Mag-log in...สำนักเซียนอวิ๋นเจิ้งตั้งตระหง่านบนยอดเขา สูงเสียดฟ้า หลังคาและเสาสีเงินแวววาวสะท้อนแสงแดด ลมพัดผ่านสวนหินและน้ำตกใสสะท้อนรุ้ง แผ่ความสงบและศักดิ์สิทธิ์
หลินเซียนเดินขึ้นเขาสูงมาจนถึงลานทดสอบกว้างใหญ่ด้านในสำนัก
ทันทีเหล่าคุณชายผู้สมัครคนอื่นเห็นหลินเซียนในชุดชาวบ้านเก่าๆขาดๆก็ถูกดูถูกทันที
“ไอ้ขยะบ้านนอกมาจากไหนนี่?… ไปๆ ชิ่วๆ อย่ามาเกะกะที่นี่!”
“แต่ดูใบหน้าหวานๆนั่นสิ หรือเขาจะใช่โสเภณีชายจากหอนางโลมหรือเปล่านะ … ถ้าใช่หนูจะอุดหนุนสักคืน ฮิฮิ”
โดยไม่ทันระวังตัวหลินเซียนก็ถูกผู้เข้าสมัครคนหนึ่งแอบผลักเขาล้มลงฝุ่นดินฟุ้งเปื้อนเสื้อผ้าเขา แต่ก็มีเสียงหัวเราะดังไปทั่ว
“ฮ่าๆๆ ล้มแล้วหรือ สกปรกแบบนี้แหละ ขยะ!”
เซียนผู้คุมสอบยืนมองด้วยสายตาเย็นชา และไม่ได้สนใจจะตำหนิผู้ใด
“เจ้าเด็กสกปรก… รากเซียนก็หยาบต่ำมาก ยังจะกล้ามาอีก!”
คุณชายด้านหลังโยนหินเล็กๆ ใส่หลังศรีษะหลินเซียน เมื่อเขาหันไปมามอง
“ไอ้ขยะ มองหน้ามีปัญหาเหรอวะ!”
แล้วเสียงเยาะเย้ยและคำหยาบดังปะปนจากหลายๆคน
“เจ้าขยะ อย่าคิดว่าตัวเองจะรอด!”
“เจ้าจะเป็นแค่ขยะ เดี๋ยวเข้าป่าข้าจะเล่นเจ้าให้สนุกๆ!”
“เก็บหน้าสวยๆของเจ้าไว้ปรนเปรอกามให้นายหญิงแก่ๆร่านราคะเถอะ ฮ่าๆๆ”
หลินเซียนพยายามรวบรวมสติ ดวงตาใสแจ๋วแต่แฝงความมุ่งมั่น
“ขอโทษทุกท่านด้วยขอรับ ที่ข้าเป็นขยะไม่มีค่า…"
"แต่...ข้าจะยังมีมือมีเท้าเท่ากับพวกท่าน และการสอบครั้งนี้ข้าจะทำให้สำเร็จให้ได้!”
พอได้ยินแบบนี้ เด็กรากเซียนสูงหลายคน ยัดสิ่งสกปรกลงบนตัวเขา ทำให้เขาเปื้อนโคลนและมีกลิ่นเหม็นเน่า
ทั้งเซียนและผู้เข้าสอบคนอื่นๆหลายคนหัวเราะเยาะ
“ฮ่าๆ ขยะนั่น… สกปรก เหม็นเหมือนแมลงสาป ฮ่าๆ”
แต่ก็มีคุณชายคนหนึ่งหยิบผ้าเช็ดหน้าให้ "เจ้า…. เช็ดให้สะอาด"
หลินเซียนรับผ้าผืนนั้นพลางกล่าว "ขอบคุณท่านชายมากขอรับ"
ผ้าผืนนั้นเป็นผ้าชั้นดีราคาแพง ด้านล่างสลัดคำว่า "เจี้ยง" ไว้ด้วย คงเป็นตระกูลของคุณชายท่านนี้
ท่านชายมองหลินเซียนแล้วยิ้มด้วยความเป้นมิตร ก่อนที่จะหันหลังเดินกลับที่เดิม
หลังจากนั้นเซียนผู้ควบคุมการสอบสั่งทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเริ่มการทดสอบ กรรมการผู้คุมสอบเป็นชายเคราดำ
เสียงเซียนเคราดำผู้ควบคุมการสอบดังก้อง
“นี่คือด่านประลองใจและจิตวิญญาณ… ใครยอมแพ้หรือสติแตก ถือว่าตกรอบทันที”
….ทันทีที่ท่านเซียนเคราดำผู้คุมสอบสะบัดแขน ปราณมหาศาลพลันปะทุออกมาจนหมอกสีขาวขุ่นแผ่คลุมทั่วลานทดสอบ
หมอกนั้นหนาทึบจนไม่อาจมองเห็นแม้แต่เงาของผู้เข้าแข่งขันที่ยืนห่างเพียงไม่กี่ก้าว
ในความเงียบงัน ภาพลวงตาค่อยๆ ปรากฏแก่แต่ละคน ไม่เหมือนกันแม้แต่รายเดียว
บางคนเห็นคนที่ตนรักล้มตายต่อหน้า น้ำตาไหลพรากโดยไร้ทางช่วยเหลือ
บางคนได้ยินเสียงก่นด่าของผู้เป็นบิดามารดา ดั่งตราบาปที่ฝังลึกไม่อาจลบเลือน
บางคนเห็นความล้มเหลว ความพ่ายแพ้ที่ตนหวาดกลัวที่สุดวนเวียนไม่สิ้นสุด
หมอกควันกลายเป็นประหนึ่งขุมนรกที่สะท้อนความเศร้า หวาดหวั่น และบาดแผลในใจของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนอย่างโหดร้าย
หลินเซียนก้มหน้า ยืนตัวตรง แม้หัวใจเต้นแรง แต่ประกายฝืนฟ้าในดวงตาไม่จาง
ทันใดนั้น ภาพหลอนและเสียงล่อลวงจิตใจ ปรากฏรอบตัว
ตรงหน้าเขา ปรากฏ ศพพ่อที่ถูกฆ่ากลางสนามรบ ท่านพ่อ...ไม่! ภาพแร้งจิกกินศพพ่อ มันโหดร้ายมาก
“เซียนเออร์...ลูกพ่อ ....ช่วยพ่อด้วย”
แต่ไม่พอ… ภาพหลอนต่อเนื่อง
ท่านย่าถูกมัดไว้กับเสาไม้ ถูกลากผ่านโคลนและถูกตบตีอย่างรุนแรง ในบ่อโคลนนั้นมีแต่จระเข้มากมายรอขย้ำเนื้อท่านย่า
ส่วนท่านแม่นอนล้มอยู่หน้าบ้านมีเลือดออกผิวหนังไม้บางส่วน บ้านของหลินเซียนเกิดไฟไหม้ใหญ่ ทุกสิ่งวอดวายไปในกองเพลิง
เสียงกรีดร้องและร้องไห้ดังจนหัวใจของหลินเซียนแทบแตกสลาย
มีแว่วๆเสียงหัวเราะเยาะ “ขยะบ้านนอก… พ่อเจ้า แม่เจ้า ย่าเจ้ากำลังเจ็บปวด แต่เจ้า! เจ้าช่วยอะไรเขาไม่ได้?”
“แค่หน้าหล่อๆใสๆของเจ้านี่มันช่วยอะไรไม่ได้หรอก ฮ่า ๆ”
"ไอ้ขยะ ไปเป็นโสเภณีซะ!"
ปรากฏหญิงแก่อ้วนน่าเกลียดหน้าตาโหดร้ายจับเขาเปลือยมัดเชือดแล้วเอาเชือกผูกม้าฟาดรุนแรงจนเลือดออกเต็มหลัง ผิวหนังที่ขาวเนียนของเขาฉีกขาดมีแต่แผลเหวอะหวะ แล้วเอาลิ้นสกปรกมาเลียใบหน้าขาวสะอาดของเขา
"อย่า! อย่าทำข้า! ข้ากลัวแล้ว!"
หลินเซียนเสียงสั่นเทา ร่างกายเกือบทรุด มือเท้าเย็นชา
ภาพหลอนซ้อนทับเสียงเยาะเย้ย ลมพัดแรงจนแทบล้ม
หัวใจแทบแตก และสติใกล้หลุด
แต่ทันใดนั้นหลินเซียนก็รวบรวมสติสุดท้าย "ข้ามาที่นี่เพื่อฝืนฟ้า!" เขากัดฟันกรอดจนเลือดซึมออกริมฝีปาก
แม้จะเกือบทนไม่ไหว แต่ เขาไม่ยอมให้โลกโหดร้ายทำลายใจ
ในมุมเล็กๆเสี้ยวแห่งจิตใจนั้น แรงใจจากความรักของแม่และท่านย่า และความทรงจำกับพ่อ ถูกปลดปล่อย
เด็กน้อยหลินเซียนขึ้นขี่คอพ่อของเขาในชุดทหารหัวเราะมีความสุขทั้งพ่อและลูก
"เซียนเออร์ลูกพ่อๆรักเจ้า"
รากวิญญาณที่แทบจะดับมอดถูกกระตุ้น
ภาพหลอนเริ่มสั่นไหว เสียงเยาะเย้ยค่อยๆ จาง
ผู้เข้าสมัครคนอื่นอ้าปากค้าง บางคนนุ่งร้องไห้ไม่หยุด บางคนถึงกับคลั่งจากความรุนแรงของภาพหลอน
หลินเซียนยืนตัวตรง แม้เลือดไหลที่ปาก มือสั่น หัวใจแทบขาด
แต่เขา...ขยะอย่างเขา....ก็ทำได้สำเร็จ
หมอกค่อยๆ จาง แต่ยังคงเหลือ ความโหดร้าย ความเจ็บปวด และแรงกดดัน
เซียนผู้สอบสบตาเด็กชายด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย
“โห่! เด็กขยะอย่างเจ้าไม่คิดว่าจะยืนหยัดผ่านได้”
ชายเคราดำผู้คุมสอบมองที่หลินเซียนแล้วหัวเราะเบาๆ
"หึหึ แต่....นี่ยังแค่ด่านทดสอบแรก...."
(3 เดือนผ่านไป).....บัดนี้ศิษย์ทั้ง 6 คนบรรลุระดับรวบรวมปราณขั้นต้นได้หมดแล้ว หลินเซียนเริ่มให้แต่ละคนฝึกฝนต่างกัน - หลี่เทียนอวิ๋น แม้เขาจะเป็นคนก้าวร้าวแต่เขาเป็นลูกขุนนางจึงมีการศึกษาดีกว่าทุกคน หลินเซียนเริ่มสอนทักษะพื้นฐานการสร้าวงค่ายกลให้แก่เขา- เซียวฉิง นางฝึกฝนวิชากระบี่มาจากแม่แล้วหลินเซียนจึงสอนการบรรจุพลังปราณลงในกระบี่ให้- หวังต้า หลินเซียนสอนปราณธาตุไฟให้เขา หวังต้าชอบมากเพราะเขาคิดว่าอนาคตย่อมมีประโยชน์กับงานร้านตีเหล็กของเขาได้- จางซาน หลินเซียนสอนวิชาการปรุงยา และความรู้เรื่องสมุนไพรเซียนให้เขา เผื่อวันหน้าเขาจะหลอมยาไว้บำรุงร่างกายตัวเอง- หานซิ่วเรียนรู้พลังปราณธาตุน้ำตาหลินเซียน- หลิงเออร์แม้จะเป็นเด็กแต่รากวิญญาณเซียนเธอดีพิเศษ หลินเซียนจึงให้เธอฝึกปราณธาตุน้ำ, ไม้ และดิน ซึ่งปราณธาตุไม้นั้นหลินเซียนให้เสี่ยวหมิงออกมาช่วยด้วย เธอจึงทั้งสนุกที่ได้เล่นหมีแพนด้าและสัมผัสปราณธาตุไม้การสอนศิษย์ทุกคนหลายเดือนนี้หลินเซียนก็เหมือนได้ทบทวนวิชาต่างๆที่ตัวเองเคยร่ำเรียนมาให้ความรู้แน่นขึ้น เก็บตกเศษชิ้นส่วนเล็กๆในแต่ละวิชามาเติมเต็มปัญญาตนเอง บางครั้งกลางดึกเขาเองก็ไป
....ข่าวการไล่ตะเพิดอันธพาลทำให้ไม่มีีอาจารย์สถาบันติวอื่นกล้ามาคบหากับหลินเซียน แต่ก็ทำให้มีชื่อเสียงในกลุ่มเด็กๆเยาวชนที่อยากผ่านการทดสอบเป็นเซียนบางคน ทำให้สถาบันของหลินเซียนคึกคักขึ้น ห้องเรียนเล็กๆบัดนี้มีคนหนุ่มสาวทั้งชายหญิงรวมถึงเด็กน้อยครั้งก่อนมาเรียนด้วย 6 คนแล้วคนแรก คือเด็กหญิงตัวน้อยที่มาช่วยหลินเซียนครั้งที่แล้ว เธอชื่อหลิงเออร์ เป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่อยู่กับคุณปู่ที่เปิดร้านขายน้ำหมึกและพู่กันข้างๆบ้านหลินเซียนนี่เอง เนื่องจากหลินเซียนบอกจะสอนให้ฟรี ปู่เธอจึงอนุญาตให้มาเรียนด้วยคนที่ 2 ชื่อหลี่อวิ๋นเทียน อายุ 14-15 ปีแล้ว เขาเป็นคุณชายสกุลขุนนางปลายแถว เนื่องด้วยเป็นเด็กมั่นใจตัวเองสูงพ่อแม่สอนไม่ฟัง จึงเอามาฝากให้หลินเซียนช่วยอบรมให้คนที่ 3 ชื่อหวังต้า เป็นลูกชายคนโตของร้านช่างตีเหล็กในตลาดคนที่ 4 ชื่อหานซิ่ว เป็นลูกชาวนายากจนจากชนบท แต่เป็นคนเรียบร้อยถ่อมตน หลินเซียนให้เขาพักที่สถาบัน โดยให้ทำงานทำความสะอาดเรือนแลกกับการให้ที่พักคนที่ 5 ชื่อเซียวฉิง เธอเป็นลูกสาวจอมยุทธหญิง ชำนาญวิชาดาบ แต่เมื่อตรวจพบว่ามีรากวิญญาณเซียน แม่เธอจึงพาเข้าเมืองหลวง และได้ยินชื่อเสียงหล
....แคว้นจูตั้งอยู่ทางเหนือสุดของทวีป ถูกขนาบด้วยเทือกเขาหิมะที่สูงเสียดฟ้าปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี และในหุบเขามีทะเลสาบน้ำแข็งนิรันดร์ที่เล่ากันว่าซ่อนสมบัติเซียนและกระบี่โบราณไว้อยู่ด้วยส่วนพื้นที่ราบเป็นทุ่งน้ำแข็งและทะเลสาบที่ถูกแช่แข็งเกือบทั้งปี แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนสั้นๆจะมีทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่มให้สัตว์เลี้ยงและกวางป่าออกหากินมีลมเหนือหนาวเย็นพัดลงมาที่เมืองทั้งปี ดวงอาทิตย์ส่องแสงน้อยจึงเป็นแคว้นที่กลางวันสั้นส่วนกลางคืนยาว ทำให้ผู้คนที่นี่แข็งแกร่งและอดทนณ เมืองหลวงขอแคว้นชื่อไป๋ซวง(น้ำค้างขาว) มีกำแพงเมืองที่ถูกสร้างด้วยหินแข็งแรงและไม้สนดำ ทนทานต่อพายุหิมะผู้คนแคว้นนี้มีผิวซีดขาว แก้มแดงจากอากาศหนาว มักสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ซ้อนหลายชั้นอาชีพหลักคือ ล่าสัตว์, ทำหนังสัตว์, ค้าขนสัตว์, และหลอมเหล็กจากแร่ในภูเขา จึงมีตลาดแลกเปลี่ยนที่คึกคัก แม้จะเป็นแคว้นห่างไกลที่นี่ยังเป็นแคว้นที่ผู้คนมีรากวิญญาณเซียนหลายคน นั่นจึงทำให้มีสำนักเซียนมากมายในแคว้น ซึ่งการทดสอบเข้าเป็นศิษยืแต่ละสำนักก็มีทั้งการสอบมาตรฐานที่ราชสำนักกำหนด และการทดสอบเฉพาะแต่ละสำนักด้วยและด้วยทางการสนับสนุนอย่างด
A : ไง?หลินเซียน : ท่านเป็นใคร ทำไมข้าไม่เห็นหน้าท่าน? แล้วที่นี่ที่ไหน?B : สำคัญด้วยรึ?หลินเซียน : พวกท่านเป็นใคร? ข้าอยู่ที่ไหน?B : เจ้าหนู ที่นี่มันเป็นสถานที่ๆอธิบายยากอยู่นะ เจ้าอย่าสนใจเลยA : เจ้าช่วยตอบคำถามพวกเราสัก 2 ข้อได้ไหม? แล้วเราจะปล่อยเจ้าไปหลินเซียน : ท่านจะถามอะไรขอรับ?A : ข้าจะถามว่า.......B : ส่วนข้าอยากถามเจ้าว่า.....A+B : แล้ววันหลังพวกเราจะมาขอคำตอบหลินเซียนลืมตาเบิกโพลง เขามองรอบๆตัว ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียง มีผ้าห่ม และผ้าพันแผลพันกายนิดหน่อย"เจ้าฟื้นแล้วรึ?" ไม่ใช่ใครที่ไหน คือนางปีศาจจิ้งจอกเก้าหางนั่นเอง นางนั่งเฝ้าเขาอยู่ไม่ไปไหน แถมมีเสี่ยวหมิงแพนด้าตัวน้อยอยู่ข้าง ๆ พอมันเห็นว่าหลินเซียนฟื้นแล้วมันดีใจรีบเดินเข้าไปออดอ้อนทันที"ขอบใจเจ้ามากที่มาช่วยพวกเรา" หลินเซียนเอื้อมไปจับมือนางจิ้งจอก ทำเอานางเขินแก้มแดง"ม....ไม่มีอะไรนี่ การตอบแทนบุญคุณเป็นเรื่องธรรมดา" หางนางโผล่ออกและบิดไปมา หลินเซียนยิ้มใความเขินอายของสาวแก่อายุตั้งพันปี"อาจารย์ท่านตื่นแล้ว!" องค์ชายดีใจพูดเสียงดัง อาการบาดเจ็บเขาดีขึ้นมากเพราะน้ำวิเศษในน้ำเต้าที่หลินเซียนให้เขาดื่ม
.....หลินเซียนใช้ม่านวารีพิทักษ์ป้องกันครบไปแล้ว 3 ครั้ง ดังนั้นลูกไฟสีน้ำเงินและสีเขียวที่ลอยพุ่งมานี้เขาไม่สามารถใช้วิธีเดิมป้องกันได้อีกแล้วหลินเซียนรีบชูแหวนธาราสวรรค์ขึ้นมา เขาเสี่ยงดวงดูว่าแหวนธาราสวรรค์จะสามารถดูดพลังไฟประหลาดทั้งสองนี้เก็บไว้ได้ไหม ปรากฏว่าแหวนธาราสวรรค์ดูไฟทั้งสองสีเข้าไปได้ แต่หากถอดจิตเข้าไปดูด้านในไฟนั้นลุกท่วมไปทั่วทำเอาปราณน้ำที่สะสมไว้ระเหยปั่นป่วนไปหมดหลินเซียนคิดว่าคงไม่อาจเก็บไว้ประหลาดแบบนี้ได้อีกแล้ว ฝ่ายเซียนหยวนอิงประหลาดใจไม่น้อย ไม่คิดว่าหลินเซียนจะมีแหวนธาราสวรรค์ของหายาก เขารู้สึกเจ็บแผลที่ถูกดาบวารีแทงเมื่อสักครู่"โทษที่เจ้าทำให้ข้าเจ็บ งั้นข้าจะเผาเจ้าด้วยสุดยอดไฟของข้า!"เขาปล่อยพลังออกมามากมายจะเศษซากอาคารถล่ม แผ่นดินสั่นไหว เขาใช้สิงมือกุมกันจนมีลูกไฟสีทองแดงโผล่ขึ้นมามันไม่ใ่ชไฟธรรมดา เพียงคนทั่วไปมองก็ตาบอดทันที พวกเซียนระดับต่ำก็มองแล้วจะรู้สึกเหมือนถูกโดนแผดเผาทั้งร่างส่วนหลินเซียนมั้นมองได้แค่แผบเดียวแล้วต้องรีบเอามือมาปิดบัง "นี่คือไฟจากแกนพิภพ!"เซียนชุดแดงหยิบสมบัติเซียนออกมาขว้างไปที่หลินเซียนกลายเป็นกรงแสงที่ไม่มีทางหนีห
....กลางสมรภูมิ แผ่นฟ้าสีเลือดฉาบด้วยแสงอัคคีแดงฉาน บัดนี้กองทัพขององค์ชายจ้าวหานเฟิง ที่มีทั้งทหารกล้าและเหล่าเซียนแคว้นจ้าวกำลังถลำลึกสู่ขอบเหวแห่งความพ่ายแพ้เสียงโครมครามของอาวุธชนกับอาวุธปะปนกับเสียงโหยหวน สายลมพัดกลิ่นคาวเลือดโชยอวลจนแทบหายใจไม่ออก ร่างทหารผู้กล้าและเซียนถูกเปลวเพลิงนรกกลืนกิน ร่างพวกเขากรีดร้องเพียงครู่ก่อนจะแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีเหนือสนามรบ บนฟากฟ้าสีแดงฉานปรากฏเงาร่าง เซียนหยวนอิงฝ่ายศัตรูเพียงหนึ่งเดียว ชายชราผมขาวหนวดขาวในชุดสีแดง นัยน์ตาเขาราวกับแผดเผาด้วยเพลิงโลกันต์ ปราณของเขาเป็น "ไฟนรก" ที่ไม่ดับสิ้นแม้เมื่อดวงวิญญาณหลุดร่าง เปลวไฟนี้กัดกร่อนทั้งเนื้อหนังและวิญญาณ ผู้ที่ถูกเผาแม้ตายแล้วก็ยังได้ยินเสียงกรีดร้องของตนเองก้องสะท้อนอยู่ในห้วงว่างเหล่าเซียนแคว้นจ้าวพยายามค้ำยันค่ายกลถึงที่สุด เพื่อป้องกันไฟนรก แต่เส้นลายยันต์บนฟ้าและพื้นดินแตกร้าวอย่างน่าสยดสยอง ราวกับมังกรที่ใกล้ขาดลมหายใจ เซียนหนุ่มสาวและชายชรามากมายผู้รับหน้าที่เป็นเสาหลักของค่ายกล เลือดไหลจากเจ็ดทวาร ร่างสั่นสะท้านจนแทบจะยืนไม่อยู่ หากค่ายกลแตกพังเมื่อใด กองทัพแคว้นจ้าวทั้งหมดจะถูกไฟ







