LOGINสุวิมลยืนกุมมือทำตัวสงบเสงี่ยมต่อแขกคนสำคัญของร้านตามที่หลงจู๊กระซิบบอก นางพอจะเดาได้ว่าทำไมถึงถูกเรียกตัวออกมาจากครัว ก็คงไม่ต่างจากยุคของเธอ คืออาหารรสชาติห่วยแตก แขกไม่พอใจในคุณภาพ จึงต้องเรียกเชฟมาตำหนิหรือมาถามด้วยความข้องใจ
องค์รัชทายาทมองสตรีรูปร่างบอบบาง.. ไม่ถูก ๆ จะเรียกว่าบอบบางเสียทีเดียวก็ไม่ถูก นางไม่ได้บอบบางแต่โปร่งระหงดูสมส่วนไปทุกส่วนสัดน่าจะถูกต้องกว่า มองการแต่งตัวรัดกุมแบบบุรุษแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมา เพราะมันไม่ได้ช่วยพรางสัดส่วนหรือความงดงามของเครื่องหน้าเลยสักนิด
และตอนนี้ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมนางถึงชื่อซูวี่ เพราะมองปราดเดียวก็รู้ว่านางไม่ใช่ชาวลู่อานโดยแท้ นางอาจจะเป็นลูกผสมเหมือนญาติ ๆ อ๋องของเขา หรืออาจจะเป็นชนชาติอื่นโดยไม่มีสายเลือดลู่อานอยู่ในตัวเลยก็ได้
ใบหน้าเรียวรูปไข่ ปากบางเป็นกระจับสีแดงระเรื่อ คิ้วเรียวโก่งโค้งดำขลับ รับกับแพขนตาหนาที่ประดับรอบดวงตากลมโตที่เหมือนกับดวงตาของแมว
“บุรุษท่านนี้เองเหรอที่ทำอาหารมาให้ข้า” เขารู้ว่านางเป็นสตรีแต่นึกอยากจะแกล้งเพื่อดูปฏิกิริยาของนางก็เท่านั้น
คนถูกทักเงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนจะรีบหลบสายตาที่มองจ้องพร้อมอาการอมยิ้มนั้น เขาคิดว่าเธอเป็นผู้ชายอย่างนั้นเหรอ เธอแค่เปลี่ยนจากชุดกระโปรงเป็นกางเกงเองนะ เพราะคิดว่าวันนี้ต้องทำงานหนักเป็นสองเท่าแทนลี่ชุนที่นอนป่วยอยู่บ้าน
แต่ก็นะ คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่เขาจะคิดแบบนั้น ก็ผู้ชายยุคนี้ผมยาวกันทุกคน เธอยังเคยเห็นพวกบัณฑิต พวกคุณชายที่เดินอยู่ตามถนน บางคนยังพาให้เธอร้องโอ้ในใจเพราะรูปร่างโปร่งบาง และหน้าตาก็ดูสวยกว่าผู้หญิงเสียอีก เหมือนอย่างคนข้าง ๆ เขาคนนี้
ส่วนตัวเขานั้น.. ขนาดอยู่ในท่านั่งยังสูงเกือบเท่า ๆ เธอที่กำลังยืน รูปร่างเพรียวแต่ดูแข็งแรง หน้าตานั้นไร้ที่ติ ไม่มีตรงไหนให้ติได้เลย ถ้าจะหาข้อติเตียนก็คงพูดได้แต่ว่าดูหล่อเกินไป
ถ้าเธอได้กลับไปยังยุคสองพันของตัวเองเมื่อไหร่ จะต้องเอาไปคุยให้ได้ว่าประเทศจีนเมื่อประมาณสี่ร้อยปีที่ผ่านมา มีชายหนุ่มหล่อระดับตำนานชื่อว่า.. ชื่ออะไรเดี๋ยวก็คงจะรู้
เห็นนางเอาแต่นิ่งอึ้งไม่ยอมตอบเขาก็อมยิ้มกว้างขึ้น หยิบเงินจากเอวยื่นให้
“รางวัลของเจ้า”
“มิเป็นไรท่านชาย” หลงจู๊ปฏิเสธแทนหญิงสาวที่เขาแค่สั่งให้สำรวม แต่นางเล่นเงียบกริบไม่ยอมตอบ คงเพราะประหม่าหรือกลัวเอามาก ๆ
“ทำไมล่ะ”
“ท่านชอบอาหารของร้านเรา แค่นี้พวกเราก็ดีใจมากแล้วขอรับ”
“ข้าให้เขาเพราะเต็มใจที่จะให้ เจ้าไม่ควรขัดนะหลงจู๊”
“ขอรับ” หลงจู๊ยอมจำนนกับสายตาที่ส่งมาพร้อมรอยยิ้มเชือดเฉือน มองไปทางหญิงสาวแล้วพยักหน้าบอกใบ้ให้นางรับเงินรางวัลที่เขามอบให้
สุวิมลโค้งศีรษะแล้วค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบเงินที่อยู่บนฝ่ามือของหนุ่มหล่อหุ่นดีมาถือไว้
“ขอบคุณ” และโค้งศีรษะขอบคุณอีกครั้ง
“จะกลับแล้วเหรอซูวี่” บุรุษที่กำลังดูแลความเรียบร้อยของร้านทักหญิงสาวที่หันไปเห็นด้วยความบังเอิญ
“เจ้าค่ะ ข้าเป็นห่วงลี่ชุน”
หลงจู๊ไม่สนใจคำตอบของนาง เพราะช่วงที่นางหันมาหาโดยไม่ทันได้ก้มหน้าหลบนั้น เขาบังเอิญเห็นรอยฟกช้ำที่มุมปากของนาง เขาลุกจากโต๊ะเก็บเงินแล้วถือวิสาสะจับคางนางให้เงยหน้าขึ้นมา..
“เกิดอะไรขึ้น!” ใจหายกับสภาพที่เห็น เพราะพอดูใกล้ ๆ แบบนี้แล้วมันเห็นชัดเลยว่ารอยที่เกิดขึ้นยังดูใหม่ “ข้าดูแลที่นี่นะซูวี่ เกิดอะไรขึ้นเจ้าควรบอกข้า ไม่ใช่ปิดปากเงียบแบบนี้” เขาย้ำเมื่อนางไม่ยอมตอบ
“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะหลงจู๊ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น” เธอจะบอกได้อย่างไรว่าถูกไอ้เสี่ยวหมานเล่นงาน เพราะคิดว่าเธอเอาเรื่องของมันไปฟ้องเขา จนทำให้มันโดนด่าและขู่จะไล่ออกถ้ายังทำตัวขี้เกียจสันหลังยาว
“เสี่ยวหมานเหรอ” หลงจู๊ผู้ปราดเปรื่องเข้าใจแจ่มแจ้งจากคำพูดแค่ไม่กี่คำของนาง เพราะคงไม่มีใครเข้าใจนางผิดได้เท่าหัวหน้าพ่อครัวผู้เกียจคร้านได้อีกแล้ว “ข้าจะไปบอกให้เขามาขอโทษเจ้า”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะหลงจู๊ ข้าไม่อยากญาติดีกับคนเช่นนั้นอีกแล้ว ได้โปรดมองข้ามเรื่องนี้ไปเถอะ” เธอรีบห้ามเอาไว้
“ถ้าผิดใจกันแบบนี้จะทำงานร่วมกันได้อย่างไร หรือข้าควรจะย้ายให้เจ้ามาต้อนรับแขกหน้าร้านดี”
“อย่าดีกว่าเจ้าค่ะ ถ้าท่านทำแบบนั้นเขาก็คงเพ่งเล็งข้าอีก”
“แล้วเจ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้มันจะดีเหรอ”
“ขอบคุณหลงจู๊ที่เป็นห่วง แต่ข้าคิดหาวิธีเอาไว้แล้ว”
“วิธีไหน”
“เอาไว้ให้ข้าแน่ใจแล้วข้าจะบอกหลงจู๊อีกทีนะเจ้าคะ”
“ตามใจ แต่เจ้าต้องอย่ายอมให้เขาโขกสับเจ้าอีกนะ ข้าไม่ชอบให้คนที่กินข้าวหม้อเดียวกันมาทำร้ายกันแบบนี้หรอก”
“เจ้าค่ะ”
“รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ แวะซื้อยาทาหน่อยก็ดีนะ”
“เจ้าค่ะ” เธอตั้งใจจะไปร้านยาเพื่อซื้อยาให้ลี่ชุนอยู่พอดี ซื้อยาทาแผลให้ตัวเองด้วยเลยก็แล้วกัน “ข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ”
“อือ ถ้าลี่ชุนอาการยังไม่ดีขึ้นก็ให้นางหยุดพักไปก่อนก็ได้ ไม่ต้องฝืน”
“ขอบคุณหลงจู๊” สุวิมลโค้งศีรษะให้อีกฝ่ายอย่างรู้สึกซาบซึ้ง รีบเดินทางไปร้านยาแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อร้านปิดแล้ว ครั้นจะเดินทางไปซื้ออีกที่ก็เป็นห่วงลี่ชุนเพราะมืดมากแล้ว จึงเปลี่ยนใจซื้อโจ๊กถั่วแดงใส่เป๋าฮือให้นางกินแทน
“วันนี้เจ้าล่ำซำมากนะซูวี่” ป้าหม่าหยอกเอินหญิงสาวที่มักจะแวะมาซื้อโจ๊กถั่วแดงอยู่บ่อยครั้ง
“วันนี้ข้าเจอท่านชายใจดีให้รางวัลที่ข้าทำอาหารถูกปาก ข้าก็เลยมีเงินมาซื้อโจ๊กใส่เป๋าฮือของป้าหม่าไงล่ะ”
“แล้วลี่ชุนล่ะ ทำไมไม่มาด้วยกัน”
“นางป่วย ข้าซื้อโจ๊กไปให้นางนี่แหละ”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้โจ๊กเยอะ ๆ เลย เผื่อนางจะได้กินพรุ่งนี้ได้อีกมื้อ เพราะเจ้าต้องมาทำงานนี่นา”
“ขอบคุณป้าหม่า ท่านใจดีกับพวกเรานัก”
“ได้ดีเมื่อไหร่ก็อย่าลืมข้าล่ะ”
สิ่งที่ป้าหม่าหวังคงไม่เป็นจริงหรอก เพราะเธอหวังจะได้กลับไปยังยุคที่ตัวเองเคยอยู่ หรือไม่ก็ได้เจอพี่น้องที่พลัดพรากจากกัน
“หวังว่าข้าจะโชคดีอย่างที่ป้าหม่าพูด” นางตอบทั้งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะนางเคยกระโดดลงไปในลำธารที่ทำให้โผล่ขึ้นมาที่นี่ตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเลย
“เจ้าต้องได้ดีแน่ซูวี่ ข้าไม่ได้เป็นแค่ยายแก่ขายโจ๊กเท่านั้นนะ แต่ข้ายังมีสายตาที่เฉียบขาดอีกด้วย โหงวเฮ้งของเจ้าดีมาก รูปร่างลักษณะของเจ้าก็เข้ากันกับโหงวเฮ้งบนใบหน้าอย่างไรที่ติ ถ้าเจ้าไม่ได้ดีก็อย่ามาเรียกข้าว่าป้าหม่า” นางไม่ได้งดงามปานล่มบ้านล่มเมือง แต่ทุกอย่างบนตัวนางส่งเสริมกันหมด ทำให้นางดูดีมีสง่าได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ได้ยินแบบนี้แล้วข้าปลื้มใจนัก เอาเป็นว่าถ้าข้าได้ดีจริง ๆ ข้าจะมาตอบแทนป้าหม่าแน่” เธอกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข แต่ก็ไม่ได้คิดจริงจังกับคำพูดของนางสักนิด “ขอบคุณสำหรับโจ๊ก แล้วข้าจะมาอุดหนุนใหม่นะ”
“อือ เดินทางปลอดภัยนะ” ป้าหม่ากล่าวอวยพร มองตามหลังร่างระหงได้สัดส่วน “ขนาดมองแค่ด้านหลังยังดูมีสง่าราศี แบบนี้อนาคตต้องได้ดีแน่ ๆ นางหนู”
ความประหม่าของเขาทำให้นางหัวเราะก่อนจะทำหน้าตาจริงจัง“อือ ข้ากำลังตั้งใจฟังอยู่”“ข้าไม่ใช่ท่านชายต้าเสิน แต่ข้าเป็น..เป็นองค์รัชทายาทของอาณาจักรลั่วอานที่เจ้าอาศัยอยู่ตอนนี้..” ใจของเขาเต้นแรงราวกับจะปะทุออกมาจากอกเมื่อเห็นนางนิ่งเงียบ แม้แต่สีหน้าก็ไม่แสดงอาการใด ๆ มือที่กุมใบหน้าเขาค่อย ๆ ผละออก “ซูวี่” เขาเรียกนางเสียงแผ่วพอ ๆ กับใจหญิงสาวมองสีหน้าหวาดวิตกของคนรักแล้วค่อย ๆ คลี่ยิ้มกว้างขึ้น มือที่ผละจากหน้าเขาเปลี่ยนเป็นโอบกอดเขา ซบหน้ากับซอกคอแกร่ง“ในที่สุดท่านก็ยอมบอกกับข้าเสียทีนะต้าเสิน”มือใหญ่ที่กอดตอบทันทีในตอนแรกเปลี่ยนเป็นดันร่างบางออกห่าง มองใบหน้ายิ้มละมุนนั้นด้วยความแปลกใจ“เจ้ารู้อยู่แล้วเหรอ.. ตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาถามต่อเมื่อนางพยักหน้ารับ“ก่อนหน้าที่จะหนีท่านไปไม่นานนัก ข้าบังเอิญได้ยินแม่นางเถียนเถียนพูดกับท่านตอนยกน้ำชาไปให้ ตอนนั้นข้าตกใจมาก ทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว..” นางเริ่มเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้เขาฟัง ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่ง
“เพราะเจ้าคนเดียวข้าถึงบ้าราคะเช่นนี้” เขาตอบนัยน์ตากรุ้มกริ่ม ปลดกางเกงลงไปกองที่ปลายเท้าแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ดึงคนรักเข้ามาใกล้ หวังจะให้นั่งขึ้นคร่อมบนตักแกร่ง แต่นางกลับคุกเข่าแทรกตัวลงระหว่างขา แล้วเริ่มต้นมอบความสุขให้แก่เขาบ้างมือและปากเล็ก ๆ ของนางทำให้คนตัวใหญ่เช่นเขาถึงกับเกร็งและครางกระเส่า จิกนิ้วกับขอบเก้าอี้แน่นด้วยความเสียวสะท้าน“พอ..พอก่อนยอดรัก..” มือใหญ่ช้อนใต้วงแขนของคนรักแล้วดึงนางขึ้นมาคร่อมตัก “ถ้าเจ้ายังเล่นสนุกแบบนี้ คืนนี้เราคงไม่ได้คุยธุระกันแน่” เขาพูดยิ้ม ๆ พรมจูบลงบนปากเล็ก ๆ ของนางไปด้วย“ท่านต่างหากที่สนุก.. หรือไม่จริง” ถามคนรักเมื่อเขาเม้มปากและหรี่ตามองอย่างคาดโทษคนถูกถามพยักหน้ารับพร้อมกับอาการเม้มปากยิ้ม ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วจับนางหันหลังให้ เริ่มกระหน่ำความสุขที่ยังค้างคาอยู่ให้จบ“ต้าเสิน”“หือ”“ท่านบอกมีเรื่องจะคุยกับข้า” สุวิมลทวงถามคนรักที่นั่งกินโจ๊กกับผัดผักบุ้งที่เย็นชืด ทั้ง ๆ ที่เธอบอกว่าไม
ห้องทำงานต้าเสินมองคนรักที่ยกถาดอาหารเข้ามากลางดึกด้วยสายตามึนตึง“เพิ่งกลับมาถึงไม่ทันไรก็รีบวิ่งเข้าครัวแล้ว เจ้านี่รักอาหารมากกว่าข้าอีกนะซูวี่”คนถูกต่อว่ายิ้มกว้าง วางถาดอาหารลงบนโต๊ะแล้วเดินไปหาคนรักที่นั่งเขียนอะไรอยู่ กอดคอและหอมแก้มเขาหนึ่งทีอย่างเอาใจ“ข้ารักท่านมากกว่าอาหารนะเจ้าคะ ถึงได้รีบเข้าครัวไปเตรียมอาหารรอบดึกให้ท่านด้วยตัวเอง เพราะหลายวันมานี้ข้าเห็นท่านกินได้น้อย ร่างกายก็ดูซูบลง” เห็นเขาอมยิ้มก็รีบหยอดคำอ้อนอ่อนหวานรอยยิ้มบางเบาค่อย ๆ คลี่กว้างขึ้นจนสุดฝีปาก ดึงร่างระหงที่สวมกอดอยู่ด้านหลังให้มานั่งบนตัก หอมแก้มหลายทีด้วยกัน“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าซูบเพราะกินได้น้อย”“ก็ข้าเห็น”“ข้าก็กินได้เป็นปกติของข้านั่นแหละ อยู่กับเจ้านี่แหละที่ข้ากินมากเกินไป”“แต่ท่านผอมลงจริง ๆ นะ ข้า..ข้ากอดอยู่ทุกคืนข้ารู้สึกได้” เธอตอบอย่างขัดเขินแต่ก็กล้าสู้สายตาด้วย“หึ..” ต้าเสินส่งสายตาหยอกเย้า “ที่ข้าผอมเพราะข้ากินเจ้
“หรือเจ้าจะให้ข้ากลับไปกับจี้เฟิงก่อนล่ะ แล้วเจ้าค่อยตามกลับไปพร้อมกับซูวี่ทีหลัง”เจอคำถามนี้เข้าไปอวี่กงถึงกับพูดไม่ออก นึกโมโหใส่คนตัวใหญ่ที่ยืนนิ่งเหมือนกลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเขา มันก็คงไม่อึดอัดแบบนี้ตู้จี้เฟิงสบตาสู้กับสายตาเอาเรื่องที่เจตนามองมาที่ตนเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องในคืนนั้น คิ้วเข้มข้างขวาค่อย ๆ เลิกสูงขึ้น“ถ้าเจ้าไม่อยากไป ข้าไปคนเดียวก็ได้”“พูดแบบนี้อยากจะเอาหน้าคนเดียวเหรอ!”“ก็เจ้าไม่อยากไปเอง”“ไม่ต้องมาพูดให้ดูดีเลยนะ!”“อวี่กง”“พ่ะย่ะ..ขอรับท่านชาย”“จี้เฟิงเขาทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจหรือเปล่า” เขาสังหรณ์ใจว่าระหว่างสองคนนี้ต้องมีปัญหาอะไรกันแน่ ๆ แม้ปกติจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตลอด แต่เขาก็ไม่เคยมีอาการแบบนี้ให้เห็น“ปะ ๆ เปล่านี่ท่านชาย ทำ ๆ ไมถึงถามอย่างนั้นล่ะขอรับ” บุรุษร่างเล็กกว่าใครเพื่อนไม่กล้าสู้สายตาหลักแหลมของผู้เป็นนาย“ถ้าจี้เฟิงแกล้งเจ้า
“หวังว่าข้าจะไม่ได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากของท่านอีก.. ส่วนเจ้า” ฮองเฮาหันไปทางหลานสาว มองนางด้วยสายตาจริงจัง “ข้าก็จะบอกเจ้าด้วยความหวังดีเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนกัน เจ้าคิดว่าฝ่าบาทปล่อยให้องค์รัชทายาทไปอยู่นอกวังนานหลายเดือน จะไม่ส่งคนไปสืบดูเลยอย่างนั้นเหรอ”“ฝ่าบาททรงทราบเหรอเพคะ”“ใช่ ฝ่าบาททรงรู้เรื่องนี้ดี แต่พระองค์ก็ไม่ว่าอะไร ขอแค่นางเป็นคนที่องค์รัชทายาทรัก พระองค์ก็จะยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข ด้วยเหตุนี้ข้าจึงบอกให้เจ้าออกมาจากตำหนักนั้นซะ เพราะฝ่าบาทมีคำสั่งให้องค์รัชทายาทกลับมาพร้อมกับคนรักของพระองค์แล้ว เข้าใจที่ข้าพูดไหม”“เพคะฮองเฮา” เถียนเถียนยอมรับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ไม่ได้เสียใจ แต่อับอายจนไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร นางพยายามดิ้นรนหาทางที่จะได้เป็นองค์หญิงรัชทายาท แต่ทุกคนกลับไม่ช่วยเพราะรู้เรื่องของสตรีต่างแคว้นผู้นั้นดี แบบนี้นางก็คงไม่ต่างกับตัวตลกในคณะละครเร่คฤหาสน์ชิวเทียน“อวี่กง”เสียงเรียกคุ้นหูทำให้คนที่ถูกเรียกไม่ได้หันไปมอง แต่รีบสาว
“ออกมาจากที่นั่นเถอะเถียนเถียน คนอย่างองค์รัชทายาทไม่ใช่คนที่ข้าสามารถต่อกรได้ด้วยหรอกนะ เพราะแม้แต่ฝ่าบาทยังไม่กล้ายุ่งเรื่องส่วนตัวของพระองค์”“ถ้าเราเอาความมั่นคงของบัลลังก์มาอ้าง บางทีพระองค์”“อย่าพูดคำนั้นในตำหนักของข้านะใต้เท้ากวง” ฮองเฮารีบปรามก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ แม้นางจะเป็นพี่น้องกับเขา แต่ตอนนี้คนที่สำคัญกับนางที่สุดก็คือฮ่องเต้ และองค์รัชทายาทก็คือพระโอรสเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องปกป้อง“พระองค์เปลี่ยนไปมากนะพ่ะย่ะค่ะ ถ้าท่านพ่อรู้”“เลิกเอาท่านพ่อมาอ้างสักทีเถอะใต้เท้า” พระนางขึ้นเสียงใส่พี่ชายที่เคยเดียดฉันท์นาง “ข้าจะบอกอะไรให้นะ เผื่อบางทีท่านอาจจะลืมไปแล้ว ไม่ว่าท่านพ่อจะมีอำนาจมากเพียงใด เราก็คานอำนาจของตระกูลหรงไม่ได้หรอก เห็นเขานิ่ง ๆ อย่าคิดว่าเขาหมดเขี้ยวเล็บ เขาก็แค่รักความสงบเท่านั้น แต่ถ้าเราไปสะกิดโดนแผลเขาเมื่อไหร่ คนที่เดือดร้อนไม่ใช่พวกเขาแน่ ดังนั้นอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ รักษาชีวิตเอาไว้ดูหน้าหลานจะดีกว่า”&ldqu







