ชื่อบังเอิญและก็บังเอิญได้ผัวเด็กมาครอบครองแบบงงๆ ใครๆก็บอกว่ากินเด็กแล้วเป็นอมตะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเด็กขนาดนี้ เฮ้อ~ แล้วเจ้าเด็กคนนี้ทำไมตามติดเธอแจขนาดนี้สลับเท่าไหร่ก็ไม่หลุด ช่วยด้วย!
View Moreบังเอิญ
"เจ๊!" ฉันที่เดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่ทำธุระเสร็จแล้ว ก็เจอกับลูกน้องในแผนกของตัวเองที่ยืนรออยู่ตรงโต๊ะทำงาน ที่พอเห็นฉันเดินกลับมาที่โต๊ะก็ตะโกนเสียงดังใส่ฉันทันที "อะไรอีนัทมึงจะเสียงดังใส่กูหาสวรรค์วิมานอะไร" อีนัทหรือนัทตี้ลูกน้องในแผนกที่ชอบเสียงมาก่อนตัว ฉันทำงานอยู่ที่บริษัทรับจัดงานด้านให้ความบันเทิงต่างๆแห่งหนึ่งหรือที่ผู้คนชอบเรียกว่าบริษัทออแกไนซ์ และฉันได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าของฝ่ายทีมจัดงานตั้งแต่เข้ามาทำงานได้แค่สองปีเท่านั้น ทีมของฉันจะมีลูกน้องอยู่ในทีมทั้งหมด4คน ได้แก่ อีนัท อีเก๋ อีชมพู่ และอีอาร์ตี้รวมฉันก็เป็น5คน ที่ฉันเรียกลูกน้องว่าอีไม่ใช่การกดสถานะหรือข่มเหงลูกน้องแต่อย่างใด แต่ด้วยความสนิทกันจนเกินไปละมั้งเลยไม่มีคำว่าพี่หรือน้อง เราอยู่กับเพื่อนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แถมอายุของเราก็ไล่เลี่ยๆกันนี้แหละยังไม่มีใครแตะเลข3อย่างแน่นอน "อีเจ๊มึงดูนี่ๆ" นัทมันรีบยื่นโทรศัพท์มาจ่อตรงหน้าของฉันจนแทบจะทิ่มตากันอยู่แล้ว ใกล้ขนาดนี้ใครจะไปมองเห็นล่ะแล้วแสงของหน้าจอโทรศัพท์มันน่ะนึกว่าดวงอาทิตย์ดวงที่สอง "อีนัทกูแสบตา มึงจะเอามาแปะหน้ากูทำไมเอาออกไป" "เออๆโทษทีอีเจ๊ แต่มึงต้องดูน่ะ" แต่ไม่วายขยั้นขยอให้ดูอะไรสักอย่างในโทรศัะท์มันอยู่ดี "เออๆๆเอามา" ถ้าไม่ดูมันต้องตามตื้อทั้งวันแน่ๆ จึงแบมือไปตรงหน้าเพื่อขอโทรศัพท์มันมาดูเอง "อะไรอ่ะ?" ที่เห็นก็มีโบรชัวร์ของร้านอะไรสักอย่าง "นี่เจ๊ไม่รู้จักผับนี้หรอ มาๆๆๆเดี๋ยวอีนัทคนนี้จะอ่านให้ฟังเอง ผับน้องใหม่มาแรงเปิดเพียงแค่สองเดือนแต่สามารถเรียกลูกค้าให้เข้าไปใช้บริการแบบไม่ขาดสายได้ในเวลาอันรวดเร็ว" "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ หรือเขาจ้างเราตกแต่งภายใน ถ้างั้นก็เรียกประชุมทีมเลยจะได้ไม่เสียเวลา ป่ะ" ฉันรีบดึงแขนอีนัทไปที่ห้องประชุมทีมทันที "ไม่ใช่ๆๆ ปล่อยก่อนเจ๊ เขาไม่ได้จ้างเรา" มันรีบดึงแขนให้ฉันหยุดทันทีก่อนที่ฉันจะลากมันเข้าห้องประชุม "เขาไม่ได้จ้างเราแล้วมึงจะเอามาให้กูดูทำไมวะ ไปล่ะ เสียเวลาจริงๆเลยมึงเนี่ย" เสียเวลาจริงๆไอ้เราก็นึกว่ามีลูกค้ามาจ้างให้จัดงาน "เจ๊หยุดก๊อน! ขอร้องฟังอีนัทสักนิดอย่าพึ่งขัด ให้ฉันพูดจบก่อนได้ไหมเจ๊ค่อยเดินหนี อย่าพึ่งอารมณ์ร้อนเหมือนยายแก่สิเจ๊" "อ้าวอีนี่ มึงด่ากูแก่หรอ" ฉันท้าวเอวหาเรื่องมันทันที ด่าอย่างอื่นด่าได้แต่ด่าว่าแก่นี่รับไม่ได้น่ะ โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ไม่เคยขาด รวมๆแล้วน่ารักเหมือนเด็กมหาลัยจะมาด่าว่าแก่อ่ะฉันรับไม่ได้ "อย่าพึ่งโมโหสิเจ๊ ไอ้ที่ฉันให้ดูเนี่ยคืออยากจะชวนไปเที่ยวจ้า เขาว่าที่นี่ผู้งานดีมากเลยนะเจ๊ แบบนี้พลาดไม่ได้แล้วป่ะ" "หรอวะ" ตอนแรกก็กะจะด่ามันแหละที่ยืดเยื้อคุยซะยาวเพราะจะชวนไปเที่ยว แต่พอพูดว่ามีผู้งานดีก็รู้สึกสนใจจนเนื้อเต้นทันทีเลยตัวฉันฮ่าๆๆๆ "จริงสิเจ๊ ถามใครใครเขาก็ว่าที่นี่เริ่ด ไปป่ะสนใจไหม" อืม วันนี้ก็ยังไม่ใช่วันศุกร์ด้วยสิ ปกติแก๊งค์เราจะออกเที่ยวแค่ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์เพราะไม่ใช่เวลางาน แต่นี้มันยังวันพุธอยู่เลยทำไมมาชวนเที่ยวไวจัง "วันไหน?" ต้องถามเพื่อความชัวร์ก่อน เพื่อมันชวนเที่ยวแบบล่วงหน้า "ทูเดย์ค่ะ วันนี้เท่านั้น" "ทำไมต้องวันนี้ว่ะ รอวันศุกร์ไม่ได้หรือไงปกติเราเที่ยวแต่วันหยุดกันไม่ใช่เหรอ" "ใช่ไงเจ๊ แต่วันนี้มันพิเศษเพราะเขาจัดให้เข้าเฉพาะคนที่ใส่ชุดนักเรียนนักศึกษาเท่านั้น" "บ้าหรอ ตำรวจลงตายห่าเลยดิถ้างั้นอ่ะ" "เขาให้ใส่ชุดได้ก็จริงแต่ต้องเป็นชุดเปล่าๆที่ไม่ปักโลโก้หรือตราโรงเรียนใดๆทั้งสิ้น และอีกอย่างร้านนี้ตรวจบัตร22ขึ้นไปเท่านั้น ไม่ใช่แบบร้านอื่นที่ให้เข้าตั้งแต่20 นะๆๆไปนะเจ๊" อีนัทรีบอธิบายทันทีก่อนที่ฉันจะเดินหนีมันอีกรอบ "ใครไปบ้าง?" "อีพวกนั้นเซเยสหมดแล้วจ้า ตอนนี้เหลือเจ๊คนเดียว" ขนาดนี้ก็ไม่ต้องถามกันก็ได้แล้วมั้ง ถ้าตอบว่าไม่ไปอีพวกที่เหลือก็ขยั้นขยอให้ฉันไปกับพวกมันอยู่ดี "เออๆๆ ไป" "อะเค เจ๊มีชุดไหมหรือจะซื้อใหม่" "มีอยู่ๆ แต่ไม่รู้จะใส่ได้หรือป่าว" จบมาก็รวมๆประมาณ6ปีแล้ว ไม่รู้ว่าชุดยังจะใส่ได้อยู่ไหม ตั้งแต่จบมาก็ไม่ได้ฟิตหุ่นเท่าไหร่แถมยังชอบกินเป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย ยังดีที่พยาธิในตัวฉันขยันทำงานน้ำหนักเลยไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ ตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายหลังจากที่ทุกคนกลับมาจากกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วก็นั่งหันหน้าใส่จอคอมของตัวเองและทำงานวนไปจนกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน "เย้! เลิกงานแล้วโว๊ยย" เสียงของอีนัทดังขึ้นมาทันทีหลังจากที่นาฬิกาเปลี่ยนเวลาเป็น17.01น. "มึงก็ตรงเวลาซะเหลือเกินนะอีดอก เลยนิดเลยหน่อยไม่ได้เลย" ตามด้วยเสียงของอาร์ตี้ดังขึ้นตามมาติดๆ ฉันลืมบอกไปหรือเปล่าว่าอีอาร์ตี้เนี่ยเป็นผู้ชาย แต่นางเทคยาและแปลงเพศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สวยสะพรั่งยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนอีก นางบอกไอดอลในการทำศัลยกรรมให้เหมือนของนางคือไอดอลเกาหลีแต่ฉันจำชื่อไม่ได้แล้วแหละมันนานมากแล้ว "โนวๆๆ ไม่ได้เด็ดขาดจ๊ะ ถ้าเกินก็ต้องลงOTแล้วป่ะ" "พอๆๆ ถ้ากูปล่อยให้พวกมึงต่อล้อต่อเถียงกันอีกชาตินี้ไม่ต้องกลับไปแต่งตัวไปเที่ยวแล้วมั้ง ไอ้นัดที่นัดไว้ก็ยกเลิกเลยป่ะ" เสียงของอีเก๋ดังขึ้นมาห้ามศึกปะทะฝีปากของทั้งสองก่อนที่มันจะหยุมหัวกัน มันเป็นเรื่องปกติของกลุ่มฉันอยู่แล้วที่สองคนนี้มันจะทะเลาะกันก็เหมือนลิ้นกับฟันที่กัดกันทุกวัน เหมือนทะเลาะกันแบบแกล้งๆก็เท่านั้นเพราะถ้ามีคนใดคนนึงมีเรื่องพวกนี้ก็พร้อมที่จะไฟท์เสมอ อารมณ์แบบเพื่อนรักเพื่อนแค้น "ไปๆๆ กลับไปแต่งตัวกันได้แล้ว เจอกันสามทุ่มที่นั่นเลยก็แล้วกันน่ะ กูไปล่ะ" ฉันที่เก็บของลงกระเป๋าเตรียมกลับบ้านเสร็จแล้ว ก็เอ่ยลาพวกมันก่อนจะชิ่งวิ่งหนีพวกมันออกมา "เฮ้ย อีเจ๊มึงจะรีบไปไหน.." เสียงของพวกมันที่ดังไล่ตามหลังฉันมา แต่ตอนนี้ฉันไม่สนใจหรอกฉันรีบวิ่งตรงไปที่ลานจอดรถในทันทีก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในรถและขับรถออกจากบริษัทภายในทันที "เฮ้อ~ ทะเลาะกันเป็นเด็กๆไปได้" ฉันก็ได้แต่บ่นให้พวกมันอยู่คนเดียวนี่แหละ พอไปอยู่ด้วยกันฉันก็ไม่เคยห้ามพวกมันสักทีหรอก ปล่อยให้มันหยุมหัวกันไปเดี๋ยวมันเหนื่อยมันก็พักยกของพวกมันเอง ลา~ลา~ลา~ลา~ลา~ลา~ ตอนนี้ฉันกำลังฮัมเพลงอยู่คนเดียวในรถ ที่ฮัมเพลงไม่ใช่ว่าอารมณ์ดีหรอกนะแต่ทำเพื่อให้จิตใจของตัวเองสงบก็เท่านั้น ตอนนี้ใจฉันมันเดือดปุดๆเหมือนน้ำในกาต้มน้ำร้อน ไม่รู้ว่ากรุงเทพฯจะเลิกรถติดตอนไหน ฉันรออยู่ไฟแดงนี้มาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว ดีนะที่ก่อนออกจากบริษัทแว๊บไปฉี่มาแล้วไม่งั้นกลั้นไม่อยู่แน่ๆ หิวข้าวโว๊ยยยยยย! หลังจากที่ฝ่ามรสุมรถติดในกรุงเทพฯมาได้ก็แวะซื้อข้าวร้านอาหารตามสั่งมากล่องหนึ่ง โดยเมนูที่สั่งเป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่ทุกคนไปร้านนี้ต้องสั่งนั่นก็คือ กระเพราหมูสับไข่ดาว เป็นเมนูยอดฮิตทั่วฟ้าเมืองไทยอย่างแน่นอนคิดอะไรไม่ออกบอกกระเพราหมูสับไว้ก่อน "เหี้ยเอ้ย! แล้วแม่งทำไมต้องตรีมชุดนักศึกษาด้วยวะ แล้วชุดของกูมันไปอยู่ส่วนไหนของตู้เสื้อผ้าแล้วบ้างเนี่ย" เมื่อกินข้าวเสร็จฉันก็โวยวายอยู่กับตัวเองพักใหญ่ ก็จบมหาวิทยาลัยมาเนิ่นนานใครจะไปเก็บชุดนักศึกษาไว้ในตู้กันล่ะ ตอนนี้มันน่าจะไปนอนอยู่ในตู้สะสมเสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นี่ฉันต้องไปรื้อตู้นั้นจริงๆหรอ เฮ้อ~ให้ตายเถอะ ไว้อาลัยให้ตัวเองแป๊บ 30นาทีผ่านไป "เยส! ในที่สุดก็เจอ อื้อฮือ ยับไม่มีชิ้นดี" ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะหาชุดนักศึกษาเจอ แต่สภาพไม่ต่างจากผ้าเช็ดตีนเลยแม้แต่นิดเดียว ยับซะจนไม่รู้ว่าเนื้อผ้ามันเคยเรียบมาก่อน ถ้าจะให้ซักตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้วแหละ ฉันเลยจะเอาไปรีดแล้วก็พรมน้ำหอมลงสักหน่อยมันน่าจะช่วยได้นิดหนึ่ง ใส่แค่ครั้งเดียวคงจะไม่อะไรมากหรอก ในเมื่อเตรียมชุดและจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยฉันก็ตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายและความเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวันออก ก่อนจะออกมาด้วยผ้าขนหนูห่อตัวเพียงผืนเดียวและล้มตัวลงบนที่นอนทันที จะว่าซกหมกก็ไม่ได้นะฉันแค่ชอบแก้ผ้านอนก็เท่านั้นเอง ตอนนี้ง่วงไม่ไหวแล้วขอนอนสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็แล้วกันแล้วค่อยลุกขึ้นมาแต่งตัวไปปาร์ตี้เจ็ดปีผ่านไป “พ่อครับผมรักพ่อที่สุดเลยครับ ผมจะเป็นเด็กดีของพ่อกับแม่ทุกวันเลยนะครับ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ” ปริ้นซ์โน้มหน้าลงไปหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาที่กำลังบอกรักเขาเนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาติอยู่ ก่อนที่เขาจะจุ๊บลูกคืนกลับไปด้วย “ครับลูก ไปจำคำพวกนี้มาแต่ไหนครับ” เขาก็ไม่คิดว่าลูกชายแก่นเซี้ยวคนนี้จะพูดบอกรักพ่ออย่างเขาดีๆเป็น “ผมพูดตามที่ครูบอกครับฮี่ๆ” เด็กก็คือเด็กอยู่วันยังค่ำไม่ว่าใครจะถามอะไรก็เลือกจะพูดความจริงออกมาทุกอย่าง “โถ่ลูก โกหกพ่อหน่อยก็ได้ บอกว่าผมคิดเองครับอย่างนี้ก็ได้น่ะลูก” “ไม่ได้ครับ แม่บอกว่าถ้าใครโกหกจะเป็นเด็กไม่ดีแล้วแม่ก็จะให้นอนนอกบ้านด้วยครับ” “อึก” ปริ้นซ์สะอึกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเจอลูกชายของตนพูดแบบนั้นออกมา สงสัยเมียเขาจะสอนลูกมาอย่างดีเลยแหะ เขาไม่สามารถหลอกล่ออะไรได้เลยเพราะเจ้าแสบเอาแต่เชื่อฟังเมียเขาอย่างเดียว “วันนี้ไปไหนดีครับน้องธีร์” ลูกชายของผมและเมียสุดที่รักอย่างบังเอิญมีชื่อว่าน้องธีร์ หรือ เด็กชายอิทธิกร ธัญญธราทรัพย์ โดนนามสกุลนั้นเป็นนามสกุลของครอบครัวของผมเอง “ไปห้างครับคุณพ่อ ผมอยากไปกินเค้ก” นั่นแหละคือสิ่งที่ลูกเขาชอบที
“เฮ้อ พวกกูละช็อคมากเลยน่ะอีเจ๊ มึงหายไปแป๊บเดียวกลับมาก็ท้องซะแล้ว” เพื่อนๆต่างก็บ่นให้เธอฟังหลังจากที่เธอเล่าเรื่องราวต่างๆให้พวกมันฟัง “เอ่อน่า อย่าบ่นกูนักเลย แล้วนี่วันนี้ไม่มีงานหรอ” เธอถามทุกคนออกไปเพราะพวกมันมานั่งคุยกับเธออยู่นี่ก็นานมากพอสมควรแล้ว “ไม่อ่ะ เคลียร์งานลูกค้าเสร็จหมดแล้ว ช่วงนี้น่าจะว่างแหละมั้งถ้าไม่มีลูกค้าเข้า” “อุ๊ย ต๊ายตาย นึกว่าใคร ที่แท้ก็อีบังเอิญนี่เอง มาที่นี่ทำไมไม่ทราบ” “อะไรอีปูขาเป๋ อีเจ๊มาแล้วมึงมาเสือกอะไร ห๊ะ” นัททำท่าจะพุ่งเข้าไปหาปูเป้ที่เป็นคู่กัดของทีมพวกเธอแต่ก็โดนเพื่อนๆดึงตัวห้ามเอาไว้ก่อน “อะไรอีนัท มึงนี่โง่เนาะ กฎเขามีไว้ปฏิบัติตามไม่ใช่หรอ ผู้ใดที่ไม่ใช่พนักงานไม่มีสิทธิ์เข้ามาที่นี่ แล้วอีบังเอิญมันก็ลาออกไปแล้วไม่ใช่หรอ กูว่ากูก็ไม่ได้ความจำเสื่อมน่ะ” “แล้วมึงมายุ่งอะไรด้วยห๊ะ” “ก็ไม่ได้อยากยุ่งเท่าไหร่หรอก แต่ในเมื่อพวกมึงไม่ทำตามกฎที่บริษัทตั้งไว้กูคงต้องไปฟ้องท่านประธานสักหน่อยแล้วมั้ง ฮ่าๆๆๆๆๆ” แกร๊ก “ใครจะฟ้องอะไรฉันไม่ทราบ” “ท….ท่านประธาน” ทั้งนัท อาร์ตี้ เก๋และชมพู่ต่างก็พากันเหงื่อตกเมื่อคนที่เปิดประตูเข้
“ตัวเอง เร็วๆหน่อยไหม” “ครับๆๆ เร็วแล้วครับที่รัก” ปริ้นซ์ใสเสื้อผ้าอย่างรีบเร่ง ก็เมียเขาน่ะสิตื่นขึ้นมาบอกว่าวันนี้จะเข้าไปที่บริษัท เขาเลยต้องมารีบแบบนี้ให้เธอนั่นแหละ แถมยังดื้อไม่กินข้าวด้วยน่ะ บอกจะไปกินที่ร้านประจำข้างๆบริษัทแทน เขากลัวเธอจะหิวเลยต้องรีบใส่เสื้อผ้าให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้พาเมียไปกินข้าวในร้านที่เธออยากกิน “เร็วๆ เขาหิวแล้วตัวเอง” “ป่ะครับ ค่อยๆเดินน่ะที่รัก” “แทบจะต่อเท้ากันเดินแล้วเนี่ยตัวเอง เร็วๆเลย” บังเอิญยังคงเร่งปริ้นซ์ไม่หยุด วันนี้เธอรู้สึกขัดหูขัดตาเขาเป็นพิเศษเพราะเธอบอกให้เขารีบก็ไม่รีบสักที เดี๋ยวแม่ก็งอนให้เข็ดซะหรอก “ครับ เชิญครับคุณผู้หญิง” เมื่อเดินมาถึงรถปริ้นซ์ก็รีบวิ่งไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้เมียอย่างรวดเร็วก่อนที่องค์แม่จะลงประทับมาในร่างของเมียเขา “ขอบคุณค่ะ” บังเอิญรีบสอดตัวเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว วันนี้เธอแต่งตัวน่ารักเป็นพิเศษเพราะเป็นชุดที่คุณแฟนเป็นคนเลือกให้นั่นเอง วันนี้มาในชุดเดรสระบายลูกไม้สีชุมพูอ่อนพร้อมกับเข็มกลัดที่ติดไว้ตรงหน้าท้องเพื่อบ่งบอกให้คนที่เห็นรู้ว่าตัวเธอนั่นกำลังตั้งท้องอยู่ ถึงท้องจะนูนออกมานิดหน่
“อยู่นี่” “อยู่ที่กรุงเทพครับ” “ฉันบอกว่าให้อยู่นี่” “ไม่ได้ครับต้องอยู่กรุงเทพ” “ลูกฉัน ฉันจะให้ลูกอยู่กันฉันที่นี่” “แต่นั่นก็เมียผม ต้องไปอยู่กรุงเทพเท่านั้น” “พอค่ะ!!!!” ทั้งสองที่มีปากเสียงกันอยู่หันไปหาคนที่ตะโกนขัดขึ้นมา “ลูกเลือกมาเลยว่าจะอยู่ที่ไหน / ที่รักเลือกมาเลยว่าที่รักจะอยู่ที่ไหน” ทั้งลูกเขยและพ่อตาต่างก็หันไปขอความคิดเห็นจากบังเอิญที่นั่งทำหน้าเอือมระอาอยู่บนโซฟา นี่เธอนั่งฟังทั้งสองคนเถียงกันมาได้ประมาณสิบนาทีแล้ว ไม่รู้ว่าปริ้นซ์ไปพูดอะไรไม่เข้าหูพ่อของเธอก็ไม่รู้ ถึงได้มาลงเอยด้วยการเถียงกันอย่างที่เห็นนั่นแหละ “พ่อคะ พ่อก็รู้ว่าหนูจะเลือกที่ไหนอยู่แล้วนี่คะ จะมาเถียงกันทำไมอีก” “ลูกอ่ะ ไม่คิดจะเปลี่ยนใจกลับมาอยู่บ้านเราเลยหรอลูก” “พ่อขา~ หนูชอบกรุงเทพมากกว่านี่คะ พ่อก็รู้ว่าหนูชอบช็อปปิ้งจะตาย” บังเอิญเดินไปหาพ่อของตัวเองที่อยู่โซฟาอีกตัว พร้อมกับเข้าไปกอดออดอ้อนคนเป็นพ่อใหญ่ “ก็ได้ลูก เห็นว่าเป็นความชอบของลูกหรอกนะ ไม่งั้นพ่อไม่ยอมแน่ๆ” คุณบดินทร์ลูบหัวลูกสาวอย่างรักใคร่ พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อเขาไม่สำเร็จในการต่อรองกับลูกสาว บังเอ
สามเดือนผ่านไป วันเวลาเลื่อนผ่าน ความสุขของทั้งสองยังเพิ่มขึ้น “ค่อยๆเดินนะที่รัก” ปริ้นซ์พยายามประคองใต้แขนของบังเอิญอย่างระมัดระวัง วันนี้ก็เป็นเวลาสามเดือนแล้วหลังจากที่เมียเขาต้องนอนเป็นผักเปื่อยอยู่บนเตียงผู้ป่วยมานาน วันนี้เมียของเขาได้รับอนุญาตให้ขยับร่างกายได้แล้ว และต้องเริ่มมากายภาพบำบัดเล็กน้อยเพราะว่านอนนานเกินไปจนกล้ามเนื้อบางส่วนอ่อนแรง ตอนนี้เขารู้สึกสงสารเมียเขาเหลือเกิน ที่กำลังทำหน้าตางอแงเหมือนจะร้องไห้อย่างนั้นแหละเพราะได้รับอนุญาติทั้งทีแต่ตัวเองดันกลับมาเดินเหินแบบปกติยังไม่ได้ “หงึ ปริ้นซ์ งื้ออออ” “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับที่รัก สู้ๆน่ะ แป๊บเดียวเดี๋ยวที่รักก็เดินได้แบบเดิมแล้ว จุ๊บ” ปริ้นซ์หอมไปที่กลางหน้าผากของบังเอิญอย่างให้กำลังใจ “งื้อก็ได้ แต่ตัวเองต้องพยุงเขาน่ะ ห้ามปล่อยน่ะเดี๋ยวเขาล้ม” เธอกลัวว่าตัวเองจะแข้งขาอ่อนแรงแล้วล้มลงไปเนี่ยสิ ถ้าเธอยังตัวคนเดียวเธอคงไม่กังวลเรื่องนี้หรอก “ครับ ผมไม่มีทางปล่อยให้ที่รักล้มแน่นอน” ปริ้นซ์พยุงบังเอิญเดินกายภาพบำบัดอยู่นานนับชั่วโมงก่อนจะให้คนตัวเล็กนั่งวิวแชร์กลับมาที่ห้องพัก ตอนนี้เขาแทบจะมาอยู่โรงพยาบ
“……….” “ว่าไงครับที่รัก” “ม…เมื่อกี้ตัวเองพูดว่าอะไรน่ะ” บังเอิญยังอึ้งไม่หายกับสิ่งที่คนตรงหน้าเธอพูดออกมาก่อนหน้านี้ “ที่รักเรามาแต่งงานกันน่ะครับ” จะให้เขาพูดอีกกี่สิบรอบก็ยอมได้ ขอแค่เธออย่าปฏิเสธเขาเลย “อื้ออตกลง แต่งสิ ป่องแล้วไม่แต่งได้ไง” ตอนแรกก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้หรอก แต่งตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วไง ในท้องเธอเขาก็เสกปริ้นซ์น้อยเข้ามาใส่แล้ว จะให้โอกาสนี้หลุดมือไปได้ยังไง “จริงหรอ ผมดีใจมากๆเลยนะที่รัก จุ๊บๆๆๆ” “อื้อออ พอแล้วมันจั๊กจี๊” นี่เขาอยู่เฝ้าเธอจนไม่มีเวลาไปโกนหนวดเลยหรอเนี่ย ปกติเธอเป็นคนโกนให้เขาเองแหละ “ผมอยากทำมากกว่านี้อีก แต่มันยังทำไมได้ ผมดีใจมากๆเลยที่ที่รักไม่ปฏิเสธผม” เขาอยากดึงเธอมากอดรัดฟัดเหวี่ยงเสียด้วยซ้ำ แต่มันก็ยังทำไม่ได้ เลยทำให้ต้องจุ๊บแค่ริมฝีปากบางของเธอเท่านั้น “จะปฏิเสธทำไมล่ะ ปริ้นซ์น้อยก็นอนอยู่ในนี้แล้วไม่ใช่หรอคะคุณพ่อ” “ใช่ครับคุณแม่” ปริ้นซ์นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงก่อนจะยื่นมือมาลูบที่หน้าท้องของเมียเบาๆราวกับขนนก เขาไม่กล้าที่จะแตะต้องตัวของเธอแรงมากเพราะกลัวว่าจะกระทบกระเทือนจนถึงลูกในท้อง “จริงด้วยตัวเอง” อยู่ดีบั
Comments