บทที่ 12 หม่อมฉันจะรอ
ร่างบางที่เคยมีใบหน้าอมชมพูผิวขาวราวหยวก บัดนี้ใบหน้าของนางขาวซีดเผือกริมฝีบางแห้งผากซีดจนแทบไม่เหลือความเป็นคนนอนอยู่ใต้ผ้าห่ม โดยมีไป๋หนิงซินอยู่ข้าง ๆ คอยเช็ดตัวให้นางอยู่ไม่ห่าง
“นางเป็นเช่นไรบ้าง”
“ท่านหมอบอกว่านางทนไม่ได้ที่ร่างกายถูกแดดแล้วมาถูกสายฝนเจ้าค่ะ ทำให้นางรับไม่ไหวจนจับไข้และเอ่อ...ท่านหมอบอกว่าร่างกายของนางด้านในรวมถึงชีพจรอ่อนเหลือเกินเจ้าค่ะ หากท่านแม่ทัพไม่ยอมให้นางพักและสั่งลงโทษนางอีกบัดนี้ข้าเกรงว่านางจะลาโลกจริง ๆ เจ้าค่ะ”
“เจ้าเองก็ไม่ต่างจากเหลียงอวี้กล่าวหาว่าข้าเป็นคนผิดสินะที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นหากนางมิใช่บุตรสาวของจางชินหลง เป็นเพราะนางทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะนาง ”ไท่หยางเอ่ยจบเดินหันหลังออกจากห้องและยัดกระดาษเทียบยาให้แก่หลวนฮวานไปซื้อที่โรงยา
“ช่วยไปจัดการให้ข้าที”
“ขอรับ”
จิตใจของไท่หยางเริ่มว้าวุ่น เขาทั้งโมโหทั้งเกรี้ยวโกรธแต่เมื่อได้ยินว่านางจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อเขากลับรู้สึกเจ็บลึกที่หัวใจ เขาต้องดีใจมิใช่หรือที่แก้แค้นให้ท่านแม่ได้และทำให้นางเจ็บปวดแต่เหตุใดเขาถึงรู้สึกใจหายเช่นนี้ได้ ความคิดของเขาเริ่มสับสนจนไม่สามารถอยู่นิ่งได้ เดินไปสนามฝึกดาบหยิบดาบร่ายรำผ่าสายฝนจนอารมณ์เริ่มสงบเขาถึงได้วางดาบลงพร้อมเดินกลับห้อง
‘ข้าจะรู้สึกเห็นใจและสงสารนางไปทำไมต้องสะใจสิที่นางเป็นเช่นนี้ ใช่แล้วข้าต้องดีใจ ฮ่า ฮ่า ข้ามีความสุขจริง ๆ ’ เขาคิดในใจแต่ก็ไม่สามารถยิ้มออกมาได้อย่างความคิด ใบหน้ายังคงบึ้งตึง
3 วันต่อมา
อวิ๋นหลิงนอนซมอยู่ที่ห้องเป็นเวลา 2 วัน วันนี้ร่างกายของนางดีขึ้นมามากแล้วเพราะได้พักผ่อนเต็มที่ นางลืมตาขึ้นมาเห็นแสงสว่างจากด้านนอกหันซ้ายหันขวาไม่พบเจอผู้ใด
‘เวลานี้ไป๋หนิงซินคงไปทำงานของนางสินะ แล้วข้ากลับมาที่ห้องได้ยังไงกัน ครั้งสุดท้ายที่จำได้เหมือนว่าข้าหมดสติระหว่างทางกลับห้องมิใช่หรือ ? ’
“อวิ๋นหลิงเจ้าฟื้นแล้ว ข้าดีใจจริง ๆ คิดว่าครั้งนี้เจ้าจะไม่ฟื้นเสียอีก”
“ไป๋หนิงซินข้านอนไปกี่วันกัน ทำไมเจ้าถึงได้ดีใจที่เห็นข้าฟื้น”
“เจ้านอนไปตั้งสองวัน รู้มั้ยว่าข้าว้าวุ่นหัวใจเพียงใด เมื่อฟื้นแล้วกินข้าวเสียหน่อยจะได้ดื่มยาต้ม ”
“ว่าแต่ข้ากลับมาที่ห้องได้อย่างไร”
“เรื่องมันยาวนะ ระหว่างที่เจ้ากินข้าวกินยาข้าจะเล่าให้ฟัง” ไป๋หนิงซินวางสำรับลงต่อหน้าอวิ๋นหลิง และเริ่มเล่าตั้งแต่วันที่องค์ชายเหลียงอวี้พานางมาส่งและเกิดการทะเลาะวิวาท ทำให้อวิ๋นหลิงซาบซึ้งน้ำใจและจำคำมั่นสัญญากับองค์ชายได้ นางหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารใส่ปาก ขนาดเขาเป็นผู้อื่นยังอยากให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไหนจะดวงตาความเป็นห่วงเป็นใยของไป๋หนิงซินที่มีต่อนางทำให้อวิ๋นหลิงคิดใหม่ ต่อจากนี้นางจะมีชีวิตอยู่ต่อ และเห็นคุณค่าของชีวิตเพื่อตอบแทบองค์ชายที่ช่วยชีวิตนางครั้งแล้วครั้งเล่า
หลายวันต่อมา
อวิ๋นหลิงถูกสั่งให้มาทำงานที่โรงครัวกับไป๋หนิงซินตั้งแต่ที่นางจับไข้ไท่หยางไม่ได้มาก้าวก่ายและมาหานางอีกเลย เขามีเรื่องที่ต้องเดินทางไปวังหลวงทำให้ช่วงนี้อาการหรือแม้แต่จิตใจของอวิ๋นหลิงดีขึ้นอย่างมาก องค์ชายสามเทียวแวะเวียนมาหาอยู่บ่อยครั้งเพื่อถามถึงอาการเจ็บไข้ ใบหน้าของนางเริ่มมีชีวิตชีวา รอยยิ้มที่แทบจะไม่เคยเห็นบัดนี้เริ่มคลี่ยิ้มเต็มดวงหน้าเมื่อนางได้พูดคุยทำเรื่องสนุกสนานกับไป๋หนิงซิน
“นานเท่าไหร่แล้วนะที่ข้าไม่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสเช่นนี้ เจ้าเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าใบหน้าไร้ชีวิตชีวาเสียอีก” เหลียงอวี้นำยาบำรุงร่างกายมามอบให้แก่อวิ๋นหลิงเห็นนางกำลังจ้องมองเหล่าผีเสื้อที่กำลังดอมดมดอกไม้อยู่ศาลากลางจวน
“องค์ชายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ หม่อมฉันไม่รู้สึกถึงเสียงเท้าเลยสักนิด”
“เพราะเจ้าไม่ได้จดจ้องที่ข้าแต่เจ้ากำลังจดจ้องที่เหล่าแมลงพวกนั้นมากกว่า แล้วนี่สหายเจ้าไปไหนเสียแล้ว”
“ไป๋หนิงซินไปลำธารซักผ้าของนางเพคะ หม่อมฉันจึงออกมาเดินเล่นที่สวน จริงสิหม่อมฉันลืมเสียสนิท หม่อมฉันขอบพระทัยในน้ำใจที่ท่านมีต่อหม่อมฉันนะเพคะ เพราะองค์ชายทำให้หม่อมฉันตัดสินใจได้หลาย ๆ อย่าง ตอนนั้นชีวิตของหม่อมฉันมืดมนเหลือเกิน แต่ทว่าองค์ชายกลับเป็นแสงสว่างช่วยชีวิตหม่อมฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ชีวิตทั้งชีวิตคงตอบแทนองค์ชายไม่หมดแน่ ๆ ”
“ข้าดีใจนะที่เจ้าเปลี่ยนความคิด ชีวิตของเจ้ามีค่ามากกว่าความตาย เรื่องที่ข้าพูดกับเจ้าวันนั้นข้ามิได้ลืมตอนนี้ข้ากำลังคิดหาหนทางช่วยอดทนรออีกสักหน่อยเถอะนะ ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่ให้ได้”
“เพคะ หม่อมฉันจะรอนะเพคะตอนนี้หม่อมฉันเสมือนแมลงเหล่านั้นที่ใฝ่ฝันบินขึ้นท้องฟ้าทะยานไปในที่ที่อยากไปใช้ชีวิตของตนเองโดยไม่มีผู้ใดมาคอยควบคุม หากว่าสุดท้ายแล้วท่านมิอาจจะช่วยหม่อมฉันได้ ได้โปรดช่วยปลดปล่อยหม่อมฉันในวันที่หม่อมฉันหมดแรงด้วยเถอะเจ้าค่ะ หม่อมฉันรู้ว่าองค์ชายทำได้และไม่มีเรื่องที่จะถูกผู้คนกล่าวหาเรื่องลงมือสังหารบุตรสาวของศัตรู ” อวิ๋นหลิงแม้จะคิดถึงการมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ก็คิดหาหนทางออกจากจวนแห่งนี้ยากเหลือเกิน นางเป็นเชลยมิใช่สาวใช้ธรรมดาที่มีเงินแล้วจะมาไถ่ตัวออกไปง่าย ๆ หากในวันหนึ่งองค์ชายไม่สามารถช่วยนางได้ นางก็อยากให้เขาช่วยปลดปล่อยและส่งนางไปสวรรค์แทน
“ไม่หรอก ข้าไม่มีวันให้เป็นเช่นนั้น ข้าจะทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือเจ้าเอง” นางหันมาคลี่ยิ้มบาง ๆ ที่แสนอ่อนโยนและขมขื่นใจก่อนจะจ้องมองไปด้านหน้าอีกครา ทั้งสองจ้องมองดูผีเสื้อแมลงปอบินว่อนอยู่บนท้องฟ้าด้วยความเงียบมีเพียงกระแสลมที่พัดผ่าน
ครั้นนั้นมีสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องมองอยู่ทางเดินด้วยสายตาอิจฉาริษยาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองบังเกิดความอิจฉาริษยาผู้อื่นอีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังเป็นสหายสนิทของเขาอีกด้วย เพราะตอนนี้สหายของเขาได้รอยยิ้มของนางที่เขาไม่ได้เห็นมานานแสนนาน แต่เขากลับทำให้นางยิ้มออกมาได้ ไท่หยางรีบสาวเท้าเดินกลับห้องด้วยความหงุดหงิดในใจ
บทที่ 28 ปล่อยวางอวิ๋นหลิงเงยหน้าขึ้นมองไปด้านอื่นน้ำตาไหลรินไม่ต่างกัน ความเจ็บปวดที่นางพบเจอล้วนแต่เป็นเขาที่เป็นคนทำมัน ความปวดร้าวเรื่องราวที่ผ่านมาจะให้นางให้อภัยได้อย่างไร เขายังคงกอดขานางแน่น อวิ๋นหลิงไตร่ตรองเป็นอย่างดีก่อนจะเอ่ยมาทำลายความเงียบภายในห้อง“แต่มีทางหนึ่งที่ท่านสามารถทำให้ข้าให้อภัยท่านได้ ” ไท่หยางเงยหน้าขึ้นจ้องมองนาง รีบลุกขึ้นไม่ว่านางจะให้เขาทำอะไรข้ายอมทั้งนั้นหากมันจะทำให้นางให้อภัยเขาได้ และเขาจะได้ไถ่โทษกับตระกูลของนาง“ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำอะไร ข้าทำให้เจ้าได้ทั้งนั้นหากเจ้ายอมให้อภัยข้าในสิ่งที่ผ่านมา”“ปล่อย.. ปล่อยข้าไปอย่าได้รั้งกันไว้อีกเลย เพียงเท่านี้เราทั้งสองก็เจ็บปวดมามากพอแล้ว ข้าไม่อาจทนเห็นใบหน้าของท่านได้อีกความเกลียดความแค้นมันมากมายเหลือเกิน เพียงเห็นใบหน้าของท่าน ข้าก็อดที่จะคิดถึงเรื่องราวที่ท่านเคยทำไว้ไม่ได้ ได้โปรดปล่อยข้าไปเสีย ข้าจะอภัยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเราหมดวาสนาต่อกันเพียงเท่านี้เถิด ข้าเหน็ดเหนื่อยไม่อยากจะพบเจอเรื่องเช่นนี้อีกต่อไป ...” ไท่หยางหมดเรี่ยวแรงปล่อยมือออกจากกายของนาง ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่ตนเองก่อขึ้นมา“ข้ารู้ว
บทที่27 ความจริงที่แสนเจ็บปวดครั้นสองเท้าย่างกรายออกมาด้านนอกบัดนี้กองกำลังของเขาถูกล้อมไปด้วยทหารของแคว้นหยางอันจนหมดสิ้น โดยมีแม่ทัพหลิวไท่หยางยืนรอเขาอยู่ด้านหน้าจวน“เจ้าช้ากว่าข้าไปหนึ่งก้าว ยอมแพ้แต่โดยดีเพราะตอนนี้แคว้นของเจ้าถูกคนของข้าล้อมรอบไว้หมดแล้ว” ไท่หยางป่าวประกาศน้ำเสียงเข้มขรึมน่าเกรงขาม อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน นี่เขาพลาดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดว่าเพียงแค่นี้ข้าจะยอมแพ้หรือ แคว้นฉู่ของข้า ยอมตายแต่ไม่ยอมลดศักดิ์ศรีเด็ดขาด พวกเราลุกขึ้นสู้เพื่อแคว้นของเรา” ชางถิงพูดปลุกใจของเหล่าทหารชั่วพริบตาเดียวกองทัพทหารของแคว้นฉู่ได้วิ่งกรู่ออกมาอีกจำนวนมาก เริ่มปะทะสู้กันอย่างดุเดือด ยามนี้แคว้นฉู่นองเลือดจนกลิ่นคละคลุ้งผู้คนเริ่มล้มตายจากการต่อสู้ และแล้วเขาก็ตกอยู่ใต้ดาบของหลิวไท่หยาง กายเต็มไปด้วยเลือดของศัตรูอาบใบหน้า ถือดาบจ่อที่คอของชางถิง“ฮ่า ฮ่า ในที่สุดเจ้าก็ชนะข้า เอาสิบั่นคอข้าไปเลยเจ้าจะได้นำชัยชนะกลับไป เอ๊ะเดี๋ยวสิ! ข้าจะบอกแก่เจ้าก่อนแล้วกัน ข้าได้ยินมาว่าจับตัวบุตรสาวของจางชิงหลงแคว้นหนานไฮ้ไปเพื่อแก้แค้นนางใช่หรือไม่ อีกอย่างเจ้าเองก็ลงมื
บทที่ 26 รับไว้เพียงไมตรีมิอาจจะรับความรักของท่านได้ฝั่งด้านอวิ๋นหลิงตั้งแต่หลังจากกลับมาจากวันนั้น นางไม่ได้พบเจอหน้าไท่หยางอีกเลย ได้ยินผ่านจากไป๋หนิงซินว่าเขาปลอดภัยดีนางเองก็สบายใจทำงานเหมือนอย่างเคย แม้จะอยู่ห้องใกล้ ๆ กันกับเขาแต่ทว่านางไม่เคยคิดจะก้าวเข้าไปหาเขาเลยด้วยซ้ำ“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ ? ” ไป๋หนิงซินยื่นหมั่นโถวให้นางพลางย่อนกายนั่งลงข้าง ๆ ช่วงนี้เหมือนหิมะจะหยุดตกแล้วทว่ายังมีความเยือกเย็นหลงเหลืออยู่ในอากาศ หมั่นโถวร้อน ๆ พอทำให้คลายหนาวได้บ้าง“ขอบใจนะ ข้าเพียงแค่คิดว่าหากข้าไม่กลับมาเจ้าจะเป็นอย่างไร คิดถึงข้าบ้างหรือไม่?”“ถามมาได้ขนาดเจ้าหายไปเพียงหนึ่งคืนข้าแทบนอนไม่หลับ กระวนกระวายไปหมดไม่เห็นหรือไงว่าข้าดีใจแค่ไหนที่เจ้ากลับมา ” ไป๋หนิงซินเอ่ยพลางกินหมั่นโถวเข้าปากคำใหญ่“นั่นสินะ ... ถ้าตอนนั้นข้าเลือกที่จะทิ้งไท่หยางและหนีไปตอนนี้ชีวิตของข้าจะเป็นอย่างไรนะ”“อย่าบอกนะว่าเจ้ามีโอกาสหนียามที่ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บนะ”“อื้ม ...แม่ทัพของเจ้าบอกให้ข้าหนีไปยามมีโอกาสแต่ไม่รู้ทำไมข้าถึงไม่หนีกันนะ อาจจะเป็นเพราะว่าข้าเกรงว่าเจ้าจะร่ำไห้เพราะเป็นห่วงข้านะสิ ฮึ ฮึ”
บทที่ 25 แม่ทัพถูกโจมตีจวนแม่ทัพหลิวไท่หยางไป๋หนิงซินเฝ้ามองไปที่ประตูจิตใจกระวนกระวายเป็นห่วงอวิ๋นหลิง นี่ก็ยามซวี (19.00) แล้วทั้งสองคนยังไม่กลับเข้าจวนอีกทั้งหิมะก็ตกแรงมากกว่าเดิม นางมิอาจจะเก็บความเป็นห่วงเอาไว้ได้รีบย่างกรายไปหาหลวนฮวานที่ยืนอยู่หน้าห้องของแม่ทัพไท่หยาง“หลวนฮวานทำไมท่านถึงใจเย็นได้ ไม่ร้อนใจเลยหรือ?เมื่อไหร่ท่านแม่ทัพจะพาอวิ๋นหลิงกลับจวน ข้าชักเป็นห่วงจริง ๆ หวังว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับท่านแม่ทัพหรอกใช่มั้ย”“เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย ท่านแม่ทัพมีฝีมืออีกไม่นานก็คงกลับมา” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้นแต่ใจของหลวนฮวานก็เป็นห่วงท่านแม่ทัพเช่นเดียวกัน ทว่ายามนั้นมีทหารใบหน้าแตกตื่นวิ่งเข้ามาแจ้งให้หลวนฮวานได้รับรู้“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เรื่องอะไรกันทำไมเจ้าถึงได้รีบร้อนวิ่งมาถึงเพียงนี้”“ข้าออกไปดื่มสุราที่โรงเตี๊ยมมาเมื่อครู่ได้ยินเรื่องของท่านแม่ทัพ มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ หุบเขามาพูดคุยกันเรื่องของแม่ทัพไท่หยางเขาขึ้นไปเก็บสมุนไพรและเห็นว่าท่านแม่ทัพกำลังถูกคนของแคว้นฉู่ไล่ล่า คนของพวกนั้นมากันมาเหลือเกินไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านแม่ทัพจะเป็น
บทที่ 24 หนีไปสิตอนที่เจ้ามีโอกาสสีหน้าของเขาเริ่มซีดเซียวขาวเผือกไร้เลือดฝาด นางพยุงเขาเข้ามาด้านในพร้อมจับเขานั่งลงพิงผนังหิน กลิ่นเลือดคละคลุ้งเต็มอากาศยังคงไหลไม่หยุด อวิ๋นหลิงจ้องมองฝ่ายตรงข้ามพร้อมครุ่นคิดหากนางจะใช้โอกาสนี้ในการหลบหนีคงไม่ยากเพราะเขาคงไม่มีเรี่ยวแรงจะตามนางได้ทันแน่ ๆ นางต้องการหลุดพ้นจากเขาจึงช่างใจคิดครู่ใหญ่ และเหมือนว่าไท่หยางจะรู้ถึงความคิดของนาง“เจ้าคงคิดอยากจะทิ้งข้าไว้และหนีข้าไปสินะ เอาสิยามนี้เป็นเวลาที่เจ้าจะได้หลุดพ้นจากเนื้อมือของข้าแล้ว โอกาสที่เจ้าจะหนีจากข้ามาถึงแล้วปล่อยให้ข้ารอความตายอยู่ที่นี่โดยมิต้องใส่ใจข้า แต่ถ้าหากว่าข้ารอดไปได้ข้าจะตามหาเจ้าต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินทั่วใต้หล้าข้าก็จะตามหาเจ้าให้เจอ เมื่อนั้นอย่าหวังว่าจะหนีข้าไปได้เพราะข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอีก” น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายคนกำลังหมดแรงเอ่ยออกมาโดยใช้กำลังทั้งหมด อวิ๋นหลิงเริ่มลังเล หากนางจะหนีเขาไปนางจะไม่มีทางให้เขาหานางได้พบเลย นางหันไปมองหน้าถ้ำก่อนจะหันกลับมามองไท่หยางอีกครา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ลุกขึ้นยืนและวิ่งออกไปจากถ้ำทันที ปล่อยให้เขาอยู่ในถ้ำรอความตายและทนความเจ็บปวดที่กำ
บทที่ 23 จำไม่ได้‘คำพูดของนางทำให้จิตใจของข้าสั่นคลอนได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ ?’ “เฮ้อ ! เจ้าคิดว่าเจ้าพบเจอเพียงเท่านี้แล้วข้าจะหายโกรธแค้นหรืออย่างไรกัน เพียงเท่านี้ยังน้อยไปกับที่ท่านแม่ข้าพบเจอ เลิกทำสายตาสีหน้าเบื่อโลกเสียข้าบอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่มีทางให้เจ้าตายจากข้าไปง่าย ๆ ที่ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพราะอยากตอกย้ำความเจ็บปวดเจ้าเท่านั้น เจ้าจำที่นี่ไม่ได้เลยหรือ” อวิ๋นหลิงหมดสิ้นความหวังที่เขาจะผลักนางลงเหว เขาก็ยังคงเป็นเช่นนี้เสมอเป็นชายที่ไร้ใจอำมหิตไม่ยอมปล่อยให้นางได้ทำตามความปรารถนานางกวาดสายตามองไปด้านหน้า เทือกเขาสูงชันแม้ท้องฟ้าจะไร้แสงอาทิตย์แต่นางยังคงมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน แต่ทว่าความทรงจำของอวิ๋นหลิงกลับจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าที่นี่มีความหมายต่อนางอย่างไร แล้วทำไมนางต้องเจ็บปวดด้วยเล่า“ข้าไม่เห็นอันใดแม้แต่น้อยเห็นแต่หุบเขา ท่านต้องการสิ่งใดกับข้ากันแน่ หากไม่ต้องการผลักข้าตกเหวแล้วสิ่งใดกันในที่นี่จะทำให้ข้าเจ็บปวด ” น้ำเสียงนิ่งเรียบตอบกลับอย่างไร้ความรู้สึก ทำให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นทันตา เพราะสถานที่นี้คือที่ที่เขาเคยพานางเมื่อยามที่รักกันปานจะกลืนกินก่อนที