สามวันต่อมา
ร้านอาหารไหมทอง
“คารวะท่านชาย” หลงจู๊กล่าวต้อนรับลูกค้าคนสำคัญอย่างนอบน้อม “วันนี้มาคนเดียวเหรอขอรับ”
“อือ วันนี้ดูวุ่นวายนะ” ต้าเสินชวนหลงจู๊สนทนาขณะกวาดสายตามองลูกค้าที่ค่อนข้างแน่นร้าน
“ขอรับ ช่วงนี้จะมีเรือขนส่งสินค้าจากต่างแดนมาเทียบท่าค่อนข้างเยอะ ร้านของเราก็เลยคึกคักเป็นพิเศษ”
“กิจการดีแบบนี้น่าชื่นใจแทนเจ้าของนะ”
“ขอรับ” หลงจู๊รับคำพร้อมรอยยิ้มที่มีเพียงเขาที่เข้าใจ “วันนี้ท่านชายต้องการนั่งที่ไหนดีขอรับ ชั้นล่างหรือชั้นบน”
“ที่นั่งเดิมยังว่างหรือไม่”
“ต้องขออภัยขอรับ วันนี้ลูกค้าของเราเยอะมาก ที่นั่งก็เหลือน้อยเต็มที”
“ถ้าอย่างนั้นข้านั่งข้างล่างก็ได้”
“เชิญท่านชายทางนี้ขอรับ” หลงจู๊ผายมือเชื้อเชิญและเดินนำเขาไปด้วยตนเองจนกระทั่งถึงโต๊ะนั่งในมุมที่ค่อนข้างสงบ “อีกสักครู่ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์มารับรายการอาหารนะขอรับ”
“เจ้ารับไปเลยก็ได้ ข้าต้
“พี่ซูวี่” นางจับมือนุ่มมาบีบ “ข้าซาบซึ้งใจมากนะที่พี่เป็นห่วงเป็นใยข้าแบบนี้ แต่ข้าโตจนออกเรือนได้แล้ว เชื่อเถอะว่าข้าดูแลตัวเองได้ และข้าก็ไม่อยากออกจากงานด้วย.. ตั้งแต่พ่อแม่ข้าตายข้าก็ทำงานที่ร้านอาหารไหมทองมาตลอด ตอนนั้นข้ายังเด็กนัก แต่หลงจู๊ก็ใจดีรับข้าเอาไว้ ตลอดเวลาหกปีมานี้เขาเมตตาข้ามากเหลือเกิน ข้าจึงอยากทำงานอยู่กับเขามากกว่า พี่เข้าใจข้าใช่ไหม”“อือ ตามใจเจ้าก็แล้วกัน ถ้าเจ้าอยู่แล้วมีความสุขข้าก็ไม่ขัด”“ขอบคุณที่เข้าใจ”“แต่คืนนี้เจ้าต้องนอนที่นี่ก่อนนะ รอข้าหายดีแล้วค่อยย้ายกลับไป”“อือ”วันต่อมาที่ร้านอาหารไหมทอง“หลงจู๊”“มาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิ”“เจ้าค่ะ”หลงจู๊หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเก็บบัญชีที่กำลังตรวจทานใส่ลิ้นชัก แล้วเดินไปนั่งร่วมโต๊ะกับหญิงสาวที่สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ไปตามตัวมาพบ“อาการของซูวี่เป็นอย่างไรบ้าง”“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”“
“ข้าไม่มีเงินมากมายพอจะใช้หนี้ท่านชายได้หรอก” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ายาที่นำมารักษาเธอนั้นดีเพียงใด รวมถึงที่อยู่อาศัยอันโอ่อ่านี่อีกล่ะ ถ้าเป็นยุคสองพันที่เธอจากมาก็เปรียบเสมือนห้องพักในโรงแรมระดับห้าดาวเลยแหละ “แต่ถ้าท่านชายยอมให้ข้าไปทำงานก่อนแล้วมาผ่อนใช้ให้ทีหลัง ข้าก็ยินดีจะผ่อนใช้ให้จนครบทุกตำลึง”“เงินข้ามีเยอะแล้ว ข้าไม่อยากได้หรอก”“แล้วท่านชายอยากได้อะไรเจ้าคะ”“อยากได้เจ้า”“หา!” หญิงสาวตาเหลือกโต สองมือกอดตัวเองไว้แน่น มองไปที่บานประตูที่ปิดสนิทด้วยใจที่เต้นรัวด้วยความหวาดกลัวเห็นอาการของนางเขาก็หัวเราะเสียงดังด้วยความขบขัน อยากจะแกล้งแต่ก็กลัวทำให้นางลนลานจนไม่กล้าไว้ใจเขา“เจ้ากำลังคิดไปไกลมากนะแม่นาง”สุวิมลเห็นเขาหัวเราะก็ค่อยคลายใจ กลับมาทำตัวปกติ“คราวหน้าท่านก็ควรพูดให้กระจ่างกว่านี้” นางพูดกระอ้อมกระแอ้ม รู้สึกอายกับความคิดที่เลยไปไกลของตนเอง“ข้ายังพูดไม่ทันจบเจ้าก็โวยวายขึ้นมาก่อน” เขาแกล้งโยนควา
“เรื่องนี้ข้าขอไม่ตอบ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าแม้แต่น้อย” หมอหลวงเลี่ยงที่จะตอบ คิดว่าคงต้องระวังสตรีผู้นี้เอาไว้ให้มากขึ้น“เกี่ยวสิ ในเมื่อคนที่เจ้าไปพบคือคู่หมั้นคู่หมายของข้า”“เอาไว้แม่นางเถียนเถียนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระคู่หมั้นแล้วข้าจะตอบคำถามของเจ้าทุกคำถาม แต่ตอนนี้ข้าขอยืนยันคำเดิม ข้าต้องไปทำงานแล้ว” หมอหลวงหญิงโค้งศีรษะให้สตรีตรงหน้าเล็กน้อยก่อนเดินจาก“เจ้าก็เป็นได้แค่หมอหญิงเท่านั้นแหละ ตำแหน่งอื่นที่สูงกว่านั้นอย่าได้หวังว่าจะข้ามหัวข้าไปได้”จิงเจ๋อร์หยุดเดินแล้วหันไปมองหญิงสาวทางด้านหลัง โค้งศีรษะลงเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรแม้จะถูกเข้าใจผิด อยากจะบอกกับนางเหมือนกันว่าตำแหน่งนั้นไม่เคยคิดอาจเอื้อม และมั่นใจว่านางก็ไม่มีสิทธิ์ได้แตะเช่นกัน แต่จะพูดไปทำไมให้เปลืองน้ำลาย สู้เก็บเอาไว้หัวเราะทีหลังสะใจกว่าร้านอาหารไหมทอง“อาจาง” เสี่ยวหมานเดินไปนั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนร่วมงานที่กำลังกินข้าวกลางวันอยู่กับภรรยา“มีอะไรเหรอเสี่ยวหมาน”
ณ ด้านหนึ่งของคฤหาสน์ชิวเทียนในยามวิกาล“ข้าไม่เข้าใจองค์รัชทายาทเลย ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น”“มันเป็นความต้องการของพระองค์ เราก็แค่ทำตาม”“แต่มันไม่ถูกต้องนะจี้เฟิง”“แล้วมันผิดตรงไหนล่ะอวี่กง” องครักษ์มาดเข้มถามเพื่อนที่โตมาด้วยกัน“เจ้าเข้าข้างองค์รัชทายาทเกินไปแล้วนะจี้เฟิง” ขันทีหนุ่มแสดงความหงุดหงิด“หรือจะให้ข้าเข้าข้างเจ้าล่ะ ข้าไม่โง่หรอกนะ” จี้เฟิงโต้เสียงเรียบ มุมปากแสยะยิ้มพร้อมกับสายตายียวนแบบที่คนอื่น ๆ ไม่มีโอกาสได้เห็น“ใช่สิ ข้ามันไม่สำคัญพอเท่าองค์รัชทายาทหรอก”“หึ” องครักษ์มาดเข้มอมยิ้มละมุน “ความสำคัญต้องไล่ตามลำดับสิ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างเจ้ากับแม่นางผู้นั้น.. ข้าก็คงเลือกนางก่อนเจ้าอยู่ดี”อาการอมยิ้มพิมพ์ใจขององครักษ์หนุ่มทำให้ขันทีหน้ามนไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่“เจ้าเป็นเพื่อนข้านะจี้เฟิง เห็นนางสำคัญกว่าข้าได้อย่างไร”“เพราะเป็นเพื่อนไงถึงได้รู้ว่าเพื่อนข้าพอมีวิ
สามวันต่อมาร้านอาหารไหมทอง“คารวะท่านชาย” หลงจู๊กล่าวต้อนรับลูกค้าคนสำคัญอย่างนอบน้อม “วันนี้มาคนเดียวเหรอขอรับ”“อือ วันนี้ดูวุ่นวายนะ” ต้าเสินชวนหลงจู๊สนทนาขณะกวาดสายตามองลูกค้าที่ค่อนข้างแน่นร้าน“ขอรับ ช่วงนี้จะมีเรือขนส่งสินค้าจากต่างแดนมาเทียบท่าค่อนข้างเยอะ ร้านของเราก็เลยคึกคักเป็นพิเศษ”“กิจการดีแบบนี้น่าชื่นใจแทนเจ้าของนะ”“ขอรับ” หลงจู๊รับคำพร้อมรอยยิ้มที่มีเพียงเขาที่เข้าใจ “วันนี้ท่านชายต้องการนั่งที่ไหนดีขอรับ ชั้นล่างหรือชั้นบน”“ที่นั่งเดิมยังว่างหรือไม่”“ต้องขออภัยขอรับ วันนี้ลูกค้าของเราเยอะมาก ที่นั่งก็เหลือน้อยเต็มที”“ถ้าอย่างนั้นข้านั่งข้างล่างก็ได้”“เชิญท่านชายทางนี้ขอรับ” หลงจู๊ผายมือเชื้อเชิญและเดินนำเขาไปด้วยตนเองจนกระทั่งถึงโต๊ะนั่งในมุมที่ค่อนข้างสงบ “อีกสักครู่ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์มารับรายการอาหารนะขอรับ”“เจ้ารับไปเลยก็ได้ ข้าต้
เสียงแหบพร่าของคนป่วยขัดการสนทนา เขามองหญิงสาวที่รีบเข้าไปดูแลคนป่วยมาอยู่ได้แค่สามเดือนยังพูดภาษาท้องถิ่นเก่ง เขียนอักษรได้งดงามมีเอกลักษณ์ ทำอาหารก็อร่อย แล้วยังปรนนิบัติพัดวีคนป่วยได้อย่างดีเยี่ยมอีก สตรีจากดินแดนแห่งนี้ช่างน่าพิสมัยนัก“ท่านชาย ได้โปรดออกไปก่อนนะเจ้าคะ นางตัวร้อนมาก ข้าต้องเช็ดตัวให้นาง”เขาได้สติจากเสียงของนาง รีบพยักหน้ารับอย่างเก้อเขินเพราะมัวแต่มองนางเพลินจนทำตัวเสียมารยาท“อาลั่ว”“พ่ะย่ะค่ะ” อาลั่วขานรับเสียงเบาอย่างหวาด ๆ“บอกเพื่อนของเจ้าปิดปากเรื่องนี้ให้สนิท เข้าใจไหม”“องค์รัชทายาท” อาลั่วชักสีหน้าเป็นกังวล“อยากถูกตัดคอเหรอ”“ไม่ขอรับท่านชาย”ยิ้มอย่างพอใจเมื่อคำขู่ใช้ได้ผล “ดีมาก จำไว้ว่าข้าคือต้าเสิน” แล้วมองไปตามถนน “ทำไมอาสวงถึงช้านักนะ”ร้านอาหารไหมทอง“หลงจู๊”“ว่าอย่างไร”“วันนี้ซูวี่ไม่มาทำงานขอรับ”“เมื่อคืนลี่ชุนเพ้อเพราะพิษไข้ต้องดูแลกันทั้งคืน วันนี้จึงขอลาหยุดเพื่อดูแลนาง” หลงจู๊บอกกับหัวหน้าคนครัวที่ดูจากท่าทางแล้วเหมือนจะมาหาเรื่องหญิงสาวมากกว่ามารายงาน และเขาก็รู้ว่าจุดอ่อนของผู้นี้คือลี่ชุน “ข้าเลยอนุญาตให้นางหยุดงานดูแลลี่ชุนสามวัน ช