่านประมุขน้อยพูดคุยกันสักพัก เด็กหนุ่มจึงเข้าไปประคองร่างของนางแทนโม่โฉวแล้วรอคอยคำสั่งของผู้เป็นนาย
หลีเหว่ยแม้นจะรู้จักและสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากแค่ไหน ทว่าเขาก็มิอาจอ่านใจของอี้เฉินผู้เป็นประมุขน้อยได้เลยว่าจะอนุญาตให้ช่วยเหลือเด็กคนนี้หรือไม่ ด้วยลักษณะนิสัยเย็นชาและคาดเดาอารมณ์ได้ยากยิ่ง ซึ่งการตัดสินใจของอี้เฉินบางครั้งก็เหนือความคาดหมาย ส่วนสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นอาจเพราะอีกฝ่ายถูกผู้เป็นบิดาที่ดำรงตำแหน่งประมุขคนก่อนเลี้ยงดูมาโดยปราศจากความรักและความเมตตาด้วยกระมัง อี้เฉินจึงกลายเป็นคนเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึกเห็นใจผู้อื่น โชคยังดีที่อี้เจ๋อผู้นั้นอายุสั้นไปเสียก่อน ไม่เช่นนั้นคงได้ถ่ายทอดความชั่วร้ายของตนเอง จนทำให้ท่านประมุขน้อยกลายเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมเทียบเทียมเขาเป็นแน่
ครั้นพอนึกถึงหงอี้เจ๋อที่ตายไปเมื่อห้าปีก่อน ชายผู้นี้มีลักษณะรูปร่างสูงใหญ่น่ากลัว ใบหน้าดุดันดุจพญามัจจุราช นัยน์ตาเรียบเฉยไร้ความเมตตาต่อทุกสรรพสิ่ง หว่างคิ้วเป็นเส้นตลอดเวลาไม่เคยแย้มยิ้มให้ผู้ใดเลยสักครั้ง อุปนิสัยโหดเหี้ยมฆ่าคนไม่กะพริบตา ตระกูลหงเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้ดูแลหุบเขา
อูยามารุ่นต่อรุ่น จนมาถึงรุ่นของหงอี้เฉินซึ่งสืบทอดมาจากสายเลือดโดยตรง แต่เพราะในเวลานั้นหงอี้เจ๋อตายจากไปก่อน อี้เฉิงที่ยังเด็กมากนักเลยไม่สามารถรับช่วงต่อได้ดังนั้นห่าวอู๋ผู้เป็นอา จึงต้องทำหน้าที่รักษาการแทนมาเกือบห้าปีแล้ว การหวนคืนสู่หุบเขาอูยาของท่านประมุขน้อยในครั้งนี้ก็เพื่อสืบทอดตำแหน่งประมุขคนต่อไป
หลีเหว่ยนึกสะท้อนในอกพลางก้มมองหน้าเด็กหญิงด้วยความสงสารระคนเห็นใจไม่น้อย ทว่ายามเมื่อท่านประมุขน้อยเอ่ยบางสิ่งบางอย่างออกมา เด็กหนุ่มจึงค่อยระบายยิ้มอย่าง
โล่งอก คิดในใจว่าเด็กคนนี้รอดตายแล้ว“ในย่ามของอาจารย์มียารักษาหรือไม่”
“พอจะมีบ้าง แต่ถึงอย่างไรเราก็ควรพานางไปหาหมอในเมืองก่อน” โม่โฉวผู้เป็นอาจารย์ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แต่การเข้าไปในเขตชุนชนอยู่นอกเหนือเส้นทางเดินม้าของพวกเรา หากไม่รีบกลับหุบเขาอูยาให้ทันในเวลาที่ท่านอากำหนด หาไม่แล้วเจ้าคนเจ้าเล่ห์นั้นอาจเล่นแง่กับข้าได้” อี้เฉินเอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียด เนื่องจากรู้จักนิสัยของท่านอาเป็นอย่างดี
หุบเขาอูยาได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่ห่างไกลจากแคว้น
เถียนคนละฟากฟ้าเหนือสุดใต้สุด สาเหตุที่ทำให้เขาต้องเดินทางผ่านเส้นทางนี้ เนื่องจากห่าวอู๋ผู้มีศักดิ์เป็นอาแท้ ๆ ได้ส่งตัวเขาให้มาเล่าเรียนทางตอนใต้ของแคว้นเถียนตั้งแต่อายุเก้าขวบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่หงอี้เจ๋อเสียชีวิตไปแล้ว สำนักศึกษาตี้ฉิวเป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่บรรดาบุตรหลานของผู้มีอันจะกิน แม้กระทั่งลูกขุนนางของแคว้นเถียนก็มีหลายคนที่ถูกส่งตัวเข้าไปศึกษาเล่าเรียนที่นั่น สำหรับหงอี้เฉินที่อยู่ไกลถึงหุบเขาอูยาต่อให้ต้องเดินทางไกลหลายพันลี้ย่อมถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่าตลอดเวลาที่ศึกษาอยู่อี้เฉินต้องปลอมแปลงประวัติเพื่อปิดบังตัวตน นั่นก็เพราะป้องกันภัยอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น
หงอี้เฉินเยาว์วัยกว่าศิษย์รุ่นเดียวกันหลายเท่านัก แต่เขาสามารถสำเร็จการศึกษาได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ในขณะที่เพื่อนร่วมสำนักคนอื่น ๆ ยังไม่ได้เลื่อนขั้น อี้เฉินสามารถเล่าเรียนและสำเร็จการศึกษาทุกหลักสูตรด้วยวัยเพียงสิบสี่ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วเขาจึงได้บอกลาผู้ดูแลสำนักศึกษาเพื่อหวนคืนสู่หุบเขาอูยา
หุบเขาอูยาเป็นดินแดนที่อยู่นอกเหนือการปกครองของฮ่องเต้แต่ก็นับว่าเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เสียแต่ภูมิศาสตร์มีลักษณะเป็นทุบเขามากกว่าพื้นที่ราบ การจะเข้าโจมตีเพื่อแย่งชิงดินแดนนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับกองทหารที่ไม่คุ้นชินเส้นทาง ดีไม่ดีหากยกทัพเข้าไปอาจถูกลอบสังหารยกกองจึงไม่มีแคว้นใดกล้าเสี่ยง อีกอย่างทั่วทั้งใต้หล้าต่างทราบกันดีว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในหุบเขาอูยานั้นล้วนป่าเถื่อนทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าจะเอาเท้าเข้าไปเหยียบแล้วกลับออกมาได้อย่างสบาย เพราะดินแดนแห่งนั้นเต็มไปด้วยคนดิบเถื่อนแต่ไหนแต่ไรมา...
เพียงแค่เอ่ยชื่อหงอี้เจ๋อ ผู้คนก็ต่างขนลุกขนพอง สิ้นกายตายจากเหลือเพียงชื่อให้กล่าวขาน แต่ความร้ายกาจโหดเหี้ยมของเขานั้นยังหลงเหลือในเศษซากความทรงจำของผู้คนไม่จางหายไป
ข่าวการตายของอี้เจ๋อไม่ใช่เรื่องที่หุบเขาอูยาปกปิด แต่เรื่องทายาทของอี้เจ๋อนั้นยังคงถูกปกปิดเป็นความลับมานานถึงห้าปี จนกว่าจะถึงวันที่หงอี้เฉินอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ เมื่อนั้นเขาคงจะได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้สืบทอดความชั่วร้ายของบิดาสืบไป
“ช่วยนางเถิด... เรื่องเข้าไปในเขตชุมชนค่อยว่ากันในภายหลัง”
ได้ยินเช่นนั้นหลีเหว่ยยิ้มออก เขาจึงจับเด็กหญิงตัวเล็กให้นอนราบกับพื้น ส่วนโม่โฉวได้ทำการรักษาโดยฝังเข็มสกัดพิษและใช้ตัวยาร่วมด้วยโดยมีหลีเหว่ยและอี้เฉินคอยยืนมองอยู่ไม่ห่าง จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูปอุณหภูมิร่างกายของนางค่อย ๆ อุ่นขึ้นทีละน้อยจนเกือบจะคล้ายอุณหภูมิของคนปกติ ปลายเล็บมือที่แต่เดิมเป็นสีดำก็ค่อย ๆ กลับมามีสีเนื้อเข้ามาแทรก ริมฝีปากม่วงคล้ำกลับกลายเป็นปกติในเวลาต่อมา
“นางปลอดภัยแล้ว” ผู้อาวุโสพูดขึ้น
"อืม" ท่านประมุขน้อยพยักหน้าตอบรับ
ช่วงดึกสงัดหงอี้เฉินรู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อประสาทสัมผัสทางการได้ยิน รับรู้ได้ถึงเสียงฝีเท้าของม้าที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ หากคาดการณ์ไม่ผิดเขาคิดว่าน่าจะมากกว่าห้า เด็กหนุ่มได้คว้าเอากระบี่คู่ใจลุกเดินมุ่งตรงไปยังร่างของสหายที่กำลังนอนหลับสนิทพร้อมสะกิดเรียกเบา ๆ พลอยทำให้โม่โฉวรู้สึกตัวตื่นตามไปด้วย
“ท่านประมุขน้อย” หลีเหว่ยมีสีหน้างัวเงีย
“ชู่ว์ มีคนกำลังมา” ประมุขน้อยอี้เฉินกระซิบบอกเสียงแผ่ว
หลีเหว่ยทำหน้าตื่นรีบคว้ากระบี่ชักออกจากฝักเพื่อป้องกันภัยให้ผู้เป็นนายกับอาจารย์ เหล่าผู้ติดตามอีกสี่นายที่รู้ตัวแล้วว่ากำลังมีผู้มาเยือนต่างเข้ามาห้อมล้อมเจ้านายไว้ระวังภัยรอบทิศ ทว่าเมื่อคนเหล่านั้นมาถึงกลับไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีหรือชักอาวุธออกมาประมือ
“ช้าก่อน! ข้ามาดี” มู่เฉินตะโกนบอกพลางดึงบังเหียนให้ม้าวิ่งช้าลงก่อนจะหยุดม้าในระยะห่างพอสมควรแล้วตะโกนบอกกล่าวกลุ่มคน
“ข้ามาตามหาคน ไม่ทราบว่าพวกท่านเป็นพ่อค้าหรือ เหตุใดถึงได้มานอนกลางป่าเช่นนี้”
"..."
ไร้เสียงตอบรับเพราะต่างกำลังพิจารณาอยู่ว่าผู้มาเยือนนั้นมีเจตนาอื่นแอบแฝงหรือไม่ ทุกคนจึงนิ่งเงียบดูท่าทีไปก่อน เห็นเช่นนั้นมู่เฉินจึงได้ตะโกนบอกออกไปอีก
“ข้ามาตามหาลูกสาวที่พลัดหลงเข้ามาในป่า เป็นเด็กผู้หญิงอายุแปดขวบ สวมใส่อาภรณ์สีฟ้า ที่ตัวของนางมีป้ายตระกูลฉู่ห้อยอยู่ที่เอว ไม่ทราบว่าพวกท่านเห็นนางบ้างหรือไม่"
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมาราวกับรอคอยคำตอบจากผู้เป็นนายว่าควรทำเช่นไรต่อไป หลังจากเห็นอี้เฉินพยักหน้าให้โม่โฉวจึงได้ตะโกนตอบกลับไปบ้าง
“เมื่อช่วงเย็นพวกข้าได้ช่วยเด็กไว้หนึ่งคน หากท่านมีเจตนาดีก็จงเข้ามาเพียงลำพัง ให้ผู้ติดตามของท่านรอตรงนั้นก่อน”
สิ้นเสียงขานรับมู่เฉินได้ควบม้ามาเพียงลำพังตามที่อีกฝ่ายร้องขอ แล้วสั่งให้ผู้ติดตามรออยู่ให้ห่างออกไป เขาเกรงว่าคนกลุ่มนี้จะตื่นกลัวแล้วคิดทำร้ายเสวียนหนี่ แสงจากกองเพลิงที่ส่องสว่างทำให้ทั้งสองฝ่ายเห็นหน้ากันชัดขึ้น เมื่อมู่เฉินเห็นว่าในกลุ่มคนมีเด็กหนุ่มร่วมขบวนมาด้วยถึงสองคนจึงแน่ใจแล้วว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มโจรป่าแต่อย่างใด
“นางใช่ลูกสาวท่านหรือไม่”
แสร้งเป็นคนดีอะไรตอนนี้“ป๋อเหวิน เจ้ารอข้าตรงนี้กับเสวียนหนี่ก่อน ข้ามีธุระต้องไปคุยกับแม่ชีหยูถง”“ขอรับฮูหยิน เชิญท่านฮูหยินคุยธุระตามสบาย ข้าจะรออยู่ที่นี่กับเสวียนหนี่”ป๋อเหวินรับปากแล้วหันไปยิ้มให้เสวียนหนี่อย่างรู้ใจกัน เพราะต่างก็รู้กันดีว่าเมื่อลับตาท่านแม่ไปแล้ว เสวียนหนี่จะได้รับอนุญาตให้ทานขนมได้มากเท่าที่นางพอใจพี่ป๋อเหวินไม่เคยขัดใจนางเลยสักครั้ง ไม่ว่านางจะร้องขอสิ่งใดหลังจากที่ลงเขาไปแล้ว เขาก็จะจัดการหามาให้นางในครั้งถัดไปสองพี่น้องต่างมารดา หนึ่งคนสื่อสารด้วยวาจาอีกคนสื่อสารด้วยภาษามือ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าห้วงเวลาในวัยเยาว์ของทั้งคู่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง...ซินหยางที่แยกตัวออกมาจากทั้งสอง ได้เดินเข้ามาหาแม่ชีหยูถงในห้องนั่งสมาธิ นางเห็นแม่ชีกำลังนั่งอยู่หน้าเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ นางจึงเข้าไปคุกเข่าสักการะเทวรูปด้วยจิตศรัทธา ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานอยู่นานความไม่สบายใจใดเล่าจะเท่าความห่วงหาอาลัยอาวรณ
ส่งนางไปอารามเจียวเหมยได้พาซินแสเจิ้งมาที่ห้องของเสวียนหนี่ ซินหยางที่กำลังเฝ้าดูอาการลูกน้อยอยู่ลุกขึ้นยืนมองคนทั้งสองด้วยแววตาประหลาดใจ ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างบ่งบอกว่าเจียวเหมยไม่ได้ประสงค์ดีต่อนางสองแม่ลูกเป็นแน่ เจียวเหมยมองหน้าซินหยางวูบหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มอย่างสมเพชเวทนา“ฮูหยินใหญ่ ท่านอาวุโสผู้นี้คือซินแสเจิ้ง ท่านพี่อนุญาตให้ข้าพาซินแสเจิ้งมาเพื่อตรวจดูดวงชะตาเสวียนหนี่”“ตรวจดูดวงชะตา?”“เจ้าค่ะ”“ลูกข้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเมื่อวาน ร่างกายยังไม่แข็งแรงพอ ข้ายังไม่อยากให้ใครมารบกวนนางในเวลานี้”“ถ้าเสวียนหนี่ได้ตรวจดูดวงชะตา หากพบว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับนางเราก็จะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงที อีกอย่างท่านพี่ก็อนุญาตแล้วเชิญฮูหยินถอยไปก่อนเถิด” เจียวเหมยตัดความรำคาญ“ไม่! ข้าไม่อนุญาต ซินแสผู้นี้เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด หากตรวจดูดวงชะตาให้เสวียนหนี่มั่วซั่วล่ะใครจะรับผิดชอบ เสวียนหนี่เป็นลูกสาวข
4.ไม่ปรารถนาสะใภ้ที่เป็นลูกอนุ“ใช่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าซูหนี่ของเราเหมาะสมกับตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่ของซีฮันอ๋องมากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” เจียวเหมยเมื่อเห็นผู้เป็นสามีคล้อยตาม นางจึงเอ่ยคำพูดที่น่าเชื่อถือลงไปอีก อย่างน้อยหากบุตรสาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องนางก็จะพลอยมีหน้ามีตาตามไปด้วย“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านพี่!”ซินหยางแย้งขึ้น หากเปลี่ยนตัวว่าที่ลูกสะใภ้ก็เท่ากับว่าเสวียนหนี่ต้องถูกส่งตัวไปหุบเขาอูยาเป็นแน่นอน นางรู้ดีว่าผู้เป็นสามีหลงใหลในลาภยศ ไม่ได้รู้สึกรักหรือหวงแหนบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงระยะหลังมานี้ที่เขามาทำดีกับพวกนางสองแม่ลูกเพราะรู้ว่าซีฮันอ๋องโปรดปรานเสวียนหนี่ถึงขั้นอยากได้มาเป็นสะใภ้“ท่านพี่ ท่านจะเปลี่ยนตัวไม่ได้เป็นอันขาด อย่าให้ลูกของเราต้องไปหุบเขาอูยาเลยนะเจ้าคะ ข้าขอร้อง... ท่านพี่ได้โปรด!”ซินหยางคลานเข่าเข้าไปกอดขาของสามีเอาไว้แน่น นางร้องไห้อ้อนวอนขอร้องเขาอย่างน่าสงสาร ในใจของนางรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวยิ่งนัก ทว่ามู่เฉินกลับไม่ได้รู้สึกเห็นใจหรือเกิดความสงสารแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาบึ้งตึงก่อนจะสะบัดนางออกด้วยความรำคาญ สตรีอ่อนแอและโง่เขลาอย่างซินหยางไม่คู่ควรให้เขาต้องใ
นับจากนี้ข้าคือเจ้าของชีวิตนาง“ใช่ ใช่แล้วนางคือลูกข้า เสวียนหนี่! เสวียนหนี่!”มู่เฉินกระโดดลงจากหลังม้าตรงเข้าไปหาบุตรสาวที่นอนนิ่งยังไม่ได้สติ เขาเขย่าตัวนางเบา ๆ เพื่อปลุกนางตื่นจากการหลับใหลแต่ยังไม่มีวี่แววว่านางจะลืมตาขึ้นมา“เกิดอะไรขึ้นกับนาง พวกท่านทำอะไรนาง!”“พวกข้าไม่ได้ทำอะไรนางทั้งนั้น เพียงแต่ที่นางยังไม่ได้สติเพราะถูกพิษแมงมุม” โม่โฉวอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ เนื่องจากเกรงว่าหากเข้าใจผิดจะเกิดมาซึ่งหายนะได้“อย่าบอกนะว่าเป็นแมงมุมพิษสือยี่เหยียน!” หงมู่เฉินอุทานออกมาอย่างตกใจ เขารีบคว้ามือลูกสาวขึ้นมามองดูปลายเล็บว่าเป็นสีดำหรือไม่ ปรากฏว่าไม่เห็นมีรอยดำแต่อย่างใด เห็นเพียงรอยแดงที่ปลายนิ้วชี้ข้างหนึ่ง“นางถูกพิษแมงมุมสือยี่เหยียนอย่างที่ท่านเข้าใจ แต่อาจารย์ของข้าได้รักษาจนอาการของนางทุเลาลงแล้ว” หลีเหว่ยอธิบายน้ำเสียงเรียบหลังจากมู่เฉินได้ฟังก็รู้สึกเบาใจขึ้นบ้าง เช่นนั้นเมื่อกลับถึงจวนเขาจะได้ตามหมอมาดูอาการของนางต่อ“ค่อยยังชั่วที่เจอคนดีอย่างพวกท่าน มิเช่นนั้นลูกสาวข้าอาจสิ้นใจตายในป่า หรือไม่อย่างนั้นข้าก็อาจเจอตัวนางช้าไปจนสิ้นหนทางรักษา ขอบคุณ... เอ่อ... ไม่ท
นางสิ้นใจแล้วหรือ?“อาจารย์ นางสิ้นใจไปแล้วหรือขอรับ”“ยัง! ยังหรอก”“ถ้าอย่างนั้นเราช่วยนางดีหรือไม่”“สุดแล้วแต่ท่านประมุขน้อย”บุรุษกลุ่มหนึ่งประกอบไปด้วย อี้เฉิน ที่ถูกเรียกว่าประมุขน้อยวัยสิบสี่หนาว หลีเหว่ย สหายร่วมสำนักวัยสิบสามหนาวและโม่โฉวผู้อาวุโสสุด ซึ่งทั้งสองนับถือเป็นอาจารย์ ร่วมด้วยผู้ติดตามเป็นชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นอีกสี่นาย พวกเขาเหล่านี้ได้สัญจรผ่านเส้นทางที่เสวียนหนี่หมดสติและพบนางเข้าโดยบังเอิญ หลังจากที่สังเกตเห็นว่ามีคนนอนหมดสติอยู่ในป่าเขตเมืองหลวงแคว้นเถียน อี้เฉินจึงได้สั่งขบวนรถม้าให้หยุดแล้วรีบลงมาดูอาการเด็กตัวน้อยท่าทางอ่อนแรงนอนแน่นิ่ง ไม่ว่าจะปลุกเช่นไรนางก็ไร้ปฏิกิริยาตอบรับ เสียงลมหายใจของนางแผ่วเบาลงทุกที ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มซีดเซียวดุจกระดาษขาว แวบแรกที่อี้เฉินสะดุดตาเข้ากับร่างของคนที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก น่าแปลกตรงที่ในป่าเช่นนี้เหตุใดถึงได้มีเด็กผู้หญิงมานอนหมดสติอยู่เพียงลำพัง แต่พอคิดได้ว่าจากจุดที่เจอนางไปอีกไม่ไกลน่าจะมีบ้านคน อาจจะเป็นไปได้ว่านางหลงเข้ามาในเขตป่าแล้วหาทางกลับออกไปไม่ได้“ท่านคิดเห็นอย่างไรประมุขน้อย เอ๊ะ
ทาบทามนางไปเป็นสะใภ้เสียงวิ่งย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบตามมาด้วยร่างของเด็กชายคนหนึ่งโผล่พ้นชายป่า ป๋อเหวิน บุตรชายคนโตของฉู่มู่เฉินวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาบอกซูหนี่ซึ่งเป็นน้องสาวร่วมมารดาด้วยอาการตื่นตระหนก เขาและเสวียนหนี่น้องสาวคนเล็กได้ชวนกันเล่นซ่อนหาบริเวณหลังจวน โดยที่ตนเป็นคนซ่อนตัวแล้วให้อีกฝ่ายเป็นคนตามหา เวลาไล่หลังผ่านไปได้หนึ่งเค่อ ป๋อเหวินไม่เห็นเสวียนหนี่จึงออกจากที่หลบซ่อนร้องเรียกหานาง ทว่าไม่พบแม้กระทั่งเงา“ทำเช่นไรดี ฮูหยินใหญ่ต้องตีข้าแน่ ข้าจะทำเช่นไรดีซูหนี่”เขาถามน้องสาวเสียงสั่น ขอบตาแดงรื้นราวกับว่าน้ำตาที่กักเก็บเอาไว้จะหล่นแหมะอยู่รอมร่อ แต่ไหนแต่ไรฉู่ป๋อเหวินมักจะมีนิสัยหัวอ่อนขี้ขลาด และทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง หากพบเจอปัญหาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็มักจะวิ่งเต้นหาคนช่วยอยู่ร่ำไป แม้กระทั่งฉู่ซูหนี่ที่อายุน้อยกว่าเขาก็ยังหวังยึดเอาเป็นที่พึ่งฉู่มู่เฉินเป็นผู้นำตระกูลฉู่ ซึ่งดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสาม มีภรรยาเอกนามว่าซินหยาง เมื่อแปดปีก่อนนางได้ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคนตั้งชื่อให้ว่าฉู่เสวียนหนี่ นอกจากนั้นเขายังมีบุตรชายและบุตรสาวที่เกิด