Share

คืนนั้นที่คอกม้า

last update Last Updated: 2025-09-25 12:17:24

(1 เดือนผ่านไป)

ภายในห้องเรียนกว้างขวางของสำนัก เสียงอาจารย์ดังขึ้นอย่างสงบ

“ผู้ใดตอบได้… หากผู้ฝึกปราณถึงขั้นกลางของ ‘ปราณหมื่นสายนที’ แล้ว แต่กลับไม่อาจฝึกต่อได้อีก จะต้องแก้ไขเช่นไร?”

ศิษย์ทั้งหลายต่างเงียบกริบ บ้างทำหน้างุนงง บ้างก็ขมวดคิ้วไม่รู้จะตอบอย่างไร เสียงกระซิบกระซาบดังเบาๆ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำตอบออกมา

ขณะนั้น หลินเซียนที่นั่งอยู่ด้านหน้ากลับค่อยๆ ยกมือลุกขึ้น สีหน้าสงบมั่นใจ

“ศิษย์ขอตอบขอรับ หากติดขัดอยู่ที่ขั้นกลาง มิใช่ว่าพลังปราณไม่พอ แต่เป็นเพราะจิตใจยังมิได้หลอมรวมกับสายน้ำ จึงเกิดการต้านทานในร่างกาย วิธีแก้คือ ต้องผสานใจให้สงบนิ่ง… มองสายน้ำไม่ใช่เป็นศัตรู แต่เป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจตนเอง เมื่อใจรวมเป็นหนึ่งกับธาตุน้ำ พลังจะไหลเวียนต่อไปได้เอง”

ห้องเรียนเงียบลงในทันที ดวงตาอาจารย์ส่องประกายชื่นชม

“ดี! หลินเซียน เจ้าตอบได้ถูกต้องและลึกซึ้งยิ่งกว่าที่ข้าคาดไว้เสียอีก”

อาจารย์พยักหน้าอย่างพอใจ “มิใช่เพียงจำตำรา แต่เจ้ามองถึงแก่นแท้ของการหลอมจิต นับว่าเป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบคมยิ่ง”

เสียงซุบซิบดังขึ้นทั่วห้อง ศิษย์คนอื่นหันมามองหลินเซียนด้วยความแปลกใจ บ้างก็อิจฉา บ้างก็ยกย่องในใจ

หลินเซียนเพียงก้มศีรษะเล็กน้อย ไม่ได้แสดงความโอ้อวด สีหน้าสงบเยือกเย็น แต่ในแววตากลับแฝงประกายมั่นใจเล็กๆ ที่ยากจะปิดบังได้

เสียงระฆังของสำนักดังขึ้นบ่งบอกว่าวันนี้การเรียนสิ้นสุดแล้ว 

หลังจากท่านอาจารย์จบการสอนและเดินออกจากห้อง บรรดาศิษย์หญิงหลายคนลุกขึ้นตรงมารุมล้อม หลินเซียน ด้วยรอยยิ้มเขินอายและสายตาเป็นประกาย

“หลินเซียน…ครั้งที่แล้วเจ้าสอบได้คะแนนดีที่สุดในห้องใช่หรือไม่?”

“ใช่ ๆ ข้าเห็นเจ้าตอบทุกคำถามเฉียบคมมาก ๆ เลย”

“หลินเซียน…วันนี้ข้าเห็นเจ้าเฉียบคมเหลือเกินนะ ช่วยสอนข้าหน่อยได้ไหม ข้าอยากเรียนรู้จากเจ้าให้ได้ทุกวันเลย…”

อีกคนกระซิบใกล้ ๆ “ใบหน้าของเจ้า…ทำให้ข้ารู้สึกใจเต้นแรงทุกครั้งที่มองเลยนะ เย็นนี้ไปอ่านหนังสือห้องข้าไหม”

บางคนยื่นมือแตะเบา ๆ ที่แขนเขา บ้างเอียงหน้ามองราวกับอยากได้คำชม

“ข้าอยากอยู่ใกล้เจ้ามาก ๆ เลย…วันนี้ช่วยสอนข้าอีกหน่อยได้ไหม?”

เสียงหัวเราะคิกคักและคำพูดหวาน ๆ ล้อมรอบร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหวานราวเทพเซียนยิ่งดูโดดเด่น

เสียงหัวเราะคิกคักดังล้อมรอบร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหวานราวกับเทพเซียนยิ่งทำให้หัวใจของหลายคนเต้นแรง

บางคนยื่นมือมาสัมผัสเบา ๆ เพื่อทักทาย บางคนกระซิบกระซาบว่าอยากฝึกวิชากับเขาใกล้ ๆ

หลินเซียนเพียงยิ้มอ่อนโยน ก้มศีรษะตอบกลับด้วยถ้อยคำสุภาพ

ทว่าในแถวหลัง สายตาของ หลิวเซียง สั่นสะท้านด้วยโทสะ

ใบหน้าอ้วนเตี้ยของเขาแดงฉาน ตาโบนเบิกกว้างด้วยความอิจฉาริษยา

“หึ…ข้าเป็นใครกัน…ทำไมเจ้าหนุ่มบ้านนอกนี่ถึงได้รับความสนใจไปหมด!”

มือของหลิวเซียงกำแน่น เสียงกรอดดังในคอ ราวกับอยากกระชากหลินเซียนออกไปจากตรงนั้น

ศิษย์ชายคนอื่น ๆ ก็เริ่มเอียงคอชำเลืองมอง หลายคนเริ่มไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ความอิจฉาและความหมั่นไส้ของหลิวเซียงชัดเจนเกินกว่าจะปิดบัง

ในขณะที่หลินเซียนยังคงยืนสงบ รับรอยยิ้มและคำทักทายของเพื่อนศิษย์หญิงด้วยความสุภาพ

....กลางคืนของสำนักเซียนเงียบสงัด แสงจันทร์สาดส่องผ่านไม้คานและเชือกในคอกม้า

ร่างสูงโปร่งของ หลินเซียน นั่งอยู่ข้างกองสัมภาระ มีป้ายวิญญาณพ่อตั้งอยู่บนโต๊ะไม้เก่าๆ เสียงลมหายใจของม้าเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจเขา

จู่ ๆ ประตูคอกม้าก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง เสียงดังสนั่นทำให้ม้ากระโจนถอย

“หึ…เจ้าขยะ!” เสียงหลิวเซี่ยงก้องขึ้น ร่างอ้วนเตี้ยพร้อมชายร่างกำยำสองคนถือดาบเดินเข้ามา

“คิดว่ามาอยู่สำนักแล้วเจ้าจะเทียบเท่าข้าได้งั้นรึ?” เขาหัวเราะเยาะพร้อมปัดเสื้อให้กระดิก

ชายร่างกำยำทั้งสองเข้ามาบังคับจับแขนหลินเซียนและเตะที่ขาบังคับให้คุกเข่า

หลิวเซี่ยงกวาดตามองป้ายวิญญาณพ่อหลินเซียนด้วยสายตาเย็นชา

“นี่ของเจ้า…ใช่รึ? ฮ่า ๆ ช่างไร้ค่าเหลือเกิน!”

“อย่า! ขอแค่สิ่งนั้น ได้โปรด!!” หลินเซียนเงยหน้าตะโกนด้วยความตกใจ

หลิวเซียงหัวเราะสะใจ เขายกป้ายวิญญาณขึ้น ปาป้ายลงพื้นอย่างแรง เสียงกระแทกดังก้องทั่วคอกม้า

ไอ้อ้วนกระทืบป้ายวิญญาณซ้ำๆ จนป้ายวิญญาณแตกครึ่ง เศษไม้เล็กๆบางส่วนกระเด็นทั่วพื้น 

หลินเซียนกระชากมือชายร่างกำยำออก แต่ก็ยังถูกผลักจนล้มลง

“เจ้า…คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาห้ามข้า!” หลิวเซี่ยงตะคอก มืออ้วนเขย่าอกหลินเซียนแรง ๆ

“เจ้าบ้านนอกโง่เง่า! แค่หน้าตาสวย ๆ คิดว่าพวกผู้หญิงจะสนใจเจ้าได้หรือไง!?”

หลินเซียนกัดฟันแน่น ดวงตาเปล่งประกายด้วยความโกรธ เขามีน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

หลิวเซี่ยงย่ำเท้าลงกับพื้น เสียงกรอดดังตามแรงอารมณ์

“ข้าจะสอนให้เจ้ารู้…ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ สวะอย่างเจ้ามันต้องโดนอย่างนี้!”

เขาใช้เท้าเตะหลินเซียนจนล้มคว่ำ แล้วกระทืบซ้ำๆอย่างไม่ปราณี

หลินเซียนพยายามลุกขึ้น แต่ชายร่างกำยำก็เข้ามาดันเขาให้ล้มซ้ำ

“เจ้าขี้ม้าสกปรก! นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องโดน!”

หลิวเซี่ยงตวาดพร้อมกระทืบหลินเซียนอีกหลายครั้ง แรงกระแทกทำให้ร่างเขาสั่นจนเกือบหงายหลัง

เขาหยิบไม้คานในคอกม้าขึ้นฟาดที่ขาและแขนหลินเซียน

“จำไว้! อย่าบังอาจมาเทียบชั้นกับข้า!”

ทุกคำพูดของหลิวเซี่ยงเต็มไปด้วยความริษยาและความอิจฉา เสียงหัวเราะแสบแก้วหู

กระทืบพร้อมสถบคำหยาบคายนานถึง 1 เค่อ หลิวเซียงก็เหนื่อยหอบไม่มีแรงแล้วจึงหยุด

หลิวเซี่ยงถุยน้ำลายใส่ศรีษะหลินเซียน

“เจ้า…ไม่มีค่าพอที่จะยืนอยู่ตรงนี้!”

แล้วหลิวเซี่ยงและชายกำยำเหล่านั้นก็เดินจากไป

หลินเซียนค่อยๆลุกขึ้นมาเก็บเศษไม้ป้ายวิญญาณพ่อของเขา มือของเขาสั่นด้วยแรงโกรธและเสียใจมาก

ดวงตาเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง แต่ในใจเต็มไปด้วยพลังแค้นที่สะสม 

“้ข้า…จะให้เจ้าชดใช้ด้วยความเจ็บปวด…!”

ความมืดของคืนและแสงจันทร์สะท้อนบนใบหน้าหลินเซียนที่แดงฉาน

เสียงลมหายใจและหัวใจของเขาเหมือนกลองสะท้อนในคอกม้า

คืนนี้…พายุแห่งความแค้นเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   สัตว์เลี้ยงอสูรตัวแรก

    ....กลางป่าลึกที่เงียบสงัด เพียงเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ก็เหมือนกรีดทิ่มใจ ณ ต้นไม้เซียนที่พ่อปลูก ขณะที่หลินเซียนกำลังทดลองนำเปลือกไม้และใบมาผสมปรุงยาอยู่นั้น หลินเซียนก็ขมวดคิ้วแน่น เพราะเขารู้สึกถึงสายตาลึกลับที่จ้องมองอยู่ตลอด เหมือนเส้นลมหายใจถูกกดทับจนแทบแตกสลาย “ใคร?!”เขาเรียกปราณกระบี่สายนทีวายุขึ้นมา 1 เล่มลอยข้างตัวเขาทันที"ออกมา! ถ้าไม่ออกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ"พุ่มไม้ข้างหน้าขยับวูบ ราวกับมีเงาดำซ่อนตัวอยู่ หลินเซียนยกมือแตะด้ามดาบ พลังปราณพลุ่งพล่านพร้อมปะทะในพริบตา บรรยากาศหนักหน่วงเข้มข้นจนแทบกลายเป็นเสียงดังก้องในหูแต่อีกวินาที… “ซวบ!”สิ่งที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้กลับเป็นเจ้าลูกหมีแพนด้าตัวน้อยมันมีขนสีขาวดำที่ควรจะนุ่มนวล แต่ตอนนี้กลับมอมแมมเลอะโคลนไปทั่ว ดวงตากลมโตสีดำสนิทช่างฉายประกายใสซื่อไร้เดียงสา มันยืนสองขาโงนเงน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งตุ้บลงไปอย่างงุ่มง่าม กอดท่อนไผ่หักครึ่งท่อนแนบอกไว้แน่นเหมือนสมบัติล้ำค่าเสียง "กรอบๆ" เล็ดลอดออกมาจากฟันเล็กๆ ที่กำลังแทะไผ่ แต่พอเงยหน้าขึ้นมามอง หลินเซียนก็แทบสะดุ้งกับสายตานั้น… มันจ้องด้วยแววตากลมใสไม่กะพริบ ราวกับกำลังสื่อสารว่า

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   สิ่งที่ข้ามีเหนือกว่า

    ....ภายในป่าลึกหลังบ้าน แสงจันทร์สาดส่องลอดกิ่งไม้ลงมาเป็นเส้นสาย ต้นไม้เซียนที่พ่อเคยปลูกตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ใบของมันมีประกายแสงระยิบราวหยดน้ำแข็ง ส่วนผลไม้สีม่วงกลมโตกลับแผ่วพลังปราณออกมาจางๆ จนบรรยากาศรอบตัวอบอวลไปด้วยพลังวิเศษหลินเซียนยืนนิ่ง สายตาจับจ้องต้นไม้นั้น แววตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและหนักแน่น“พ่อ…ท่านปลูกสิ่งนี้ไว้เพื่อข้า ข้าจะใช้มันไม่ให้สูญเปล่า เพื่อปกป้องท่านแม่และตัวข้า”เขารู้ตัวเองดี รากวิญญาณของตนต่ำต้อยกว่าคนทั่วไปมาก หากจะเดินตามตำราอย่างเดียว ย่อมไม่ทันใคร ไม่พ้นจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังตลอดไป ดังนั้นเขาต้องสร้างเส้นทางที่ไม่เหมือนใครมือเรียวของเขาเอื้อมไปเด็ดผลไม้ลูกหนึ่งมากัดช้าๆ น้ำหวานหอมไหลซึมลงลำคอ พลังปราณเย็นไหลเข้าสู่เส้นลมปราณทันที แต่หลินเซียนไม่รีบร้อน เขานั่งขัดสมาธิ ปล่อยให้พลังนั้นซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างระมัดระวัง“ตำราเขียนไว้แค่ผลอวิ๋นฮวานี้(ผลไม้แห่งเมฆาและดวงดาว)เพียงอย่างเดียว แม้จะทรงค่า…แต่เหตุใดตำราจึงมิกล่าวถึงราก กิ่ง ก้าน หรือแม้แต่ใบ? ยังไงเสียมันก็คือต้นไม้ที่มีพลังเซียนทุกส่วน”เขาเริ่มขบคิด"ไก่ 2 ตัว เป็ด 3 ตัวออกไข่ได้ 5 ฟอง

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   ความดีของท่านพ่อ

    ....หลินเซียนเปลี่ยนจากชุดผ้าไหมที่เคยสวมใส่เป็นชุดชาวบ้านสีเทาเก่า ๆ ผ้าขาดตรงชายเสื้อเล็กน้อย พอให้ดูไม่ต่างจากชาวบ้านธรรมดาที่เดินไปมาในตลาด เขาดึงหมวกงอบลงต่ำเพื่อบดบังใบหน้า หัวใจยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะยามก้าวผ่านผู้คนเขายังคงครุ่นคิดไม่หยุดถึงความเป็นไปได้สำนักอวิ๋นเจิ้งอาจส่งคนออกมาตามล่าเขาอยู่ทุกย่างก้าว หรือบางทีหลิวเซี่ยง ไอ้อ้วนขี้อิจฉานั่น อาจลงมือเอง ส่งลูกน้องมือดีเฝ้าดักตามทางสายหลักหลินเซียนไม่กลัวตาย แต่สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจคือท่านแม่ หากเขาพลาดท่า ศัตรูเหล่านั้นอาจลามไปถึงผู้ให้กำเนิด ความคิดนั้นทำให้ทุกก้าวที่เหยียบพื้นหินเย็นยะเยือกหนักอึ้งยิ่งกว่าภูเขามือเขาเผลอกำแน่นที่ชายเสื้อ หูคอยเงี่ยฟังทุกเสียงรอบด้าน เสียงฝีเท้าคนเดิน เสียงลมพัดกลีบดอกไม้ เสียงใด ๆ ก็อาจแฝงมีดสั้นจากเงามืดได้ทั้งสิ้นสายตาของเขากวาดมองรอบตลาดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้เพียงร่างคนเมาสะดุดล้ม หลินเซียนก็สะดุ้งนึกว่าเป็นศัตรูมาโจมตี ความกังวลกัดกินใจ แต่สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเขาไว้คือภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของมารดาในความทรงจำเขาต้องอยู่รอดให้ได้… ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อปกป้องนางจากเล่ห์กลของคนใจด

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   ไม่เป็นไรลูก

    ....แสงแรกของรุ่งอรุณลอดผ่านปากถ้ำบาง ๆ กระทบหยดน้ำเกาะตามผนังหินหลินเซียนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางถ้ำ ความมืดรอบตัวไม่อาจกลบความมุ่งมั่นในดวงตาเขาข้อมือและร่างกายยังมีรอยช้ำจากการเฆี่ยนในคุก แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไปทุกความเจ็บปวดคือเชื้อไฟให้หัวใจมุ่งมั่นต่อสู้ในมือ เขารวบรวมปราณวายุให้กลายเป็นคมกระบี่จาง ๆ ที่แทบมองไม่เห็นจากนั้นปราณหมื่นสายนทีเริ่มไหลเวียนในกายละอองน้ำมากมายรวมตัวกันเป็นก้อนน้ำลอยอยู่ระหว่างฝ่ามือทั้งสองของเขาน้ำหยดเล็ก ๆ จากเพดานถ้ำสั่นสะท้านตามจังหวะปราณที่เขาเรียกใช้หลินเซียนค่อย ๆ ผสานสองวิชาเข้าด้วยกันครั้งแรกที่ลอง รวมปราณทั้งสองเข้าด้วยกัน เขารู้สึกพลังปะทะกันรุนแรงเสียงสะท้อนดังก้องในถ้ำ คล้ายกับธรรมชาติทดสอบความเข้มแข็งของเขาเขาสูดลมหายใจลึก ปรับจังหวะลมหายใจให้สอดคล้องกับการไหลของน้ำปราณหมื่นสายนทีพุ่งออกมารอบตัว เป็นเกราะบาง ๆ รอบคมกระบี่วายุคมกระบี่แปรเปลี่ยนเป็นเส้นปราณใสคล้ายลมพายุในละอองน้ำหลินเซียนฟันอากาศ ฝึกซ้ำหลายครั้ง แต่ครั้งแรกยังไม่แม่นยำเสียงลมปราณและน้ำกระทบกันเป็นจังหวะราวกับดนตรีแห่งพลังเขาไม่ยอมแพ้ ล้มแล้วลุกใหม่ ลองปรั

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   แหกคุกด้วยปัญญา

    ....ท่ามกลางความมืดชื้นและกลิ่นสนิมเลือดในคุกใต้ดิน แสงจันทร์ส่องลอดลงมา ภาพรอยยิ้มของมารดาก็ผุดขึ้นมาในใจหลินเซียนอย่างชัดเจนเขาจำได้ถึงอ้อมแขนอบอุ่นและเสียงปลอบโยนที่เคยคอยประคองเขายามบาดเจ็บและท้อแท้อีกด้านหนึ่ง ความทรงจำของย่าผู้เฒ่าที่คอยหุงหาอาหารและเล่านิทานยามค่ำคืน ทำให้หัวใจเขาอ่อนโยนแต่ก็สั่นไหวความคิดเป็นห่วงพวกท่าน กลัวว่ามารดาและย่าอาจถูกผู้คนภายนอกกดขี่หรือได้รับความอัปยศเพราะเขาทำให้ดวงตาที่เคยสิ้นหวังกลับลุกโชนขึ้นหลินเซียนกัดฟันแน่น ราวกับจะสลักคำสัตย์ลงในเลือดเนื้อของตนเอง“ต่อให้คุกนรกนี้กักขังข้าไว้ ข้าก็ต้องรอดออกไป... เพื่อปกป้องแม่และย่าของข้าให้ได้!”เขาเริ่มมองรอบๆตัวอย่าเพ่งพินิจ คุกใต้ดินหนาแน่นราวกับโคลนเหนียวกลิ่นอับชื้นผสมกับกลิ่นเลือดและสนิมเหล็กคละคลุ้งหลินเซียนนั่งพิงกำแพงหินครุ่นคิด ข้อมือและข้อเท้าถูกโซ่เหล็กหนาล่ามไว้แน่น“ในคุกนี้มีอะไร? แล้วตัวข้าตอนนี้มีอะไร? ข้าต้องเก็บข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อใช้สิ่งที่มีทุกอย่างพาข้าออกไปจากที่นี่!”เขาหลับตา สูดหายใจเข้า แม้เจ็บปวดก็ยังบังคับจิตใจให้นิ่งทบทวนวิชาที่เคยร่ำเรียนต่างๆกระบี่วายุปราณ = มันเปล

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า

    ....ภายใน หอพิพากษาสำนัก แสงไฟจากคบเพลิงสลัวสะท้อนเงาบนผนังหิน ทำให้บรรยากาศขึงขังและเย็นเยียบ ราวกับทุกลมหายใจถูกพันธนาการด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น เมื่อบานประตูหินหนักค่อยๆ เปิดออก เสียงก้าวเท้าองครักษ์เกราะดำสิบคนกระแทกพื้นดังก้อง พวกมันกดบ่าหลินเซียนแน่นจนถูกบังคับให้คุกเข่าลงบนลานพิพากษาอันกว้างใหญ่เบื้องสูงสุดของแท่นหินดำประดับหยก เจ้าสำนักชุดคลุมสีครามเข้มประทับนั่ง ดวงตาเรียบเฉย แต่แฝงแรงกดข่มที่ทำให้แม้กระทั่งอากาศรอบตัวสั่นสะท้านสองข้างล่างลงมา อาจารย์เฉิงเสิน และ อาจารย์จื่อหยง นั่งขนาบซ้ายขวาอาจารย์เฉิงเสินมีใบหน้าคมคายแฝงรอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาเหมือนมองทุกคนต่ำต้อยกว่าตนส่วนอาจารย์จื่อหยงนั้นสายตาเย็นชา ดั่งเฝ้าสังเกตโดยไร้อารมณ์ด้านข้างอีกชั้นคือ ผู้อาวุโสทั้งสาม ผู้ชรานั่งเรียงราย เคราขาวสะบัดตามลมปราณที่พัดไหว บรรยากาศเคร่งขรึมเต็มไปด้วยอำนาจเก่าแก่หลินเซียนถูกองครักษ์เกราะดำกดคุกเข่าลงตรงกลางลานหินเย็นเฉียบ เลือดที่มุมปากยังไม่แห้งสนิท หัวใจเต้นแรง แต่สายตายังคงแข็งกร้าวไม่ยอมก้มหัวให้ใครหลินเซียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาอิดโรยแต่ยังพอมีประกายความหวังอยู่เล็กน้อย... เมื

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status