Home / รักโบราณ / เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด / 3.นับจากนี้ข้าคือเจ้าของชีวิตนาง

Share

3.นับจากนี้ข้าคือเจ้าของชีวิตนาง

last update Last Updated: 2025-06-04 17:21:42

นับจากนี้ข้าคือเจ้าของชีวิตนาง

“ใช่ ใช่แล้วนางคือลูกข้า เสวียนหนี่! เสวียนหนี่!”

มู่เฉินกระโดดลงจากหลังม้าตรงเข้าไปหาบุตรสาวที่นอนนิ่งยังไม่ได้สติ เขาเขย่าตัวนางเบา ๆ เพื่อปลุกนางตื่นจากการหลับใหลแต่ยังไม่มีวี่แววว่านางจะลืมตาขึ้นมา

“เกิดอะไรขึ้นกับนาง พวกท่านทำอะไรนาง!”

“พวกข้าไม่ได้ทำอะไรนางทั้งนั้น เพียงแต่ที่นางยังไม่ได้สติเพราะถูกพิษแมงมุม” โม่โฉวอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ เนื่องจากเกรงว่าหากเข้าใจผิดจะเกิดมาซึ่งหายนะได้

“อย่าบอกนะว่าเป็นแมงมุมพิษสือยี่เหยียน!” หงมู่เฉินอุทานออกมาอย่างตกใจ เขารีบคว้ามือลูกสาวขึ้นมามองดูปลายเล็บว่าเป็นสีดำหรือไม่ ปรากฏว่าไม่เห็นมีรอยดำแต่อย่างใด เห็นเพียงรอยแดงที่ปลายนิ้วชี้ข้างหนึ่ง

“นางถูกพิษแมงมุมสือยี่เหยียนอย่างที่ท่านเข้าใจ แต่อาจารย์ของข้าได้รักษาจนอาการของนางทุเลาลงแล้ว” หลีเหว่ย

อธิบายน้ำเสียงเรียบ

หลังจากมู่เฉินได้ฟังก็รู้สึกเบาใจขึ้นบ้าง เช่นนั้นเมื่อกลับถึงจวนเขาจะได้ตามหมอมาดูอาการของนางต่อ

“ค่อยยังชั่วที่เจอคนดีอย่างพวกท่าน มิเช่นนั้นลูกสาวข้าอาจสิ้นใจตายในป่า หรือไม่อย่างนั้นข้าก็อาจเจอตัวนางช้าไปจนสิ้นหนทางรักษา ขอบคุณ... เอ่อ... ไม่ทราบว่าข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่”

“ข้ามีนามว่าโม่โฉว ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้าเพียงแค่ทำตามสั่งของคุณชายเท่านั้นเอง” ผู้เป็นอาจารย์พูดจบก็หันหน้าไปทางเด็กหนุ่มที่บัดนี้ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย

ครั้นพอเขาหันไปสบตากับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ชายวัยกลางคนก็ถึงกับชะงักไปชั่วขณะ แม้นอีกฝ่ายจะเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดา ทว่าในใจของเขากลับรู้สึกสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉู่มู่เฉินรับรู้ได้ถึงความอึดอัดไม่สบายใจบางอย่าง แต่เขาก็ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เด็กหนุ่มผู้นี้มีรัศมีมืดดำที่เขาสัมผัสไม่ถึง ครั้นจะบอกว่าหวั่นเกรงก็ไม่ปรากฏชัด ครั้นจะมองว่าเป็นเด็กธรรมดาเฉกเช่นรูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่สามารถหยั่งรู้ได้

“คุณชายท่านนี้คือ...”

“นามของข้าท่านอย่าเพิ่งรู้เลยจะดีกว่า” เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“คุณชายน้อยช่างลึกลับยิ่งนัก เช่นนั้นไม่ว่าท่านจะเป็นใครข้าขอขอบคุณท่านอย่างยิ่ง ท่านช่วยชีวิตบุตรสาวของข้านับว่าเป็นบุญคุณมหาศาล ภายภาคหน้าหวังว่าข้าจะมีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณ” ชายวัยกลางคนเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ เพราะหากไม่ได้พวกเขาช่วยเหลือ เกรงว่าชีวิตนี้ตนเองอาจจะต้องสูญเสียบุตรสาวไปตลอดชีวิตแน่ ในยามนี้นางสำคัญต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง  นางกำลังจะกลายเป็นตัวนำโชคและทำให้เขามีอำนาจในภายภาคหน้า

“แน่นอนว่าการช่วยชีวิตคนคือบุญคุณมหาศาล ข้าย่อมต้องการสิ่งตอบแทน”

“ได้ ได้แน่นอน คุณชายน้อยโปรดบอกข้ามาเถิดว่าปรารถนาสิ่งใด การตอบแทนบุญคุณไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับข้า” การที่เขากล่าวออกไปเช่นนั้นเพราะมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เด็กคงจะเรียกร้องขอเงินทองไปตามประสา ซึ่งตัวเขาเองก็จะรีบเอามาให้อย่างไม่อิดออด ของมีค่าเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย ตระกูลฉู่จัดเป็นตระกูลใหญ่โตมีอันจะกินมากด้วยบริวารและทรัพย์ เรื่องแค่นี้ย่อมไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน

“ข้าต้องการชีวิตของนาง”

“ว่าอะไรนะ!” ฉู่มู่เฉินถึงกับอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อครู่เขาต้องฟังผิดไปเองแน่ ๆ “หมายความว่าอย่างไรคุณชายน้อย ข้าไม่เข้าใจความหมายที่เจ้าต้องการจะสื่อ?”

“ชีวิตที่เหลือของนางเป็นของข้าแล้ว นั่นคือสิ่งที่ข้าปรารถนา” ครั้นพอพูดจบเด็กหนุ่มก็ยื่นพู่ไหมประดับหยกสีนิลมาตรงหน้าฉู่มู่เฉิน สีดำขลับของหยกนิลยามเมื่อต้องประกายเพลิงที่กำลังลุกโชนสะท้อนนัยน์ตาจนชายวัยกลางคนต้องกะพริบตาถี่ ๆ

ไม่รอให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยไปมากกว่านี้ เขาจึงเป็นฝ่ายไขข้อข้องใจก่อน

"เมื่อนางอายุครบสิบเจ็ดปี จงส่งนางไปที่หุบเขาอูยาพร้อมกับพู่ไหมหยกนิลอันนี้”

“หะ หุบเขาอูยา! ระ... หรือว่าคุณชายน้อยผู้นี้จะเป็น...” เขาตกใจจนลนลาน ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นคนที่เขาคาดไม่ถึง

................

หลังจากที่อีกฝ่ายพาเด็กคนนั้นกลับไปแล้ว ผู้อาวุโสโม่โฉวจ้องมองประมุขน้อยด้วยความสงสัย เขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าภายใต้ใบหน้านิ่งสงบนั้นกลับซ่อนความคิดอันใดไว้กันแน่ ที่ผ่านมาเขาพยายามปกปิดตัวตนมาตลอดเลยมิใช่หรือ ไฉนคราวนี้ถึงยอมเปิดเผยตัวตนให้อีกฝ่ายรู้

หนำซ้ำยังบอกว่าต้องการชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนั้นอีก เช่นนี้แล้วมันหมายความว่าอย่างไรกัน

“ท่านประมุขน้อย ข้ามีหนึ่งคำถาม” สุดท้ายเมื่ออดรนทนไม่ไหว เขาจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ท่านอาจารย์ จะถามอะไรข้าอย่างนั้นหรือ”

“เหตุใดท่านประมุขน้อยถึงให้ช่วยชีวิตของเด็กคนนั้นแถมยังบอกความจริงให้อีกฝ่ายรู้อีก”

"ท่านอาจารย์คิดว่าก่อนท่านอาจะคืนตำแหน่งประมุขให้ข้าเขาจะไม่บีบบังคับให้ข้าแต่งงานหรือ สตรีที่ข้าหามาเองย่อมต้องดีกว่าคนที่ท่านอาหามาให้ อีกอย่างท่านอาจารย์ก็บอกเองไม่ใช่หรือว่าเด็กเมื่อครู่จะอายุสั้น มีภรรยาที่ตายก่อนวัยอันควรไม่ดีตรงไหนกัน หลังนางตายข้าก็แค่หาเหตุผลว่ามิอาจปล่อยวางความทุกข์ได้ชาตินี้ไม่ขอแต่งงานใหม่ก็เท่านั้นเอง”

โม่โฉวได้ฟังแล้วก็รู้สึกทึ่งในความคิดซับซ้อนของลูกศิษย์ผู้นี้ เพราะมั่นใจว่าตนเองมิได้เป็นคนสั่งสอนเขา ความคิดของเด็กหนุ่มช่างล้ำลึกนัก เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านอาส่งคนของตัวเองเข้ามาเป็นภรรยาของเขา ดังนั้นเขาจึงอยากได้หญิงสาวที่อายุสั้นมาแต่งงานด้วย อย่างน้อยหลังจากที่อีกฝ่ายตายไปเขาจะได้มีข้ออ้างที่จะไม่แต่งงานใหม่ ดังคำที่กล่าวไว้ข้างตน

เมื่อล่วงรู้ความคิดของท่านประมุขน้อย โม่โฉวคิดไว้อยู่แล้วเชียวว่าคนเย็นชาไม่สนใจแม้กระทั่งความตายของผู้อื่นเฉกเช่นเขามีหรือจะใจดีอนุญาตให้ตนช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เกรงว่า... อี้เฉินคงสืบทอดความโหดเหี้ยมมาจากบิดาโดยสมบูรณ์แล้ว

‘เฮ้อ! ท่านประมุขน้อย ท่านช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว’

จวนตระกูลฉู่

“ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่รึ! ว่าให้ดูแลนางให้ดี”

ฉู่มู่เฉินวางร่างเล็กลงบนเตียงนุ่มแล้วหันกลับมาตวัดฝ่ามือตบไปที่ใบหน้าของซินหยางอย่างแรงจนนางล้มลงไปกับพื้น แก้มซีกซ้ายของนางชาหนึบ ทว่ามันก็มิอาจเทียบเท่าความเสียใจยามเมื่อเห็นร่างไร้สติของบุตรสาวที่ดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

ซินหยางค่อย ๆ คลานเข่าเข้าไปหาร่างของบุตรสาวก่อนจะคว้ามือน้อย ๆ ขึ้นมากุมไว้แน่น ใช่ว่าคนเป็นแม่อย่างนางจะไม่รู้สึกผิด หากเป็นไปได้นางก็อยากแบกรับความเจ็บปวดของบุตรีเอาไว้เอง ซินหยางร้องไห้ปริ่มจะขาดใจซบแก้มลงกับฝ่ามือนุ่มของลูกน้อยอย่างเป็นห่วง ปล่อยน้ำตาหยดลงฝ่ามือเล็กสะอื้นไห้

“เห็นแล้วหรือยังว่าตอนนี้เสวียนหนี่นางมีอาการเช่นไร ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของเจ้า! หากซีฮันอ๋องทราบเรื่องขึ้นมาข้าจะทำอย่างไร โอกาสของข้าที่จะได้เกี่ยวดองกับท่านอ๋องไม่ใช่เรื่องง่าย และเจ้ากำลังจะทำให้ตระกูลฉู่ของข้าต้องย่อยยับ” มู่เฉินไม่เคยกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง

“แต่ในช่วงเวลาที่บุตรสาวของเราหายไป ท่านพี่เป็นคนเรียกสาวใช้ให้ไปคอยดูแลปรนนิบัติท่านอ๋องมิใช่หรือเจ้าคะ”

“ฮูหยินใหญ่ นี่ท่านกำลังกล่าวโทษว่าท่านพี่เป็นคนผิดหรือเจ้าคะ” เจียวเหมยที่เดินเข้ามาพร้อมกับบุตรทั้งสองคนพูดสวนขึ้น หลังจากที่สาวใช้ไปรายงานว่าพบเสวียนหนี่แล้ว นางจึงอยากมาดูให้เห็นกับตาตนเองว่าอีกฝ่ายกลับมาถึงจวนอย่างปลอดภัยหรือไม่ เพราะบ่าวรับใช้รายงานว่านางถูกแมงมุมพิษกัดจนอาการสาหัสและยังไม่ได้สติ

“ฮูหยินรอง เจ้ากำลังพูดอะไร คำพูดของเจ้าเมื่อครู่จะทำให้ท่านพี่เข้าใจข้าผิด ความหมายของข้าคือในช่วงเวลาที่นางหายไป ข้ากับสาวใช้คนอื่น ๆ กำลังต้อนรับท่านอ๋องอยู่ ทำให้เสวียนหนี่พ้นจากระยะสายตาของข้า”

“ไม่ต้องมาแก้ตัว!” มู่เฉินตวาดเสียงกร้าว เขาไม่จำเป็นต้องฟังคำอธิบายเพราะเชื่อในคำพูดของเจียวเหมยมากกว่า สาเหตุที่ทำให้เขาโมโหมากมายขนาดนี้เพราะเสวียนหนี่เป็นความหวังเดียวที่จะทำให้เขาได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น ดังนั้นเขาจึงคาดหวังอยากเกี่ยวดองกับซีฮันอ๋อง ซึ่งหากเสียโอกาสในครั้งนี้ไปเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะมีหนทางใดสามารถผลักดันตัวเองให้ไปไกลกว่านี้ได้อีกแล้ว

“เหอะ! เจ้าดูเสียให้เต็มตา”

พู่ไหมหยกสีนิลถูกยื่นมาตรงหน้าเพื่อให้ซินหยางมองเห็นชัด ๆ แต่เพียงไม่นานเขาก็ขว้างมันใส่หน้าเพื่อหวังระบายอารมณ์อย่างไร้เหตุผล

“คนที่ช่วยเหลือเสวียนหนี่ไว้คือประมุขน้อยหุบเขาอูยา มันบอกกับข้าว่าเมื่อใดที่เสวียนหนี่อายุครบสิบเจ็ดปี จะต้องส่งตัวไปให้มันที่หุบเขา” เขาตะโกนใส่หน้าฮูหยินใหญ่ด้วยโทสะที่มี

“หะ... หุบเขาอูยา” ซินหยางเมื่อได้ฟังคำของสามีนางก็มีอาการตกใจไม่ต่างกัน ไฉนเรื่องราวถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้

ขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียด ทว่าเจียวเหมยกลับลอบยิ้มอย่างพึงใจ นางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งหากบุตรสาวของ

ฮูหยินกลายเป็นคนที่ประมุขน้อยต้องการตัว เพราะเรื่องราวความดิบเถื่อนของหุบเขาอูยาต่างล่วงรู้ทั่วใต้หล้า สถานที่นั้นล้วนไม่ต่างอะไรจากขุมนรก หากส่งเสวียนหนี่ไปที่นั้นก็ไม่ต่างอะไรจากการส่งนางไปตายทั้งเป็น โดยที่นางกับลูกไม่ต้องลงมือให้เหนื่อยเปล่า แต่นางยังเดาใจของผู้เป็นสามีไม่ออกว่าจะตัดสินใจอย่างไร

“เช่นนั้นท่านพี่จะส่งเสวียนหนี่ไปหุบเขาอูยาหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบที่น่ายินดี

“ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก หาไม่แล้วคงได้มีเรื่องผิดใจกับซีฮันอ๋องแน่” เขาตอบกลับด้วยสีหน้าหนักอกหนักใจ

กระนั้นเจียวเหมยยังยุแยงไม่เลิก นางได้กล่าวต่อว่า “แต่ข้าเคยได้ยินมาว่าคนในหุบเขาอูยาช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก ข้าเกรงว่าหากทางเราไม่ส่งนางไปให้พวกมัน เอ่อ.. ตระกูลฉู่ของเราจะไม่เดือนร้อนหรือเจ้าคะ”

ซินหยางได้ฟังที่นางพูดรู้สึกเดือดเป็นไฟจึงลุกขึ้นมาชี้หน้าเจียวเหมยแล้วด่าทออย่างเหลืออด “เจียวเหมย หุบปากเน่า ๆ  ของเจ้าเสีย ข้าไม่มีวันยอมให้ส่งลูกสาวของข้าไปที่นั่นเป็นอันขาด”

“คนที่สมควรจะหุบปากก็คือเจ้าฮูหยิน หากเจ้าดูแลนางให้ดีเรื่องทั้งหมดก็คงไม่เป็นแบบนี้ นอกจากไม่สำนึกแล้วยังมีหน้ามากล่าวโทษผู้อื่นอีกหรือ”

ตอนนี้ไม่ว่าซินหยางจะพูดอะไรออกไป นางก็เหมือนกลายเป็นคนผิดอยู่ฝ่ายเดียว แต่ไหนแต่ไรมามู่เฉินแม้นไร้สิ้นความยุติธรรมเพียงใด แต่เขาก็ไม่เคยลงไม้ลงกับนางมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขากล้าตบนาง หนำซ้ำยังโยนความผิดมาให้นางแต่เพียงผู้เดียวอีก

“ถ้าเช่นนั้นเอาแบบนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากเสนอทางออกให้ท่านพี่สักหน่อย” เจียวเหมยเห็นเป็นโอกาสจึงรีบยื่นเสนอบางอย่างให้ ซึ่งมู่เฉินก็เหมือนจะสนใจไม่น้อย

"เช่นนั้นเจ้าก็ลองเสนอมาเถอะ”

เจียวเหมยลอบยิ้มร้าย กล่าวว่า “ท่านพี่ลืมไปแล้วหรือเจ้าคะว่าเรายังมีลูกสาวอีกคนหนึ่ง หากท่านพี่ไปพูดกับท่านอ๋องว่าขอเปลี่ยนตัวสะใภ้จากเสวียนหนี่เป็นซูหนี่ ข้าคิดว่าคงไม่น่ามีปัญหาอะไร อีกอย่างหนี่เอ๋อร์ของเรามีใบหน้างดงามหมดจด อีกทั้งกิริยามารยาทก็เพียบพร้อมเพราะข้าอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี  ดังนั้นข้าจึงคิดว่าท่านอ๋องคงไม่ตำหนิเราหรอกเจ้าค่ะ เผลอ ๆ อาจจะถูกใจเสียด้วยซ้ำ”

“ซูหนี่อย่างนั้นหรือ” เขาพึมพำเสียงแผ่ว รู้สึกเห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย แต่ยังมีความลังเล

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด   6.แสร้งเป็นคนดีอะไรตอนนี้

    แสร้งเป็นคนดีอะไรตอนนี้“ป๋อเหวิน เจ้ารอข้าตรงนี้กับเสวียนหนี่ก่อน ข้ามีธุระต้องไปคุยกับแม่ชีหยูถง”“ขอรับฮูหยิน เชิญท่านฮูหยินคุยธุระตามสบาย ข้าจะรออยู่ที่นี่กับเสวียนหนี่”ป๋อเหวินรับปากแล้วหันไปยิ้มให้เสวียนหนี่อย่างรู้ใจกัน เพราะต่างก็รู้กันดีว่าเมื่อลับตาท่านแม่ไปแล้ว เสวียนหนี่จะได้รับอนุญาตให้ทานขนมได้มากเท่าที่นางพอใจพี่ป๋อเหวินไม่เคยขัดใจนางเลยสักครั้ง ไม่ว่านางจะร้องขอสิ่งใดหลังจากที่ลงเขาไปแล้ว เขาก็จะจัดการหามาให้นางในครั้งถัดไปสองพี่น้องต่างมารดา หนึ่งคนสื่อสารด้วยวาจาอีกคนสื่อสารด้วยภาษามือ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าห้วงเวลาในวัยเยาว์ของทั้งคู่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง...ซินหยางที่แยกตัวออกมาจากทั้งสอง ได้เดินเข้ามาหาแม่ชีหยูถงในห้องนั่งสมาธิ นางเห็นแม่ชีกำลังนั่งอยู่หน้าเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ นางจึงเข้าไปคุกเข่าสักการะเทวรูปด้วยจิตศรัทธา ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานอยู่นานความไม่สบายใจใดเล่าจะเท่าความห่วงหาอาลัยอาวรณ

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด   5.ส่งนางไปอาราม

    ส่งนางไปอารามเจียวเหมยได้พาซินแสเจิ้งมาที่ห้องของเสวียนหนี่ ซินหยางที่กำลังเฝ้าดูอาการลูกน้อยอยู่ลุกขึ้นยืนมองคนทั้งสองด้วยแววตาประหลาดใจ ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างบ่งบอกว่าเจียวเหมยไม่ได้ประสงค์ดีต่อนางสองแม่ลูกเป็นแน่ เจียวเหมยมองหน้าซินหยางวูบหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มอย่างสมเพชเวทนา“ฮูหยินใหญ่ ท่านอาวุโสผู้นี้คือซินแสเจิ้ง ท่านพี่อนุญาตให้ข้าพาซินแสเจิ้งมาเพื่อตรวจดูดวงชะตาเสวียนหนี่”“ตรวจดูดวงชะตา?”“เจ้าค่ะ”“ลูกข้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเมื่อวาน ร่างกายยังไม่แข็งแรงพอ ข้ายังไม่อยากให้ใครมารบกวนนางในเวลานี้”“ถ้าเสวียนหนี่ได้ตรวจดูดวงชะตา หากพบว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับนางเราก็จะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงที อีกอย่างท่านพี่ก็อนุญาตแล้วเชิญฮูหยินถอยไปก่อนเถิด” เจียวเหมยตัดความรำคาญ“ไม่! ข้าไม่อนุญาต ซินแสผู้นี้เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด หากตรวจดูดวงชะตาให้เสวียนหนี่มั่วซั่วล่ะใครจะรับผิดชอบ เสวียนหนี่เป็นลูกสาวข

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด   4.ไม่ปรารถนาสะใภ้ที่เป็นลูกอนุ

    4.ไม่ปรารถนาสะใภ้ที่เป็นลูกอนุ“ใช่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าซูหนี่ของเราเหมาะสมกับตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่ของซีฮันอ๋องมากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” เจียวเหมยเมื่อเห็นผู้เป็นสามีคล้อยตาม นางจึงเอ่ยคำพูดที่น่าเชื่อถือลงไปอีก อย่างน้อยหากบุตรสาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องนางก็จะพลอยมีหน้ามีตาตามไปด้วย“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านพี่!”ซินหยางแย้งขึ้น หากเปลี่ยนตัวว่าที่ลูกสะใภ้ก็เท่ากับว่าเสวียนหนี่ต้องถูกส่งตัวไปหุบเขาอูยาเป็นแน่นอน นางรู้ดีว่าผู้เป็นสามีหลงใหลในลาภยศ ไม่ได้รู้สึกรักหรือหวงแหนบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงระยะหลังมานี้ที่เขามาทำดีกับพวกนางสองแม่ลูกเพราะรู้ว่าซีฮันอ๋องโปรดปรานเสวียนหนี่ถึงขั้นอยากได้มาเป็นสะใภ้“ท่านพี่ ท่านจะเปลี่ยนตัวไม่ได้เป็นอันขาด อย่าให้ลูกของเราต้องไปหุบเขาอูยาเลยนะเจ้าคะ ข้าขอร้อง... ท่านพี่ได้โปรด!”ซินหยางคลานเข่าเข้าไปกอดขาของสามีเอาไว้แน่น นางร้องไห้อ้อนวอนขอร้องเขาอย่างน่าสงสาร ในใจของนางรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวยิ่งนัก ทว่ามู่เฉินกลับไม่ได้รู้สึกเห็นใจหรือเกิดความสงสารแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาบึ้งตึงก่อนจะสะบัดนางออกด้วยความรำคาญ สตรีอ่อนแอและโง่เขลาอย่างซินหยางไม่คู่ควรให้เขาต้องใ

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด   3.นับจากนี้ข้าคือเจ้าของชีวิตนาง

    นับจากนี้ข้าคือเจ้าของชีวิตนาง“ใช่ ใช่แล้วนางคือลูกข้า เสวียนหนี่! เสวียนหนี่!”มู่เฉินกระโดดลงจากหลังม้าตรงเข้าไปหาบุตรสาวที่นอนนิ่งยังไม่ได้สติ เขาเขย่าตัวนางเบา ๆ เพื่อปลุกนางตื่นจากการหลับใหลแต่ยังไม่มีวี่แววว่านางจะลืมตาขึ้นมา“เกิดอะไรขึ้นกับนาง พวกท่านทำอะไรนาง!”“พวกข้าไม่ได้ทำอะไรนางทั้งนั้น เพียงแต่ที่นางยังไม่ได้สติเพราะถูกพิษแมงมุม” โม่โฉวอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ เนื่องจากเกรงว่าหากเข้าใจผิดจะเกิดมาซึ่งหายนะได้“อย่าบอกนะว่าเป็นแมงมุมพิษสือยี่เหยียน!” หงมู่เฉินอุทานออกมาอย่างตกใจ เขารีบคว้ามือลูกสาวขึ้นมามองดูปลายเล็บว่าเป็นสีดำหรือไม่ ปรากฏว่าไม่เห็นมีรอยดำแต่อย่างใด เห็นเพียงรอยแดงที่ปลายนิ้วชี้ข้างหนึ่ง“นางถูกพิษแมงมุมสือยี่เหยียนอย่างที่ท่านเข้าใจ แต่อาจารย์ของข้าได้รักษาจนอาการของนางทุเลาลงแล้ว” หลีเหว่ยอธิบายน้ำเสียงเรียบหลังจากมู่เฉินได้ฟังก็รู้สึกเบาใจขึ้นบ้าง เช่นนั้นเมื่อกลับถึงจวนเขาจะได้ตามหมอมาดูอาการของนางต่อ“ค่อยยังชั่วที่เจอคนดีอย่างพวกท่าน มิเช่นนั้นลูกสาวข้าอาจสิ้นใจตายในป่า หรือไม่อย่างนั้นข้าก็อาจเจอตัวนางช้าไปจนสิ้นหนทางรักษา ขอบคุณ... เอ่อ... ไม่ท

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด   2.นางสิ้นใจแล้วหรือ?

    นางสิ้นใจแล้วหรือ?“อาจารย์ นางสิ้นใจไปแล้วหรือขอรับ”“ยัง! ยังหรอก”“ถ้าอย่างนั้นเราช่วยนางดีหรือไม่”“สุดแล้วแต่ท่านประมุขน้อย”บุรุษกลุ่มหนึ่งประกอบไปด้วย อี้เฉิน ที่ถูกเรียกว่าประมุขน้อยวัยสิบสี่หนาว หลีเหว่ย สหายร่วมสำนักวัยสิบสามหนาวและโม่โฉวผู้อาวุโสสุด ซึ่งทั้งสองนับถือเป็นอาจารย์ ร่วมด้วยผู้ติดตามเป็นชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นอีกสี่นาย พวกเขาเหล่านี้ได้สัญจรผ่านเส้นทางที่เสวียนหนี่หมดสติและพบนางเข้าโดยบังเอิญ หลังจากที่สังเกตเห็นว่ามีคนนอนหมดสติอยู่ในป่าเขตเมืองหลวงแคว้นเถียน อี้เฉินจึงได้สั่งขบวนรถม้าให้หยุดแล้วรีบลงมาดูอาการเด็กตัวน้อยท่าทางอ่อนแรงนอนแน่นิ่ง ไม่ว่าจะปลุกเช่นไรนางก็ไร้ปฏิกิริยาตอบรับ เสียงลมหายใจของนางแผ่วเบาลงทุกที ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มซีดเซียวดุจกระดาษขาว แวบแรกที่อี้เฉินสะดุดตาเข้ากับร่างของคนที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก น่าแปลกตรงที่ในป่าเช่นนี้เหตุใดถึงได้มีเด็กผู้หญิงมานอนหมดสติอยู่เพียงลำพัง แต่พอคิดได้ว่าจากจุดที่เจอนางไปอีกไม่ไกลน่าจะมีบ้านคน อาจจะเป็นไปได้ว่านางหลงเข้ามาในเขตป่าแล้วหาทางกลับออกไปไม่ได้“ท่านคิดเห็นอย่างไรประมุขน้อย เอ๊ะ

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด   1.ทาบทามนางไปเป็นสะใภ้

    ทาบทามนางไปเป็นสะใภ้เสียงวิ่งย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบตามมาด้วยร่างของเด็กชายคนหนึ่งโผล่พ้นชายป่า ป๋อเหวิน บุตรชายคนโตของฉู่มู่เฉินวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาบอกซูหนี่ซึ่งเป็นน้องสาวร่วมมารดาด้วยอาการตื่นตระหนก เขาและเสวียนหนี่น้องสาวคนเล็กได้ชวนกันเล่นซ่อนหาบริเวณหลังจวน โดยที่ตนเป็นคนซ่อนตัวแล้วให้อีกฝ่ายเป็นคนตามหา เวลาไล่หลังผ่านไปได้หนึ่งเค่อ ป๋อเหวินไม่เห็นเสวียนหนี่จึงออกจากที่หลบซ่อนร้องเรียกหานาง ทว่าไม่พบแม้กระทั่งเงา“ทำเช่นไรดี ฮูหยินใหญ่ต้องตีข้าแน่ ข้าจะทำเช่นไรดีซูหนี่”เขาถามน้องสาวเสียงสั่น ขอบตาแดงรื้นราวกับว่าน้ำตาที่กักเก็บเอาไว้จะหล่นแหมะอยู่รอมร่อ แต่ไหนแต่ไรฉู่ป๋อเหวินมักจะมีนิสัยหัวอ่อนขี้ขลาด และทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง หากพบเจอปัญหาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็มักจะวิ่งเต้นหาคนช่วยอยู่ร่ำไป แม้กระทั่งฉู่ซูหนี่ที่อายุน้อยกว่าเขาก็ยังหวังยึดเอาเป็นที่พึ่งฉู่มู่เฉินเป็นผู้นำตระกูลฉู่ ซึ่งดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสาม มีภรรยาเอกนามว่าซินหยาง เมื่อแปดปีก่อนนางได้ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคนตั้งชื่อให้ว่าฉู่เสวียนหนี่ นอกจากนั้นเขายังมีบุตรชายและบุตรสาวที่เกิด

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status