เรือนตระกูลหลี่บัดนี้ได้อยู่พร้อมหน้า ภายในเรือนหลังเก่ามีแต่เสียงหัวเราะแห่งความสุข แม้จะทุกข์ยากทว่ากลับมีความอบอุ่นแฝงอยู่ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวอย่างแท้จริง
หลี่จิ้งจงแต่งงานกับโจวกุ้ยเหนียงมาสี่สิบปีมีบุตรชายหญิงรวมกันสามคน บัดนี้ทุกคนต่างมีครอบครัวเป็นของตนเองทว่าก็ยังอยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคี
ห้องนอนเดิมที่เคยเป็นของหลี่หลันฮวาต่อมายกให้หลี่ฮุ่ยซิ่วบุตรสาวคนโตของสะใภ้รองสวีเจียงเหมย ปีก่อนนางแต่งงานออกเรือนไปห้องนั้นจึงว่างลงอีกครั้ง บัดนี้แม่ลูกสี่คนรวมถึงอาเหิงจำต้องใช้ห้องนั้นเป็นการชั่วคราว
หลี่หลันฮวามองห้องเล็กที่ต้องเบียดเสียดกันนอนด้วยสีหน้าไม่สบายใจ ตนเองมาพึ่งพ่อแม่ก็เกรงใจพี่สะใภ้ทั้งสอง โชคดีที่พวกนางต่างใจกว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่ตนหอบลูกกลับมา
“ท่านแม่...ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าคิดว่าเราคงไม่ได้เบียดกันอยู่ห้องนี้นานนักหรอก ตอนนี้ข้ามีความคิดหาเงินสร้างบ้านหลังใหญ่ให้พวกเราอยู่อย่างสบาย ต่อไปทุกคนจะมีห้องส่วนตัวเป็นของตนเอง ข้าสัญญา”
หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางของนางสองสามวันมานี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทว่าการเปลี่ยนแปลงนี้กลับทำให้คนรู้สึกมีความมั่นคง
“อาเหิงจะนอนกับภรรยา ไม่เอาห้องส่วนตัว”
“ได้ๆ ข้ารู้แล้ว อาเหิงน้อย”
หลี่หลันฮวาหัวเราะท่าทางของชายหนุ่มที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของบุตรสาว ตั้งแต่ที่เขามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเป่าเอ๋อก็เหมือนมีเพื่อนเล่นเพิ่มขึ้นมาอีกคน
หลังจากเก็บข้าวของที่ชาวบ้านสือซานให้มาเรียบร้อยแล้ว เวลานี้พระอาทิตย์ยังลอยอยู่สูง เซี่ยชิงหลีจึงคิดออกสำรวจภูเขาของหมู่บ้านสือโถวดูสักหน่อย ที่นี่กับหมู่บ้านสือซานห่างกันเพียงเขาลูกเดียวภูมิประเทศคงไม่ต่างกันมากนัก
เมื่อนางก้าวขาออกจากเรือน อาเหิงก็รีบวิ่งตามมาเหมือนหางน้อยๆ ของนาง ด้านหลังยังมีเซี่ยชิงเป่าน้องเล็กของบ้าน
“พวกเจ้ากำลังทำอะไร”
หญิงสาวมองตะกร้าสะพายหลังพร้อมอุปกรณ์ของคนทั้งสอง ท่าทางเตรียมพร้อมราวกับรู้ว่าตนเองกำลังจะขึ้นเขา
“พี่รอง ท่านกำลังจะขึ้นเขาใช่ไหม ข้ากับพี่อาเหิงจะตามไปด้วย”
“อันตราย ลืมไปแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้ท่านแม่ถูกหมูป่าทำร้าย เจ้าไม่กลัวแล้วหรือ”
“เป่าเอ๋อ....ไม่กลัว”
เสียงเล็กๆ แผ่วลงไร้ความมั่นใจ ยามเมื่อเอ่ยถึงเรื่องอุบัติเหตุของมารดา เซี่ยชิงหลีเกรงว่าจะเป็นปมในใจน้องสาวจึงยินยอมให้นางตามตนเองขึ้นเขาด้วย
“ได้ๆ เช่นนั้นพวกเจ้าเดินตามข้า ห้ามห่างเด็ดขาด”
สามคนเดินขึ้นเขาตามเส้นทางที่ชาวบ้านเคยใช้สัญจร เซี่ยชิงหลีมองทุ่งนาเขียวขจีราวกับผืนพรมแห่งธรรมชาติที่ถูกปูคลุมไปทั่วผืนดิน
ต้นข้าวตั้งเรียงเป็นระเบียบแกว่งไกวเบาๆ ตามแรงลมภายใต้แสงแดดอ่อน เสียงใบข้าวเสียดสีกันเป็นจังหวะ ชวนให้รู้สึกสงบ
ยามเมื่อแสงแดดส่องกระทบยอดรวงข้าวสีเขียวอ่อน ดูราวกับอาบไว้ด้วยประกายทองระยิบระยับ ผีเสื้อหลากสีบินว่อนเคล้ากลิ่นหอมของดอกไม้ป่า ขอบฟ้าด้านไกลมีแนวภูเขาสีน้ำเงินจางเป็นฉากหลัง เติมเต็มภาพให้สมบูรณ์เรียบง่ายและงดงาม
ทั้งสามเดินตามไปเรื่อยๆ สองข้างทางเป็นคันนาแคบที่ทอดยาวไปตามแปลงข้าว มีรอยเท้าของชาวนาและควายไถพาดผ่าน กลิ่นไอดินและลมเย็นที่พัดโชยมา ยิ่งตอกย้ำว่าที่นี่คือหัวใจของผืนแผ่นดินที่เต็มไปด้วยชีวิต ความอุดมสมบูรณ์ และความสุขอันเรียบง่ายที่แท้จริง...
“พวกเจ้าสามคนเป็นเด็กบ้านหลี่หรือ กำลังจะไปไหนกันล่ะ”
ชาวบ้านที่กำลังถอนหญ้าในแปลงนาถามขึ้นอย่างใจดี เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินผ่าน
“ขึ้นเขาเจ้าค่ะ ท่านลุงท่านป้า”
ร่างบางพยักหน้าให้พวกเขาเล็กน้อย
“ระวังหมูป่าด้วยนะ ช่วงนี้มีคนเห็นมันพาฝูงลงมาแถวตีนเขา”
“ได้เจ้าค่ะ พวกเราจะระวัง ขอบคุณท่านมาก”
ชาวบ้านเอ่ยเตือนเด็กทั้งสามอย่างจริงใจ เซี่ยชิงหลีรับรู้ถึงความจริงใจเหล่านั้นจึงขอบคุณด้วยความจริงใจเช่นเดียวกัน
สามคนเดินขึ้นเขาช้าๆ ไม่เร่งรีบ เมื่อถึงสันเขาช่วงหนึ่งพบว่าบนภูเขาฟากนี้เป็นป่าสนเกือบทั้งหมด ความคิดหนึ่งของเซี่ยชิงหลีในการหาเงินเข้ากระเป๋าได้ผุดขึ้นมารางๆ
ร่างบางเขี่ยใบสนที่ปกคลุมหน้าดินออก แล้วก็เป็นอย่างที่นางคิด เห็ดสนดอกใหญ่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้กองใบไม่เหล่านี้ หากนำไปตากรมควันให้แห้งน่าจะเก็บไว้กินได้หลายมื้อ
เมื่อหญิงสาวลองสังเกตให้ทั่วพบว่าที่นี่ยังมีเห็นสนที่กำลังผุดดอกแทงดินขึ้นมาอีกมากมาย ถ้ามีมากขนาดนี้แสดงว่าคนที่นี่นี้ยังไม่รู้วิธีนำเห็ดมาทำอาหาร ไม่อย่างนั้นคงไม่เหลือมาถึงพวกตน
พบของดีแล้ว
“เป่าเอ๋อ อาเหิง พวกเจ้าสองคนมานี่ วันนี้ทำหน้าที่เก็บเห็ดเหล่านี้ให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่ดอกเดียว”
หญิงสาวมอบตัวอย่างเห็ดสนให้กับทั้งสอง ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง....ก่อนหน้านี้ชาวบ้านได้เตือนแล้วว่ามีหมูป่าเดินอยู่แถวนี้
ในเมื่อไม่มีร่องรอยของพวกมันแสดงว่าที่นี่น่าจะยังปลอดภัย หญิงสาวเดินหาร่องรอยของหมูป่ากระทั่งออกห่างจากหลี่ซางเป่าและอาเหิงไปพอสมควร จึงได้เห็นรอยเขี้ยวขุดรากไม้ทิ้งเอาไว้
หญิงสาวเห็นมูลของมันที่กองเป็นทางห่างออกไป จึงลองเดินตาม ทว่าเมื่อถึงช่วงหนึ่งที่เป็นป่าไม้หนาทึบ เซี่ยชิงหลีเดินฝ่าดงเหล่านั้นไปจึงได้เห็นหมูป่ากลุ่มหนึ่งกำลังขุดดินกินรากไม้อย่างสบายอารมณ์
อีกฝั่ง...ยังมีหมูป่าตัวใหญ่นอนเอกเขนกอยู่ด้านหนึ่งใกล้กับโคนต้นไม้ ส่วนตัวเล็กลงมากำลังนอนกลิ้งเกลือกในปลักดินที่มีโคลนเหลวสีดำ
“ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งอาหารเย็นมาให้”
ร่างบางพึมพำเสียงเบา เพื่อกลบกลิ่นกายมนุษย์เซี่ยชิงหลีจึงล้มตัวคลุกกายกับปลักโคลนเช่นเดียวกับหมูป่าเหล่านั้น ในมือของนางมีมีดพร้าอันใหญ่กระชับมั่นในมือ
แม้หญิงสาวจะคลานเข้าใกล้อาหารเย็นที่ยังมีชีวิต ทว่าพวกมันก็ไม่มีทีท่าจะรู้ตัว กระทั่งร่างบางหยุดลงด้านข้างของเจ้าหมูป่าตัวเขื่องที่นอนอยู่ใกล้กับโคนต้นไม้
มีดในมือฟันฉับลงไปอย่างรวดเร็ว ส่วนคอที่มีแต่ไขมันหนาขาดสะพายแล่ง ทันใดนั้นบริเวณโดยรอบก็เกิดโกลาหลขึ้น
เซี่ยชิงหลีส่งเสียงร้องคำรามโห่ไล่ตัวที่เหลือกลับเข้าไปในป่า ส่วนหมูป่าเคราะห์ร้ายบัดนี้นอนดิ้นพล่านตีดินแตกกระจายเพราะยังตายไม่สนิท
เซี่ยชิงหลีตัดไม้ทำคานหาม วันนี้เดินขึ้นเขาใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม หากต้องหามหมูป่าลงไปด้วยน่าจะใช้เวลาไม่น้อย ต้องรีบกลับบ้านก่อนที่จะมืด ไม่อย่างนั้นมารดาจะเป็นห่วง
หญิงสาวเดินกลับไปยังจุดที่ทิ้งน้องสาวและอาเหิงเอาไว้ ทั้งสองยังคงนั่งเก็บเห็ดสนตามคำสั่งอย่างซื่อสัตย์
“อาเหิง...เจ้าไปช่วยข้าแบกหมู่บ้านที่ด้านนั้นที”
หญิงงามก่อนหน้านี้ที่ขึ้นเขามาพร้อมพวกเขา บัดนี้กลายเป็นมนุษย์โคลนที่มองเห็นแค่ดวงตา อาเหิงตกใจรีบวิ่งไปหลบด้านหลังเซี่ยชิงเป่า
“เจ้าเป็นใคร!”
หญิงสาวถอนหายใจอย่างระอา นางใช้มือปาดโคลนออกจากใบหน้า ทว่านั่นก็ยังดูน่าเกลียดอยู่ดี
ชายชุดดำกระชากสาบเสื้อของหมอวัยกลางคนจนหลุดลุ่ย เวลานั้นเองเซี่ยชิงหลีได้เอ่ยแทรกขึ้น“นี่!...ให้ข้าลองดูได้หรือไม่”“เจ้าเป็นใคร!”ชายชุดดำหันขวับมาที่นางทันที สายตาที่จับจ้องมานั้นราวกับจะสังหารคนเสียให้ได้“ข้าคือคนที่ผ่านทางมาและพอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง”หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“แม่นาง...เจ้าอย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเลย ไม่เห็นหรือว่าเขาตายไปแล้ว ถ้าหากเจ้าช่วยคนผู้นี้ไม่ได้เจ้าอาจต้องตาย เห็นหรือไม่เขามีอาวุธ”ชาวบ้านที่เข้ามามุงดูช่วยเอ่ยทัดทานหญิงสาว“ข้ารู้...”แม้จะรู้เช่นนั้น เซี่ยชิงหลีก็ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา ช่างผิดวิสัยของคนปกตินักหญิงสาวใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าของคนผู้นั้น นางพลันจดจำได้ทันที เขาคือชายชราที่อยู่กับอาจารย์ใหญ่จ้าว เหตุใดถึงได้มาอยู่ที่นี่ ชายชุดดำเห็นสายตาของหญิงสาวดูเปลี่ยนไปเหมือนกับนางเคยรู้จักนายท่านของตนมาก่อน เขาทำท่าชักกระบี่ทว่าคนที่มาด้วยห้ามเอาไว้“เจ้าคนหนึ่งมานี่ ทำตามที่ข้าบอก”เซี่ยชิงหลีจัดท่าให้ชายชรานอนหงายแล้วเปิดทางหายใจให้โล่ง ด้วยการกดหน้าผากและยกขากรรไกรล่างขึ้น จากนั้นสั่งให้ชายชุดดำผายปอดให้ชายชราตามวิธีการของนางผู
“เนื้อกวางหรือ หอหว่านหรงของเรารับซื้อทว่าเห็ดป่านั้น...เจ้าให้ข้าดูก่อนได้หรือไม่”ชายหนุ่มมีท่าทีลังเล เซี่ยชิงหลีพอเข้าใจเพราะก่อนหน้านี้คนบ้านหลี่ก็แสดงสีหน้าไม่ต่างกัน ไม่ใช่เห็ดทุกชนิดที่จะสามารถกินได้“ได้แน่นอนเจ้าค่ะ”หญิงสาวเปิดผ้าคลุมตะกร้าออก เห็ดสนที่ถูกล้างอย่างดีวางเรียงภายในตะกร้าอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดมพบว่ามันส่งกลิ่นหอมชวนให้นึกถึงป่าเขียวชื้นในยามเช้า มันไม่ใช่กลิ่นหอมหวานฉุนหรือสดใสเหมือนดอกไม้ หากแต่เป็นกลิ่นหอมที่อบอุ่น ลุ่มลึก และเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว“นี่คือเห็ดอะไรหรือ”“สิ่งนี้คือเห็ดสนเจ้าค่ะ ชาวบ้านอย่างเราใช้ปรุงอาหารสามารถทำได้หลายอย่าง หากผู้ดูแลวางใจข้าจะลองทำให้ทานสักสองสามอย่าง”ชายหนุ่มครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้าอนุญาต“ได้...เช่นนั้นเจ้าตามเขาเข้าไปในครัว”เซี่ยชิงหลีเดินตามเสี่ยวเอ้อเข้าไปด้านหลังร้าน ที่นั่นมีพ่อครัวอยู่สี่ห้าคนกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร เพียงหญิงสาวก้าวเข้าไปทุกอย่างก็หยุดชะงักลง“ต่อเลยเจ้าค่ะ ต่อเลย ไม่ต้องสนใจข้า ข้าเพียงแวะมาชั่วคราวเท่านั้น”หญิงสาวคำนับให้เหล่าพ่อครัว จากนั้นเริ่มทำอาหารของตนเมื่อ
เพราะการแต่งกายที่ดูซอมซ่อของทั้งสาม ยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าหอกุ้ยเซียงก็ถูกไล่ตะเพิดออกมา เซี่ยชิงหลีแอบสบถในใจ วันหน้านางสัญญาว่าจะทำให้ที่นี่เจ๊งไม่เป็นท่าหลังจากออกจากหอกุ้ยเซียงทั้งสามก็ตรงไปเหลาอาหารและสุราที่ชื่อหว่านหรง ซึ่งชาวอำเภอหลิงหนานต่างรู้ดีว่าสองร้านนี้เป็นคู่แข่งกันมาช้านาน ทว่าหอกุ้ยเซียงนั้นมีทั้งหญิงสาวงดงามที่คอยให้บริการและยังมีกวีนักเล่าเรื่องมาคอยเล่านิทานให้เหล่าลูกค้าได้เพลิดเพลิน ทำให้หอหว่านหรงต้องตกเป็นรอง“เจ้ามาทำอะไรที่นี่!”ยังไม่ทันจากไปหญิงสาวก็ถูกขวางทางโดยคนที่เกลียดขี้หน้าที่สุด เซี่ยจิ่งเฉิง ที่พึงออกจากหอกุ้ยเซียงเดินโซเซตรงมายังนาง เมื่อได้พบคนที่ไม่ชอบหน้าหญิงสาวมีหรือจะยอมพูดดีด้วย“เกี่ยวอันใดกับเจ้า”“ก็เพราะ...ขะ...ข้าคือพี่ชายของเจ้า! เอ๊ะ!เหตุใดเจ้าพูดได้!...แล้วช่างเถอะ...เหตุใดจะไม่เกี่ยวกับข้า บอกมาว่าเจ้ามาทำอะไรที่อำเภอหลิงหนาน”เซี่ยจิ่งเฉิงคิดคว้าแขนหญิงสาวมาซักถามให้รู้เรื่อง ทว่านางกลับหมุนตัวหลบทำให้เขาเสียจังหวะล้มคว่ำไป“เจ้า!..”เมื่อถูกนางทำให้ต้องได้รับความอับอายบวกกับฤทธิ์สุราทำให้เขาลืมไปแล้วว่าก่อนหน้าหญิงสาวเคยทำอะไรเอ
ชายหนุ่มก้มตัวลงแตะริมฝีปากลงบนแก้มนวลแผ่วเบา ก่อนจะยิ้มกว้างและหัวเราะด้วยความดีใจ“เย้! อาเหิงได้รับรางวัลแล้ว”ทุกคนที่ยืนอยู่ในที่นั้นต่างมองการกระทำของเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง อาเหิงแม้จะดูใสซื่อและบริสุทธิ์ทว่ากลับทำให้คนกำหมัดอยากจะชกหน้าสักครั้งร่างบางถูกฉวยโอกาสโดยไม่ทันตั้งตัว ดวงตางามเบิกโพลงเล็กน้อย ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีราวกับเลือดทั้งหมดพุ่งตรงขึ้นมาที่พวงแก้มในเสี้ยวอึดใจ หัวใจของนางเต้นแรงจนแทบทะลุออกมา“อ๊ะ…!”เซี่ยชิงหลีหันขวับไปมองร่างสูง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจปนเขินอาย ริมฝีปากบางขยับเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างทว่าไม่มีคำใดหลุดออกเลยนอกจากเสียงพึมพำในลำคอ มือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะแก้มของตนแผ่วเบา ราวกับยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง… หรือฝันไป“ภรรยา เจ้าเป็นอะไรหรือ”ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงสาวด้วยดวงตาใสซื่อ“ขะ...ข้า พวกเรากลับกันได้แล้ว”ร่างบางรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาล้อเลียนของทุกคนภายหลังเมื่อคนตระกูลหลี่กลับมายังหมู่บ้าน ข่าวที่บ้านหลี่ล่ากวางตัวใหญ่ได้ก็ถูกลือกระฉ่อนในชั่วพริบตา เซี่ยชิงหลีคือเพชฌฆาตคนนั้น ทุกคนจึงรอฟั
“หลีเอ๋อ เจ้าจะบอกว่าตนเองรู้เรื่องสมุนไพรหรือ”“ใช่สิเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ข้าได้ไหว้หมอพเนจรท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ กระทั่งตอนนี้ที่พูดได้ก็ไม่ใช่ฝีมือของอาจารย์ข้าหรือ”ชายชราหันมายิ้มกับหลานสาวผู้โชคดีของตน“ดี! ดีจริงๆ ไม่คิดว่าในความโชคร้ายของพวกเจ้าจะยังมีเรื่องดีๆ อยู่ด้วย นี่ท่านแม่ของเจ้ารู้เรื่องนี้หรือยัง”“อืม...ท่านแม่ของข้าจะรู้หรือไม่นั้น...บาดแผลของนางข้าก็เป็นคนรักษา อีกอย่างข้ายังคิดว่าจะใช้ความรู้ของตนพัฒนาเป็นอาชีพ ต่อไปครอบครัวของเราจะต้องร่ำรวยไปด้วยกัน”สองตาหลานเดินพูดคุยอย่างเพลิดเพลิน หูที่ได้รับการฝึกฝนของเซี่ยชิงหลีพลันได้ยินความเคลื่อนบางอย่างที่อยู่ห่างออกไป“ท่านตา!...รอสักครู่”หญิงสาวเปลี่ยนจากท่าทางที่ดูขี้เล่นเป็นจริงจังในทันที ร่างบางย่องตามเสียงนั้นไปเมื่อพ้นเขตป่าสมุนไพรกลายเป็นลานทุ่งกว้าง ที่นั่นมีสัตว์ป่ามากมายกำลังเล็มหญ้าอย่างเพลิดเพลินทันใดนั้นกวางหนุ่มตัวเขื่องค่อยๆ ก้าวเดินออกมาจากแนวพุ่มไม้มันเดินทอดน่องอย่างเชื่องช้า ด้วยจังหวะที่สงบและเปี่ยมด้วยความมั่นใจ จมูกของมันก้มลงเล็มยอดหญ้าอ่อนสีเขียวสดอย่างละเมียดละไม ทว่าทุกอิริยาบถเต็มไปด้วยความร
หลี่หมิงเจ๋อบุตรชายคนเล็กของลุงรองที่กำลังจะแต่งงานในปีหน้าถามหญิงสาวด้วยท่าทางสงสัย อาหารขึ้นโต๊ะวันนี้มีมากกว่าอาหารที่กินในวันปีใหม่เสียอีก แต่ส่วนใหญ่ทำจากเห็ดที่นางเก็บมาวันนี้“ทานได้แน่นอน ข้าจะทานให้ท่านดู...”หญิงสาวใช้ตะเกียบคีบเห็ดเข้าปาก“เห็ดเหล่านี้ล้วนเป็นเห็ดที่ขึ้นเฉพาะที่ที่มีต้นสนขึ้น มันเรียกว่าเห็ดสน นี่คือเห็ดสนผัดน้ำมัน ส่วนนี่เห็ดสนผัดไข่ นี่คือเห็ดสนผัดรวมมิตรเนื้อหมูป่า เห็ดสนคั่วพริกเกลือและเห็ดสนย่างราดน้ำจิ้มที่ข้าทำเอง และรายการอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้าคิดขึ้นมา”วันนี้เก็บเห็ดสนได้สองตะกร้าใหญ่ โชคดีที่ชาวบ้านสนใจหมูป่าจึงไม่มีใครตามมาดูว่าในตะกร้าของพวกเขามีอะไรบ้างแม้หญิงสาวจะเอ่ยเช่นนั้นทว่าคนบ้านหลี่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือทาน มีเพียง อาเหิง เซี่ยจื่ออี้ และเซี่ยชิงเป่าที่ทานอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งยังชมฝีมือการทำอาหารของหญิงสาวไม่หยุดปาก“น่าจะทานได้ไม่มีพิษกระมัง ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ต้องมีอาการแล้ว”ตู้เฟิงอิงหันไปเอ่ยกับสามี“ข้าจะเป็นคนเสียสละทดลองเอง”หลี่เยว่หยางน้องชายของหลี่เยว่สิงลูกชายคนเล็กของบ้านใหญ่ ปีนี้อายุสิบหกอยู่ในวัยที่ใกล้เคียงกับเ