19:30น.
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด~ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตามเวลาที่คนนอนอยู่บนเตียงกำหนดไว้ บังเอิญเริ่มควาญหาโทรศัพท์ไปทั่วเตียงเพื่อจะกดปิดเสียงที่ดังรบกวนการนอนอันแสนหวานของเธอ "อื้อ อยู่ไหนเนี่ย รำคาญโว้ย!!" อารมณ์หงุดหงิดที่เกิดจากการถูกรบกวนการนอนของนาฬิกาปลุก ทำให้บังเอิญตะโกนเสียงดังอยู่คนเดียวก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นเพื่อเดินไปกดปิดนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ที่ตอนนี้มันได้นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น "ทำไมมาอยู่ที่พื้นได้เนี่ย เฮ้อ ไวชิบเพิ่งรู้สึกเหมือนได้นอนไปแค่นาทีเดียวเท่านั้นเอง" บังเอิญทำได้แค่บ่นก่อนจะคว้าผ้าขนหนูและวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปผับทันที "ม๊วฟฟ สวยไม่ไหว สวยมาก สวยมากบังเอิญ ไม่มีใครสวยเท่าเธอได้แน่นอน คิกๆ" ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาแพง ใบหน้าหวานของเธอตอนนี้ดูโฉบเฉี่ยวปะหนึ่งเสือสาวที่พร้อมออกล่าเหยื่อแล้ว ผิวขาวอมชมพูกับชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ไม่ได้ใส่มานานมันทั้งรัดและสั้นจนแทบจะปิดพื้นที่ด้านล่างไม่มิด ด้านบนก็ปลดกระดุมออกเล็กน้อยเพื่อเผยให้เห็นเนินอกวับๆแวมๆให้ดูเซ็กซี่ขยี้ใจ ยังดีที่ชุดนี้ของเธอไม่ได้มีตราของมหาลัยที่เคยเรียนเพราะเป็นชุดสำรอง บังเอิญเลยหาเนคไทสีดำมาใส่เพื่อให้ดูแฟชั่นเก๋นิดๆไปด้วย "เวลาเท่าไหร่แล้วเนี่ย 20:40น. เดินเร็วจังเลยนะเวลาเนี่ย ฉันเพิ่งแต่งตัวไปแป๊บเดียวเอง ช่างเถอะถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เป็นไรอย่างน้อยก็ขอสวยไว้ก่อนก็แล้วกัน" เมื่อเห็นเวลาแล้วก็รู้ว่าตัวเองไปไม่ทันอย่างแน่นอนเลยหันกลับมาแต่งหน้าต่อ #อีกด้าน "ไอ้ปริ้นซ์ กูจะแวะปั๊มให้มึงเปลี่ยนชุดนะ" เมื่อคีตะขับรถออกจากคฤหาสน์ของปริ้นซ์มาได้สักพัก ก็หันไปบอกปริ้นซ์ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าตามตรีมที่ผับกำหนด "แล้วทำไมมึงไม่พากูไปเปลี่ยนที่คอนโดมึงวะ" "ถ้าไปคอนโดกูก็ต้องวนรถกลับมาที่ผับอีก มันเสียเวลาเปลี่ยนที่ปั๊มนี่แหละแป๊บเดียว" คอนโดที่คีตะอาศัยอยู่ห่างจากผับออกไปอีกประมาณสองกิโลเมตร ถ้าให้ไปเปลี่ยนที่คอนโดแล้ววนรถกลับมาที่ผับอีกครั้งคงจะเสียเวลามากพอสมควร เพราะในช่วงเวลานี้คือเวลาที่ผู้คนเริ่มออกมาท่องเที่ยวในเวลากลางคืนกันแล้ว "เออๆ" ปริ้นซ์ไม่ได้ซีเรียสอะไรหรอก จะเปลี่ยนที่ไหนก็ได้เขาเป็นคนง่ายๆอยู่แล้ว ผับXXX หลังจากที่ทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ปั๊มน้ำมันก่อนจะถึงผับเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ตรงมาที่ผับอย่างรวดเร็ว "ขอดูบัตรด้วยครับ" การ์ดตัวยักษ์หน้าโหดสองคนเอามือกั้นประตูไว้ก่อนจะขอดูบัตรของคีตะและปริ้นซ์ "นี่ เอาไปดูซะ" คีตะส่งการ์ดอะไรสักอย่างไปให้คนตรวจบัตรที่ยืนรออยู่ "เอาบัตรนี้มาจากที่ไหนครับ" บัตรที่การ์ดเฝ้าประตูรับมาจากคีตะคือบัตร VIP ที่มีเฉพาะเจ้าของผับเท่านั้น คนที่จะได้มันมาคือคนที่ได้รับบัตรนี้จากมือของเจ้าของผับเองเท่านั้น "ก็เอามาจากเจ้าของผับน่ะสิ" "ขอโทษนะครับแต่พวกผมยังให้คุณเข้าไม่ได้ ผมต้องโทรไปหานายเพื่อยืนยันเรื่องนี้ก่อน" ถึงแม้ว่าคนตรวจบัตรจะดูหน้าโหดไปหน่อย แต่มารยาทในการทำงานของเขาก็ดีพอสมควร "ได้สิ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว" . . . "เชิญครับ พวกคุณทั้งสองเข้าไปได้ เดี๋ยวเราจะให้คนของเราพาพวกคุณไปที่ส่วนที่นั่งVIPที่นายของผมได้จัดไว้ให้แล้วนะครับ" หลังจากที่การ์ดคนหนึ่งหายไปคุยโทรศัพท์กับผู้เป็นนาย ก็เดินกลับมาหาทางคีตะและปริ้นซ์เพื่อเชิญเข้าผับ "โอ้ววว ได้ของดีด้วยว่ะไอ้ปริ้นซ์" แม้ว่าคีตะจะไปขอให้พี่ที่เป็นเจ้าของผับดำเนินเรื่องการเข้าผับให้ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะให้ที่นั่งVIPมาด้วย "เออ เข้าไปสักทีเถอะกูร้อนจะตายห่าอยู่แล้ว" ปริ้นซ์ที่ยืนรอเข้าผับอยู่ประมาณ10นาทีก็เริ่มหัวเสีย ไอ้รอน่ะเขารอได้อยู่แล้ว แต่วันนี้มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ อากาศร้อนอบอ้าวจนเหงื่อของเขาไหลลงมาตามกรอบหน้า "ครับๆๆคุณชาย เชิญครับ" ทั้งสองเดินตามพนักงานที่ออกมารับไปยังโซนที่นั่งVIPทันที เมื่อทั้งสองมาถึงก็พบว่าบนโต๊ะได้มีเครื่องดื่มชุดใหญ่จัดไว้ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว "พี่ครับอันนี้เครื่องดื่มของใครหรอครับ พวกผมยังไม่ได้สั่งเครื่องดื่มนะ" คีตะที่เดินมาเห็นเครื่องดื่มอยู่บนโต๊ะที่ตัวเองกำลังนั่งก็เลยถามพนักงานที่เดิมมาส่งออกไป "อ๋อ เซตนี้เจ้านายเป็นคนสั่งมาไว้ให้ค่ะ แล้วก็ถ้าพวกคุณทั้งสองคนอยากดื่มอะไรเพิ่มเติมสามารถสั่งได้เลยนะคะ เจ้านายของดิฉันสั่งไว้แล้วว่าถ้าพวกคุณสั่งเพิ่มอีก เดี๋ยวเจ้านายจะเป็นคนจ่ายเองค่ะ" เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในการมาส่งลูกค้าVIPของเจ้านายแล้ว พนักงานก็เดินกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อในชั้นล่างทันที "แหล่มเลยว่ะไอ้ปริ้นซ์ อย่างนี้ฉันต้องโทรไปขอบคุณพี่แกแล้วแหละ" หลังจากที่พนักงานเดินออกไปคีตะก็ดี๊ด๊าขึ้นมาทันทีที่ได้เที่ยวผับและยังได้กินเครื่องดื่มฟรีจากเจ้าของผับอีก "เออ ฉันฝากขอบคุณพี่เขาด้วยก็แล้วกัน ที่มาเลี้ยงพวกเราอย่างนี้" ปริ้นซ์ฝากบอกขอบคุณเจ้าของร้านผ่านเพื่อนอย่างคีตะ ก่อนจะนั่งลงที่โซฟาอย่างสบายใจ "ดื่มๆๆเพื่อน นี่สำหรับมึง" "นี่มึงกะจะมอมกูตั้งแต่แก้วแรกเลยหรอ" ปริ้นซ์ต้องจำใจรับแก้วจากคีตะมา เพราะแก้วที่มันชงให้เขานั้นไม่ต่างจาก 'ออน เดอะ ร็อค'เลย เพราะมันเทเหล้ามาครึ่งแก้วใส่น้ำแข็งก้อนกลมๆมาหนึ่งก้อนและผสมโซดาประมาณหนึ่งฝาขวดน้ำ "เออน่า มึงไม่เมาหรอกกูรู้ กินๆเข้าไปเถอะ ที่พี่เขาจัดมาให้ก็ไม่รู้จะกินหมดกันหรือเปล่า" เพราะพี่เจ้าของผับจัดเหล้ามาให้เหมือนว่าพวกเรามากัน 4-5 คนยังไงอย่างนั้นแหละ ปริ้นซ์และคีตะก็ไม่ได้พูดอะไรกันต่อหลังจากที่แต่ละคนได้แก้วเหล้าของตัวเองแล้ว ปริ้นซ์กวดสายตามองลงไปด้านล่างที่มีเหล่าผีเสื้อราตรีทั้งหลายกำลังโยกย้ายใส่สะโพกกันอย่างเมามันส์ให้กับดนตรีที่ดีเจกำลังเปิด เมื่อนั่งไปได้สักพักคนที่อยู่ด้านล่างก็หันไปสนใจทางเข้าประตูจนทำให้ปริ้นซ์ต้องหันตามไปมองที่เดียวกับที่พวกผู้คนด้านล่างกำลังมอง เมื่อหันไปมองก็เจอกลุ่มปาร์ตี้กลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในร้าน ถ้าจะบอกว่าก็แค่เป็นกลุ่มคนที่มาเที่ยวผับปกติก็พูดได้ แต่จะมีเพียงแค่ผู้หญิงหนึ่งคนเท่านั้นที่ดูโดดเด่นออกมาจนทำให้ปริ้นซ์ยังคงมองตามกลุ่มที่มาปาร์ตี้กลุ่มนั้นอยู่ 'สวย!' อยู่ดีๆก็มีคำนี้ผุดขึ้นมาในหัวของปริ้นซ์ หลังจากที่มองตามผู้หญิงคนนั้นไปสักพัก "เฮ้ยไอ้ปริ้นซ์!! มึงกำลังมองอะไรวะ" คีตะที่กำลังหันมาขอชนแก้วกับปริ้นซ์ก็ต้องถามเพื่อนทันที เพราะมันกำลังมองอะไรที่ชั้นล่างอย่างไม่วางตาอยู่ "........." ในเมื่อปริ้นไม่ตอบคีตะมันยิ่งทำให้ต่อมความเผือกของคีตะทำงาน คีตะเลยชะโงกหน้าลงไปดูตรงสายตาของเพื่อนที่มอง ก็ส่งเสียงร้องแซวออกมาทันทีที่เห็น "ว๊าววววว!! เพื่อนผมสนใจผู้หญิงแล้วหรอครับเนี่ย~" คีตะร้องเอ่ยแซวปริ้นซ์ทันที ที่เห็นมันกำลังมองผู้หญิงใส่ชุดมหาลัยที่มีเนคไทสีดำคนนั้นอยู่ ก็ไม่แปลกใจที่มันจะมองเธอเพราะว่าชั้นล่างนั้นเธอดูโดดเด่นที่สุดจนเรียกสายตาของผู้คนด้านล่างไปด้วย เพราะชุดที่เธอใส่มามันทั้งสั้นแหวกบนแหวกล่างจนทำให้เป็นที่จับตามองของผู้ชายทั้งหลายด้วย "อะไร! กูไม่ได้สนใจสักหน่อย กูก็แค่มองไปดูว่าคนข้างล่างกำลังดูอะไรก็แค่นั้นเอง มึงอย่ามาเลอะเทอะ" เมื่อเห็นว่าคีตะกำลังแซวตัวเอง ปริ้นซ์ก็หันกลับมานั่งที่ตัวเองและรีบปฏิเสธคีตะทันที ก่อนที่ไอ้เพื่อนตัวดีของตัวเองกำลังจะมโนไปไกล "หรอครับเพื่อน~ ไม่สนใจจริงดิ ก็ดี งั้นวันนี้กูจะจีบพี่สาวคนสวยคนนี้แหละมึงรอดูกูได้เลย" ที่จริงคีตะก็ไม่ได้สนใจพี่ผู้หญิงคนสวยคนนี้หรอก แต่เห็นหน้าเพื่อนตอนที่มันปฏิเสธแล้วยิ่งทำให้คีตะอยากแกล้งเพื่อนที่มันพูดไม่ตรงกับสีหน้าที่มันแสดงเลย ดูก็รู้ว่ามันสนใจพี่เขาอยู่แต่แค่ไอ้เพื่อนคนนี้มันชอบปฏิเสธผู้หญิงทุกคนที่เข้าหาก็แค่นั้นเอง "เออ!!" ทั้งที่ตอบเพื่อนไปแบบนั้นแต่ปริ้นซ์กับรู้สึกไม่ค่อยชอบใจกับประโยคของคีตะที่พูดออกมาเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะโมโหไปทำไม ปริ้นซ์เลยยกแก้วที่คีตะเทแค่เหล้าเพียวๆไว้ขึ้นมากินทันทีให้มันดับความโมโหภายในใจเจ็ดปีผ่านไป “พ่อครับผมรักพ่อที่สุดเลยครับ ผมจะเป็นเด็กดีของพ่อกับแม่ทุกวันเลยนะครับ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ” ปริ้นซ์โน้มหน้าลงไปหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาที่กำลังบอกรักเขาเนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาติอยู่ ก่อนที่เขาจะจุ๊บลูกคืนกลับไปด้วย “ครับลูก ไปจำคำพวกนี้มาแต่ไหนครับ” เขาก็ไม่คิดว่าลูกชายแก่นเซี้ยวคนนี้จะพูดบอกรักพ่ออย่างเขาดีๆเป็น “ผมพูดตามที่ครูบอกครับฮี่ๆ” เด็กก็คือเด็กอยู่วันยังค่ำไม่ว่าใครจะถามอะไรก็เลือกจะพูดความจริงออกมาทุกอย่าง “โถ่ลูก โกหกพ่อหน่อยก็ได้ บอกว่าผมคิดเองครับอย่างนี้ก็ได้น่ะลูก” “ไม่ได้ครับ แม่บอกว่าถ้าใครโกหกจะเป็นเด็กไม่ดีแล้วแม่ก็จะให้นอนนอกบ้านด้วยครับ” “อึก” ปริ้นซ์สะอึกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเจอลูกชายของตนพูดแบบนั้นออกมา สงสัยเมียเขาจะสอนลูกมาอย่างดีเลยแหะ เขาไม่สามารถหลอกล่ออะไรได้เลยเพราะเจ้าแสบเอาแต่เชื่อฟังเมียเขาอย่างเดียว “วันนี้ไปไหนดีครับน้องธีร์” ลูกชายของผมและเมียสุดที่รักอย่างบังเอิญมีชื่อว่าน้องธีร์ หรือ เด็กชายอิทธิกร ธัญญธราทรัพย์ โดนนามสกุลนั้นเป็นนามสกุลของครอบครัวของผมเอง “ไปห้างครับคุณพ่อ ผมอยากไปกินเค้ก” นั่นแหละคือสิ่งที่ลูกเขาชอบที
“เฮ้อ พวกกูละช็อคมากเลยน่ะอีเจ๊ มึงหายไปแป๊บเดียวกลับมาก็ท้องซะแล้ว” เพื่อนๆต่างก็บ่นให้เธอฟังหลังจากที่เธอเล่าเรื่องราวต่างๆให้พวกมันฟัง “เอ่อน่า อย่าบ่นกูนักเลย แล้วนี่วันนี้ไม่มีงานหรอ” เธอถามทุกคนออกไปเพราะพวกมันมานั่งคุยกับเธออยู่นี่ก็นานมากพอสมควรแล้ว “ไม่อ่ะ เคลียร์งานลูกค้าเสร็จหมดแล้ว ช่วงนี้น่าจะว่างแหละมั้งถ้าไม่มีลูกค้าเข้า” “อุ๊ย ต๊ายตาย นึกว่าใคร ที่แท้ก็อีบังเอิญนี่เอง มาที่นี่ทำไมไม่ทราบ” “อะไรอีปูขาเป๋ อีเจ๊มาแล้วมึงมาเสือกอะไร ห๊ะ” นัททำท่าจะพุ่งเข้าไปหาปูเป้ที่เป็นคู่กัดของทีมพวกเธอแต่ก็โดนเพื่อนๆดึงตัวห้ามเอาไว้ก่อน “อะไรอีนัท มึงนี่โง่เนาะ กฎเขามีไว้ปฏิบัติตามไม่ใช่หรอ ผู้ใดที่ไม่ใช่พนักงานไม่มีสิทธิ์เข้ามาที่นี่ แล้วอีบังเอิญมันก็ลาออกไปแล้วไม่ใช่หรอ กูว่ากูก็ไม่ได้ความจำเสื่อมน่ะ” “แล้วมึงมายุ่งอะไรด้วยห๊ะ” “ก็ไม่ได้อยากยุ่งเท่าไหร่หรอก แต่ในเมื่อพวกมึงไม่ทำตามกฎที่บริษัทตั้งไว้กูคงต้องไปฟ้องท่านประธานสักหน่อยแล้วมั้ง ฮ่าๆๆๆๆๆ” แกร๊ก “ใครจะฟ้องอะไรฉันไม่ทราบ” “ท….ท่านประธาน” ทั้งนัท อาร์ตี้ เก๋และชมพู่ต่างก็พากันเหงื่อตกเมื่อคนที่เปิดประตูเข้
“ตัวเอง เร็วๆหน่อยไหม” “ครับๆๆ เร็วแล้วครับที่รัก” ปริ้นซ์ใสเสื้อผ้าอย่างรีบเร่ง ก็เมียเขาน่ะสิตื่นขึ้นมาบอกว่าวันนี้จะเข้าไปที่บริษัท เขาเลยต้องมารีบแบบนี้ให้เธอนั่นแหละ แถมยังดื้อไม่กินข้าวด้วยน่ะ บอกจะไปกินที่ร้านประจำข้างๆบริษัทแทน เขากลัวเธอจะหิวเลยต้องรีบใส่เสื้อผ้าให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้พาเมียไปกินข้าวในร้านที่เธออยากกิน “เร็วๆ เขาหิวแล้วตัวเอง” “ป่ะครับ ค่อยๆเดินน่ะที่รัก” “แทบจะต่อเท้ากันเดินแล้วเนี่ยตัวเอง เร็วๆเลย” บังเอิญยังคงเร่งปริ้นซ์ไม่หยุด วันนี้เธอรู้สึกขัดหูขัดตาเขาเป็นพิเศษเพราะเธอบอกให้เขารีบก็ไม่รีบสักที เดี๋ยวแม่ก็งอนให้เข็ดซะหรอก “ครับ เชิญครับคุณผู้หญิง” เมื่อเดินมาถึงรถปริ้นซ์ก็รีบวิ่งไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้เมียอย่างรวดเร็วก่อนที่องค์แม่จะลงประทับมาในร่างของเมียเขา “ขอบคุณค่ะ” บังเอิญรีบสอดตัวเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว วันนี้เธอแต่งตัวน่ารักเป็นพิเศษเพราะเป็นชุดที่คุณแฟนเป็นคนเลือกให้นั่นเอง วันนี้มาในชุดเดรสระบายลูกไม้สีชุมพูอ่อนพร้อมกับเข็มกลัดที่ติดไว้ตรงหน้าท้องเพื่อบ่งบอกให้คนที่เห็นรู้ว่าตัวเธอนั่นกำลังตั้งท้องอยู่ ถึงท้องจะนูนออกมานิดหน่
“อยู่นี่” “อยู่ที่กรุงเทพครับ” “ฉันบอกว่าให้อยู่นี่” “ไม่ได้ครับต้องอยู่กรุงเทพ” “ลูกฉัน ฉันจะให้ลูกอยู่กันฉันที่นี่” “แต่นั่นก็เมียผม ต้องไปอยู่กรุงเทพเท่านั้น” “พอค่ะ!!!!” ทั้งสองที่มีปากเสียงกันอยู่หันไปหาคนที่ตะโกนขัดขึ้นมา “ลูกเลือกมาเลยว่าจะอยู่ที่ไหน / ที่รักเลือกมาเลยว่าที่รักจะอยู่ที่ไหน” ทั้งลูกเขยและพ่อตาต่างก็หันไปขอความคิดเห็นจากบังเอิญที่นั่งทำหน้าเอือมระอาอยู่บนโซฟา นี่เธอนั่งฟังทั้งสองคนเถียงกันมาได้ประมาณสิบนาทีแล้ว ไม่รู้ว่าปริ้นซ์ไปพูดอะไรไม่เข้าหูพ่อของเธอก็ไม่รู้ ถึงได้มาลงเอยด้วยการเถียงกันอย่างที่เห็นนั่นแหละ “พ่อคะ พ่อก็รู้ว่าหนูจะเลือกที่ไหนอยู่แล้วนี่คะ จะมาเถียงกันทำไมอีก” “ลูกอ่ะ ไม่คิดจะเปลี่ยนใจกลับมาอยู่บ้านเราเลยหรอลูก” “พ่อขา~ หนูชอบกรุงเทพมากกว่านี่คะ พ่อก็รู้ว่าหนูชอบช็อปปิ้งจะตาย” บังเอิญเดินไปหาพ่อของตัวเองที่อยู่โซฟาอีกตัว พร้อมกับเข้าไปกอดออดอ้อนคนเป็นพ่อใหญ่ “ก็ได้ลูก เห็นว่าเป็นความชอบของลูกหรอกนะ ไม่งั้นพ่อไม่ยอมแน่ๆ” คุณบดินทร์ลูบหัวลูกสาวอย่างรักใคร่ พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อเขาไม่สำเร็จในการต่อรองกับลูกสาว บังเอ
สามเดือนผ่านไป วันเวลาเลื่อนผ่าน ความสุขของทั้งสองยังเพิ่มขึ้น “ค่อยๆเดินนะที่รัก” ปริ้นซ์พยายามประคองใต้แขนของบังเอิญอย่างระมัดระวัง วันนี้ก็เป็นเวลาสามเดือนแล้วหลังจากที่เมียเขาต้องนอนเป็นผักเปื่อยอยู่บนเตียงผู้ป่วยมานาน วันนี้เมียของเขาได้รับอนุญาตให้ขยับร่างกายได้แล้ว และต้องเริ่มมากายภาพบำบัดเล็กน้อยเพราะว่านอนนานเกินไปจนกล้ามเนื้อบางส่วนอ่อนแรง ตอนนี้เขารู้สึกสงสารเมียเขาเหลือเกิน ที่กำลังทำหน้าตางอแงเหมือนจะร้องไห้อย่างนั้นแหละเพราะได้รับอนุญาติทั้งทีแต่ตัวเองดันกลับมาเดินเหินแบบปกติยังไม่ได้ “หงึ ปริ้นซ์ งื้ออออ” “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับที่รัก สู้ๆน่ะ แป๊บเดียวเดี๋ยวที่รักก็เดินได้แบบเดิมแล้ว จุ๊บ” ปริ้นซ์หอมไปที่กลางหน้าผากของบังเอิญอย่างให้กำลังใจ “งื้อก็ได้ แต่ตัวเองต้องพยุงเขาน่ะ ห้ามปล่อยน่ะเดี๋ยวเขาล้ม” เธอกลัวว่าตัวเองจะแข้งขาอ่อนแรงแล้วล้มลงไปเนี่ยสิ ถ้าเธอยังตัวคนเดียวเธอคงไม่กังวลเรื่องนี้หรอก “ครับ ผมไม่มีทางปล่อยให้ที่รักล้มแน่นอน” ปริ้นซ์พยุงบังเอิญเดินกายภาพบำบัดอยู่นานนับชั่วโมงก่อนจะให้คนตัวเล็กนั่งวิวแชร์กลับมาที่ห้องพัก ตอนนี้เขาแทบจะมาอยู่โรงพยาบ
“……….” “ว่าไงครับที่รัก” “ม…เมื่อกี้ตัวเองพูดว่าอะไรน่ะ” บังเอิญยังอึ้งไม่หายกับสิ่งที่คนตรงหน้าเธอพูดออกมาก่อนหน้านี้ “ที่รักเรามาแต่งงานกันน่ะครับ” จะให้เขาพูดอีกกี่สิบรอบก็ยอมได้ ขอแค่เธออย่าปฏิเสธเขาเลย “อื้ออตกลง แต่งสิ ป่องแล้วไม่แต่งได้ไง” ตอนแรกก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้หรอก แต่งตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วไง ในท้องเธอเขาก็เสกปริ้นซ์น้อยเข้ามาใส่แล้ว จะให้โอกาสนี้หลุดมือไปได้ยังไง “จริงหรอ ผมดีใจมากๆเลยนะที่รัก จุ๊บๆๆๆ” “อื้อออ พอแล้วมันจั๊กจี๊” นี่เขาอยู่เฝ้าเธอจนไม่มีเวลาไปโกนหนวดเลยหรอเนี่ย ปกติเธอเป็นคนโกนให้เขาเองแหละ “ผมอยากทำมากกว่านี้อีก แต่มันยังทำไมได้ ผมดีใจมากๆเลยที่ที่รักไม่ปฏิเสธผม” เขาอยากดึงเธอมากอดรัดฟัดเหวี่ยงเสียด้วยซ้ำ แต่มันก็ยังทำไม่ได้ เลยทำให้ต้องจุ๊บแค่ริมฝีปากบางของเธอเท่านั้น “จะปฏิเสธทำไมล่ะ ปริ้นซ์น้อยก็นอนอยู่ในนี้แล้วไม่ใช่หรอคะคุณพ่อ” “ใช่ครับคุณแม่” ปริ้นซ์นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงก่อนจะยื่นมือมาลูบที่หน้าท้องของเมียเบาๆราวกับขนนก เขาไม่กล้าที่จะแตะต้องตัวของเธอแรงมากเพราะกลัวว่าจะกระทบกระเทือนจนถึงลูกในท้อง “จริงด้วยตัวเอง” อยู่ดีบั