...สำนักเซียนฟ้าตั้งตระหง่านบนยอดเขา สูงเสียดฟ้า
หลังคาและเสาสีเงินแวววาวสะท้อนแสงแดดเหมือนคริสตัล
ลมพัดผ่านสวนหินและน้ำตกใสสะท้อนรุ้ง แผ่ความสงบและศักดิ์สิทธิ์
ทุกก้าวราวกับก้าวเข้าสู่โลกอีกมิติ ที่งดงามเกินกว่าใจคนธรรมดาจะสัมผัส
หลินเซียนก้าวเข้าลานทดสอบกว้างใหญ่ ฟ้าเหนือศีรษะหม่นลงเหมือนท้าทายผู้ที่กล้าเข้ามา
เหล่าคุณชายหลายคนมองเขาเป็นมดทันที
“ขยะบ้านนอก… อย่ามาเกะกะที่นี่!”
“ดูสิ ใบหน้าหวาน ๆ นั่น ใช่โสเภณีชายจากหอนางโลมหรือไม่ … ไอ้ขยะก็ยังกล้ามา!”
ทันใดนั้น หนึ่งในผู้เข้าสมัครแอบ ผลักเขาล้มลงกลางลาน
ฝุ่นฟุ้งและเสียงหัวเราะดังทั่ว
“ฮ่าๆๆ ล้มแล้วหรือ ขยะน้อย ๆ แบบเจ้า!”
เซียนผู้คุมสอบยืนมองด้วยสายตาเย็นชา
“เด็กบ้านนอก… รากเซียนทุเรศหยาบต่ำมาก”
คุณชายด้านหลังโยนหินเล็ก ๆ ใส่หลังศรีษะหลินเซียน เมื่อเขาหันไปมามอง
“ไอ้ขยะ มองหน้ามีปัญหาเหรอวะ!”
เสียงเยาะเย้ยและคำหยาบดังปะปน
“เด็กบ้านนอกอย่าแม้แต่คิดว่าตัวเองจะรอด!”
“เจ้าจะเป็นแค่ขยะให้พวกเราสนุก!”
“เก็บหน้าสวยๆของเจ้าไว้ปรนเปรอกามให้นายหญิงแก่ๆร่านราคะเถอะ ฮ่าๆๆ”
หลินเซียนพยายามรวบรวมสติ ดวงตาใสแจ๋วแต่แฝงความแค้นและมุ่งมั่น
“ข้าอาจไม่มีค่า… แต่ข้าจะยังมีมือมีเท้าเท่ากับพวกเจ้า และข้าจะทำให้สำเร็จให้ได้!”
พอได้ยินแบบนี้ เด็กรากเซียนสูงหลายคน ยัดสิ่งสกปรกลงบนตัวเขา ทำให้เขาเปื้อนโคลนและมีกลิ่นเหม็นเน่า
ทั้งเซียนและผู้เข้าสอบคนอื่นๆหลายคนหัวเราะเยาะ
“ขยะนั่น… สกปรก เหม็นเหมือนแมลงสาป ฮ่าๆ”
แล้วก็มีคุณชายคนหนึ่งหยิบผ้าเช็ดหน้าให้ "เจ้า…. เช็ดให้สะอาด"
หลินเซียนรับผ้าผืนนั้นพลางกล่าว "ขอบคุณท่านชายมากขอรับ"
ท่านชายท่านนั้นยิ้มที่มุมปากนิดๆ แล้วหันหลังเดินกลับที่เดิม
หลังจากนั้นเซียนผู้สอบสั่งทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเริ่มการทดสอบ
หมอกและลมพัดแรงขึ้น ลานทดสอบกำลังจะกลายเป็นเวทีความโหดร้ายเต็มรูปแบบ
ผู้สมัครทุกคนรวมกลุ่มกันยืนประจันหน้ากับเซ๊ยนผู้สอบ เกือบทุกคนที่สอบวางแผนการโกงเพื่อให้ตนเองผ่านการทดสอบ
ลานทดสอบเปลี่ยนบรรยากาศทันที หมอกหนาทึบลอยต่ำ น้ำตกและเสียงลมค่อย ๆ หายไป เหลือเพียงความเงียบที่หนักอึ้ง
ทันใดนั้น เสียงเซียนผู้สอบดังก้อง
“นี่คือด่านประลองใจและจิตวิญญาณ… ใครยอมแพ้หรือสติแตก ถือว่าตกรอบทันที”
….ทันทีที่ท่านเซียนผู้คุมสอบสะบัดแขน ปราณมหาศาลพลันปะทุออกมาจนหมอกสีขาวขุ่นแผ่คลุมทั่วลานทดสอบ
หมอกนั้นหนาทึบจนไม่อาจมองเห็นแม้แต่เงาของผู้เข้าแข่งขันที่ยืนห่างเพียงไม่กี่ก้าว
ในความเงียบงัน ภาพลวงตาค่อยๆ ปรากฏแก่แต่ละคน ไม่เหมือนกันแม้แต่รายเดียว
บางคนเห็นคนที่ตนรักล้มตายต่อหน้า น้ำตาไหลพรากโดยไร้ทางช่วยเหลือ
บางคนได้ยินเสียงก่นด่าของผู้เป็นบิดามารดา ดั่งตราบาปที่ฝังลึกไม่อาจลบเลือน
บางคนเห็นความล้มเหลว ความพ่ายแพ้ที่ตนหวาดกลัวที่สุดวนเวียนไม่สิ้นสุด
หมอกควันกลายเป็นประหนึ่งขุมนรกที่สะท้อนความเศร้า หวาดหวั่น และบาดแผลในใจของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนอย่างโหดร้าย
หลินเซียนก้มหน้า ยืนตัวตรง แม้หัวใจเต้นแรง แต่ประกายฝืนฟ้าในดวงตาไม่จาง
ทันใดนั้น ภาพหลอนและเสียงล่อลวงจิตใจ ปรากฏรอบตัว
ตรงหน้าเขา ปรากฏ ศพพ่อที่ถูกฆ่ากลางสนามรบ ท่านพ่อ...ไม่! ภาพแร้งจิกกินศพพ่อ มันโหดร้ายมาก
“ลูกพ่อ ช่วยพ่อด้วย”
แต่ไม่พอ… ภาพหลอนต่อเนื่องไปถึง แม่และย่าของเขา
แม่ถูกมัดไว้กับเสาไม้ ถูกลากผ่านโคลนและถูกตบตีอย่างรุนแรง
ท่านย่าถูกผลักล้มลงบนหินแหลม มีเลือดไหลจากศีรษะ
เสียงกรีดร้องและร้องไห้ดังจนหัวใจของหลินเซียนแทบแตกสลาย
มีแว่วๆเสียงหัวเราะเยาะ “ขยะบ้านนอก… แม่ยายเจ้ากำลังเจ็บปวด และเจ้าจะทำอะไรได้?”
“แค่หน้าหล่อๆใสๆของเจ้านี่มันช่วยอะไรไม่ได้หรอก ฮ่า ๆ”
"ไอ้ขยะ ไปเป็นโสเภณีซะ!"
ปรากฏหญิงแก่อ้วนน่าเกลียดหน้าตาโหดร้ายจับเขาเปลือยมัดเชือดแล้วเอาเชือกผูกม้าฟาดรุนแรงจนเลือดออกเต็มหลัง ผิวหนังที่ชาวเขียนของเขาฉีกขาดมีแต่แผลเหวอะหวะ แล้วเอาลิ้นสกปรกมาเลียใบหน้าขาวสะอาดของเขา
"โอ้ยๆ อย่าทำข้า ข้ากลัวแล้ว"
หลินเซียนเสียงสั่นเทา ร่างกายเกือบทรุด มือเท้าเย็นชา
ภาพหลอนซ้อนทับเสียงเยาะเย้ย ลมพัดแรงจนแทบล้ม
หัวใจแทบแตก และสติใกล้หลุด
แต่ดวงตาใสแจ๋วเต็มไปด้วยประกาย ฝืนฟ้า
เขากัดฟันกรอดจนเลือดซึมออกริมฝีปาก
แม้จะเกือบทนไม่ไหว แต่ เขาไม่ยอมให้โลกโหดร้ายทำลายใจ
“ข้า… ข้า.....ข้าไม่ยอมแพ้!”
ในมุมเล็กๆเสี้ยวแห่งจิตใจนั้น แรงใจจากความรักของแม่และท่านย่า และความทรงจำกับพ่อ ถูกปลดปล่อย
เด็กน้อยหลินเซียนขึ้นขี่คอพ่อของเขาในชุดทหารหัวเราะมีความสุขทั้งพ่อและลูก
"เซียนเออร์ลูกพ่อๆรักเจ้า"
รากวิญญาณที่แทบจะดับมอดถูกกระตุ้น
ภาพหลอนเริ่มสั่นไหว เสียงเยาะเย้ยค่อย ๆ จาง
ผู้เข้าสมัครคนอื่นอ้าปากค้าง บางคนนุ่งร้องไห้ไม่หยุด บางคนถึงกับคลั่งจากความรุนแรงของภาพหลอน
หลินเซียนยืนตัวตรง แม้ เลือดไหลที่ปาก มือสั่น หัวใจแทบขาด
เขาเป็น เด็กบ้านนอก ...เด็กขยะ....ที่ฝืนฟ้าได้สำเร็จ
หมอกค่อย ๆ จาง แต่ยังคงเหลือ ความโหดร้าย ความเจ็บปวด และแรงกดดัน
เซียนผู้สอบสบตาเด็กชายด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย
“เด็กบ้านนอก… ขยะอย่างเจ้าไม่คิดว่าจะยืนหยัดอ่านได้”
นี่คือ ครั้งแรกที่โลกเซียนเห็นว่า แม้ขยะที่สุดก็มีหัวใจฝืนฟ้า และมีแรงผลักดันจากความสูญเสียที่โหดร้ายสุด ๆ
แต่....นี่ยังแค่ด่านทดสอบแรกเท่านั้น....
....กลางป่าลึกที่เงียบสงัด เพียงเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ก็เหมือนกรีดทิ่มใจ ณ ต้นไม้เซียนที่พ่อปลูก ขณะที่หลินเซียนกำลังทดลองนำเปลือกไม้และใบมาผสมปรุงยาอยู่นั้น หลินเซียนก็ขมวดคิ้วแน่น เพราะเขารู้สึกถึงสายตาลึกลับที่จ้องมองอยู่ตลอด เหมือนเส้นลมหายใจถูกกดทับจนแทบแตกสลาย “ใคร?!”เขาเรียกปราณกระบี่สายนทีวายุขึ้นมา 1 เล่มลอยข้างตัวเขาทันที"ออกมา! ถ้าไม่ออกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ"พุ่มไม้ข้างหน้าขยับวูบ ราวกับมีเงาดำซ่อนตัวอยู่ หลินเซียนยกมือแตะด้ามดาบ พลังปราณพลุ่งพล่านพร้อมปะทะในพริบตา บรรยากาศหนักหน่วงเข้มข้นจนแทบกลายเป็นเสียงดังก้องในหูแต่อีกวินาที… “ซวบ!”สิ่งที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้กลับเป็นเจ้าลูกหมีแพนด้าตัวน้อยมันมีขนสีขาวดำที่ควรจะนุ่มนวล แต่ตอนนี้กลับมอมแมมเลอะโคลนไปทั่ว ดวงตากลมโตสีดำสนิทช่างฉายประกายใสซื่อไร้เดียงสา มันยืนสองขาโงนเงน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งตุ้บลงไปอย่างงุ่มง่าม กอดท่อนไผ่หักครึ่งท่อนแนบอกไว้แน่นเหมือนสมบัติล้ำค่าเสียง "กรอบๆ" เล็ดลอดออกมาจากฟันเล็กๆ ที่กำลังแทะไผ่ แต่พอเงยหน้าขึ้นมามอง หลินเซียนก็แทบสะดุ้งกับสายตานั้น… มันจ้องด้วยแววตากลมใสไม่กะพริบ ราวกับกำลังสื่อสารว่า
....ภายในป่าลึกหลังบ้าน แสงจันทร์สาดส่องลอดกิ่งไม้ลงมาเป็นเส้นสาย ต้นไม้เซียนที่พ่อเคยปลูกตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ใบของมันมีประกายแสงระยิบราวหยดน้ำแข็ง ส่วนผลไม้สีม่วงกลมโตกลับแผ่วพลังปราณออกมาจางๆ จนบรรยากาศรอบตัวอบอวลไปด้วยพลังวิเศษหลินเซียนยืนนิ่ง สายตาจับจ้องต้นไม้นั้น แววตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและหนักแน่น“พ่อ…ท่านปลูกสิ่งนี้ไว้เพื่อข้า ข้าจะใช้มันไม่ให้สูญเปล่า เพื่อปกป้องท่านแม่และตัวข้า”เขารู้ตัวเองดี รากวิญญาณของตนต่ำต้อยกว่าคนทั่วไปมาก หากจะเดินตามตำราอย่างเดียว ย่อมไม่ทันใคร ไม่พ้นจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังตลอดไป ดังนั้นเขาต้องสร้างเส้นทางที่ไม่เหมือนใครมือเรียวของเขาเอื้อมไปเด็ดผลไม้ลูกหนึ่งมากัดช้าๆ น้ำหวานหอมไหลซึมลงลำคอ พลังปราณเย็นไหลเข้าสู่เส้นลมปราณทันที แต่หลินเซียนไม่รีบร้อน เขานั่งขัดสมาธิ ปล่อยให้พลังนั้นซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างระมัดระวัง“ตำราเขียนไว้แค่ผลอวิ๋นฮวานี้(ผลไม้แห่งเมฆาและดวงดาว)เพียงอย่างเดียว แม้จะทรงค่า…แต่เหตุใดตำราจึงมิกล่าวถึงราก กิ่ง ก้าน หรือแม้แต่ใบ? ยังไงเสียมันก็คือต้นไม้ที่มีพลังเซียนทุกส่วน”เขาเริ่มขบคิด"ไก่ 2 ตัว เป็ด 3 ตัวออกไข่ได้ 5 ฟอง
....หลินเซียนเปลี่ยนจากชุดผ้าไหมที่เคยสวมใส่เป็นชุดชาวบ้านสีเทาเก่า ๆ ผ้าขาดตรงชายเสื้อเล็กน้อย พอให้ดูไม่ต่างจากชาวบ้านธรรมดาที่เดินไปมาในตลาด เขาดึงหมวกงอบลงต่ำเพื่อบดบังใบหน้า หัวใจยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะยามก้าวผ่านผู้คนเขายังคงครุ่นคิดไม่หยุดถึงความเป็นไปได้สำนักอวิ๋นเจิ้งอาจส่งคนออกมาตามล่าเขาอยู่ทุกย่างก้าว หรือบางทีหลิวเซี่ยง ไอ้อ้วนขี้อิจฉานั่น อาจลงมือเอง ส่งลูกน้องมือดีเฝ้าดักตามทางสายหลักหลินเซียนไม่กลัวตาย แต่สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจคือท่านแม่ หากเขาพลาดท่า ศัตรูเหล่านั้นอาจลามไปถึงผู้ให้กำเนิด ความคิดนั้นทำให้ทุกก้าวที่เหยียบพื้นหินเย็นยะเยือกหนักอึ้งยิ่งกว่าภูเขามือเขาเผลอกำแน่นที่ชายเสื้อ หูคอยเงี่ยฟังทุกเสียงรอบด้าน เสียงฝีเท้าคนเดิน เสียงลมพัดกลีบดอกไม้ เสียงใด ๆ ก็อาจแฝงมีดสั้นจากเงามืดได้ทั้งสิ้นสายตาของเขากวาดมองรอบตลาดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้เพียงร่างคนเมาสะดุดล้ม หลินเซียนก็สะดุ้งนึกว่าเป็นศัตรูมาโจมตี ความกังวลกัดกินใจ แต่สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเขาไว้คือภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของมารดาในความทรงจำเขาต้องอยู่รอดให้ได้… ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อปกป้องนางจากเล่ห์กลของคนใจด
....แสงแรกของรุ่งอรุณลอดผ่านปากถ้ำบาง ๆ กระทบหยดน้ำเกาะตามผนังหินหลินเซียนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางถ้ำ ความมืดรอบตัวไม่อาจกลบความมุ่งมั่นในดวงตาเขาข้อมือและร่างกายยังมีรอยช้ำจากการเฆี่ยนในคุก แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไปทุกความเจ็บปวดคือเชื้อไฟให้หัวใจมุ่งมั่นต่อสู้ในมือ เขารวบรวมปราณวายุให้กลายเป็นคมกระบี่จาง ๆ ที่แทบมองไม่เห็นจากนั้นปราณหมื่นสายนทีเริ่มไหลเวียนในกายละอองน้ำมากมายรวมตัวกันเป็นก้อนน้ำลอยอยู่ระหว่างฝ่ามือทั้งสองของเขาน้ำหยดเล็ก ๆ จากเพดานถ้ำสั่นสะท้านตามจังหวะปราณที่เขาเรียกใช้หลินเซียนค่อย ๆ ผสานสองวิชาเข้าด้วยกันครั้งแรกที่ลอง รวมปราณทั้งสองเข้าด้วยกัน เขารู้สึกพลังปะทะกันรุนแรงเสียงสะท้อนดังก้องในถ้ำ คล้ายกับธรรมชาติทดสอบความเข้มแข็งของเขาเขาสูดลมหายใจลึก ปรับจังหวะลมหายใจให้สอดคล้องกับการไหลของน้ำปราณหมื่นสายนทีพุ่งออกมารอบตัว เป็นเกราะบาง ๆ รอบคมกระบี่วายุคมกระบี่แปรเปลี่ยนเป็นเส้นปราณใสคล้ายลมพายุในละอองน้ำหลินเซียนฟันอากาศ ฝึกซ้ำหลายครั้ง แต่ครั้งแรกยังไม่แม่นยำเสียงลมปราณและน้ำกระทบกันเป็นจังหวะราวกับดนตรีแห่งพลังเขาไม่ยอมแพ้ ล้มแล้วลุกใหม่ ลองปรั
....ท่ามกลางความมืดชื้นและกลิ่นสนิมเลือดในคุกใต้ดิน แสงจันทร์ส่องลอดลงมา ภาพรอยยิ้มของมารดาก็ผุดขึ้นมาในใจหลินเซียนอย่างชัดเจนเขาจำได้ถึงอ้อมแขนอบอุ่นและเสียงปลอบโยนที่เคยคอยประคองเขายามบาดเจ็บและท้อแท้อีกด้านหนึ่ง ความทรงจำของย่าผู้เฒ่าที่คอยหุงหาอาหารและเล่านิทานยามค่ำคืน ทำให้หัวใจเขาอ่อนโยนแต่ก็สั่นไหวความคิดเป็นห่วงพวกท่าน กลัวว่ามารดาและย่าอาจถูกผู้คนภายนอกกดขี่หรือได้รับความอัปยศเพราะเขาทำให้ดวงตาที่เคยสิ้นหวังกลับลุกโชนขึ้นหลินเซียนกัดฟันแน่น ราวกับจะสลักคำสัตย์ลงในเลือดเนื้อของตนเอง“ต่อให้คุกนรกนี้กักขังข้าไว้ ข้าก็ต้องรอดออกไป... เพื่อปกป้องแม่และย่าของข้าให้ได้!”เขาเริ่มมองรอบๆตัวอย่าเพ่งพินิจ คุกใต้ดินหนาแน่นราวกับโคลนเหนียวกลิ่นอับชื้นผสมกับกลิ่นเลือดและสนิมเหล็กคละคลุ้งหลินเซียนนั่งพิงกำแพงหินครุ่นคิด ข้อมือและข้อเท้าถูกโซ่เหล็กหนาล่ามไว้แน่น“ในคุกนี้มีอะไร? แล้วตัวข้าตอนนี้มีอะไร? ข้าต้องเก็บข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อใช้สิ่งที่มีทุกอย่างพาข้าออกไปจากที่นี่!”เขาหลับตา สูดหายใจเข้า แม้เจ็บปวดก็ยังบังคับจิตใจให้นิ่งทบทวนวิชาที่เคยร่ำเรียนต่างๆกระบี่วายุปราณ = มันเปล
....ภายใน หอพิพากษาสำนัก แสงไฟจากคบเพลิงสลัวสะท้อนเงาบนผนังหิน ทำให้บรรยากาศขึงขังและเย็นเยียบ ราวกับทุกลมหายใจถูกพันธนาการด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น เมื่อบานประตูหินหนักค่อยๆ เปิดออก เสียงก้าวเท้าองครักษ์เกราะดำสิบคนกระแทกพื้นดังก้อง พวกมันกดบ่าหลินเซียนแน่นจนถูกบังคับให้คุกเข่าลงบนลานพิพากษาอันกว้างใหญ่เบื้องสูงสุดของแท่นหินดำประดับหยก เจ้าสำนักชุดคลุมสีครามเข้มประทับนั่ง ดวงตาเรียบเฉย แต่แฝงแรงกดข่มที่ทำให้แม้กระทั่งอากาศรอบตัวสั่นสะท้านสองข้างล่างลงมา อาจารย์เฉิงเสิน และ อาจารย์จื่อหยง นั่งขนาบซ้ายขวาอาจารย์เฉิงเสินมีใบหน้าคมคายแฝงรอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาเหมือนมองทุกคนต่ำต้อยกว่าตนส่วนอาจารย์จื่อหยงนั้นสายตาเย็นชา ดั่งเฝ้าสังเกตโดยไร้อารมณ์ด้านข้างอีกชั้นคือ ผู้อาวุโสทั้งสาม ผู้ชรานั่งเรียงราย เคราขาวสะบัดตามลมปราณที่พัดไหว บรรยากาศเคร่งขรึมเต็มไปด้วยอำนาจเก่าแก่หลินเซียนถูกองครักษ์เกราะดำกดคุกเข่าลงตรงกลางลานหินเย็นเฉียบ เลือดที่มุมปากยังไม่แห้งสนิท หัวใจเต้นแรง แต่สายตายังคงแข็งกร้าวไม่ยอมก้มหัวให้ใครหลินเซียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาอิดโรยแต่ยังพอมีประกายความหวังอยู่เล็กน้อย... เมื