Mag-log in(1 เดือนผ่านไป)
ภายในห้องเรียนกว้างขวางของสำนัก เสียงอาจารย์ผู้เฒ่าดังขึ้นอย่างราบเรียบ
“ผู้ใดตอบได้… หากผู้ฝึกปราณถึงขั้นกลางของปราณหมื่นสายนทีแล้ว แต่กลับไม่อาจฝึกต่อได้อีก จะต้องแก้ไขเช่นไร?”
ศิษย์ทั้งหลายต่างเงียบกริบ บ้างทำหน้างุนงง บ้างก็ขมวดคิ้วไม่รู้จะตอบอย่างไร เสียงกระซิบกระซาบดังเบาๆ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำตอบออกมา
ขณะนั้น หลินเซียนที่นั่งอยู่ด้านหน้ากลับค่อยๆ ยกมือลุกขึ้น สีหน้ามั่นใจ
“ศิษย์ขอตอบขอรับ หากติดขัดอยู่ที่ขั้นกลาง มิใช่ว่าพลังปราณไม่พอ แต่เป็นเพราะจิตใจยังมิได้หลอมรวมกับสายน้ำ จึงเกิดการต้านทานในร่างกาย"
"วิธีแก้คือต้องผสานใจให้สงบนิ่ง… มองสายน้ำไม่ใช่เป็นศัตรู แต่เป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจตนเอง เมื่อใจรวมเป็นหนึ่งกับธาตุน้ำ พลังจะไหลเวียนต่อไปได้เอง”
ห้องเรียนเงียบลงในทันที ดวงตาอาจารย์ส่องประกายชื่นชม
“ดี! หลินเซียน เจ้าตอบได้ถูกต้องและลึกซึ้งยิ่งกว่าที่อาจารย์คาดไว้เสียอีก ยอดเยี่ยม!”
อาจารย์ผู้เฒ่าลูบเคราอย่างพอใจ
“มิใช่เพียงจดจำตำรา แต่พวกเจ้าต้องทำแบบหลินเซียน คือมองให้ถึงแก่นแท้ของการหลอมจิต นับว่าเป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบคมยิ่ง”
เสียงซุบซิบดังขึ้นทั่วห้อง ศิษย์คนอื่นหันมามองหลินเซียนด้วยความแปลกใจ บ้างก็อิจฉา บ้างก็ยกย่องในใจ
หลินเซียนเพียงก้มศีรษะเล็กน้อย ไม่ได้แสดงความโอ้อวด สีหน้าสงบเยือกเย็น
เสียงระฆังของสำนักดังขึ้นบ่งบอกว่าวันนี้การเรียนสิ้นสุดแล้ว
หลังจากท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเดินออกจากห้องไป บรรดาศิษย์หญิงหลายคนลุกขึ้นตรงมารุมล้อมหลินเซียน ด้วยรอยยิ้มเขินอายและสายตาเป็นประกาย
“หลินเซียน…ครั้งที่แล้วเจ้าสอบได้คะแนนดีที่สุดในห้องใช่หรือไม่?”
“ใช่ ๆ ข้าเห็นเจ้าตอบทุกคำถามเฉียบคมมาก ๆ เลย”
“หลินเซียน…วันนี้ข้าเห็นเจ้าเฉียบคมเหลือเกินนะ ช่วยสอนข้าหน่อยได้ไหม ข้าอยากเรียนรู้จากเจ้าให้ได้ทุกวันเลย…”
อีกคนกระซิบใกล้ ๆ “ใบหน้าของเจ้า…ทำให้ข้ารู้สึกใจเต้นแรงทุกครั้งที่มองเลยนะ เย็นนี้ไปอ่านหนังสือห้องข้าไหม”
บางคนยื่นมือแตะเบา ๆ ที่แขนเขา บ้างเอียงหน้ามองราวกับอยากได้คำชม
“ข้าอยากอยู่ใกล้เจ้ามาก ๆ เลย…วันนี้ช่วยสอนข้าอีกหน่อยได้ไหม?”
เสียงหัวเราะคิกคักและคำพูดหวาน ๆ ล้อมรอบร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อหวานราวเทพเซียนยิ่งดูโดดเด่น
เสียงหัวเราะคิกคักดังล้อมรอบร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหวานราวกับเทพเซียนยิ่งทำให้หัวใจของหลายคนเต้นแรง
บางคนยื่นมือมาสัมผัสเบาๆ เพื่อทักทาย บางคนกระซิบกระซาบว่าอยากฝึกวิชากับเขาใกล้ ๆ
หลินเซียนเพียงยิ้มอ่อนโยน ก้มศีรษะตอบกลับทุกคนด้วยถ้อยคำสุภาพ
ทว่าสายตาของหลิวเซี่ยงกลับสั่นสะท้านด้วยโทสะ
ใบหน้าอ้วนเตี้ยของเขาแดงฉาน ตาโบนเบิกกว้างด้วยความอิจฉาริษยา
“หึ…ชั่นต่ำพวกนี้เห็นข้าเป็นใครกัน?…ทำไมเจ้าขยะบ้านนอกนี่ถึงได้รับความสนใจไปหมด!”
มือของหลิวเซียงกำแน่น เสียงกรอดดังในคอ ราวกับอยากกระชากหลินเซียนออกไปจากตรงนั้น
ความอิจฉาและความหมั่นไส้ของหลิวเซี่ยงชัดเจนเกินกว่าจะปิดบัง
ในขณะที่หลินเซียนยังคงยืนสงบ รับรอยยิ้มและคำทักทายของเพื่อนศิษย์หญิงด้วยความสุภาพ
....กลางคืนของสำนักเซียนเงียบสงัด แสงจันทร์สาดส่องผ่านไม้คานและเชือกในคอกม้า
ร่างสูงโปร่งของหลินเซียนนั่งอยู่ข้างกองสัมภาระ มีป้ายวิญญาณพ่อตั้งอยู่บนโต๊ะไม้เก่าๆ เสียงลมหายใจของม้าเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจเขา
จู่ๆ ประตูก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง เสียงดังสนั่นทำให้ม้าตื่นกระโจนถอย
“หึ…เจ้าขยะ!” เสียงหลิวเซี่ยงก้องขึ้น ร่างอ้วนเตี้ยพร้อมชายร่างกำยำสองคนถือดาบเดินเข้ามา
“คิดว่ามาอยู่สำนักแล้วเจ้าจะเทียบเท่าข้าได้งั้นรึ?”
"จัดการมัน!" หลิวเซี่ยงสั่ง
แล้วชายร่างกำยำทั้ง 2 คนก็เข้ามาล็อคแขนหลินเซียนไว้และเตะที่ขาบังคับให้คุกเข่า
หลิวเซี่ยงกวาดตามองป้ายวิญญาณพ่อหลินเซียนด้วยสายตาเย็นชา
“นี่ของเจ้า…ใช่รึ? ฮ่าๆ ช่างไร้ค่าเหลือเกิน!”
“อย่า! ขอแค่สิ่งนั้น ได้โปรด!!” หลินเซียนเงยหน้าตะโกนด้วยความตกใจ
หลิวเซี่ยงหัวเราะสะใจ เขายกป้ายวิญญาณขึ้น ปาป้ายลงพื้นอย่างแรง เสียงกระแทกดังก้องทั่วคอกม้า
ไอ้อ้วนกระทืบป้ายวิญญาณซ้ำๆ จนป้ายวิญญาณแตกครึ่ง เศษไม้เล็กๆบางส่วนกระเด็นทั่วพื้น
"ไม่!"
หลินเซียนตะโกนสุดเสียง เขาพยายามกระชากมือชายร่างกำยำออก แต่ก็สู้แรงไม่ได้ยังถูกผลักจนล้มลง
“เจ้า…คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาห้ามข้า!” หลิวเซี่ยงตะคอก มืออ้วนเขย่าอกหลินเซียนแรง ๆ
“เจ้าขยะบ้านนอกโง่เง่า! แค่หน้าตาสวยๆ คิดว่าพวกผู้หญิงจะสนใจเจ้าได้หรือไง!?”
หลินเซียนกัดฟันแน่น ดวงตาเปล่งประกายด้วยความโกรธ เขามีน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
หลิวเซี่ยงย่ำเท้าลงกับพื้น เสียงกรอดดังตามแรงอารมณ์
“ข้าจะสอนให้เจ้ารู้…ว่าอะไรฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ! สวะอย่างเจ้ามันต้องโดนอย่างนี้!”
เขาใช้เท้าเตะหลินเซียนจนล้มคว่ำ แล้วกระทืบซ้ำๆอย่างไม่ปราณี
หลินเซียนพยายามลุกขึ้น แต่ชายร่างกำยำก็ดันเขาให้ล้มซ้ำ
“เจ้าขี้ม้าสกปรก! นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องโดน!”
หลิวเซี่ยงตวาดพร้อมกระทืบหลินเซียนอีกหลายครั้ง แรงกระแทกทำให้ร่างเขาสั่นจนเกือบหงายหลัง
เขาหยิบไม้คานในคอกม้าขึ้นฟาดที่ขาและแขนหลินเซียน
"อ๊าก!" หลินเซียนร้องอย่างเจ็บปวด
“จำไว้! อย่าบังอาจมาเทียบชั้นกับข้า!”
ทุกคำพูดของหลิวเซี่ยงเต็มไปด้วยความริษยาและความอิจฉา
กระทืบพร้อมสถบคำหยาบคายนานถึง 1 เค่อ(15 นาที) จนหลิวเซียงเหนื่อยหอบไม่มีแรงแล้วจึงหยุด
หลิวเซี่ยงจึงถุยน้ำลายใส่ศรีษะหลินเซียน
“เจ้า!…ไม่มีค่าพอที่จะยืนอยู่ในสำนักนี้!”
แล้วหลิวเซี่ยงและชายกำยำเหล่านั้นก็เดินจากไป
หลินเซียนค่อยๆลุกขึ้นมาเก็บเศษไม้ป้ายวิญญาณพ่อของเขา มือของเขาสั่นด้วยแรงโกรธและเสียใจมาก
ดวงตาเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง แต่ในใจเต็มไปด้วยพลังแค้นที่สะสม
“้ข้า!…จะให้เจ้าชดใช้ด้วยความเจ็บปวด…!”
ความมืดของคืนและแสงจันทร์สะท้อนบนใบหน้าหลินเซียนที่แดงฉาน....
(3 เดือนผ่านไป).....บัดนี้ศิษย์ทั้ง 6 คนบรรลุระดับรวบรวมปราณขั้นต้นได้หมดแล้ว หลินเซียนเริ่มให้แต่ละคนฝึกฝนต่างกัน - หลี่เทียนอวิ๋น แม้เขาจะเป็นคนก้าวร้าวแต่เขาเป็นลูกขุนนางจึงมีการศึกษาดีกว่าทุกคน หลินเซียนเริ่มสอนทักษะพื้นฐานการสร้าวงค่ายกลให้แก่เขา- เซียวฉิง นางฝึกฝนวิชากระบี่มาจากแม่แล้วหลินเซียนจึงสอนการบรรจุพลังปราณลงในกระบี่ให้- หวังต้า หลินเซียนสอนปราณธาตุไฟให้เขา หวังต้าชอบมากเพราะเขาคิดว่าอนาคตย่อมมีประโยชน์กับงานร้านตีเหล็กของเขาได้- จางซาน หลินเซียนสอนวิชาการปรุงยา และความรู้เรื่องสมุนไพรเซียนให้เขา เผื่อวันหน้าเขาจะหลอมยาไว้บำรุงร่างกายตัวเอง- หานซิ่วเรียนรู้พลังปราณธาตุน้ำตาหลินเซียน- หลิงเออร์แม้จะเป็นเด็กแต่รากวิญญาณเซียนเธอดีพิเศษ หลินเซียนจึงให้เธอฝึกปราณธาตุน้ำ, ไม้ และดิน ซึ่งปราณธาตุไม้นั้นหลินเซียนให้เสี่ยวหมิงออกมาช่วยด้วย เธอจึงทั้งสนุกที่ได้เล่นหมีแพนด้าและสัมผัสปราณธาตุไม้การสอนศิษย์ทุกคนหลายเดือนนี้หลินเซียนก็เหมือนได้ทบทวนวิชาต่างๆที่ตัวเองเคยร่ำเรียนมาให้ความรู้แน่นขึ้น เก็บตกเศษชิ้นส่วนเล็กๆในแต่ละวิชามาเติมเต็มปัญญาตนเอง บางครั้งกลางดึกเขาเองก็ไป
....ข่าวการไล่ตะเพิดอันธพาลทำให้ไม่มีีอาจารย์สถาบันติวอื่นกล้ามาคบหากับหลินเซียน แต่ก็ทำให้มีชื่อเสียงในกลุ่มเด็กๆเยาวชนที่อยากผ่านการทดสอบเป็นเซียนบางคน ทำให้สถาบันของหลินเซียนคึกคักขึ้น ห้องเรียนเล็กๆบัดนี้มีคนหนุ่มสาวทั้งชายหญิงรวมถึงเด็กน้อยครั้งก่อนมาเรียนด้วย 6 คนแล้วคนแรก คือเด็กหญิงตัวน้อยที่มาช่วยหลินเซียนครั้งที่แล้ว เธอชื่อหลิงเออร์ เป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่อยู่กับคุณปู่ที่เปิดร้านขายน้ำหมึกและพู่กันข้างๆบ้านหลินเซียนนี่เอง เนื่องจากหลินเซียนบอกจะสอนให้ฟรี ปู่เธอจึงอนุญาตให้มาเรียนด้วยคนที่ 2 ชื่อหลี่อวิ๋นเทียน อายุ 14-15 ปีแล้ว เขาเป็นคุณชายสกุลขุนนางปลายแถว เนื่องด้วยเป็นเด็กมั่นใจตัวเองสูงพ่อแม่สอนไม่ฟัง จึงเอามาฝากให้หลินเซียนช่วยอบรมให้คนที่ 3 ชื่อหวังต้า เป็นลูกชายคนโตของร้านช่างตีเหล็กในตลาดคนที่ 4 ชื่อหานซิ่ว เป็นลูกชาวนายากจนจากชนบท แต่เป็นคนเรียบร้อยถ่อมตน หลินเซียนให้เขาพักที่สถาบัน โดยให้ทำงานทำความสะอาดเรือนแลกกับการให้ที่พักคนที่ 5 ชื่อเซียวฉิง เธอเป็นลูกสาวจอมยุทธหญิง ชำนาญวิชาดาบ แต่เมื่อตรวจพบว่ามีรากวิญญาณเซียน แม่เธอจึงพาเข้าเมืองหลวง และได้ยินชื่อเสียงหล
....แคว้นจูตั้งอยู่ทางเหนือสุดของทวีป ถูกขนาบด้วยเทือกเขาหิมะที่สูงเสียดฟ้าปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี และในหุบเขามีทะเลสาบน้ำแข็งนิรันดร์ที่เล่ากันว่าซ่อนสมบัติเซียนและกระบี่โบราณไว้อยู่ด้วยส่วนพื้นที่ราบเป็นทุ่งน้ำแข็งและทะเลสาบที่ถูกแช่แข็งเกือบทั้งปี แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนสั้นๆจะมีทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่มให้สัตว์เลี้ยงและกวางป่าออกหากินมีลมเหนือหนาวเย็นพัดลงมาที่เมืองทั้งปี ดวงอาทิตย์ส่องแสงน้อยจึงเป็นแคว้นที่กลางวันสั้นส่วนกลางคืนยาว ทำให้ผู้คนที่นี่แข็งแกร่งและอดทนณ เมืองหลวงขอแคว้นชื่อไป๋ซวง(น้ำค้างขาว) มีกำแพงเมืองที่ถูกสร้างด้วยหินแข็งแรงและไม้สนดำ ทนทานต่อพายุหิมะผู้คนแคว้นนี้มีผิวซีดขาว แก้มแดงจากอากาศหนาว มักสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ซ้อนหลายชั้นอาชีพหลักคือ ล่าสัตว์, ทำหนังสัตว์, ค้าขนสัตว์, และหลอมเหล็กจากแร่ในภูเขา จึงมีตลาดแลกเปลี่ยนที่คึกคัก แม้จะเป็นแคว้นห่างไกลที่นี่ยังเป็นแคว้นที่ผู้คนมีรากวิญญาณเซียนหลายคน นั่นจึงทำให้มีสำนักเซียนมากมายในแคว้น ซึ่งการทดสอบเข้าเป็นศิษยืแต่ละสำนักก็มีทั้งการสอบมาตรฐานที่ราชสำนักกำหนด และการทดสอบเฉพาะแต่ละสำนักด้วยและด้วยทางการสนับสนุนอย่างด
A : ไง?หลินเซียน : ท่านเป็นใคร ทำไมข้าไม่เห็นหน้าท่าน? แล้วที่นี่ที่ไหน?B : สำคัญด้วยรึ?หลินเซียน : พวกท่านเป็นใคร? ข้าอยู่ที่ไหน?B : เจ้าหนู ที่นี่มันเป็นสถานที่ๆอธิบายยากอยู่นะ เจ้าอย่าสนใจเลยA : เจ้าช่วยตอบคำถามพวกเราสัก 2 ข้อได้ไหม? แล้วเราจะปล่อยเจ้าไปหลินเซียน : ท่านจะถามอะไรขอรับ?A : ข้าจะถามว่า.......B : ส่วนข้าอยากถามเจ้าว่า.....A+B : แล้ววันหลังพวกเราจะมาขอคำตอบหลินเซียนลืมตาเบิกโพลง เขามองรอบๆตัว ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียง มีผ้าห่ม และผ้าพันแผลพันกายนิดหน่อย"เจ้าฟื้นแล้วรึ?" ไม่ใช่ใครที่ไหน คือนางปีศาจจิ้งจอกเก้าหางนั่นเอง นางนั่งเฝ้าเขาอยู่ไม่ไปไหน แถมมีเสี่ยวหมิงแพนด้าตัวน้อยอยู่ข้าง ๆ พอมันเห็นว่าหลินเซียนฟื้นแล้วมันดีใจรีบเดินเข้าไปออดอ้อนทันที"ขอบใจเจ้ามากที่มาช่วยพวกเรา" หลินเซียนเอื้อมไปจับมือนางจิ้งจอก ทำเอานางเขินแก้มแดง"ม....ไม่มีอะไรนี่ การตอบแทนบุญคุณเป็นเรื่องธรรมดา" หางนางโผล่ออกและบิดไปมา หลินเซียนยิ้มใความเขินอายของสาวแก่อายุตั้งพันปี"อาจารย์ท่านตื่นแล้ว!" องค์ชายดีใจพูดเสียงดัง อาการบาดเจ็บเขาดีขึ้นมากเพราะน้ำวิเศษในน้ำเต้าที่หลินเซียนให้เขาดื่ม
.....หลินเซียนใช้ม่านวารีพิทักษ์ป้องกันครบไปแล้ว 3 ครั้ง ดังนั้นลูกไฟสีน้ำเงินและสีเขียวที่ลอยพุ่งมานี้เขาไม่สามารถใช้วิธีเดิมป้องกันได้อีกแล้วหลินเซียนรีบชูแหวนธาราสวรรค์ขึ้นมา เขาเสี่ยงดวงดูว่าแหวนธาราสวรรค์จะสามารถดูดพลังไฟประหลาดทั้งสองนี้เก็บไว้ได้ไหม ปรากฏว่าแหวนธาราสวรรค์ดูไฟทั้งสองสีเข้าไปได้ แต่หากถอดจิตเข้าไปดูด้านในไฟนั้นลุกท่วมไปทั่วทำเอาปราณน้ำที่สะสมไว้ระเหยปั่นป่วนไปหมดหลินเซียนคิดว่าคงไม่อาจเก็บไว้ประหลาดแบบนี้ได้อีกแล้ว ฝ่ายเซียนหยวนอิงประหลาดใจไม่น้อย ไม่คิดว่าหลินเซียนจะมีแหวนธาราสวรรค์ของหายาก เขารู้สึกเจ็บแผลที่ถูกดาบวารีแทงเมื่อสักครู่"โทษที่เจ้าทำให้ข้าเจ็บ งั้นข้าจะเผาเจ้าด้วยสุดยอดไฟของข้า!"เขาปล่อยพลังออกมามากมายจะเศษซากอาคารถล่ม แผ่นดินสั่นไหว เขาใช้สิงมือกุมกันจนมีลูกไฟสีทองแดงโผล่ขึ้นมามันไม่ใ่ชไฟธรรมดา เพียงคนทั่วไปมองก็ตาบอดทันที พวกเซียนระดับต่ำก็มองแล้วจะรู้สึกเหมือนถูกโดนแผดเผาทั้งร่างส่วนหลินเซียนมั้นมองได้แค่แผบเดียวแล้วต้องรีบเอามือมาปิดบัง "นี่คือไฟจากแกนพิภพ!"เซียนชุดแดงหยิบสมบัติเซียนออกมาขว้างไปที่หลินเซียนกลายเป็นกรงแสงที่ไม่มีทางหนีห
....กลางสมรภูมิ แผ่นฟ้าสีเลือดฉาบด้วยแสงอัคคีแดงฉาน บัดนี้กองทัพขององค์ชายจ้าวหานเฟิง ที่มีทั้งทหารกล้าและเหล่าเซียนแคว้นจ้าวกำลังถลำลึกสู่ขอบเหวแห่งความพ่ายแพ้เสียงโครมครามของอาวุธชนกับอาวุธปะปนกับเสียงโหยหวน สายลมพัดกลิ่นคาวเลือดโชยอวลจนแทบหายใจไม่ออก ร่างทหารผู้กล้าและเซียนถูกเปลวเพลิงนรกกลืนกิน ร่างพวกเขากรีดร้องเพียงครู่ก่อนจะแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีเหนือสนามรบ บนฟากฟ้าสีแดงฉานปรากฏเงาร่าง เซียนหยวนอิงฝ่ายศัตรูเพียงหนึ่งเดียว ชายชราผมขาวหนวดขาวในชุดสีแดง นัยน์ตาเขาราวกับแผดเผาด้วยเพลิงโลกันต์ ปราณของเขาเป็น "ไฟนรก" ที่ไม่ดับสิ้นแม้เมื่อดวงวิญญาณหลุดร่าง เปลวไฟนี้กัดกร่อนทั้งเนื้อหนังและวิญญาณ ผู้ที่ถูกเผาแม้ตายแล้วก็ยังได้ยินเสียงกรีดร้องของตนเองก้องสะท้อนอยู่ในห้วงว่างเหล่าเซียนแคว้นจ้าวพยายามค้ำยันค่ายกลถึงที่สุด เพื่อป้องกันไฟนรก แต่เส้นลายยันต์บนฟ้าและพื้นดินแตกร้าวอย่างน่าสยดสยอง ราวกับมังกรที่ใกล้ขาดลมหายใจ เซียนหนุ่มสาวและชายชรามากมายผู้รับหน้าที่เป็นเสาหลักของค่ายกล เลือดไหลจากเจ็ดทวาร ร่างสั่นสะท้านจนแทบจะยืนไม่อยู่ หากค่ายกลแตกพังเมื่อใด กองทัพแคว้นจ้าวทั้งหมดจะถูกไฟ







