วันรุ่งขึ้น ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้งภายในใจ ห้องนอนกว้างขวางที่ฉันอยู่ตอนนี้ดูเหมือนกรงทองที่จองจำอิสรภาพของฉันไว้ ทุกอย่างที่นี่ดูหรูหราเกินกว่าที่ฉันจะคุ้นเคย แต่กลับไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นเลย
ฉันเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ มองออกไปเห็นสวนสวยที่จัดไว้อย่างประณีต แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมา แต่กลับไม่อาจส่องเข้าไปในความมืดมิดในใจของฉันได้
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ฉันเลือกเสื้อผ้าที่แม่บ้านจัดเตรียมไว้ให้ มันเป็นชุดเดรสเรียบหรูสีอ่อนที่ดูสุภาพ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกเป็นตัวของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
เมื่อลงมาถึงห้องอาหาร ฉันพบภูผานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ใบหน้าของเขานิ่งเรียบเช่นเคย ไม่มีร่องรอยของความรู้สึกใด ๆ แต่แววตาคมกริบคู่นั้นกลับทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกอ่านใจได้ทะลุปรุโปร่ง
“นั่งสิ” เขาเอ่ยสั้น ๆ ก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ในมือต่อ
ฉันนั่งลงตรงข้ามกับเขา บรรยากาศในห้องอาหารเงียบสงบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มนาฬิกาเดิน อาหารเช้าที่วางอยู่ตรงหน้าดูน่ารับประทาน แต่ฉันกลับไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย
“เธอต้องดูแลพ่อเธอให้ดี” ภูผาพูดขึ้นโดยไม่เงยหน้า “เงินที่ฉันโอนให้โรงพยาบาลไปแล้ว ห้าล้านบาทตามสัญญา”
ฉันเงยหน้ามองเขาด้วยความรู้สึกซับซ้อน ดีใจที่พ่อปลอดภัย แต่ก็เจ็บปวดที่ต้องแลกมาด้วยอิสรภาพของตัวเอง “ขอบคุณค่ะ” ฉันตอบเสียงแผ่ว
“ไม่ต้องขอบใจ” เขาตอบกลับอย่างเย็นชา “นี่คือธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องของความรู้สึก”
คำพูดของเขาตอกย้ำให้ฉันเห็นว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นเพียงสัญญาที่ไร้หัวใจ สิ่งเดียวที่เชื่อมโยงเราไว้คือเงินและผลประโยชน์
หลังจากอาหารเช้า ฉันขออนุญาตไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล ภูผาพยักหน้าอนุญาตโดยไม่ได้พูดอะไร คนขับรถพาฉันไปส่งถึงหน้าห้องพักฟื้นของพ่อ
ภาพของพ่อที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้พร้อมกับใบหน้าที่ซูบซีด ทำให้หัวใจฉันบีบรัด เจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก
“พ่อคะ… ลินินมาแล้วค่ะ” ฉันจับมือพ่อเบา ๆ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา “พ่อต้องหายเร็ว ๆ นะคะ ลินินจะอยู่ข้าง ๆ พ่อเสมอ”
พ่อลืมตาขึ้นช้า ๆ แววตาของท่านยังคงอ่อนเพลีย แต่ก็ฉายแววความสุขเมื่อเห็นฉัน “ลินิน… ลูกปลอดภัยดีนะ”
น้ำตาของฉันร่วงเผาะลงมาในที่สุด “ลินินสบายดีค่ะพ่อ พ่อไม่ต้องห่วงนะคะ”
ฉันรู้ดีว่าฉันกำลังโกหก แต่ฉันจำเป็นต้องทำ เพื่อให้พ่อสบายใจ
หลังจากนั้น ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ข้างพ่อ พยายามป้อนน้ำ ป้อนยา ดูแลท่านเท่าที่ฉันจะทำได้ ฉันรู้ว่าเงินห้าล้านบาทนั้นช่วยชีวิตพ่อไว้ได้จริง ๆ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันต้องแลกไปมันจะคุ้มค่าหรือไม่
ในตอนเย็น ฉันกลับมาที่คฤหาสน์ของภูผา ความรู้สึกโดดเดี่ยวเกาะกุมฉันแน่น ฉันเดินขึ้นไปบนห้องนอน เงียบงันและว่างเปล่า ราวกับเป็นพื้นที่ที่ไม่มีชีวิตชีวา
ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดโทรหาแก้ว เพื่อนสนิทของฉัน
“แก้ว… น้องไทม์เป็นยังไงบ้าง” ฉันถามด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ
“สบายดีแก เขากำลังเล่นกับของเล่นอยู่เลย” เสียงของแก้วทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง “แกอยู่ที่ไหนเนี่ย ทำไมเสียงแปลก ๆ”
“ฉัน… มาทำงานต่างจังหวัด” ฉันตอบตะกุกตะกัก “คงต้องอยู่อีกนานเลย แก้วช่วยดูแลน้องไทม์ให้ฉันหน่อยนะ”
ฉันได้ยินเสียงน้องไทม์หัวเราะคิกคักอยู่ปลายสาย หัวใจของฉันเจ็บแปลบ ฉันคิดถึงลูกเหลือเกิน คิดถึงอ้อมกอดเล็ก ๆ ที่เคยกอดฉันแน่น
‘แม่จะกลับไปหาหนูให้เร็วที่สุดนะลูก’ ฉันกระซิบในใจ
ค่ำคืนแรกในคฤหาสน์แห่งนี้เป็นค่ำคืนที่ยาวนาน ฉันนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาบนเตียงนุ่มสบาย สายตาจ้องมองเพดานว่างเปล่า ความคิดถึงลูกชาย ความกังวลเรื่องพ่อ และความรู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่กับภูผา วนเวียนอยู่ในหัว
ฉันรู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหนึ่งปีที่แสนยาวนาน… หนึ่งปีที่ฉันจะต้องใช้ชีวิตภายใต้เงาแค้นของใครบางคน และต้องพยายามรักษาความลับอันยิ่งใหญ่ของตัวเองไว้ให้ดีที่สุด
หลังจากคืนนั้นที่ภูผาเผยความอ่อนแอและความรู้สึกที่แท้จริงออกมา ความสัมพันธ์ของเราก็พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง กำแพงน้ำแข็งที่เคยขวางกั้นระหว่างเราได้ทลายลงไปเกือบหมดสิ้น เหลือเพียงความเข้าใจและความผูกพันที่แน่นแฟ้นขึ้นทุกวันภูผาไม่ได้กลับบ้านดึกดื่นเหมือนเมื่อก่อน เขามักจะใช้เวลาช่วงเย็นอยู่กับฉันและน้องไทม์ เราสามคนกลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบในแบบของเราเอง แม้จะไม่ได้เริ่มต้นจากความรักแบบคู่รัก แต่ความผูกพันที่เกิดขึ้นก็งดงามไม่แพ้กันในตอนเช้า ภูผามักจะลงมาทานอาหารเช้าพร้อมกับฉันและน้องไทม์เสมอ เขามักจะแกล้งน้องไทม์เบา ๆ ทำให้น้องไทม์หัวเราะคิกคัก และบางครั้งเขาก็จะเหลือบมามองฉันด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ที่ทำให้หัวใจของฉันเต้นระรัวฉันยังคงทำงานที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ แห่งนั้น เพราะฉันรู้สึกว่าการได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก การได้พบปะผู้คน ทำให้ฉันรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง และได้พิสูจน์ให้ภูผาเห็นว่าฉันไม่ได้ต้องการพึ่งพาเขาไปเสียทุกอย่างในวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังกลับจากทำงานที่ร้านกาแฟ ฉันเห็นภูผาและน้องไทม์กำลังเล่นฟุตบอลกันอยู่ในสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ น้องไทม์วิ่งไล่เตะลูกฟุตบอลอย่างสนุกสนาน ส่วนภูผาก็วิ่งต
หลังจากวันที่ภูผาป่วยและฉันได้ดูแลเขา ความสัมพันธ์ของเราก็ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง ความเย็นชาที่เคยมีระหว่างเราค่อย ๆ สลายไป แทนที่ด้วยความเข้าใจและความห่วงใยที่มากขึ้น ภูผาไม่ได้เก็บตัวอยู่ในห้องทำงานตลอดเวลาเหมือนเมื่อก่อน แต่เขามักจะมาใช้เวลาอยู่ในห้องนั่งเล่น หรือห้องสมุดที่ฉันอยู่ด้วยในวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด ภูผาเดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารกองโต เขาเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานเล็ก ๆ มุมห้อง และเริ่มทำงานอย่างเงียบ ๆฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาเป็นครั้งคราว สังเกตเห็นว่าวันนี้ภูผาดูเคร่งเครียดกว่าปกติ ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวเล็กน้อย และเขามักจะนวดขมับอยู่บ่อยครั้งฉันตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปหาเขาช้า ๆ “คุณดูเหนื่อย ๆ นะคะ มีอะไรรึเปล่าคะ”ภูผาเงยหน้าขึ้นมองฉัน ดวงตาของเขามีความเหนื่อยล้าปรากฏอยู่ “ก็แค่… เรื่องงานนิดหน่อย” เขาตอบเสียงแผ่ว“คุณควรพักผ่อนบ้างนะคะ” ฉันเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกเป็นห่วง “อย่าหักโหมมากเกินไป”ภูผาถอนหายใจออกมาอย่างช้า ๆ “ฉันรู้” เขาพูดต่อ “แต่บางครั้งมันก็เลี่ยงไม่ได้”ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ ฉันรู้ดีว่าเขาทุ่มเทให้กับงานมากแค่ไหน โดยเฉพาะหลังจากที่บริษัทข
ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฉันอยู่เฝ้าไข้ภูผาทั้งคืน คอยเช็ดตัวและเปลี่ยนผ้าชุบน้ำเย็นบนหน้าผากให้เขาเป็นระยะ ไข้ของเขาลดลงเล็กน้อยในช่วงเช้าตรู่ แต่เขาก็ยังคงหลับไม่สนิท และมีอาการกระสับกระส่ายเป็นบางครั้งเมื่อแสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้อง ภูผาเริ่มลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาของเขายังคงดูอ่อนเพลีย แต่ก็มีความรู้สึกบางอย่างที่ฉันไม่อาจเข้าใจปรากฏอยู่“ดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะ” ฉันถามเบา ๆภูผาพยักหน้าเล็กน้อย “อืม” เขาตอบเสียงแผ่ว “ขอบคุณนะลินิน”คำพูดของเขาทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นในใจ ฉันยิ้มให้เขาเล็กน้อย“คุณพักผ่อนอีกหน่อยนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมอาหารเช้าอ่อน ๆ มาให้” ฉันบอกเขาภูผาพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ฉันเดินออกมาจากห้องนอนอย่างเงียบ ๆ เพื่อไปเตรียมอาหารเช้าให้เขาหลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็กลับเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับข้าวต้มร้อน ๆ และน้ำส้มหนึ่งแก้ว ภูผานั่งพิงหมอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย“กินก่อนนะคะ” ฉันยื่นถ้วยข้าวต้มให้เขาภูผารับถ้วยข้าวต้มมาถือไว้ แต่เขาก็ยังคงมองฉันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม“ทำไมเธอถึงอยู่ดูแลฉัน” ภูผาถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ท
หลังจากงานเลี้ยงที่ทำให้ฉันได้พบกับเพื่อนเก่า และคำพูดของภูผาที่ทำให้ฉันรู้สึกถึงความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้น ความสัมพันธ์ของเราดูเหมือนจะก้าวไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างช้า ๆ ภูผาอาจจะไม่ได้พูดคำหวาน แต่การกระทำของเขาก็ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นในใจมากขึ้นทุกวันในวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังเตรียมตัวจะออกไปทำงานที่ร้านกาแฟ ฉันเห็นภูผาเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ใบหน้าของเขาดูซีดเซียว และมีเหงื่อซึมที่หน้าผาก“คุณภูผาคะ ไม่สบายหรือเปล่าคะ” ฉันถามด้วยความรู้สึกเป็นห่วงภูผาส่ายหน้าเล็กน้อย “นิดหน่อย” เขาตอบเสียงแผ่ว “แค่รู้สึกมึน ๆ”ฉันเดินเข้าไปใกล้เขา สัมผัสหน้าผากของเขาเบา ๆ “ตัวร้อนจี๋เลยค่ะ คุณเป็นไข้แน่ ๆ”“ไม่เป็นไรหรอก” เขาพยายามจะปฏิเสธ “เดี๋ยวก็หาย”“ไม่ได้นะคะ คุณควรไปหาหมอ หรือไม่ก็พักผ่อนก่อน” ฉันยืนกราน “ฉันจะโทรบอกเลขาคุณให้เลื่อนนัดประชุมออกไปก่อนดีไหมคะ”ภูผาถอนหายใจออกมาอย่างช้า ๆ “ไม่จำเป็นหรอก” เขากำลังจะเดินจากไป แต่จู่ ๆ เขาก็เซเล็กน้อย ตัวเขาโอนเอนจนเกือบจะล้มลงฉันรีบเข้าไปประคองเขาไว้ทันที “คุณภูผา!”ใบหน้าของภูผาซีดเผือดลงกว่าเดิม ดวงตาของเขาดูโรยรา เขาพยายามจะยืนให้ตรง แต่ร่างกา
ความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ระหว่างฉันกับภูผา ทำให้บรรยากาศในคฤหาสน์เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้สัมผัส เราสองคนไม่ได้พูดคำว่ารัก แต่การกระทำและสายตาที่สื่อสารกัน ก็ทำให้ฉันรู้สึกถึงความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นในวันหนึ่ง ขณะที่ภูผากำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับลูกค้าคนสำคัญของบริษัท ซึ่งจะจัดขึ้นที่คฤหาสน์ของเราในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ฉันเห็นเขายุ่งอยู่กับการตรวจเช็ครายละเอียดต่าง ๆ อย่างเคร่งเครียด“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ” ฉันเดินเข้าไปหาเขาที่ห้องโถงภูผาเงยหน้าขึ้นมองฉันเล็กน้อย “แค่เรื่องการจัดงานนิดหน่อย” เขาตอบสั้น ๆ“ให้ฉันช่วยดูเรื่องการจัดดอกไม้ หรืออาหารไหมคะ” ฉันเสนอตัว “ฉันพอจะมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง”ภูผานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “ก็ได้ ถ้าเธออยากช่วย”ฉันยิ้มให้เขาเล็กน้อย รู้สึกดีใจที่เขาเปิดโอกาสให้ฉันได้มีส่วนร่วมในเรื่องของเขาตลอดทั้งวันนั้น ฉันช่วยภูผาดูแลเรื่องการจัดเตรียมงานเลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกดอกไม้ การจัดโต๊ะอาหาร หรือแม้กระทั่งการดูแลเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน ฉันได้เห็นภูผาในมุมที่จริงจังและทุ่มเทให
ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในคืนนั้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับภูผาพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง แม้เราจะไม่ได้พูดคุยกันเรื่องความรู้สึกโดยตรง แต่การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ และช่วงเวลาที่เราใช้ร่วมกัน ก็สื่อสารความผูกพันที่กำลังก่อตัวขึ้นได้อย่างชัดเจนภูผายังคงเป็นคนทำงานหนักและเคร่งขรึม แต่ฉันสังเกตเห็นว่าเขาเริ่มใช้เวลาอยู่กับฉันและน้องไทม์มากขึ้น เขาจะเข้ามานั่งดูน้องไทม์เล่นในห้องนั่งเล่น หรือบางครั้งก็เข้ามานั่งอ่านหนังสือพิมพ์เงียบ ๆ ในห้องสมุดที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ด้วยในวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังจัดดอกไม้ในแจกันที่ห้องโถง ภูผาเดินผ่านมา เขาหยุดยืนมองฉันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้“ดอกไม้สวยดีนะ” เขาเอ่ยขึ้นเบา ๆฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา “ขอบคุณค่ะ ฉันชอบจัดดอกไม้”ภูผาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปนอกสวนอย่างเงียบ ๆฉันยังคงจัดดอกไม้ต่อไปอย่างตั้งใจ บรรยากาศในห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงกระดิ่งลมที่ดังแผ่วเบาจากหน้าต่าง“เธอสบายดีใช่ไหม” ภูผาถามขึ้นมาอย่างกะทันหันฉันประหลาดใจเล็กน้อยกับคำถามของเขา “สบายดีค่ะ”ภูผาหันกลับมามองฉัน ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววกังว