ในใจของนางคิดว่า หากตนเลือกเกิดได้ก็ไม่อยากเกิดเป็นคนตระกูลเซี่ยเหมือนกัน เหล่าชาวบ้านต่างคุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้ของตระกูลเซี่ยแล้ว ทุกวันมักมีเรื่องถกเถียงกับบุตรสาวคนเล็กของบ้านรอง
สุดท้ายลงเอยที่นางถูกลงโทษอยู่เป็นประจำ บ้านไหนมีใครไม่เคยตีลูกหลานบ้าง อีกอย่างนี่ก็ไม่ใชเรื่องของพวกตน พวกเขาจึงทำได้เพียงยืนมองอยู่ห่างๆ
“เถียงสู้ไม่ได้ก็เอาความอาวุโสเข้าข่ม ความยุติธรรมบนโลกใบนี้อยู่ที่ใด”
เด็กน้อยกลอกตาด้วยความรำคาญ ในสายตาของเซี่ยชิงหลีเซี่ยชิงเป่าเกิดมาเพื่อเป็นคู่ปรับกับแม่เฒ่าหวังโดยแท้ ร่างบางที่กอดอกยืนฟังอย่างเงียบๆ หลุดขำพรืดออกมา ทว่าก็รีบเก็บสีหน้าก่อนจะที่มีคนเห็นเข้า
เมื่อตนเถียงสู้เด็กน้อยแปดขวบอย่างเซี่ยชิงเป่าไม่ได้ แม่เฒ่าหวังจึงเลิกแสดงละคร หญิงชราลุกขึ้นยืนสะบัดเสื้อผ้าที่สกปรกก่อนชี้ไปยังคนบ้านรอง
“ได้! ได้! ข้าไม่เถียงกับพวกเจ้าแล้วก็ได้ บ้านรองของพวกเจ้าคนไหนจะเป็นผู้รับการลงโทษ จงเดินออกมา”
แม่เฒ่าหวังมองเห็นแววอยู่ไกลๆ ว่าตนอาจไม่ใช่คู่มือของหลานสาวผู้นี้ ช่างเถอะ!ไก่ตัวนั้นคนก็กินจนหมดแล้ว หากไม่หาทางระบายความโกรธใส่คนเหล่านี้ เห็นทีตนเองคงจะไม่สามารถนอนหลับได้
“ข้าจะขอรับโทษครั้งนี้เอง!!”
เซี่ยจื่ออี้เดินกะเผลกออกมาขวางน้องทั้งสองและมารดาเอาไว้ด้านหลัง
“ดี เจ้าหมาป่าตาขาว เช่นนั้นก็จงรับโทษเสีย”
แม่เฒ่าหวังเอ่ยกับชายหนุ่มราวกับมิได้มองเขาเป็นหลานชายของตน ในระหว่างที่กำลังจะลงแส้กับหลานชายคนรอง มือของใครคนหนึ่งก็เอื้อมมากระชากแส้จากมือนาง
“ใครมันกล้ามาขวางข้า!!”
หญิงชราหันขวับไปยังเจ้าของมือ เมื่อเห็นว่าเป็นหลานสาวใบ้ โทสะของแม่เฒ่าหวังที่กำลังดับมอดก็ยิ่งพลุ่งพล่านมากกว่าเดิม
หญิงชราปรี่เข้าไปหวังจะตบเด็กสาวตรงหน้าให้คว่ำ
ทว่าร่างสูงของอาเหิงก็พุ่งมาขวางทางทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลาถูกฝ่ามือหนาของหญิงชราฟาดลงไปอย่างถนัดถนี่ มุมปากสีอิงเถาพลันมีเลือดสดๆ ไหลย้อยออกมา
เซี่ยชิงหลีไม่คิดว่าชายหนุ่มที่ถูกมองว่าเป็นคนไม่เต็มเต็ง ถูกดูหมิ่นว่าเป็นคนไร้ค่ากลับเอาตัวเข้ามาปกป้องตน สองชาติในการมีชีวิตนอกจากท่านอาจารย์และครอบครัวใหม่ของตนแล้ว เขาคืออีกคนที่พยายามปกป้องนาง
ตั้งแต่บัดนั้นเซี่ยชิงหลีได้สลักลึกลงในใจ ว่าอาเหิงเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว
หญิงสาวจับใบหน้าหล่อเหลาพลิกสำรวจดู เมื่อเห็นด้านข้างแก้มเป็นรอยฝ่ามือของแม่เฒ่าหวังประทับเต็มทั้งห้านิ้วก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ ใครที่กล้าทำร้ายผู้ชายของตน มันจะต้องได้รับความเจ็บปวดมากกว่าหลายเท่า
เซี่ยชิงหลีย่างสามขุมตรงเข้าหาหญิงชรา จางซุนโหรวจดจำสายตานี้ของนางได้ดี เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามเอาจริงนางจึงรีบทิ้งแม่สามีเพื่อเอาตัวรอด ร่างบางกระชากหญิงชราเข้ามาใกล้ นางฟาดแส้ในมือลงไปบนร่างกายของผู้ก่อเหตุอย่างไม่ยั้งมือ
“โอ๊ย!! ตีคนแล้ว!!ตีคนแล้ว!!”
แม้แม่เฒ่าหวังจะร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเพียงใด ทว่าเซี่ยชิงหลีก็ไม่หยุดมือ
ไม่รู้นางตีหญิงชราไปนานเท่าใด บัดนี้ร่างในมืออ่อนระทวยทิ้งกายลงบนพื้น ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคนบ้านเซี่ยต่างเห็นกับตา ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเข้ามาห้ามนาง เพราะดวงตาแดงก่ำราวกับสีโลหิตของเซี่ยชิงหลีช่างดูน่าหวาดกลัวนัก
กระทั่งอาเหิงเดินเข้ามาสวมกอดหญิงสาวเอาไว้แนบอก นางจึงได้สติกลับมา ดวงตากลมโตมองไปรอบๆ พบว่าหญิงชราหมดสติไปแล้ว ในใจคิดว่าตนเองลงมือหนักเกินไปหรือไม่
ชาติก่อนแฝงตัวเป็นสายลับอาศัยอยู่ชายแดนซีเรียรู้จักแต่เพียงการฆ่าฟัน ลงมือเมื่อใดมักจะขาดสติทุกที จากนี้คงต้องฝึกตนเองไม่ให้ถูกกลิ่นอายสังหารครอบงำ ไม่อย่างนั้นคงได้มีคนตายเป็นเบือแน่
“อาเหิงกลัวข้าหรือไม่”
หญิงสาวเอ่ยกระซิบเสียงเบาให้ได้ยินเพียงสองคน คะเนจากสายตาของนางเขาน่าจะอายุราวๆ ยี่สิบปี ส่วนร่างเดิมก็ไม่น่าเกินสิบห้าสิบหก เมื่อเทียบกับตนในชาติก่อนสองคนนี้ยังเล็กนัก
“อาเหิงไม่กลัว...หลีเอ๋อคือภรรยา อาเหิงไม่กลัว”
ชายหนุ่มเอ่ยปลอบหญิงสาวในอ้อมแขนราวกับกำลังปลอบใจตนเอง การแสดงออกของเขาแม้จะดูเหมือนเด็กเล็กทว่ากลับเข้าใจจิตใจของผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
เซี่ยชิงหลีผละจากอ้อมแขนของอาเหิง นางมองตรงไปยังชายชราที่ยืนอึ้งอยู่ข้างกายบุตรชายคนรองหรือก็คือบิดาราคาถูกของร่างเดิมนั่นเอง
เมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้าเบนความสนใจมาที่พวกตน คนเหล่านั้นต่างรีบหนีกระเจิงไม่สนใจแม้แต่แม่เฒ่าหวังที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นเลยสักคน
“ขี้ขลาด!”
เซี่ยชิงเป่าบริภาษคนเหล่านั้นด้วยสีหน้าดูแคลน
“หลีเอ๋อ น้องคิดจะทำอย่างไรกับนาง”
เซี่ยจื่ออี้ชี้นิ้วไปยังท่านย่าที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น
เซี่ยชิงหลีก้มลงกดนิ้วโป้งลงไปเหนือริมฝีปากของหญิงชรา ไม่นานนักนางก็ได้สติกลับคืนมา เมื่อเห็นใบหน้าหลานสาวที่ลงมือทำร้ายตนแม่เฒ่าหวังก็ทำท่าจะหมดสติไปอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้หญิงสาวไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น นางลากร่างแม่เฒ่าหวังไปทิ้งเอาไว้ที่ประตูของเรือนใหญ่อย่างไม่ไยดี จากนั้นกลับมาที่กระท่อมของตนวางแผนพาครอบครัวไปจากที่นี่
“เป่าเอ๋อน้องพาอาเหิงออกไปเล่นข้างนอกก่อนดีหรือไม่ พี่สาวมีเรื่องสำคัญต้องปรึกษาท่านแม่และพี่ชาย”
“เจ้าค่ะ พี่อาเหิงตามข้ามาเถอะ”
เซี่ยชิงเป่าทำหน้าที่พี่เลี้ยงของตนพลางเดินหน้ามุ่ยออกจากลานเรือน แม้ในใจจะไม่พอใจทว่าก็ทำตามที่พี่สาวสั่งอย่างว่าง่าย
หลังจากเด็กสองคนในสายตาของนางจากไป เซี่ยชิงหลีก็เริ่มทำตามแผนทันที
“ท่านแม่ ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกท่าน ความจริงแล้ว....”
เพื่อมิให้ครอบครัวสงสัยความสามารถของตน เซี่ยชิงหลีจึงอุปโลกน์เรื่องเล่าขึ้นมาหนึ่งเรื่อง
นางเล่าว่าปีก่อนตนได้พบกับหมอชราผู้หนึ่ง เขาได้สั่งสอนเรื่องการรักษาและใช้ยาสมุนไพรแก้พิษในร่างของตน ทำให้นางสามารถกลับมาพูดได้อีกครั้ง
“น้องรองเจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าถูกพิษจึงทำให้พูดไม่ได้หรือ”
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์บอกว่าร่างกายของข้าถูกพิษเมื่อครั้งยังเป็นทารก จึงใช่เวลานานกว่าจะสามารถถอนพิษนี้ออกไปได้”
หลี่หลันฮวาเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของบุตรสาว ความสงสัยที่ติดอยู่ในใจของนางก็กระจ่างทันที
“มิน่าเล่า หลังจากลูกอายุสองเดือนแม่ก็ไม่ได้ยินเสียงร้องของลูกอีกเลย จะต้องเป็นนางแน่ที่ทำร้ายพวกเราแม่ลูก”
“ท่านแม่รู้หรือขอรับว่าเป็นใคร”
เซี่ยจื่ออี้หันกลับถามมารดาในทันที เขาเองก็อยากรู้เช่นกันใครกันแน่ที่อำมหิตถึงขั้นลงมือกับเด็กทารกได้ลงคอ และเป็นเซี่ยชิงหลีผู้ถูกกระทำเฉลยคำตอบด้วยตนเอง
“ป้าสะใภ้ใหญ่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หลี่หลันฮวาพยักหน้า นางเองก็ไม่อยากคิดเช่นนั้น แต่หลังจากที่นางคลอดบุตรสาวคนรอง จางซุนโหรวก็ดูเกรี้ยวกราดกับตนมากกว่าเดิม ยิ่งสายตาของนางยามเมื่อมองมายังหลีเอ๋อของตน เหมือนเกลียดชังจากก้นบึ้งของหัวใจ นั่นเป็นสิ่งที่ตัวนางไม่เข้าใจมาตลอด
“อสรพิษ! นางช่างชั่วร้ายจริงเชียว”
ชายชุดดำกระชากสาบเสื้อของหมอวัยกลางคนจนหลุดลุ่ย เวลานั้นเองเซี่ยชิงหลีได้เอ่ยแทรกขึ้น“นี่!...ให้ข้าลองดูได้หรือไม่”“เจ้าเป็นใคร!”ชายชุดดำหันขวับมาที่นางทันที สายตาที่จับจ้องมานั้นราวกับจะสังหารคนเสียให้ได้“ข้าคือคนที่ผ่านทางมาและพอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง”หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“แม่นาง...เจ้าอย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเลย ไม่เห็นหรือว่าเขาตายไปแล้ว ถ้าหากเจ้าช่วยคนผู้นี้ไม่ได้เจ้าอาจต้องตาย เห็นหรือไม่เขามีอาวุธ”ชาวบ้านที่เข้ามามุงดูช่วยเอ่ยทัดทานหญิงสาว“ข้ารู้...”แม้จะรู้เช่นนั้น เซี่ยชิงหลีก็ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา ช่างผิดวิสัยของคนปกตินักหญิงสาวใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าของคนผู้นั้น นางพลันจดจำได้ทันที เขาคือชายชราที่อยู่กับอาจารย์ใหญ่จ้าว เหตุใดถึงได้มาอยู่ที่นี่ ชายชุดดำเห็นสายตาของหญิงสาวดูเปลี่ยนไปเหมือนกับนางเคยรู้จักนายท่านของตนมาก่อน เขาทำท่าชักกระบี่ทว่าคนที่มาด้วยห้ามเอาไว้“เจ้าคนหนึ่งมานี่ ทำตามที่ข้าบอก”เซี่ยชิงหลีจัดท่าให้ชายชรานอนหงายแล้วเปิดทางหายใจให้โล่ง ด้วยการกดหน้าผากและยกขากรรไกรล่างขึ้น จากนั้นสั่งให้ชายชุดดำผายปอดให้ชายชราตามวิธีการของนางผู
“เนื้อกวางหรือ หอหว่านหรงของเรารับซื้อทว่าเห็ดป่านั้น...เจ้าให้ข้าดูก่อนได้หรือไม่”ชายหนุ่มมีท่าทีลังเล เซี่ยชิงหลีพอเข้าใจเพราะก่อนหน้านี้คนบ้านหลี่ก็แสดงสีหน้าไม่ต่างกัน ไม่ใช่เห็ดทุกชนิดที่จะสามารถกินได้“ได้แน่นอนเจ้าค่ะ”หญิงสาวเปิดผ้าคลุมตะกร้าออก เห็ดสนที่ถูกล้างอย่างดีวางเรียงภายในตะกร้าอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดมพบว่ามันส่งกลิ่นหอมชวนให้นึกถึงป่าเขียวชื้นในยามเช้า มันไม่ใช่กลิ่นหอมหวานฉุนหรือสดใสเหมือนดอกไม้ หากแต่เป็นกลิ่นหอมที่อบอุ่น ลุ่มลึก และเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว“นี่คือเห็ดอะไรหรือ”“สิ่งนี้คือเห็ดสนเจ้าค่ะ ชาวบ้านอย่างเราใช้ปรุงอาหารสามารถทำได้หลายอย่าง หากผู้ดูแลวางใจข้าจะลองทำให้ทานสักสองสามอย่าง”ชายหนุ่มครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้าอนุญาต“ได้...เช่นนั้นเจ้าตามเขาเข้าไปในครัว”เซี่ยชิงหลีเดินตามเสี่ยวเอ้อเข้าไปด้านหลังร้าน ที่นั่นมีพ่อครัวอยู่สี่ห้าคนกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร เพียงหญิงสาวก้าวเข้าไปทุกอย่างก็หยุดชะงักลง“ต่อเลยเจ้าค่ะ ต่อเลย ไม่ต้องสนใจข้า ข้าเพียงแวะมาชั่วคราวเท่านั้น”หญิงสาวคำนับให้เหล่าพ่อครัว จากนั้นเริ่มทำอาหารของตนเมื่อ
เพราะการแต่งกายที่ดูซอมซ่อของทั้งสาม ยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าหอกุ้ยเซียงก็ถูกไล่ตะเพิดออกมา เซี่ยชิงหลีแอบสบถในใจ วันหน้านางสัญญาว่าจะทำให้ที่นี่เจ๊งไม่เป็นท่าหลังจากออกจากหอกุ้ยเซียงทั้งสามก็ตรงไปเหลาอาหารและสุราที่ชื่อหว่านหรง ซึ่งชาวอำเภอหลิงหนานต่างรู้ดีว่าสองร้านนี้เป็นคู่แข่งกันมาช้านาน ทว่าหอกุ้ยเซียงนั้นมีทั้งหญิงสาวงดงามที่คอยให้บริการและยังมีกวีนักเล่าเรื่องมาคอยเล่านิทานให้เหล่าลูกค้าได้เพลิดเพลิน ทำให้หอหว่านหรงต้องตกเป็นรอง“เจ้ามาทำอะไรที่นี่!”ยังไม่ทันจากไปหญิงสาวก็ถูกขวางทางโดยคนที่เกลียดขี้หน้าที่สุด เซี่ยจิ่งเฉิง ที่พึงออกจากหอกุ้ยเซียงเดินโซเซตรงมายังนาง เมื่อได้พบคนที่ไม่ชอบหน้าหญิงสาวมีหรือจะยอมพูดดีด้วย“เกี่ยวอันใดกับเจ้า”“ก็เพราะ...ขะ...ข้าคือพี่ชายของเจ้า! เอ๊ะ!เหตุใดเจ้าพูดได้!...แล้วช่างเถอะ...เหตุใดจะไม่เกี่ยวกับข้า บอกมาว่าเจ้ามาทำอะไรที่อำเภอหลิงหนาน”เซี่ยจิ่งเฉิงคิดคว้าแขนหญิงสาวมาซักถามให้รู้เรื่อง ทว่านางกลับหมุนตัวหลบทำให้เขาเสียจังหวะล้มคว่ำไป“เจ้า!..”เมื่อถูกนางทำให้ต้องได้รับความอับอายบวกกับฤทธิ์สุราทำให้เขาลืมไปแล้วว่าก่อนหน้าหญิงสาวเคยทำอะไรเอ
ชายหนุ่มก้มตัวลงแตะริมฝีปากลงบนแก้มนวลแผ่วเบา ก่อนจะยิ้มกว้างและหัวเราะด้วยความดีใจ“เย้! อาเหิงได้รับรางวัลแล้ว”ทุกคนที่ยืนอยู่ในที่นั้นต่างมองการกระทำของเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง อาเหิงแม้จะดูใสซื่อและบริสุทธิ์ทว่ากลับทำให้คนกำหมัดอยากจะชกหน้าสักครั้งร่างบางถูกฉวยโอกาสโดยไม่ทันตั้งตัว ดวงตางามเบิกโพลงเล็กน้อย ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีราวกับเลือดทั้งหมดพุ่งตรงขึ้นมาที่พวงแก้มในเสี้ยวอึดใจ หัวใจของนางเต้นแรงจนแทบทะลุออกมา“อ๊ะ…!”เซี่ยชิงหลีหันขวับไปมองร่างสูง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจปนเขินอาย ริมฝีปากบางขยับเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างทว่าไม่มีคำใดหลุดออกเลยนอกจากเสียงพึมพำในลำคอ มือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะแก้มของตนแผ่วเบา ราวกับยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง… หรือฝันไป“ภรรยา เจ้าเป็นอะไรหรือ”ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงสาวด้วยดวงตาใสซื่อ“ขะ...ข้า พวกเรากลับกันได้แล้ว”ร่างบางรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาล้อเลียนของทุกคนภายหลังเมื่อคนตระกูลหลี่กลับมายังหมู่บ้าน ข่าวที่บ้านหลี่ล่ากวางตัวใหญ่ได้ก็ถูกลือกระฉ่อนในชั่วพริบตา เซี่ยชิงหลีคือเพชฌฆาตคนนั้น ทุกคนจึงรอฟั
“หลีเอ๋อ เจ้าจะบอกว่าตนเองรู้เรื่องสมุนไพรหรือ”“ใช่สิเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ข้าได้ไหว้หมอพเนจรท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ กระทั่งตอนนี้ที่พูดได้ก็ไม่ใช่ฝีมือของอาจารย์ข้าหรือ”ชายชราหันมายิ้มกับหลานสาวผู้โชคดีของตน“ดี! ดีจริงๆ ไม่คิดว่าในความโชคร้ายของพวกเจ้าจะยังมีเรื่องดีๆ อยู่ด้วย นี่ท่านแม่ของเจ้ารู้เรื่องนี้หรือยัง”“อืม...ท่านแม่ของข้าจะรู้หรือไม่นั้น...บาดแผลของนางข้าก็เป็นคนรักษา อีกอย่างข้ายังคิดว่าจะใช้ความรู้ของตนพัฒนาเป็นอาชีพ ต่อไปครอบครัวของเราจะต้องร่ำรวยไปด้วยกัน”สองตาหลานเดินพูดคุยอย่างเพลิดเพลิน หูที่ได้รับการฝึกฝนของเซี่ยชิงหลีพลันได้ยินความเคลื่อนบางอย่างที่อยู่ห่างออกไป“ท่านตา!...รอสักครู่”หญิงสาวเปลี่ยนจากท่าทางที่ดูขี้เล่นเป็นจริงจังในทันที ร่างบางย่องตามเสียงนั้นไปเมื่อพ้นเขตป่าสมุนไพรกลายเป็นลานทุ่งกว้าง ที่นั่นมีสัตว์ป่ามากมายกำลังเล็มหญ้าอย่างเพลิดเพลินทันใดนั้นกวางหนุ่มตัวเขื่องค่อยๆ ก้าวเดินออกมาจากแนวพุ่มไม้มันเดินทอดน่องอย่างเชื่องช้า ด้วยจังหวะที่สงบและเปี่ยมด้วยความมั่นใจ จมูกของมันก้มลงเล็มยอดหญ้าอ่อนสีเขียวสดอย่างละเมียดละไม ทว่าทุกอิริยาบถเต็มไปด้วยความร
หลี่หมิงเจ๋อบุตรชายคนเล็กของลุงรองที่กำลังจะแต่งงานในปีหน้าถามหญิงสาวด้วยท่าทางสงสัย อาหารขึ้นโต๊ะวันนี้มีมากกว่าอาหารที่กินในวันปีใหม่เสียอีก แต่ส่วนใหญ่ทำจากเห็ดที่นางเก็บมาวันนี้“ทานได้แน่นอน ข้าจะทานให้ท่านดู...”หญิงสาวใช้ตะเกียบคีบเห็ดเข้าปาก“เห็ดเหล่านี้ล้วนเป็นเห็ดที่ขึ้นเฉพาะที่ที่มีต้นสนขึ้น มันเรียกว่าเห็ดสน นี่คือเห็ดสนผัดน้ำมัน ส่วนนี่เห็ดสนผัดไข่ นี่คือเห็ดสนผัดรวมมิตรเนื้อหมูป่า เห็ดสนคั่วพริกเกลือและเห็ดสนย่างราดน้ำจิ้มที่ข้าทำเอง และรายการอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้าคิดขึ้นมา”วันนี้เก็บเห็ดสนได้สองตะกร้าใหญ่ โชคดีที่ชาวบ้านสนใจหมูป่าจึงไม่มีใครตามมาดูว่าในตะกร้าของพวกเขามีอะไรบ้างแม้หญิงสาวจะเอ่ยเช่นนั้นทว่าคนบ้านหลี่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือทาน มีเพียง อาเหิง เซี่ยจื่ออี้ และเซี่ยชิงเป่าที่ทานอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งยังชมฝีมือการทำอาหารของหญิงสาวไม่หยุดปาก“น่าจะทานได้ไม่มีพิษกระมัง ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ต้องมีอาการแล้ว”ตู้เฟิงอิงหันไปเอ่ยกับสามี“ข้าจะเป็นคนเสียสละทดลองเอง”หลี่เยว่หยางน้องชายของหลี่เยว่สิงลูกชายคนเล็กของบ้านใหญ่ ปีนี้อายุสิบหกอยู่ในวัยที่ใกล้เคียงกับเ