ปุณณิศาเปลี่ยนมาสวมชุดเกาะอกรัดรูปสีแดงเพลิงส่งให้ร่างที่ขาวอยู่แล้วกลับขาวเด่นยิ่งขึ้น ชุดที่สวมนั้นเน้นสัดส่วนยั่วยวนจนเธอเองมองในกระจกแล้วยังรู้สึกว่ามันเซ็กซี่เกินไปด้วยซ้ำ
เธอนั่งให้เพื่อนร่วมงานช่วยแต่งหน้าในขณะที่สมองกำลังคิดทบทวนสิ่งที่ทำอยู่ว่ามันจะคุ้มค่าไหมกับสิ่งที่ต้องเสียไปเพียงเพื่อเงินห้าหมื่นบาท
“ปุณ เรารู้นะว่าปุณกำลังคิดว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้องไหม แต่ปุณอย่าลืมนะว่าเราเลือกเกิดไม่ได้ ถ้าปุณไม่ทำแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายให้โรงพยาบาล แล้วถ้าป้าดาไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลตามกำหนดปุณก็ต้องจ่ายค่ารักษาเพิ่ม”
“เรากลัวแม่รู้แม่จะเสียใจ”
“แล้วปุณมีทางออกอื่นไหมล่ะ”
“ก็เพราะไม่มีทางออกน่ะสิ ถึงต้องทำแบบนี้ กัญญาห้ามบอกเรื่องนี้กับแม่และน้องเราเด็ดขาดนะ”
“ไม่บอกหรอกน่า สัญญาเลย” กัญญาวีร์เกี่ยวก้อยสัญญากับเพื่อน เธอเองก็อยากจะช่วยเพื่อนแต่ก็หาทางออกไม่ได้เหมือนกัน ลำพังเงินของตัวเองแต่ละเดือนก็แทบจะไม่มีเหลือแล้วจะเอาเงินที่ไหนให้เพื่อนหยิบยืม
“แต่เรากลัว...” ปุณณิศาพูดด้วยเสียงสั่น
“เราเข้าใจปุณนะ ปุณท่องไว้นะว่าทำเพื่อแม่และน้องถ้าไม่ทำ แม่ก็จะไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล น้องก็จะไม่ได้ไปเรียน”
“อือ เราทำเพื่อแม่ละน้อง”
“เชื่อนะปุณ เราเองก็ไม่ได้อยากให้ปุณทำงานแบบนี้ แต่เพราะเราไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าคืนนี้ปุณถูกใจเสี่ยคนใดคนหนึ่งเข้าก็ จะสบายเลยนะ ยิ่งสาวสวยแบบนี้พวกเสี่ยตัณหากลับมันยิ่งชอบ ปุณจะได้ไม่ต้องไปเปลืองตัวให้คนอื่นอีกไงล่ะ”
ปุณณิศาถอดหายใจอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืนสำรวจตัวเอง ไม่ใช่ว่าเธอรักสบายคิดหาเงินทางลัดแต่เป็นเพราะเธอไม่มีทางเลือกต่างหากและครั้งนี้จะเป็นครั้งเดียวที่เธอจะตัดสินใจทำงานนี้ ถ้าได้เงินแล้วจะไม่ทำอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน
“เราจะทำครั้งนี้ครั้งแรกและจะเป็นครั้งเดียวขอแค่คืนนี้มีใครสักคนยอมจ่ายเงินห้าหมื่นบาทแล้วเราจะไม่ทำอีกเลย”
กัญญาวีย์ส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้เพื่อนก่อนที่ปุณณิศาจะติดเบอร์ตองที่หน้าอกแล้วเดินไปนั่งกับเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่น
เกือบชั่วโมงแล้วที่ปุณณิศานั่งอยู่ในห้องกระจกทำที่นั่งเป็นชั้นๆ เหมือนอัฒจันทร์ เธอนั่งอยู่แถวบนสุด นอกจากเธอแล้วก็ยังมีหญิงสาวคนอื่นที่นั่งอยู่อีกหลายคน แต่ละคนก็แต่งหน้าแต่งตัวยั่วยวนเต็มที่ มีหลายคนที่ถูกเรียกออกมารับแขก
“มาทำงานวันแรกเหรอ” หญิงสาวนั่งอยู่ถังจากเธอไปหนึ่งขั้นหันมาถาม”
“อือ”
“แปลกจัง คนที่มาทำวันแรก คนด้านนอกจะเชียร์แล้วแขกก็แทบจะแย่งกันเลยนะ เธอบอกพวกเขาไหมว่าเรียกราคาเท่าไหร่”
“อือ เราบอกไปห้าหมื่น”
“ราคานี้ฉันว่าเธอคงได้นั่งถึงเช้า”
“มันแพงไปเหรอ”
“ใช่นะสิ อย่างมากเบอร์ตองเขาก็เรียกกันแค่หมื่นเดียวเองนะ”
“แต่เราจำเป็นต้องใช้เงินด่วน”
“ทำไมไม่เรียกที่หนึ่งหมื่น รับห้าคนก็ได้ห้าหมื่นแล้ว” เธอให้คำแนะนำในฐานะคนที่เคยทำงานมาก่อน
“ขอบใจนะ เราจะลองคิดดู” ปุณณิศายิ้มแห้ง แต่ยังไม่คิดจะทำตาม เธอทำใจไม่ได้ถ้าต้องนอนกับผู้ชายถึงห้าคน
ปุณณิศายังคงนั่งอยู่ที่เดิมขณะที่ผู้หญิงที่นั่งคุยกับเธอถูกเรียกออกไปแล้ว
“ปุณ รับแขก”
ปุณณิศาที่กำลังนั่งเหม่อถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง เธอก้าวขาลงจากที่นั่งก่อนจะก้าวออกมาจากห้องกระจกด้วยขาที่สั่นเทา
“ชั้นสามห้องริมสุดเคยไปใช่ไหม”
“ค่ะ” ปุณณิศารู้ว่าห้องนั้นเป็นห้องที่แขกวีไอพีมักเข้าไปใช้แต่เธอยังไม่เคยเข้าไปในนั้นเลยสักครั้ง
หญิงสาวมาหยุดอยู่หน้าห้อง เธอสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้งเพื่อปลุกความกล้าในตัว ไม่ว่าเปิดประตูเข้าจะเจออะไรในห้องนั้นเธอก็พร้อมที่จะยอมรับเพราะมันจะเป็นแค่ครั้งแรก ครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่เธอจะทำแบบนี้
เธอเคาะประตูสามครั้งตามที่ผู้จัดการบอกจากนั้นก็เปิดประตูเข้าไปช้าๆ
“คุณเรียกหนูเหรอคะ” หญิงสาวถามผู้ชายที่กำลังยืนถือแก้วเครื่องดื่มหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างด้วยเสียงสั่น
“ถ้าเธอคือคนที่ติดเบอร์ตองและเรียกเงินห้าหมื่นก็ใช่” พูดจบชายหนุ่มร่างสูงก็หันหน้ากลับมา
ปุณณิศามองเขาตาไม่กะพริบ เพราะเธอเคยเห็นเขามาที่นี่หลายครั้งและยังแอบชื่นชมเขาอยู่ในใจว่าเขาช่างเป็นผู้ชายที่หล่อและหุ่นดีราวกับนายแบบ และไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะต้องมาให้บริการเขา
“นั่งก่อนสิ ดื่มอะไรไหม”
“ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“ฉันว่าดูเธอตื่นเต้นนะ”
“นิดหน่อยค่ะ”
“เธอเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ”
“ไม่ค่ะ ยังไงหนูก็ไม่เปลี่ยนใจ”
ชานนท์มองใบหน้าสวยหวานนั้นอย่างขัดใจ ไม่คิดว่าเวลาผ่านไปไม่กี่วันเธอจะเปลี่ยนใจมาทำงานแบบนี้ วันนี้เขาพาลูกค้าไปทานข้าวเลยไม่ได้รับโทรศัพท์ของเมคิน
แต่พอเห็นข้อความที่เพื่อนส่งไปบอกว่าหญิงสาวที่เขาสนใจกำลังจะเริ่มรับงานอย่างว่าเขาก็รีบบึ่งรถมาอย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นเธอนั่งอยู่ในตู้กระจกพร้อมสวมชุดที่อวดสัดส่วนเขาก็แทบอยากจะเข้าไปกระชากเธอออกมา
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงเปลี่ยนใจไปทำงานแบบนั้น เพราะมาถึงเขาก็ยังไม่ได้คุยกับเมคินเลย แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่เขามาถึงที่นี่ก่อนที่คนอื่นจะคว้าเธอไปเสียก่อน
“ฉันจำได้ว่าแต่ก่อนเธอแค่ทำหน้าที่เชียร์แขกนี่ แล้วทำไมถึงเปลี่ยนใจมาทำงานนี้ได้ล่ะ” ชานนท์กล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน
“หนูไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนี้กับคุณ”
“ในเมื่อฉันยอมจ่ายเธอถึงห้ามหมื่นเธอก็ควรจะตอบคำถามของฉันนะสาวน้อย หรือว่าที่นี่เขาไม่ได้บอกว่าให้ตามใจแขกทุกอย่าง”
“ถ้าคุณอยากรู้หนูจะบอกให้ก็ได้ค่ะ เพราะหนูต้องการใช้เงิน”
“ใครๆ ก็ต้องการใช้เงินกันทั้งนั้นและ มีงานอื่นอีกเยอะที่ได้เงิน”
“ก็ไม่มีงานอะไรได้เงินเร็วเท่านี้ไงคะ”
“นั่นสินะผู้หญิงสวยๆ หุ่นดีก็มีวิธีหาเงินง่ายโดยไม่ต้องใช้สมอง”
“คุณจ่ายเงินหนูก็จริงแต่คุณไม่มีสิทธิ์มาดูถูกหนู” ปุณณิศาเริ่มโมโห
“ในเมื่อฉันจ่ายเงินแล้ว ฉันก็ควรจะมีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวเธอสิ”
ชานนท์มองใบหน้าสวยที่แดงก่ำเพราะเจ้าตัวกำลังโมโหที่เขาดูถูก หญิงสาวหายใจเข้าออกอย่างแรงและนั้นก็ยิ่งทำให้หน้าอกที่กำลังสะท้อนขึ้นลงดึงดูดสายตาของคนมองไม่น้อย
ท่าทางของเธอมันทำให้ชานนท์ปรารถนาเธอมากขึ้นเขามองเรือนร่างของหญิงสาวที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งราวกับนาฬิกาทรายแล้วอย่างพอใจ
ชานนท์เดินเข้าไปหาหญิงสาวช้าๆ ก่อน เขาเห็นแววตาที่หวาดกลัวแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
“กลัวเหรอ”
“เปล่าค่ะ” ปุณณิศารีบเถียง
“งั้นก็ดี เพราะฉันก็ไม่ชอบพวกเก่งแต่ปาก”
เขารู้สึกว่าเธอกำลังสั่นและคิดว่าเธอกำลังเสแสร้ง ชายหนุ่มกดริมฝีปากลงบนริมฝีปากอิ่มที่เคลือบด้วยลิปสติกสีสวยปุณณิศารีบยกมือขึ้นยันอกเขาไว้ เธอเบี่ยงใบหน้าหนีริมฝีปากร้อนผ่าวที่ไล่ต้อนจุมพิตเธอราวกับไม่เคยเจอผู้หญิงมานาน
“อย่าทำเหมือนไม่เคยไปหน่อยเลย ถ้าคืนนี้เธอทำถูกใจฉัน เธอจะได้มากกว่าที่ขอ”
เมื่อพูดเรื่องเงินหญิงสาวก็นิ่ง นั่นยิ่งทำให้เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้กำลังทำทุกอย่างเพื่อเงินจริงๆ และเขาก็เป็นนักธุรกิจที่จะไม่ยอมเสียเงินไปกับอะไรที่มันไม่คุ้มค่า
หลังจากไปทานอาหารค่ำ ชานนท์ก็ไปส่งปนัดดาและกัญญาวีร์ที่บ้าน กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า “หนูคิดอะไรอยู่” ชานนท์ถามคนที่นั่งพิงหัวไหล่ของตนอยู่บนโซฟาตัวโตในห้องนอนหลังจากที่หญิงสาวอาบน้ำเสร็จ “กำลังคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อนะคะว่าหนูจะรอดจากแผนการของคุณพลอยกมลมาได้” “นั่นสิ พี่ไม่คิดเลยว่าเขาจะร้ายกาจขนาดนั้น ถ้าพี่ยอมแต่งงานกับเขาตามที่แม่บอกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตพี่จะมีความสุขแบบนี้ไหม ขอบคุณนะปุณ ขอบคุณที่หนูเข้ามาในชีวิตพี่” “หนูต้องขอบคุณพี่นนท์ คุณปู่และก็ครอบครัวของพี่มากกว่าที่ไม่รังเกียจหนู” “หนูเป็นเด็กกตัญญูที่หนูทำก็เพื่อครอบครัว ใครจะรังเกียจหนูล่ะ พี่ยิ่งรักหนูมากขึ้นด้วยซ้ำ” “พี่บอกรักหนูอีกแล้ว” ปุณณิศาแหงนหน้ามองแล้วยิ้ม “หนูชอบไหมล่ะ พี่อยากบอกรับหนูทุกวันวันละหลายรอบเลยดีไหม” “ดีคะ หนูก็จะบอกรักพี่วันละหลายๆ รอบ หนูมีความสุขมากเลยค่ะ” “แต่หน้าหนูยังดูเป็นกังวลอยู่เลยนะ” “ก็เรื่องแม่ของพี่” “แม่เลิกจับคู่แล้วล
“ปุณ ไม่น้อยใจใช่ไหมที่ไม่มีงานแต่งงานใหญ่โต” ชานนท์ถามหญิงสาวที่อยู่ในเดรสสีขาวซึ่งดูไม่เหมือนชุดแต่งงานเท่าไหร่ ส่วนเขาก็แค่สวมเสื้อเชิ้ตสบายๆ เพราะวันนี้เป็นแค่การจดทะเบียนสมรสและการทานอาหารร่วมกันของครอบครัวเท่านั้น” “ไม่ค่ะ หนูว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะไม่ต้องจัดงานให้วุ่นวาย” “พี่กลัวหนูเสียใจ” “ไม่เลยค่ะ แค่พี่นนท์อยู่ข้างๆ หนูแค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” “ก็หนูน่ารักแบบนี้พี่ถึงรักหนูหมดใจ” “อะไรนะคะ” “พี่บอกว่ารักหนูหมดใจ” “พี่นนท์” หญิงสาวกอดเขาแน่น “หนูเป็นอะไร ไหนว่าไม่น้อยใจแล้วร้องไห้ทำไม” “ก็เมื่อกี้พี่บอกรักหนู หนูดีใจ” “พี่ขอโทษที่พูดช้าไป แต่พี่รักหนูมานานแล้ว รักมาก” “หนูก็รักพี่ค่ะ แล้วก็ดูออกว่าพี่รักหนู รักของพี่ไม่ต้องพูดหนูก็รู้” “ต่อไปพี่จะพูดบ่อยดีไหม” “แล้วแต่พี่เลย หนูไม่บังคับหรอกค่ะ” “หนูทำไมน่ารักขึ้นทุกวันเลยนะ” ชานนท์กอดเธอแล้วจุมพิตไปบนไรผมอย่างรักใครก่อนที่จะพากันไปยังบ้านของคุณปู่ ในห้องรับแขกตอนนี้มี
สัญชัยโทรหาพลอยกมลเพื่อแจ้งว่าเขาจัดการงานที่สั่งเรียบร้อยแล้ว เลยอยากได้เงินส่วนที่เหลือเพิ่ม พลอยกมลนัดให้เขาไปที่ตึกร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมือง “ทำไมต้องออกไปไกลขนาดนั้นด้วยล่ะ” “ฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่านายอยู่กับฉัน ถ้าได้เงินแล้วก็เก็บตัวสักพักนะ” “แน่นอนผมว่าจะข้ามฝั่งแก้มมือแถวปอยเปตสักหน่อย เงินที่พี่ให้มารับรองได้เลยว่าผมจะใช้ให้คุ้ม” เขานัดแนะกับตำรวจอีกครั้งว่าให้พูดยังไงบ้างเพื่อให้ผู้ว่าจ้างยอมสารภาพ จากนั้นก็ให้ถอยออกมาแล้วตำรวจจะเข้าไปจัดการต่อ ขณะที่ขับรถไปตามเส้นทางที่พลอยกมลบอก สองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีบ้านคนและรถยนต์สัญจรผ่านไปมาเลยแม้แต่คันเดียวเพราะเป็นถนนเลี่ยงเมืองแต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง มันขับมาจนเกือบจะชิดกับรถที่เขาขับอยู่ จากนั้นชะลอให้ความเร็วเท่ากัน คนซ้อนท้ายเปิดกระจกหมวกกันน็อคขึ้น พอเขาลดกระจกลงมันก็รีบบิดหนีไป สัญชัยรู้สึกหงุดหงิดเขาอยากจะขับตามไปเอาเรื่องแต่ติดที่ว่าตัวเองกำลังทำตามแผนอยู่จึงได้แต่ปล่อยผ่าน แต่พอขับมาถึงบริเวณทางโค
สัญชัยเลือกโรงแรมม่านรูดที่ใกล้ที่สุดเพื่อจัดการกับเหยื่อแสนโอชะ จากแผนเดิมเขาจะจัดการเธอในรถ แต่เพราะอยากหาความสุขจากเรือนร่างที่หอมกรุ่นให้สมกับความเหนื่อยที่ต้องตามเธอมาถึงกรุงเทพ เตียงนอนกว้างๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา เขานั่งมองเธออย่างใจเย็น รอเวลาให้เธอรู้สึกตัวเพราะอยากสนุกกับเธอตอนที่มีสติมากกว่า มือหยาบกร้านเลื่อนตามเรียวขาที่โผล่พ้นกระโปรงสีสวย ไต่ขึ้นสูงทีละนิด มือหนึ่งดึงบรรจงจับเส้นผมสวยมาดมอย่างเสน่หา กลิ่นกายสาวหอมเย้ายวนกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมา ถึงแม้จะรู้ว่าเธอมีสามีแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะโชกโชนเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ เพราะเสียงฮึมฮัมในลำคอบวกกับมือที่ไต่ไปตามแขนและขาทำให้ปุณณิศาค่อยๆ รู้สึกตัวทีละนิด เธอได้กลิ่นเหงื่อไคลลอยมาปะทะจมูกแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านั้นตนเองถูกใครบางคนพาออกมาจากสวนสาธารณะ พอเธอลืมตาขึ้นมาก็เจอกับผู้ชายคนเดิมที่ตอนนี้ใบหน้าของมันอยู่ห่างเธอเพียงคืบ “กรี๊ดดดดด ปล่อยฉันนะ นายจับฉันมาทำไม ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ”ปุณณิศาตะโกนสุดเสียงพร้อมกับขยับตัวหนีจนหลังชนกับหัวเตีย
ปุณณิศาไม่ขัดข้องที่งานแต่งงานของตนเองจะถูกจัดขึ้นตามฤกษ์ที่คุณปู่หาให้ แต่มารดาของหญิงสาวดูจะตกใจที่ความสัมพันธ์แบบปลอมๆ ที่ทั้งสองมีในตอนแรกเปลี่ยนไปเร็วมาก แต่พอเธอได้คุยกับคุณปู่ของชายหนุ่มก็สบายใจขึ้น ปนัดดาไม่ได้เรียกร้องอะไรมากขอแค่ชานนท์จะไม่ทิ้งลูกสาวเธอแค่นั้นก็พอแล้ว แต่ปู่มนตรีไม่ยอมและบอกว่าเรื่องสินสอดทองหมั้นจะจัดให้อย่างเหมาะสม แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นเพียงการแต่งแบบเงียบๆ เชิญแค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมาเป็นพยานในการจดทะเบียนสมรสเท่านั้นก็ตาม แต่หลังจากหญิงสาวเรียนจบแล้วก็จะมีการจัดงานแต่งงานขึ้นอีกครั้งถึงตอนนั้นก็คงจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งชานนท์และปุณณิศาก็เห็นดีด้วย “แม่เราว่ายังไงบ้างล่ะตานนท์จะมาร่วมงานไหม” “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมบอกแค่พ่อกับยัยตา ส่วนคุณแม่ผมยกหน้าที่ให้คุณพ่อเป็นคนบอกครับ” “กลัวไหมว่าแม่เขาจะไม่มา” “ถึงเขาไม่มาเราก็แต่งกันได้นี่ครับปู่” ชานนท์ไม่ได้สนใจว่ามารดาจะมาร่วมงานหรือเปล่า คนที่เขาแคร์มากที่สุดเป็นคุณปู่กับปุณณิศามากกว่า “หลานปู่คนนี้มันแน่จริงๆ ไม่
หลังจากที่ตกลงคบกันอย่างจริงจังแล้ว ปุณณิศาก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ต้องกังวลถึงเรื่องสัญญาที่กำลังจะหมดลง แต่ทุกครั้งที่เธอมาทานอาหารหรือมานั่งคุยกับคุณปู่มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด “ปู่คะ แค่นี้พอหรือยังคะ” ปุณณิศาถามคุณปู่มนตรีพร้อมกับชูดอกกล้วยในมือให้ท่านดู วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งตามปกติแล้วปุณณิศาจะกลับไปช่วยมารดาทำขนมที่บ้าน แต่วันนี้เธอเห็นว่าลุงทศไม่ค่อยสบายก็เลยอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ ท่านจึงชวนเธอมาที่เรือนกล้วยไม้เพื่อตัดกล้วยไม้บางส่วนไปถวายพระในวันพรุ่งนี้ “พอแล้วล่ะ ขอบใจหนูมากที่มาช่วยปู่ แล้วพรุ่งนี้จะไปวัดกับปู่ไหมล่ะ” “ค่ะ หนูว่าจะทำกล้วยบวชชีไปถวายพระด้วยดีไหมคะ กล้วยที่คุณปู่ปลุกไว้กำลังสุกได้ที่เลยค่ะ” “ได้สิ หนูทำเป็นเหรอ” “ค่ะ หนูเคยช่วยแม่อยู่บ่อยๆ” “จริงสิ ปู่จำได้หนูเคยบอกว่าแม่ทำขนมไทยขายด้วย” “ค่ะคุณปู่ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำไปขายแล้วค่ะ แม่ทำขนมส่งร้านกาแฟค่ะ แต่บางครั้งก็จะมีลูกค้าขาประจำมาสั่งเป็นหม้อใหญ่ เอาไปเลี้ยงแขกบ้างไปถวายพระบ้าง” “แล้ว