นับจากนี้ข้าคือเจ้าของชีวิตนาง
“ใช่ ใช่แล้วนางคือลูกข้า เสวียนหนี่! เสวียนหนี่!”
มู่เฉินกระโดดลงจากหลังม้าตรงเข้าไปหาบุตรสาวที่นอนนิ่งยังไม่ได้สติ เขาเขย่าตัวนางเบา ๆ เพื่อปลุกนางตื่นจากการหลับใหลแต่ยังไม่มีวี่แววว่านางจะลืมตาขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นกับนาง พวกท่านทำอะไรนาง!”
“พวกข้าไม่ได้ทำอะไรนางทั้งนั้น เพียงแต่ที่นางยังไม่ได้สติเพราะถูกพิษแมงมุม” โม่โฉวอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ เนื่องจากเกรงว่าหากเข้าใจผิดจะเกิดมาซึ่งหายนะได้
“อย่าบอกนะว่าเป็นแมงมุมพิษสือยี่เหยียน!” หงมู่เฉินอุทานออกมาอย่างตกใจ เขารีบคว้ามือลูกสาวขึ้นมามองดูปลายเล็บว่าเป็นสีดำหรือไม่ ปรากฏว่าไม่เห็นมีรอยดำแต่อย่างใด เห็นเพียงรอยแดงที่ปลายนิ้วชี้ข้างหนึ่ง
“นางถูกพิษแมงมุมสือยี่เหยียนอย่างที่ท่านเข้าใจ แต่อาจารย์ของข้าได้รักษาจนอาการของนางทุเลาลงแล้ว” หลีเหว่ย
อธิบายน้ำเสียงเรียบหลังจากมู่เฉินได้ฟังก็รู้สึกเบาใจขึ้นบ้าง เช่นนั้นเมื่อกลับถึงจวนเขาจะได้ตามหมอมาดูอาการของนางต่อ
“ค่อยยังชั่วที่เจอคนดีอย่างพวกท่าน มิเช่นนั้นลูกสาวข้าอาจสิ้นใจตายในป่า หรือไม่อย่างนั้นข้าก็อาจเจอตัวนางช้าไปจนสิ้นหนทางรักษา ขอบคุณ... เอ่อ... ไม่ทราบว่าข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่”
“ข้ามีนามว่าโม่โฉว ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้าเพียงแค่ทำตามสั่งของคุณชายเท่านั้นเอง” ผู้เป็นอาจารย์พูดจบก็หันหน้าไปทางเด็กหนุ่มที่บัดนี้ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
ครั้นพอเขาหันไปสบตากับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ชายวัยกลางคนก็ถึงกับชะงักไปชั่วขณะ แม้นอีกฝ่ายจะเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดา ทว่าในใจของเขากลับรู้สึกสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉู่มู่เฉินรับรู้ได้ถึงความอึดอัดไม่สบายใจบางอย่าง แต่เขาก็ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เด็กหนุ่มผู้นี้มีรัศมีมืดดำที่เขาสัมผัสไม่ถึง ครั้นจะบอกว่าหวั่นเกรงก็ไม่ปรากฏชัด ครั้นจะมองว่าเป็นเด็กธรรมดาเฉกเช่นรูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่สามารถหยั่งรู้ได้
“คุณชายท่านนี้คือ...”
“นามของข้าท่านอย่าเพิ่งรู้เลยจะดีกว่า” เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“คุณชายน้อยช่างลึกลับยิ่งนัก เช่นนั้นไม่ว่าท่านจะเป็นใครข้าขอขอบคุณท่านอย่างยิ่ง ท่านช่วยชีวิตบุตรสาวของข้านับว่าเป็นบุญคุณมหาศาล ภายภาคหน้าหวังว่าข้าจะมีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณ” ชายวัยกลางคนเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ เพราะหากไม่ได้พวกเขาช่วยเหลือ เกรงว่าชีวิตนี้ตนเองอาจจะต้องสูญเสียบุตรสาวไปตลอดชีวิตแน่ ในยามนี้นางสำคัญต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง นางกำลังจะกลายเป็นตัวนำโชคและทำให้เขามีอำนาจในภายภาคหน้า
“แน่นอนว่าการช่วยชีวิตคนคือบุญคุณมหาศาล ข้าย่อมต้องการสิ่งตอบแทน”
“ได้ ได้แน่นอน คุณชายน้อยโปรดบอกข้ามาเถิดว่าปรารถนาสิ่งใด การตอบแทนบุญคุณไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับข้า” การที่เขากล่าวออกไปเช่นนั้นเพราะมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เด็กคงจะเรียกร้องขอเงินทองไปตามประสา ซึ่งตัวเขาเองก็จะรีบเอามาให้อย่างไม่อิดออด ของมีค่าเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย ตระกูลฉู่จัดเป็นตระกูลใหญ่โตมีอันจะกินมากด้วยบริวารและทรัพย์ เรื่องแค่นี้ย่อมไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน
“ข้าต้องการชีวิตของนาง”
“ว่าอะไรนะ!” ฉู่มู่เฉินถึงกับอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อครู่เขาต้องฟังผิดไปเองแน่ ๆ “หมายความว่าอย่างไรคุณชายน้อย ข้าไม่เข้าใจความหมายที่เจ้าต้องการจะสื่อ?”
“ชีวิตที่เหลือของนางเป็นของข้าแล้ว นั่นคือสิ่งที่ข้าปรารถนา” ครั้นพอพูดจบเด็กหนุ่มก็ยื่นพู่ไหมประดับหยกสีนิลมาตรงหน้าฉู่มู่เฉิน สีดำขลับของหยกนิลยามเมื่อต้องประกายเพลิงที่กำลังลุกโชนสะท้อนนัยน์ตาจนชายวัยกลางคนต้องกะพริบตาถี่ ๆ
ไม่รอให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยไปมากกว่านี้ เขาจึงเป็นฝ่ายไขข้อข้องใจก่อน
"เมื่อนางอายุครบสิบเจ็ดปี จงส่งนางไปที่หุบเขาอูยาพร้อมกับพู่ไหมหยกนิลอันนี้”
“หะ หุบเขาอูยา! ระ... หรือว่าคุณชายน้อยผู้นี้จะเป็น...” เขาตกใจจนลนลาน ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นคนที่เขาคาดไม่ถึง
................
หลังจากที่อีกฝ่ายพาเด็กคนนั้นกลับไปแล้ว ผู้อาวุโสโม่โฉวจ้องมองประมุขน้อยด้วยความสงสัย เขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าภายใต้ใบหน้านิ่งสงบนั้นกลับซ่อนความคิดอันใดไว้กันแน่ ที่ผ่านมาเขาพยายามปกปิดตัวตนมาตลอดเลยมิใช่หรือ ไฉนคราวนี้ถึงยอมเปิดเผยตัวตนให้อีกฝ่ายรู้
หนำซ้ำยังบอกว่าต้องการชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนั้นอีก เช่นนี้แล้วมันหมายความว่าอย่างไรกัน
“ท่านประมุขน้อย ข้ามีหนึ่งคำถาม” สุดท้ายเมื่ออดรนทนไม่ไหว เขาจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ท่านอาจารย์ จะถามอะไรข้าอย่างนั้นหรือ”
“เหตุใดท่านประมุขน้อยถึงให้ช่วยชีวิตของเด็กคนนั้นแถมยังบอกความจริงให้อีกฝ่ายรู้อีก”
"ท่านอาจารย์คิดว่าก่อนท่านอาจะคืนตำแหน่งประมุขให้ข้าเขาจะไม่บีบบังคับให้ข้าแต่งงานหรือ สตรีที่ข้าหามาเองย่อมต้องดีกว่าคนที่ท่านอาหามาให้ อีกอย่างท่านอาจารย์ก็บอกเองไม่ใช่หรือว่าเด็กเมื่อครู่จะอายุสั้น มีภรรยาที่ตายก่อนวัยอันควรไม่ดีตรงไหนกัน หลังนางตายข้าก็แค่หาเหตุผลว่ามิอาจปล่อยวางความทุกข์ได้ชาตินี้ไม่ขอแต่งงานใหม่ก็เท่านั้นเอง”
โม่โฉวได้ฟังแล้วก็รู้สึกทึ่งในความคิดซับซ้อนของลูกศิษย์ผู้นี้ เพราะมั่นใจว่าตนเองมิได้เป็นคนสั่งสอนเขา ความคิดของเด็กหนุ่มช่างล้ำลึกนัก เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านอาส่งคนของตัวเองเข้ามาเป็นภรรยาของเขา ดังนั้นเขาจึงอยากได้หญิงสาวที่อายุสั้นมาแต่งงานด้วย อย่างน้อยหลังจากที่อีกฝ่ายตายไปเขาจะได้มีข้ออ้างที่จะไม่แต่งงานใหม่ ดังคำที่กล่าวไว้ข้างตน
เมื่อล่วงรู้ความคิดของท่านประมุขน้อย โม่โฉวคิดไว้อยู่แล้วเชียวว่าคนเย็นชาไม่สนใจแม้กระทั่งความตายของผู้อื่นเฉกเช่นเขามีหรือจะใจดีอนุญาตให้ตนช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เกรงว่า... อี้เฉินคงสืบทอดความโหดเหี้ยมมาจากบิดาโดยสมบูรณ์แล้ว
‘เฮ้อ! ท่านประมุขน้อย ท่านช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว’
จวนตระกูลฉู่
“ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่รึ! ว่าให้ดูแลนางให้ดี”
ฉู่มู่เฉินวางร่างเล็กลงบนเตียงนุ่มแล้วหันกลับมาตวัดฝ่ามือตบไปที่ใบหน้าของซินหยางอย่างแรงจนนางล้มลงไปกับพื้น แก้มซีกซ้ายของนางชาหนึบ ทว่ามันก็มิอาจเทียบเท่าความเสียใจยามเมื่อเห็นร่างไร้สติของบุตรสาวที่ดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด
ซินหยางค่อย ๆ คลานเข่าเข้าไปหาร่างของบุตรสาวก่อนจะคว้ามือน้อย ๆ ขึ้นมากุมไว้แน่น ใช่ว่าคนเป็นแม่อย่างนางจะไม่รู้สึกผิด หากเป็นไปได้นางก็อยากแบกรับความเจ็บปวดของบุตรีเอาไว้เอง ซินหยางร้องไห้ปริ่มจะขาดใจซบแก้มลงกับฝ่ามือนุ่มของลูกน้อยอย่างเป็นห่วง ปล่อยน้ำตาหยดลงฝ่ามือเล็กสะอื้นไห้
“เห็นแล้วหรือยังว่าตอนนี้เสวียนหนี่นางมีอาการเช่นไร ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของเจ้า! หากซีฮันอ๋องทราบเรื่องขึ้นมาข้าจะทำอย่างไร โอกาสของข้าที่จะได้เกี่ยวดองกับท่านอ๋องไม่ใช่เรื่องง่าย และเจ้ากำลังจะทำให้ตระกูลฉู่ของข้าต้องย่อยยับ” มู่เฉินไม่เคยกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง
“แต่ในช่วงเวลาที่บุตรสาวของเราหายไป ท่านพี่เป็นคนเรียกสาวใช้ให้ไปคอยดูแลปรนนิบัติท่านอ๋องมิใช่หรือเจ้าคะ”
“ฮูหยินใหญ่ นี่ท่านกำลังกล่าวโทษว่าท่านพี่เป็นคนผิดหรือเจ้าคะ” เจียวเหมยที่เดินเข้ามาพร้อมกับบุตรทั้งสองคนพูดสวนขึ้น หลังจากที่สาวใช้ไปรายงานว่าพบเสวียนหนี่แล้ว นางจึงอยากมาดูให้เห็นกับตาตนเองว่าอีกฝ่ายกลับมาถึงจวนอย่างปลอดภัยหรือไม่ เพราะบ่าวรับใช้รายงานว่านางถูกแมงมุมพิษกัดจนอาการสาหัสและยังไม่ได้สติ
“ฮูหยินรอง เจ้ากำลังพูดอะไร คำพูดของเจ้าเมื่อครู่จะทำให้ท่านพี่เข้าใจข้าผิด ความหมายของข้าคือในช่วงเวลาที่นางหายไป ข้ากับสาวใช้คนอื่น ๆ กำลังต้อนรับท่านอ๋องอยู่ ทำให้เสวียนหนี่พ้นจากระยะสายตาของข้า”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว!” มู่เฉินตวาดเสียงกร้าว เขาไม่จำเป็นต้องฟังคำอธิบายเพราะเชื่อในคำพูดของเจียวเหมยมากกว่า สาเหตุที่ทำให้เขาโมโหมากมายขนาดนี้เพราะเสวียนหนี่เป็นความหวังเดียวที่จะทำให้เขาได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น ดังนั้นเขาจึงคาดหวังอยากเกี่ยวดองกับซีฮันอ๋อง ซึ่งหากเสียโอกาสในครั้งนี้ไปเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะมีหนทางใดสามารถผลักดันตัวเองให้ไปไกลกว่านี้ได้อีกแล้ว
“เหอะ! เจ้าดูเสียให้เต็มตา”
พู่ไหมหยกสีนิลถูกยื่นมาตรงหน้าเพื่อให้ซินหยางมองเห็นชัด ๆ แต่เพียงไม่นานเขาก็ขว้างมันใส่หน้าเพื่อหวังระบายอารมณ์อย่างไร้เหตุผล
“คนที่ช่วยเหลือเสวียนหนี่ไว้คือประมุขน้อยหุบเขาอูยา มันบอกกับข้าว่าเมื่อใดที่เสวียนหนี่อายุครบสิบเจ็ดปี จะต้องส่งตัวไปให้มันที่หุบเขา” เขาตะโกนใส่หน้าฮูหยินใหญ่ด้วยโทสะที่มี
“หะ... หุบเขาอูยา” ซินหยางเมื่อได้ฟังคำของสามีนางก็มีอาการตกใจไม่ต่างกัน ไฉนเรื่องราวถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
ขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียด ทว่าเจียวเหมยกลับลอบยิ้มอย่างพึงใจ นางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งหากบุตรสาวของ
ฮูหยินกลายเป็นคนที่ประมุขน้อยต้องการตัว เพราะเรื่องราวความดิบเถื่อนของหุบเขาอูยาต่างล่วงรู้ทั่วใต้หล้า สถานที่นั้นล้วนไม่ต่างอะไรจากขุมนรก หากส่งเสวียนหนี่ไปที่นั้นก็ไม่ต่างอะไรจากการส่งนางไปตายทั้งเป็น โดยที่นางกับลูกไม่ต้องลงมือให้เหนื่อยเปล่า แต่นางยังเดาใจของผู้เป็นสามีไม่ออกว่าจะตัดสินใจอย่างไร“เช่นนั้นท่านพี่จะส่งเสวียนหนี่ไปหุบเขาอูยาหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบที่น่ายินดี
“ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก หาไม่แล้วคงได้มีเรื่องผิดใจกับซีฮันอ๋องแน่” เขาตอบกลับด้วยสีหน้าหนักอกหนักใจ
กระนั้นเจียวเหมยยังยุแยงไม่เลิก นางได้กล่าวต่อว่า “แต่ข้าเคยได้ยินมาว่าคนในหุบเขาอูยาช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก ข้าเกรงว่าหากทางเราไม่ส่งนางไปให้พวกมัน เอ่อ.. ตระกูลฉู่ของเราจะไม่เดือนร้อนหรือเจ้าคะ”
ซินหยางได้ฟังที่นางพูดรู้สึกเดือดเป็นไฟจึงลุกขึ้นมาชี้หน้าเจียวเหมยแล้วด่าทออย่างเหลืออด “เจียวเหมย หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าเสีย ข้าไม่มีวันยอมให้ส่งลูกสาวของข้าไปที่นั่นเป็นอันขาด”
“คนที่สมควรจะหุบปากก็คือเจ้าฮูหยิน หากเจ้าดูแลนางให้ดีเรื่องทั้งหมดก็คงไม่เป็นแบบนี้ นอกจากไม่สำนึกแล้วยังมีหน้ามากล่าวโทษผู้อื่นอีกหรือ”
ตอนนี้ไม่ว่าซินหยางจะพูดอะไรออกไป นางก็เหมือนกลายเป็นคนผิดอยู่ฝ่ายเดียว แต่ไหนแต่ไรมามู่เฉินแม้นไร้สิ้นความยุติธรรมเพียงใด แต่เขาก็ไม่เคยลงไม้ลงกับนางมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขากล้าตบนาง หนำซ้ำยังโยนความผิดมาให้นางแต่เพียงผู้เดียวอีก
“ถ้าเช่นนั้นเอาแบบนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากเสนอทางออกให้ท่านพี่สักหน่อย” เจียวเหมยเห็นเป็นโอกาสจึงรีบยื่นเสนอบางอย่างให้ ซึ่งมู่เฉินก็เหมือนจะสนใจไม่น้อย
"เช่นนั้นเจ้าก็ลองเสนอมาเถอะ”
เจียวเหมยลอบยิ้มร้าย กล่าวว่า “ท่านพี่ลืมไปแล้วหรือเจ้าคะว่าเรายังมีลูกสาวอีกคนหนึ่ง หากท่านพี่ไปพูดกับท่านอ๋องว่าขอเปลี่ยนตัวสะใภ้จากเสวียนหนี่เป็นซูหนี่ ข้าคิดว่าคงไม่น่ามีปัญหาอะไร อีกอย่างหนี่เอ๋อร์ของเรามีใบหน้างดงามหมดจด อีกทั้งกิริยามารยาทก็เพียบพร้อมเพราะข้าอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ดังนั้นข้าจึงคิดว่าท่านอ๋องคงไม่ตำหนิเราหรอกเจ้าค่ะ เผลอ ๆ อาจจะถูกใจเสียด้วยซ้ำ”
“ซูหนี่อย่างนั้นหรือ” เขาพึมพำเสียงแผ่ว รู้สึกเห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย แต่ยังมีความลังเล
จดหมายจากทางไกล (จบ)“ฮูหยินเจ้าคะเมื่อเช้านี้คนเฝ้าประตูหุบเขานำจดหมายและของมาฝากให้ฮูหยินเจ้าค่ะ บอกว่าได้มาจากขบวนพ่อค้าผ่านทาง”สาวใช้วางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ข้างจดหมายนั้นยังมีกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มากเสวียนหนี่เปิดกล่องไม้ดูข้างในพบว่าเป็นผ้าบุหนาพันห่อบางสิ่งไว้อย่างดี สัมผัสยังชุ่มชื้นคล้ายกับว่ามีการพรมน้ำไว้ตลอดเวลา เมื่อนางเปิดผ้าห่อออกเห็นว่าสิ่งของข้างในคือกิ่งพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่งจึงรีบคลี่จดหมายออกดู เนื้อความข้างในจดหมายได้เขียนบรรยายไว้ว่า…ข้าถึงแคว้นฉินอย่างปลอดภัยแล้วระหว่างทางมาแคว้นฉินข้าได้รู้จักกับพ่อค้าผู้หนึ่ง เขามีโรงย้อมอยู่ในเขตอำเภอเล็ก ๆ และได้รับข้าเข้าทำงานที่โรงย้อม หวังว่าจากนี้ชีวิตของข้าจะพบกับความสงบสุขอย่างที่เจ้าเคยกล่าวไว้ สิ่งที่ข้าฝากมาในกล่องคือกิ่งพันธุ์ฝูเถาพืชชนิดนี้ที่แคว้นฉินมีราคาแพงมาก เจ้าชอบเพาะปลูก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะพึงพอใจข้าซื้อกิ
ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน“ข้าหวังเพียงว่าจากนี้ไปเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีและมีความสุข ไม่ใช่แค่เจ้าที่คิดว่าข้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวแต่ข้าเองก็คิดอย่างนั้น…ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุข”คำพูดคำจาของถานถานฟังแล้วต่างจากเดิมมาก เขาไม่ใช่ตาแก่ไร้สาระของนางอีกต่อไปแล้วเขาพูดสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่นก็เป็นเช่นกันแต่น้อยครั้งนักที่ถานถานจะเอ่ยวาจาได้ตรงกับใจอย่างนี้ส่วนมากเขามักจะเฉไฉและวางท่าคิดอย่างไรก็ไม่เคยแสดงออกอย่างเปิดเผย"แล้วเจ้าเด็กวุ่นวายนั่น""หมายถึงเพียนเพียนน่ะหรือเจ้าคะ อย่าห่วงเลย ตอนนี้ได้คุณหนูฟางจิงดูแลคุณหนูทั้งสอนหนังสือและเรื่องต่าง ๆ ให้นางอย่างดี เพียนเพียนจะต้องเติบโตได้ดีแน่เอาไว้ว่าง ๆ ข้าจะพานางไปเยี่ยมเยือนท่านที่ไร่นะเจ้าคะ" "อืมงั้นข้าไปละนะ ข้างในนี้ต้องเป็นของดีแน่ ๆ คิดแล้วน้ำลายไหล"เขาชูถุงผ้าขึ้นพลางหัวเราะร่า
คำขอร้องของหลีเหว่ยไม่จำเป็นต้องหลบหลังพุ่มไม้อีกต่อไปแล้วครั้งนี้เขาเดินอย่างองอาจเข้าไปในเรือน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าฟางจิงจึงได้หันกลับมามองยังต้นเสียงเห็นว่าคนที่มาคือหลีเหว่ยนางก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างมากวันสำคัญเช่นนี้เขาควรจะเฉลิมฉลองอยู่ที่เรือนหลักกับคนอื่น ๆ นานแล้วที่นางและเขาไม่ได้เจอกันเลย ครั้งล่าสุดเห็นจะเป็นตอนที่ปิดล้อมจับห่าวอู๋ แต่ก็แค่เห็นผ่านตาเพียงเท่านั้นไม่ได้มีการพูดคุยกันสักครึ่งคำก่อนที่ฟางจิงจะถูกรถม้าทับเขาและนางมีความสนิทสนมกันที่สุดแทบจะเรียกได้ว่าสนิมเทียบเท่าผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆหลังจากที่อี้เฉินถูกส่งให้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาตี้จิวแล้วหลีเหว่ยก็ติดตามไปเป็นสหายร่วมเรียนฟางจิงและเขาก็ค่อย ๆ ห่างเหินกันไปตามกาลเวลาพอสำเร็จการศึกษาหวนคืนหุบเขานางก็ตีตัวออกหากเขาไปเรื่อย ๆไม่สนิทสนมอย่างเดิมแล้วจนปัจจุบันเหมือนคนเคยคุ้นที่อาศัยร่วมจวนเดียวกัน“นานมาแล้วที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน วัน
คำตอบของอี้เฉิน“ไปหาเจี่ยนถานถานมาเป็นอย่างไรบ้าง" อี้เฉินถามคำพูดของพ่อค้าสองคนนั้นยังก้องอยู่ในหู เสวียนหนี่จึงยังไม่ทันได้ฟังที่เขาพูด นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยใช้ตะเกียบเขี่ยเส้นบะหมี่วนอยู่ในชาม พอเห็นว่าอีกคนไม่ตอบคำถามเขาจึงเรียกชื่อนางซ้ำให้ดังขึ้น“เสวียนหนี่”“เจ้าคะ”หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเงยหน้ามองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน“ไม่หิวหรือ"“อ๋อข้ายังไม่หิวเจ้าค่ะ”“อย่างนี้นี่เองเช่นนั้นเรากลับจวนกันเถอะ”กลับถึงจวนตระกูลหงก็ใกล้ตะวันตกดิน ที่ศาลาเห็นหลีเหว่ยและโม่โฉวกำลังนั่งเล่นหมากล้อม พวกเขาได้ลุกขึ้นยืนมองมาทางเสวียนหนี่และอี้เฉินด้วยแววตาสงสัยคาดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เห็นทั้งคู่เดินเคียงกันมา"กลับมาแล้วหรือขอรับ"หลีเหว่ยทักทาย ประมุขหนุ่มมองตอบเพียงเท่านั้นแล้วเดินตรงเข้าไปในเรือน“เจ้ายังไม่กลับเรือนกุ้ยเ
เกิดอะไรกับห่าวอู๋สีหน้าของฟางจิงดูสลดลงโม่โฉวบอกกับอี้เฉินว่าความพิการทางร่างกายของนางไม่ได้หนักหนา สิ่งที่ทำให้นางยังไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจไม่ว่าพี่ชายจะเสาะแสวงหาแพทย์ที่เก่งกาจเพียงใดมารักษาก็ไม่เป็นผลฟางจิงไม่ให้ความร่วมมือนางหวาดกลัวที่จะลุกขึ้นเดินอีกครั้งเสียงเย้ยหยันของผู้คนในอดีตที่ผ่านมาทำให้นางไม่กล้าลุกขึ้นสู้นางกลัวความผิดพลาดกลัวว่าหากลุกขึ้นมาใหม่แล้วต้องล้มลงไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะต้องอับอาย"รักษาเถิดกลัวไปไยพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ เจ้าเอง""...ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้ก็พอใจดีอยู่แล้ววันนี้ข้ารู้สึกเวียนหัวขอตัวพักเอาแรงสักงีบ"ทุกครั้งที่พูดเรื่องบำบัดรักษาฟางจิงก็มักจะเลี่ยงตลอดอี้เฉินเองก็อ่อนใจเต็มทีเขามองตามร่างของน้องสาวที่เคลื่อนรถเข็นเข้าไปในเรือนแล้วถอนหายใจกลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าในระหว่างที่เขามองตามฟางจิงอยู่นั้นเสวียนหนี่เดินมาทางด้านหลังเขาตั
ส่งซูหนี่“พี่สาวเจ้ามาลาข้าแล้ว”เมื่อวานนี้ซูหนี่ได้เข้ามาหาเขา แล้วก็แสดงเจตนาว่าอยากออกจากหุบเขา ดังนั้นอี้เฉินจึงพูดขึ้นเพื่ออยากรู้ว่าเสวียนหนี่ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง พอได้ฟังนางแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที“ข้าไม่ได้ไล่นางไปนะเจ้าคะ แล้วก็ไม่ได้ตีนางด้วย”“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าไล่หรือตีนางเสียหน่อย”ท่าทางรีบร้อนแก้ต่างให้ตนเองของนางทำให้ดูลุกลนจนเกินไปอี้เฉินทำหน้าเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กแล้วพูดต่อ“แต่ถึงเจ้าไม่ไล่ข้าก็ไล่นางออกไปอยู่ดี”หญิงสาวพูดไม่ออกเดิมทีอี้เฉินก็ไม่ไว้หน้าผู้ใดอยู่แล้วยิ่งเป็นซูหนี่ที่เคยอยู่ฝ่ายเดียวกันกับห่าวอู๋มาก่อนก็ไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะไว้ไมตรีด้วยความที่ชายหนุ่มมองคนขาดตั้งแต่แรกเริ่มจึงไม่ได้ให้ความเชื่ออกเชื่อใจใครโดยง่ายหากไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวังเขาเชื่ออย่างนั้นเป็นมิตรได้วันหนึ่งก็อาจเปลี่ยนไปเป็นศัตรู หรือบางรายเป็นศ