4.ไม่ปรารถนาสะใภ้ที่เป็นลูกอนุ
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าซูหนี่ของเราเหมาะสมกับตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่ของซีฮันอ๋องมากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” เจียวเหมยเมื่อเห็นผู้เป็นสามีคล้อยตาม นางจึงเอ่ยคำพูดที่น่าเชื่อถือลงไปอีก อย่างน้อยหากบุตรสาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องนางก็จะพลอยมีหน้ามีตาตามไปด้วย
“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านพี่!”
ซินหยางแย้งขึ้น หากเปลี่ยนตัวว่าที่ลูกสะใภ้ก็เท่ากับว่าเสวียนหนี่ต้องถูกส่งตัวไปหุบเขาอูยาเป็นแน่นอน นางรู้ดีว่าผู้เป็นสามีหลงใหลในลาภยศ ไม่ได้รู้สึกรักหรือหวงแหนบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงระยะหลังมานี้ที่เขามาทำดีกับพวกนางสองแม่ลูกเพราะรู้ว่าซีฮันอ๋องโปรดปรานเสวียนหนี่ถึงขั้นอยากได้มาเป็นสะใภ้
“ท่านพี่ ท่านจะเปลี่ยนตัวไม่ได้เป็นอันขาด อย่าให้ลูกของเราต้องไปหุบเขาอูยาเลยนะเจ้าคะ ข้าขอร้อง... ท่านพี่ได้โปรด!”
ซินหยางคลานเข่าเข้าไปกอดขาของสามีเอาไว้แน่น นางร้องไห้อ้อนวอนขอร้องเขาอย่างน่าสงสาร ในใจของนางรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวยิ่งนัก ทว่ามู่เฉินกลับไม่ได้รู้สึกเห็นใจหรือเกิดความสงสารแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาบึ้งตึงก่อนจะสะบัดนางออกด้วยความรำคาญ สตรีอ่อนแอและโง่เขลาอย่างซินหยางไม่คู่ควรให้เขาต้องใส่ใจเลยสักนิด
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ก่อนหน้านี้ข้าได้พูดคุยกับท่านอ๋องไปบ้างแล้ว” มู่เฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำเอาสองแม่ลูกต่างหันมองหน้ากันอย่างฉงน
“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ หนี่เอ๋อร์ของเราขาดคุณสมบัติอันใดไปอย่างนั้นหรือ?” เจียวเหมยถามด้วยความเป็นกังวล
“ท่านอ๋องไม่ปรารถนาลูกสะใภ้ที่เกิดจากลูกอนุ” มู่เฉินมีสีหน้าลำบากใจ เดิมทีเขาเองก็อยากให้ซูหนี่ได้แต่งเข้าจวนอ๋องมากกว่า เพราะบุตรสาวคนรองเป็นเด็กฉลาด อีกทั้งยังมีนิสัยทะเยอทะยานไม่ต่างจากเขาเลยสักนิด ดังนั้นหากนางได้กลายเป็นสะใภ้แผนการของเขาก็คงราบรื่นกว่านี้
“อะไรนะเจ้าคะ ท่านอ๋องไม่ต้องการว่าที่ลูกสะใภ้ที่เกิดจากอนุ?” นางทวนคำเสียงแผ่ว มันจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร ซูหนี่ของนางเพียบพร้อมหมดทุกอย่าง ไฉนเรื่องมันถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
เจียวเหมยกัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บแปลบ พลางเงยหน้ามองบุตรสาวซึ่งมีอาการไม่ต่างกัน ยิ่งเมื่อได้เห็นสีหน้าโล่งใจของอีกฝ่าย นางก็ยิ่งรู้สึกคับแค้นใจที่พวกมันสองคนแม่ลูกกำลังจะได้ดี แต่กระนั้นนางก็ไม่สามารถกรีดร้องหรือโวยวายได้เลย
เสวียนหนี่หลับไปนานถึงสามวันเต็ม และยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา ซินหยางเมื่อเห็นบุตรสาวหลับใหลนานเกินไปเช่นนี้ จึงทำให้นางเริ่มเกิดความกังวลใจ แม้กระทั่งหมอยังไม่สามารถตอบได้ว่าบุตรสาวของนางทำไมถึงยังไม่ฟื้น
มู่เฉินร้อนใจจนแทบนั่งไม่ติด เขารู้สึกกระสับกระส่ายเดินไปเดิมมาในห้องของบุตรสาวหลายรอบ พลันสายตาทอดมองเห็นซินหยางกำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดฝ่ามือให้ลูกเขาก็พาลโมโหใส่นางอีกจนได้
“จนป่านนี้แล้วเสวียนหนี่ยังไม่ฟื้นอีก หากท่านอ๋องเปลี่ยนใจไม่อยากได้เสวียนหนี่ไปเป็นสะใภ้ข้าจะให้เจ้าชดใช้
ฮูหยินใหญ่”ระบายอารมณ์จนสาแก่ใจแล้วมู่เฉินก็เดินออกจากห้องไป ซินหยางทำได้เพียงนั่งก้มหน้ารับฟังไม่กล้าโต้เถียงเขาสักครึ่งคำ ภายในใจของนางนั้นมีวูบหนึ่งที่คิดโทษตัวเองไม่ผิดไปจากคำพูดเขา เป็นเพราะนางนั้นดูแลลูกได้ไม่ดีลูกถึงได้รับอันตรายเกือบสิ้นชีพ ซินหยางลูบปอยผมของลูกสาวตัวน้อยอย่างอาวรณ์
จู่ ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้นเสียใจ แต่เมื่อนางฟุบหน้าลงกับฝ่ามือตนเองทันใดนั้นมือเล็กก็ค่อย ๆ เอื้อมมาแตะที่ตัวนาง ซินหยางรีบหันกลับมามองร่างที่นอนอยู่บนเตียงก็พบกับดวงตาใสซื่อของเสวียนหนี่กำลังจ้องมองมาที่นาง“เสวียนหนี่ ลูกฟื้นแล้ว! ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว” ซินหยางอุทานออกมาอย่างดีใจ จากนั้นนางก็พร่ำขอโทษบุตรสาวไม่หยุด ทว่าเด็กหญิงกลับเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา จนคนเป็นแม่รู้สึกแปลกใจ
“เสวียนหนี่เจ้าเป็นอันใดไป” นางกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน
“...”
“ส... เสวียนหนี่ เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดกับแม่! หรือว่า... ใครอยู่ข้างนอกไปตามหมอมาที”
ราวหนึ่งก้านธูปต่อมา...
“นางเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”
มู่เฉินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หลังจากที่ท่านหมอตรวจดูอาการของบุตรสาวเสร็จ แต่ทว่าท่านหมอกลับส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย พลางทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อได้ตรวจดูอาการป่วยของคุณหนูอย่างละเอียด แต่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
นางคล้ายกับคนเป็นใบ้ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ เห็นเพียงริมฝีปากที่ขยับแต่ไม่อาจเปล่งเสียงออกมาให้ผู้ใดได้ยิน อาจจะเป็นเพราะผลข้างเคียงจากการได้รับพิษแมงมุมสือยี่
เหยียนจึงทำให้นางพูดไม่ได้ ดูจากร่างกายภายนอกนางดูเป็นปกติดีมาก เว้นเสียแต่รอยที่ถูกกัดบริเวณปลายนิ้วชี้ข้างซ้ายยังปรากฎจุดสีแดงหนึ่งจุดไม่ได้จางหายไป“นาง เอ่อ.. ข้าเองก็ไม่ทราบสาเหตุเช่นกันว่าทำไมนางถึงพูดไม่ได้”
“พะ พูดไม่ได้... นี่หมายความว่านางจะเป็นใบ้ไปตลอดชีวิตเลยอย่างนั้นรึ”
ได้ยินดังนั้น จากที่ซินหยางดีใจเหลือล้นว่าลูกสาวได้ฟื้นขึ้นมาแล้วยามนี้หัวใจของซินหยางเหมือนร่วงหล่นลงพื้นตามเดิม สุดแสนเวทนาลูกสาวที่ฟื้นขึ้นมาแล้วกลับพูดไม่ได้เฉกเช่นคนปกติ เสวียนหนี่อายุยังน้อยอยู่แท้ ๆ เหตุใดต้องมาเจอวิบากกรรมมากมายถึงเพียงนี้
“ทำไม! ทำไมเรื่องร้าย ๆ เช่นนี้ไม่เกิดขึ้นกับข้าแทน”
นางพึมพำตัดพ้อโชคชะตาทำให้ประโยคเหล่านี้ไปเข้าหูผู้เป็นสามี แทนที่เขาจะเห็นใจนางกลับโกรธนางเพิ่มเป็นทวี
“ถูกแล้ว ทำไมไม่เป็นเจ้าแทน ทำไมต้องเป็นเสวียนหนี่... ลูกกลายเป็นใบ้อย่างนี้แล้วท่านอ๋องยังจะอยากได้เป็นสะใภ้อีกหรือ บัดซบที่สุด!”
“ไม่ถึงตลอดชีวิตหรอกขอรับ” หมอแย้งขึ้น มู่เฉิน
ค่อย ๆ หันกลับไปมองอย่างมีความหวัง“นางอาจเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น... แต่! แต่ข้าก็ไม่สามารถตอบได้ว่านางจะหายกลับมาเป็นปกติเมื่อใด”
“จริงหรือ”
“ขอรับ อาจจะเป็นหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรืออาจมากหรือน้อยกว่านั้น เอ่อ หรืออาจจะสิบปี ยี่สิบปี ข้าเองก็สุดจะหยั่งรู้”
“แบบนั้นไม่ได้! ถ้าเป็นแบบนั้นท่านอ๋องต้องไม่ยอมรับนางแน่ หากนางถึงวัยต้องแต่งออกไปแล้วยังพูดไม่ได้อยู่อีกข้าจะทำอย่างไรดี”
เวลานั้นท่ามกลางความไม่สบายใจของผู้เป็นบิดามารดา ด้านเจียวเหมยเองก็ได้จูงมือลูกทั้งสองเข้ามาเยี่ยมเยือน เมื่อนางเห็นสีหน้าตึงเครียดของมู่เฉินนางก็รู้ได้โดยทันทีว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
“มีอะไรหรือเจ้าคะ ข้าได้ข่าวว่าเสวียนหนี่ฟื้นแล้วเหตุใดท่านพี่กับฮูหยินใหญ่ถึงได้ทำหน้าเหมือนไม่ยินดี”
“เสวียนหนี่พูดไม่ได้”
“ตายจริง!”
เจียวเหมยอุทานเสียงสูงเหมือนตกอกตกใจ แต่ภายในใจของนางนั้นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง นางดันหลังซูหนี่ไปใกล้ ๆ เตียงแล้วเอ่ยขึ้น
“ช่างน่าสงสารเสียจริง ซูหนี่ดูน้องเจ้าสิ ต่อไปนี้เจ้าต้องทำหน้าที่ดูแลน้องของเจ้าให้ดี น้องช่างอาภัพนัก อายุเท่านี้ต้องเผชิญวิบากกรรมยิ่งกว่าผู้ใหญ่ โธ่! ลูกเสวียนหนี่” พูดจบแล้วนางก็บีบน้ำตาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาสะบัดต่อหน้าซินหยางเพื่อเป็นการเยาะเย้ยแล้วบรรจงซับน้ำตาที่ไม่มีไหลออกมาสักหยด
“ขออภัยเจ้าค่ะฮูหยินใหญ่ เป็นเพราะข้าสงสารเสวียน
หนี่ไม่อาจหักห้ามใจกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลได้เลย”“เอาเถิด.. ทุกคนในที่นี้ต่างก็เวทนานาง”
มู่เฉินวางมือบนไหล่เจียวเหมยเพื่อปลอบประโลม การปฏิบัติต่อภรรยาทั้งสองของเขาช่างต่างกันราวกับฟ้ากับเหว เมื่อหันไปพูดกับเจียวเหมยเขาใช้น้ำเสียงนิ่มนวลเห็นอกเห็นใจ แต่ถ้าหากคนผู้นั้นคือซินหยางทุกคำที่เอ่ยออกจากปากล้วนเป็นถ้อยคำตำหนิติฉินและด่าทอระบายอารมณ์ทั้งสิ้น
“ถ้าเช่นนั้น... เรื่องที่ท่านอ๋องทาบทามลูกเสวียนหนี่ไว้จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่เจ้าคะ”
“ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ข้าเองก็คงต้องลองคุยกับท่านอ๋องให้พิจารณาซูหนี่ดูอีกครั้ง ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องจบลงแบบนี้แน่”
“จริงหรือเจ้าคะ”
รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเจียวเหมยอย่างไรก็ปกปิดไม่มิด นางไม่อาจหุบยิ้มได้เพราะคิดว่าตนเองน่าจะสมปรารถนาแล้ว แต่การจะให้มู่เฉินไปเจรจาโดยที่นางไม่ต้องออกแรงช่วยซูหนี่เลยเกรงว่าคงจะนิ่งนอนใจเกินไป อย่างไรนางต้องหาแผนการรับรองเอาไว้จะได้ไม่พลาดเป้า
เจียวเหมยคิดเองเออเองว่าที่ซีฮันอ๋องปฏิเสธลูกสาวตนในครั้งแรกเรื่องที่ซูหนี่เป็นลูกอนุนั้นแค่ส่วนหนึ่ง แต่นางก็อุตส่าห์คิดเข้าข้างตนเองว่าหากซีฮันอ๋องได้เห็นความงดงามและความน่ารักของลูกสาวตนอาจจะเปลี่ยนใจได้
“แล้วเสวียนหนี่ล่ะเจ้าคะ”
“ให้นางรักษาตัวไปก่อนก็แล้วกัน ภาวนาต่อโชคชะตาขอให้นางหายเป็นปกติในเร็ววัน”
ที่มู่เฉินพูดทิ้งท้ายไว้ เจียวเหมยแปลความหมายได้ว่าเขาอาจยังอยากรอให้เสวียนหนี่หายเป็นปกติเสียก่อนค่อยไปคุยกับซีฮันอ๋องอย่างเป็นทางการ เห็นเช่นนั้นแล้วเจียวเหมยจึงอยู่ติดเรือนไม่ได้ เช้าวันรุ่งขึ้นนางได้พาซินแสผู้หนึ่งเข้ามาในจวนแล้วเดินเข้ามาหามู่เฉินที่กำลังนั่งทำหน้ากลุ้มใจอยู่ในห้องอ่านตำรา
ซินแสที่เจียวเหมยพามาแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาว อายุของเขานั้นเทียบได้เท่ากับพ่อเฒ่าวัยใกล้ฝั่งหนวดเคราขาวหงอก ใช้ไม้เท้าพยุงตอนเดินและสะพายย่ามที่ข้างในเต็มไปด้วยตำราโบราณท่าทางดูน่าเชื่อถือ เจียวเหมยลงทุนควักเงินในถุงผ้าตนเองเพื่อว่าจ้างซินแสรายนี้มาเฉพาะกิจด้วยเงินค่าจ้างที่สมน้ำสมเนื้อ
“ท่านพี่เจ้าคะ”
“มีอะไร”
“ท่านนี้คือซินแสเจิ้ง ข้าเห็นว่าช่วงนี้ตระกูลฉู่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นมากมายข้าจึงเชิญซินแสเจิ้งมาตรวจดูดวงชะตาของคนในบ้าน หากเกิดอะไรขึ้นมาจะได้มีแนวทางระวังตัว" เจียวเหมยพูดขึ้น
“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ”
"เจ้าค่ะ เมื่อคืนนี้ข้ารู้สึกเป็นกังวลจนนอนไม่หลับ อีกทั้งยังเป็นห่วงเสวียนหนี่ด้วย... คิดไปแล้วนางช่างน่าสงสารเหลือเกิน สิ่งที่ข้าพอจะทำเพื่อนางได้เห็นทีจะมีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น ให้ซินแสตรวจดวงชะตานาง เราเองที่เป็นพ่อเป็นแม่จะได้รู้ไปว่าเสวียนหนี่จะหมดวิบากกรรมเมื่อใด นางจะได้หายแล้วกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติ"
“เจ้าช่างมีเมตตาต่อนางนัก ห่วงใยใส่ใจเสวียนหนี่เสียยิ่งกว่าแม่แท้ ๆ ของนางเสียอีก เอาเถิด! ไหน ๆ เจ้าเองก็อยากช่วยเหลือนางด้วยใจบริสุทธิ์ เช่นนั้นก็จงพาซินแสผู้นี้ไปตรวจดูดวงชะตาเสวียนหนี่เถิด”
“เจ้าค่ะ”
จดหมายจากทางไกล (จบ)“ฮูหยินเจ้าคะเมื่อเช้านี้คนเฝ้าประตูหุบเขานำจดหมายและของมาฝากให้ฮูหยินเจ้าค่ะ บอกว่าได้มาจากขบวนพ่อค้าผ่านทาง”สาวใช้วางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ข้างจดหมายนั้นยังมีกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มากเสวียนหนี่เปิดกล่องไม้ดูข้างในพบว่าเป็นผ้าบุหนาพันห่อบางสิ่งไว้อย่างดี สัมผัสยังชุ่มชื้นคล้ายกับว่ามีการพรมน้ำไว้ตลอดเวลา เมื่อนางเปิดผ้าห่อออกเห็นว่าสิ่งของข้างในคือกิ่งพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่งจึงรีบคลี่จดหมายออกดู เนื้อความข้างในจดหมายได้เขียนบรรยายไว้ว่า…ข้าถึงแคว้นฉินอย่างปลอดภัยแล้วระหว่างทางมาแคว้นฉินข้าได้รู้จักกับพ่อค้าผู้หนึ่ง เขามีโรงย้อมอยู่ในเขตอำเภอเล็ก ๆ และได้รับข้าเข้าทำงานที่โรงย้อม หวังว่าจากนี้ชีวิตของข้าจะพบกับความสงบสุขอย่างที่เจ้าเคยกล่าวไว้ สิ่งที่ข้าฝากมาในกล่องคือกิ่งพันธุ์ฝูเถาพืชชนิดนี้ที่แคว้นฉินมีราคาแพงมาก เจ้าชอบเพาะปลูก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะพึงพอใจข้าซื้อกิ
ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน“ข้าหวังเพียงว่าจากนี้ไปเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีและมีความสุข ไม่ใช่แค่เจ้าที่คิดว่าข้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวแต่ข้าเองก็คิดอย่างนั้น…ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุข”คำพูดคำจาของถานถานฟังแล้วต่างจากเดิมมาก เขาไม่ใช่ตาแก่ไร้สาระของนางอีกต่อไปแล้วเขาพูดสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่นก็เป็นเช่นกันแต่น้อยครั้งนักที่ถานถานจะเอ่ยวาจาได้ตรงกับใจอย่างนี้ส่วนมากเขามักจะเฉไฉและวางท่าคิดอย่างไรก็ไม่เคยแสดงออกอย่างเปิดเผย"แล้วเจ้าเด็กวุ่นวายนั่น""หมายถึงเพียนเพียนน่ะหรือเจ้าคะ อย่าห่วงเลย ตอนนี้ได้คุณหนูฟางจิงดูแลคุณหนูทั้งสอนหนังสือและเรื่องต่าง ๆ ให้นางอย่างดี เพียนเพียนจะต้องเติบโตได้ดีแน่เอาไว้ว่าง ๆ ข้าจะพานางไปเยี่ยมเยือนท่านที่ไร่นะเจ้าคะ" "อืมงั้นข้าไปละนะ ข้างในนี้ต้องเป็นของดีแน่ ๆ คิดแล้วน้ำลายไหล"เขาชูถุงผ้าขึ้นพลางหัวเราะร่า
คำขอร้องของหลีเหว่ยไม่จำเป็นต้องหลบหลังพุ่มไม้อีกต่อไปแล้วครั้งนี้เขาเดินอย่างองอาจเข้าไปในเรือน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าฟางจิงจึงได้หันกลับมามองยังต้นเสียงเห็นว่าคนที่มาคือหลีเหว่ยนางก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างมากวันสำคัญเช่นนี้เขาควรจะเฉลิมฉลองอยู่ที่เรือนหลักกับคนอื่น ๆ นานแล้วที่นางและเขาไม่ได้เจอกันเลย ครั้งล่าสุดเห็นจะเป็นตอนที่ปิดล้อมจับห่าวอู๋ แต่ก็แค่เห็นผ่านตาเพียงเท่านั้นไม่ได้มีการพูดคุยกันสักครึ่งคำก่อนที่ฟางจิงจะถูกรถม้าทับเขาและนางมีความสนิทสนมกันที่สุดแทบจะเรียกได้ว่าสนิมเทียบเท่าผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆหลังจากที่อี้เฉินถูกส่งให้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาตี้จิวแล้วหลีเหว่ยก็ติดตามไปเป็นสหายร่วมเรียนฟางจิงและเขาก็ค่อย ๆ ห่างเหินกันไปตามกาลเวลาพอสำเร็จการศึกษาหวนคืนหุบเขานางก็ตีตัวออกหากเขาไปเรื่อย ๆไม่สนิทสนมอย่างเดิมแล้วจนปัจจุบันเหมือนคนเคยคุ้นที่อาศัยร่วมจวนเดียวกัน“นานมาแล้วที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน วัน
คำตอบของอี้เฉิน“ไปหาเจี่ยนถานถานมาเป็นอย่างไรบ้าง" อี้เฉินถามคำพูดของพ่อค้าสองคนนั้นยังก้องอยู่ในหู เสวียนหนี่จึงยังไม่ทันได้ฟังที่เขาพูด นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยใช้ตะเกียบเขี่ยเส้นบะหมี่วนอยู่ในชาม พอเห็นว่าอีกคนไม่ตอบคำถามเขาจึงเรียกชื่อนางซ้ำให้ดังขึ้น“เสวียนหนี่”“เจ้าคะ”หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเงยหน้ามองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน“ไม่หิวหรือ"“อ๋อข้ายังไม่หิวเจ้าค่ะ”“อย่างนี้นี่เองเช่นนั้นเรากลับจวนกันเถอะ”กลับถึงจวนตระกูลหงก็ใกล้ตะวันตกดิน ที่ศาลาเห็นหลีเหว่ยและโม่โฉวกำลังนั่งเล่นหมากล้อม พวกเขาได้ลุกขึ้นยืนมองมาทางเสวียนหนี่และอี้เฉินด้วยแววตาสงสัยคาดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เห็นทั้งคู่เดินเคียงกันมา"กลับมาแล้วหรือขอรับ"หลีเหว่ยทักทาย ประมุขหนุ่มมองตอบเพียงเท่านั้นแล้วเดินตรงเข้าไปในเรือน“เจ้ายังไม่กลับเรือนกุ้ยเ
เกิดอะไรกับห่าวอู๋สีหน้าของฟางจิงดูสลดลงโม่โฉวบอกกับอี้เฉินว่าความพิการทางร่างกายของนางไม่ได้หนักหนา สิ่งที่ทำให้นางยังไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจไม่ว่าพี่ชายจะเสาะแสวงหาแพทย์ที่เก่งกาจเพียงใดมารักษาก็ไม่เป็นผลฟางจิงไม่ให้ความร่วมมือนางหวาดกลัวที่จะลุกขึ้นเดินอีกครั้งเสียงเย้ยหยันของผู้คนในอดีตที่ผ่านมาทำให้นางไม่กล้าลุกขึ้นสู้นางกลัวความผิดพลาดกลัวว่าหากลุกขึ้นมาใหม่แล้วต้องล้มลงไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะต้องอับอาย"รักษาเถิดกลัวไปไยพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ เจ้าเอง""...ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้ก็พอใจดีอยู่แล้ววันนี้ข้ารู้สึกเวียนหัวขอตัวพักเอาแรงสักงีบ"ทุกครั้งที่พูดเรื่องบำบัดรักษาฟางจิงก็มักจะเลี่ยงตลอดอี้เฉินเองก็อ่อนใจเต็มทีเขามองตามร่างของน้องสาวที่เคลื่อนรถเข็นเข้าไปในเรือนแล้วถอนหายใจกลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าในระหว่างที่เขามองตามฟางจิงอยู่นั้นเสวียนหนี่เดินมาทางด้านหลังเขาตั
ส่งซูหนี่“พี่สาวเจ้ามาลาข้าแล้ว”เมื่อวานนี้ซูหนี่ได้เข้ามาหาเขา แล้วก็แสดงเจตนาว่าอยากออกจากหุบเขา ดังนั้นอี้เฉินจึงพูดขึ้นเพื่ออยากรู้ว่าเสวียนหนี่ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง พอได้ฟังนางแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที“ข้าไม่ได้ไล่นางไปนะเจ้าคะ แล้วก็ไม่ได้ตีนางด้วย”“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าไล่หรือตีนางเสียหน่อย”ท่าทางรีบร้อนแก้ต่างให้ตนเองของนางทำให้ดูลุกลนจนเกินไปอี้เฉินทำหน้าเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กแล้วพูดต่อ“แต่ถึงเจ้าไม่ไล่ข้าก็ไล่นางออกไปอยู่ดี”หญิงสาวพูดไม่ออกเดิมทีอี้เฉินก็ไม่ไว้หน้าผู้ใดอยู่แล้วยิ่งเป็นซูหนี่ที่เคยอยู่ฝ่ายเดียวกันกับห่าวอู๋มาก่อนก็ไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะไว้ไมตรีด้วยความที่ชายหนุ่มมองคนขาดตั้งแต่แรกเริ่มจึงไม่ได้ให้ความเชื่ออกเชื่อใจใครโดยง่ายหากไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวังเขาเชื่ออย่างนั้นเป็นมิตรได้วันหนึ่งก็อาจเปลี่ยนไปเป็นศัตรู หรือบางรายเป็นศ