แชร์

2.นางสิ้นใจแล้วหรือ?

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-04 17:21:38

นางสิ้นใจแล้วหรือ?

“อาจารย์ นางสิ้นใจไปแล้วหรือขอรับ”

“ยัง! ยังหรอก”

“ถ้าอย่างนั้นเราช่วยนางดีหรือไม่”

“สุดแล้วแต่ท่านประมุขน้อย”

บุรุษกลุ่มหนึ่งประกอบไปด้วย อี้เฉิน ที่ถูกเรียกว่าประมุขน้อยวัยสิบสี่หนาว หลีเหว่ย สหายร่วมสำนักวัยสิบสามหนาวและโม่โฉวผู้อาวุโสสุด ซึ่งทั้งสองนับถือเป็นอาจารย์ ร่วมด้วยผู้ติดตามเป็นชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นอีกสี่นาย พวกเขาเหล่านี้ได้สัญจรผ่านเส้นทางที่เสวียนหนี่หมดสติและพบนางเข้าโดยบังเอิญ หลังจากที่สังเกตเห็นว่ามีคนนอนหมดสติอยู่ในป่าเขตเมืองหลวงแคว้นเถียน อี้เฉินจึงได้สั่งขบวนรถม้าให้หยุดแล้วรีบลงมาดูอาการ

เด็กตัวน้อยท่าทางอ่อนแรงนอนแน่นิ่ง ไม่ว่าจะปลุกเช่นไรนางก็ไร้ปฏิกิริยาตอบรับ เสียงลมหายใจของนางแผ่วเบาลงทุกที ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มซีดเซียวดุจกระดาษขาว แวบแรกที่อี้เฉินสะดุดตาเข้ากับร่างของคนที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก น่าแปลกตรงที่ในป่าเช่นนี้เหตุใดถึงได้มีเด็กผู้หญิงมานอนหมดสติอยู่เพียงลำพัง แต่พอคิดได้ว่าจากจุดที่เจอนางไปอีกไม่ไกลน่าจะมีบ้านคน อาจจะเป็นไปได้ว่านางหลงเข้ามาในเขตป่าแล้วหาทางกลับออกไปไม่ได้

“ท่านคิดเห็นอย่างไรประมุขน้อย เอ๊ะ ที่ตัวนางมีป้ายอักษรเขียนว่าฉู่”

โม่โฉวหันมาถามอี้เฉินหลังจากที่ตนและหลีเหว่ยศิษย์อีกคนหารือกันแล้วยังไม่ได้คำตอบที่ลงตัว ทว่าภายใต้ดวงตาดำขลับของอี้เฉินไม่แสดงถึงความรู้สึกอื่นใด มีเพียงประกายเย็นชาทอดมองร่างเล็กไร้สตินั้น โม่โฉวประคองเสวียนหนี่ขึ้นมาแล้วใช้มือคลำชีพจรที่ข้อมือของนางซ้ำอีกครั้งเพื่อประเมินอาการให้แน่ชัด ยามนี้ชีพจรของนางเต้นอ่อนเต็มที หากปล่อยไว้นานกว่านี้เกรงว่าอาการของนางจะทรุดลงเรื่อย ๆ

“นางเป็นอะไร”

“จากลักษณะภายนอกเล็บมือของนางเปลี่ยนเป็นสีดำ ริมฝีปากม่วงคล้ำ เหงื่อผุดทั่วกายจนชุ่มแต่อุณหภูมิร่างกายกลับเย็นเฉียบ... ข้าคิดว่านางน่าจะถูกแมงมุมพิษสือยี่เหยียนกัด”

“แมงมุมพิษสือยี่เหยียน?”

"ถูกต้อง แมงมุมพิษสือยี่เหยียนเป็นแมงมุมที่มีพิษร้ายแรง ผู้ถูกแมงมุมพิษสือยี่เหยียนกัดจะไม่ได้สิ้นใจในทันทีหลังจากถูกพิษ แต่จะเป็นอัมพาตไปทั้งตัวแล้วค่อย ๆ ตายอย่างทรมาน หากเราทำการรักษานางตอนนี้... ถึงจะรักษาหายนางก็คงอายุไม่ยืนเพราะพิษส่งผลให้ร่างกายของนางต่อจากนี้ไม่เหมือนเดิม... ผลข้างเคียงข้าไม่อาจตอบได้"

“หากรักษานางจะอยู่ได้นานเท่าใด”

“อย่างน้อยเก้าปี อย่างมากสิบสองปี”

หลีเหว่ยเห็นสภาพของเด็กคนนี้แล้วก็นึกเวทนาอยู่ไม่น้อย นางยังเด็กอยู่แท้ ๆ กลับต้องมาเจอเรื่องราวเช่นนี้ จากที่ยืนฟังอาจารย์กับท่านประมุขน้อยพูดคุยกันสักพัก เด็กหนุ่มจึงเข้าไปประคองร่างของนางแทนโม่โฉวแล้วรอคอยคำสั่งของผู้เป็นนาย

หลีเหว่ยแม้นจะรู้จักและสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากแค่ไหน ทว่าเขาก็มิอาจอ่านใจของอี้เฉินผู้เป็นประมุขน้อยได้เลยว่าจะอนุญาตให้ช่วยเหลือเด็กคนนี้หรือไม่ ด้วยลักษณะนิสัยเย็นชาและคาดเดาอารมณ์ได้ยากยิ่ง ซึ่งการตัดสินใจของอี้เฉินบางครั้งก็เหนือความคาดหมาย ส่วนสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นอาจเพราะอีกฝ่ายถูกผู้เป็นบิดาที่ดำรงตำแหน่งประมุขคนก่อนเลี้ยงดูมาโดยปราศจากความรักและความเมตตาด้วยกระมัง อี้เฉินจึงกลายเป็นคนเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึกเห็นใจผู้อื่น โชคยังดีที่อี้เจ๋อผู้นั้นอายุสั้นไปเสียก่อน ไม่เช่นนั้นคงได้ถ่ายทอดความชั่วร้ายของตนเอง จนทำให้ท่านประมุขน้อยกลายเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมเทียบเทียมเขาเป็นแน่

ครั้นพอนึกถึงหงอี้เจ๋อที่ตายไปเมื่อห้าปีก่อน ชายผู้นี้มีลักษณะรูปร่างสูงใหญ่น่ากลัว ใบหน้าดุดันดุจพญามัจจุราช นัยน์ตาเรียบเฉยไร้ความเมตตาต่อทุกสรรพสิ่ง หว่างคิ้วเป็นเส้นตลอดเวลาไม่เคยแย้มยิ้มให้ผู้ใดเลยสักครั้ง อุปนิสัยโหดเหี้ยมฆ่าคนไม่กะพริบตา ตระกูลหงเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้ดูแลหุบเขา

อูยามารุ่นต่อรุ่น จนมาถึงรุ่นของหงอี้เฉินซึ่งสืบทอดมาจากสายเลือดโดยตรง แต่เพราะในเวลานั้นหงอี้เจ๋อตายจากไปก่อน อี้เฉิงที่ยังเด็กมากนักเลยไม่สามารถรับช่วงต่อได้

ดังนั้นห่าวอู๋ผู้เป็นอา จึงต้องทำหน้าที่รักษาการแทนมาเกือบห้าปีแล้ว การหวนคืนสู่หุบเขาอูยาของท่านประมุขน้อยในครั้งนี้ก็เพื่อสืบทอดตำแหน่งประมุขคนต่อไป

หลีเหว่ยนึกสะท้อนในอกพลางก้มมองหน้าเด็กหญิงด้วยความสงสารระคนเห็นใจไม่น้อย ทว่ายามเมื่อท่านประมุขน้อยเอ่ยบางสิ่งบางอย่างออกมา เด็กหนุ่มจึงค่อยระบายยิ้มอย่าง

โล่งอก คิดในใจว่าเด็กคนนี้รอดตายแล้ว

“ในย่ามของอาจารย์มียารักษาหรือไม่”

“พอจะมีบ้าง แต่ถึงอย่างไรเราก็ควรพานางไปหาหมอในเมืองก่อน” โม่โฉวผู้เป็นอาจารย์ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“แต่การเข้าไปในเขตชุนชนอยู่นอกเหนือเส้นทางเดินม้าของพวกเรา หากไม่รีบกลับหุบเขาอูยาให้ทันในเวลาที่ท่านอากำหนด หาไม่แล้วเจ้าคนเจ้าเล่ห์นั้นอาจเล่นแง่กับข้าได้” อี้เฉินเอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียด เนื่องจากรู้จักนิสัยของท่านอาเป็นอย่างดี

หุบเขาอูยาได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่ห่างไกลจากแคว้น

เถียนคนละฟากฟ้าเหนือสุดใต้สุด สาเหตุที่ทำให้เขาต้องเดินทางผ่านเส้นทางนี้ เนื่องจากห่าวอู๋ผู้มีศักดิ์เป็นอาแท้ ๆ ได้ส่งตัวเขาให้มาเล่าเรียนทางตอนใต้ของแคว้นเถียนตั้งแต่อายุเก้าขวบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่หงอี้เจ๋อเสียชีวิตไปแล้ว สำนักศึกษาตี้ฉิวเป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่บรรดาบุตรหลานของผู้มีอันจะกิน แม้กระทั่งลูกขุนนางของแคว้นเถียนก็มีหลายคนที่ถูกส่งตัวเข้าไปศึกษาเล่าเรียนที่นั่น สำหรับหงอี้เฉินที่อยู่ไกลถึงหุบเขาอูยาต่อให้ต้องเดินทางไกลหลายพันลี้ย่อมถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่า

ตลอดเวลาที่ศึกษาอยู่อี้เฉินต้องปลอมแปลงประวัติเพื่อปิดบังตัวตน นั่นก็เพราะป้องกันภัยอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น

หงอี้เฉินเยาว์วัยกว่าศิษย์รุ่นเดียวกันหลายเท่านัก แต่เขาสามารถสำเร็จการศึกษาได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ในขณะที่เพื่อนร่วมสำนักคนอื่น ๆ ยังไม่ได้เลื่อนขั้น อี้เฉินสามารถเล่าเรียนและสำเร็จการศึกษาทุกหลักสูตรด้วยวัยเพียงสิบสี่ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วเขาจึงได้บอกลาผู้ดูแลสำนักศึกษาเพื่อหวนคืนสู่หุบเขาอูยา

หุบเขาอูยาเป็นดินแดนที่อยู่นอกเหนือการปกครองของฮ่องเต้แต่ก็นับว่าเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เสียแต่ภูมิศาสตร์มีลักษณะเป็นทุบเขามากกว่าพื้นที่ราบ การจะเข้าโจมตีเพื่อแย่งชิงดินแดนนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับกองทหารที่ไม่คุ้นชินเส้นทาง ดีไม่ดีหากยกทัพเข้าไปอาจถูกลอบสังหารยกกองจึงไม่มีแคว้นใดกล้าเสี่ยง อีกอย่างทั่วทั้งใต้หล้าต่างทราบกันดีว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในหุบเขาอูยานั้นล้วนป่าเถื่อนทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าจะเอาเท้าเข้าไปเหยียบแล้วกลับออกมาได้อย่างสบาย เพราะดินแดนแห่งนั้นเต็มไปด้วยคนดิบเถื่อนแต่ไหนแต่ไรมา...

เพียงแค่เอ่ยชื่อหงอี้เจ๋อ ผู้คนก็ต่างขนลุกขนพอง สิ้นกายตายจากเหลือเพียงชื่อให้กล่าวขาน แต่ความร้ายกาจโหดเหี้ยมของเขานั้นยังหลงเหลือในเศษซากความทรงจำของผู้คนไม่จางหายไป

ข่าวการตายของอี้เจ๋อไม่ใช่เรื่องที่หุบเขาอูยาปกปิด แต่เรื่องทายาทของอี้เจ๋อนั้นยังคงถูกปกปิดเป็นความลับมานานถึงห้าปี จนกว่าจะถึงวันที่หงอี้เฉินอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ เมื่อนั้นเขาคงจะได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้สืบทอดความชั่วร้ายของบิดาสืบไป

“ช่วยนางเถิด... เรื่องเข้าไปในเขตชุมชนค่อยว่ากันในภายหลัง”

ได้ยินเช่นนั้นหลีเหว่ยยิ้มออก เขาจึงจับเด็กหญิงตัวเล็กให้นอนราบกับพื้น ส่วนโม่โฉวได้ทำการรักษาโดยฝังเข็มสกัดพิษและใช้ตัวยาร่วมด้วยโดยมีหลีเหว่ยและอี้เฉินคอยยืนมองอยู่ไม่ห่าง จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูปอุณหภูมิร่างกายของนางค่อย ๆ อุ่นขึ้นทีละน้อยจนเกือบจะคล้ายอุณหภูมิของคนปกติ ปลายเล็บมือที่แต่เดิมเป็นสีดำก็ค่อย ๆ กลับมามีสีเนื้อเข้ามาแทรก ริมฝีปากม่วงคล้ำกลับกลายเป็นปกติในเวลาต่อมา

“นางปลอดภัยแล้ว” ผู้อาวุโสพูดขึ้น

"อืม" ท่านประมุขน้อยพยักหน้าตอบรับ

ช่วงดึกสงัดหงอี้เฉินรู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อประสาทสัมผัสทางการได้ยิน รับรู้ได้ถึงเสียงฝีเท้าของม้าที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ หากคาดการณ์ไม่ผิดเขาคิดว่าน่าจะมากกว่าห้า เด็กหนุ่มได้คว้าเอากระบี่คู่ใจลุกเดินมุ่งตรงไปยังร่างของสหายที่กำลังนอนหลับสนิทพร้อมสะกิดเรียกเบา ๆ พลอยทำให้โม่โฉวรู้สึกตัวตื่นตามไปด้วย

“ท่านประมุขน้อย” หลีเหว่ยมีสีหน้างัวเงีย

“ชู่ว์ มีคนกำลังมา” ประมุขน้อยอี้เฉินกระซิบบอกเสียงแผ่ว

หลีเหว่ยทำหน้าตื่นรีบคว้ากระบี่ชักออกจากฝักเพื่อป้องกันภัยให้ผู้เป็นนายกับอาจารย์ เหล่าผู้ติดตามอีกสี่นายที่รู้ตัวแล้วว่ากำลังมีผู้มาเยือนต่างเข้ามาห้อมล้อมเจ้านายไว้ระวังภัยรอบทิศ ทว่าเมื่อคนเหล่านั้นมาถึงกลับไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีหรือชักอาวุธออกมาประมือ

“ช้าก่อน! ข้ามาดี” มู่เฉินตะโกนบอกพลางดึงบังเหียนให้ม้าวิ่งช้าลงก่อนจะหยุดม้าในระยะห่างพอสมควรแล้วตะโกนบอกกล่าวกลุ่มคน

“ข้ามาตามหาคน ไม่ทราบว่าพวกท่านเป็นพ่อค้าหรือ เหตุใดถึงได้มานอนกลางป่าเช่นนี้”

"..."

ไร้เสียงตอบรับเพราะต่างกำลังพิจารณาอยู่ว่าผู้มาเยือนนั้นมีเจตนาอื่นแอบแฝงหรือไม่ ทุกคนจึงนิ่งเงียบดูท่าทีไปก่อน เห็นเช่นนั้นมู่เฉินจึงได้ตะโกนบอกออกไปอีก

“ข้ามาตามหาลูกสาวที่พลัดหลงเข้ามาในป่า เป็นเด็กผู้หญิงอายุแปดขวบ สวมใส่อาภรณ์สีฟ้า ที่ตัวของนางมีป้ายตระกูลฉู่ห้อยอยู่ที่เอว ไม่ทราบว่าพวกท่านเห็นนางบ้างหรือไม่"

ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมาราวกับรอคอยคำตอบจากผู้เป็นนายว่าควรทำเช่นไรต่อไป หลังจากเห็นอี้เฉินพยักหน้าให้โม่โฉวจึงได้ตะโกนตอบกลับไปบ้าง

“เมื่อช่วงเย็นพวกข้าได้ช่วยเด็กไว้หนึ่งคน หากท่านมีเจตนาดีก็จงเข้ามาเพียงลำพัง ให้ผู้ติดตามของท่านรอตรงนั้นก่อน”

สิ้นเสียงขานรับมู่เฉินได้ควบม้ามาเพียงลำพังตามที่อีกฝ่ายร้องขอ แล้วสั่งให้ผู้ติดตามรออยู่ให้ห่างออกไป เขาเกรงว่าคนกลุ่มนี้จะตื่นกลัวแล้วคิดทำร้ายเสวียนหนี่ แสงจากกองเพลิงที่ส่องสว่างทำให้ทั้งสองฝ่ายเห็นหน้ากันชัดขึ้น เมื่อมู่เฉินเห็นว่าในกลุ่มคนมีเด็กหนุ่มร่วมขบวนมาด้วยถึงสองคนจึงแน่ใจแล้วว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มโจรป่าแต่อย่างใด

“นางใช่ลูกสาวท่านหรือไม่”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด   43.จดหมายจากทางไกล (จบ)

    จดหมายจากทางไกล (จบ)“ฮูหยินเจ้าคะเมื่อเช้านี้คนเฝ้าประตูหุบเขานำจดหมายและของมาฝากให้ฮูหยินเจ้าค่ะ บอกว่าได้มาจากขบวนพ่อค้าผ่านทาง”สาวใช้วางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ข้างจดหมายนั้นยังมีกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มากเสวียนหนี่เปิดกล่องไม้ดูข้างในพบว่าเป็นผ้าบุหนาพันห่อบางสิ่งไว้อย่างดี สัมผัสยังชุ่มชื้นคล้ายกับว่ามีการพรมน้ำไว้ตลอดเวลา เมื่อนางเปิดผ้าห่อออกเห็นว่าสิ่งของข้างในคือกิ่งพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่งจึงรีบคลี่จดหมายออกดู เนื้อความข้างในจดหมายได้เขียนบรรยายไว้ว่า…ข้าถึงแคว้นฉินอย่างปลอดภัยแล้วระหว่างทางมาแคว้นฉินข้าได้รู้จักกับพ่อค้าผู้หนึ่ง เขามีโรงย้อมอยู่ในเขตอำเภอเล็ก ๆ และได้รับข้าเข้าทำงานที่โรงย้อม หวังว่าจากนี้ชีวิตของข้าจะพบกับความสงบสุขอย่างที่เจ้าเคยกล่าวไว้ สิ่งที่ข้าฝากมาในกล่องคือกิ่งพันธุ์ฝูเถาพืชชนิดนี้ที่แคว้นฉินมีราคาแพงมาก เจ้าชอบเพาะปลูก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะพึงพอใจข้าซื้อกิ

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด    42.ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน

    ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน“ข้าหวังเพียงว่าจากนี้ไปเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีและมีความสุข ไม่ใช่แค่เจ้าที่คิดว่าข้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวแต่ข้าเองก็คิดอย่างนั้น…ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุข”คำพูดคำจาของถานถานฟังแล้วต่างจากเดิมมาก เขาไม่ใช่ตาแก่ไร้สาระของนางอีกต่อไปแล้วเขาพูดสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่นก็เป็นเช่นกันแต่น้อยครั้งนักที่ถานถานจะเอ่ยวาจาได้ตรงกับใจอย่างนี้ส่วนมากเขามักจะเฉไฉและวางท่าคิดอย่างไรก็ไม่เคยแสดงออกอย่างเปิดเผย"แล้วเจ้าเด็กวุ่นวายนั่น""หมายถึงเพียนเพียนน่ะหรือเจ้าคะ อย่าห่วงเลย ตอนนี้ได้คุณหนูฟางจิงดูแลคุณหนูทั้งสอนหนังสือและเรื่องต่าง ๆ ให้นางอย่างดี เพียนเพียนจะต้องเติบโตได้ดีแน่เอาไว้ว่าง ๆ ข้าจะพานางไปเยี่ยมเยือนท่านที่ไร่นะเจ้าคะ" "อืมงั้นข้าไปละนะ ข้างในนี้ต้องเป็นของดีแน่ ๆ คิดแล้วน้ำลายไหล"เขาชูถุงผ้าขึ้นพลางหัวเราะร่า

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด    41.คำขอร้องของหลีเหว่ย

    คำขอร้องของหลีเหว่ยไม่จำเป็นต้องหลบหลังพุ่มไม้อีกต่อไปแล้วครั้งนี้เขาเดินอย่างองอาจเข้าไปในเรือน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าฟางจิงจึงได้หันกลับมามองยังต้นเสียงเห็นว่าคนที่มาคือหลีเหว่ยนางก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างมากวันสำคัญเช่นนี้เขาควรจะเฉลิมฉลองอยู่ที่เรือนหลักกับคนอื่น ๆ นานแล้วที่นางและเขาไม่ได้เจอกันเลย ครั้งล่าสุดเห็นจะเป็นตอนที่ปิดล้อมจับห่าวอู๋ แต่ก็แค่เห็นผ่านตาเพียงเท่านั้นไม่ได้มีการพูดคุยกันสักครึ่งคำก่อนที่ฟางจิงจะถูกรถม้าทับเขาและนางมีความสนิทสนมกันที่สุดแทบจะเรียกได้ว่าสนิมเทียบเท่าผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆหลังจากที่อี้เฉินถูกส่งให้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาตี้จิวแล้วหลีเหว่ยก็ติดตามไปเป็นสหายร่วมเรียนฟางจิงและเขาก็ค่อย ๆ ห่างเหินกันไปตามกาลเวลาพอสำเร็จการศึกษาหวนคืนหุบเขานางก็ตีตัวออกหากเขาไปเรื่อย ๆไม่สนิทสนมอย่างเดิมแล้วจนปัจจุบันเหมือนคนเคยคุ้นที่อาศัยร่วมจวนเดียวกัน“นานมาแล้วที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน วัน

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด    40.คำตอบของอี้เฉิน

    คำตอบของอี้เฉิน“ไปหาเจี่ยนถานถานมาเป็นอย่างไรบ้าง" อี้เฉินถามคำพูดของพ่อค้าสองคนนั้นยังก้องอยู่ในหู เสวียนหนี่จึงยังไม่ทันได้ฟังที่เขาพูด นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยใช้ตะเกียบเขี่ยเส้นบะหมี่วนอยู่ในชาม พอเห็นว่าอีกคนไม่ตอบคำถามเขาจึงเรียกชื่อนางซ้ำให้ดังขึ้น“เสวียนหนี่”“เจ้าคะ”หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเงยหน้ามองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน“ไม่หิวหรือ"“อ๋อข้ายังไม่หิวเจ้าค่ะ”“อย่างนี้นี่เองเช่นนั้นเรากลับจวนกันเถอะ”กลับถึงจวนตระกูลหงก็ใกล้ตะวันตกดิน ที่ศาลาเห็นหลีเหว่ยและโม่โฉวกำลังนั่งเล่นหมากล้อม พวกเขาได้ลุกขึ้นยืนมองมาทางเสวียนหนี่และอี้เฉินด้วยแววตาสงสัยคาดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เห็นทั้งคู่เดินเคียงกันมา"กลับมาแล้วหรือขอรับ"หลีเหว่ยทักทาย ประมุขหนุ่มมองตอบเพียงเท่านั้นแล้วเดินตรงเข้าไปในเรือน“เจ้ายังไม่กลับเรือนกุ้ยเ

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด   39.เกิดอะไรกับห่าวอู๋

    เกิดอะไรกับห่าวอู๋สีหน้าของฟางจิงดูสลดลงโม่โฉวบอกกับอี้เฉินว่าความพิการทางร่างกายของนางไม่ได้หนักหนา สิ่งที่ทำให้นางยังไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจไม่ว่าพี่ชายจะเสาะแสวงหาแพทย์ที่เก่งกาจเพียงใดมารักษาก็ไม่เป็นผลฟางจิงไม่ให้ความร่วมมือนางหวาดกลัวที่จะลุกขึ้นเดินอีกครั้งเสียงเย้ยหยันของผู้คนในอดีตที่ผ่านมาทำให้นางไม่กล้าลุกขึ้นสู้นางกลัวความผิดพลาดกลัวว่าหากลุกขึ้นมาใหม่แล้วต้องล้มลงไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะต้องอับอาย"รักษาเถิดกลัวไปไยพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ เจ้าเอง""...ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้ก็พอใจดีอยู่แล้ววันนี้ข้ารู้สึกเวียนหัวขอตัวพักเอาแรงสักงีบ"ทุกครั้งที่พูดเรื่องบำบัดรักษาฟางจิงก็มักจะเลี่ยงตลอดอี้เฉินเองก็อ่อนใจเต็มทีเขามองตามร่างของน้องสาวที่เคลื่อนรถเข็นเข้าไปในเรือนแล้วถอนหายใจกลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าในระหว่างที่เขามองตามฟางจิงอยู่นั้นเสวียนหนี่เดินมาทางด้านหลังเขาตั

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด    38.ส่งซูหนี่

    ส่งซูหนี่“พี่สาวเจ้ามาลาข้าแล้ว”เมื่อวานนี้ซูหนี่ได้เข้ามาหาเขา แล้วก็แสดงเจตนาว่าอยากออกจากหุบเขา ดังนั้นอี้เฉินจึงพูดขึ้นเพื่ออยากรู้ว่าเสวียนหนี่ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง พอได้ฟังนางแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที“ข้าไม่ได้ไล่นางไปนะเจ้าคะ แล้วก็ไม่ได้ตีนางด้วย”“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าไล่หรือตีนางเสียหน่อย”ท่าทางรีบร้อนแก้ต่างให้ตนเองของนางทำให้ดูลุกลนจนเกินไปอี้เฉินทำหน้าเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กแล้วพูดต่อ“แต่ถึงเจ้าไม่ไล่ข้าก็ไล่นางออกไปอยู่ดี”หญิงสาวพูดไม่ออกเดิมทีอี้เฉินก็ไม่ไว้หน้าผู้ใดอยู่แล้วยิ่งเป็นซูหนี่ที่เคยอยู่ฝ่ายเดียวกันกับห่าวอู๋มาก่อนก็ไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะไว้ไมตรีด้วยความที่ชายหนุ่มมองคนขาดตั้งแต่แรกเริ่มจึงไม่ได้ให้ความเชื่ออกเชื่อใจใครโดยง่ายหากไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวังเขาเชื่ออย่างนั้นเป็นมิตรได้วันหนึ่งก็อาจเปลี่ยนไปเป็นศัตรู หรือบางรายเป็นศ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status