Share

คืนนั้นที่คอกม้า

last update Huling Na-update: 2025-09-25 12:17:24

(1 เดือนผ่านไป)

ภายในห้องเรียนกว้างขวางของสำนัก เสียงอาจารย์ผู้เฒ่าดังขึ้นอย่างราบเรียบ

“ผู้ใดตอบได้… หากผู้ฝึกปราณถึงขั้นกลางของปราณหมื่นสายนทีแล้ว แต่กลับไม่อาจฝึกต่อได้อีก จะต้องแก้ไขเช่นไร?”

ศิษย์ทั้งหลายต่างเงียบกริบ บ้างทำหน้างุนงง บ้างก็ขมวดคิ้วไม่รู้จะตอบอย่างไร เสียงกระซิบกระซาบดังเบาๆ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำตอบออกมา

ขณะนั้น หลินเซียนที่นั่งอยู่ด้านหน้ากลับค่อยๆ ยกมือลุกขึ้น สีหน้ามั่นใจ

“ศิษย์ขอตอบขอรับ หากติดขัดอยู่ที่ขั้นกลาง มิใช่ว่าพลังปราณไม่พอ แต่เป็นเพราะจิตใจยังมิได้หลอมรวมกับสายน้ำ จึงเกิดการต้านทานในร่างกาย"

"วิธีแก้คือต้องผสานใจให้สงบนิ่ง… มองสายน้ำไม่ใช่เป็นศัตรู แต่เป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจตนเอง เมื่อใจรวมเป็นหนึ่งกับธาตุน้ำ พลังจะไหลเวียนต่อไปได้เอง”

ห้องเรียนเงียบลงในทันที ดวงตาอาจารย์ส่องประกายชื่นชม

“ดี! หลินเซียน เจ้าตอบได้ถูกต้องและลึกซึ้งยิ่งกว่าที่อาจารย์คาดไว้เสียอีก ยอดเยี่ยม!”

อาจารย์ผู้เฒ่าลูบเคราอย่างพอใจ

“มิใช่เพียงจดจำตำรา แต่พวกเจ้าต้องทำแบบหลินเซียน คือมองให้ถึงแก่นแท้ของการหลอมจิต นับว่าเป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบคมยิ่ง”

เสียงซุบซิบดังขึ้นทั่วห้อง ศิษย์คนอื่นหันมามองหลินเซียนด้วยความแปลกใจ บ้างก็อิจฉา บ้างก็ยกย่องในใจ

หลินเซียนเพียงก้มศีรษะเล็กน้อย ไม่ได้แสดงความโอ้อวด สีหน้าสงบเยือกเย็น 

เสียงระฆังของสำนักดังขึ้นบ่งบอกว่าวันนี้การเรียนสิ้นสุดแล้ว 

หลังจากท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเดินออกจากห้องไป บรรดาศิษย์หญิงหลายคนลุกขึ้นตรงมารุมล้อมหลินเซียน ด้วยรอยยิ้มเขินอายและสายตาเป็นประกาย

“หลินเซียน…ครั้งที่แล้วเจ้าสอบได้คะแนนดีที่สุดในห้องใช่หรือไม่?”

“ใช่ ๆ ข้าเห็นเจ้าตอบทุกคำถามเฉียบคมมาก ๆ เลย”

“หลินเซียน…วันนี้ข้าเห็นเจ้าเฉียบคมเหลือเกินนะ ช่วยสอนข้าหน่อยได้ไหม ข้าอยากเรียนรู้จากเจ้าให้ได้ทุกวันเลย…”

อีกคนกระซิบใกล้ ๆ “ใบหน้าของเจ้า…ทำให้ข้ารู้สึกใจเต้นแรงทุกครั้งที่มองเลยนะ เย็นนี้ไปอ่านหนังสือห้องข้าไหม”

บางคนยื่นมือแตะเบา ๆ ที่แขนเขา บ้างเอียงหน้ามองราวกับอยากได้คำชม

“ข้าอยากอยู่ใกล้เจ้ามาก ๆ เลย…วันนี้ช่วยสอนข้าอีกหน่อยได้ไหม?”

เสียงหัวเราะคิกคักและคำพูดหวาน ๆ ล้อมรอบร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อหวานราวเทพเซียนยิ่งดูโดดเด่น

เสียงหัวเราะคิกคักดังล้อมรอบร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหวานราวกับเทพเซียนยิ่งทำให้หัวใจของหลายคนเต้นแรง

บางคนยื่นมือมาสัมผัสเบาๆ เพื่อทักทาย บางคนกระซิบกระซาบว่าอยากฝึกวิชากับเขาใกล้ ๆ

หลินเซียนเพียงยิ้มอ่อนโยน ก้มศีรษะตอบกลับทุกคนด้วยถ้อยคำสุภาพ

ทว่าสายตาของหลิวเซี่ยงกลับสั่นสะท้านด้วยโทสะ

ใบหน้าอ้วนเตี้ยของเขาแดงฉาน ตาโบนเบิกกว้างด้วยความอิจฉาริษยา

“หึ…ชั่นต่ำพวกนี้เห็นข้าเป็นใครกัน?…ทำไมเจ้าขยะบ้านนอกนี่ถึงได้รับความสนใจไปหมด!”

มือของหลิวเซียงกำแน่น เสียงกรอดดังในคอ ราวกับอยากกระชากหลินเซียนออกไปจากตรงนั้น

ความอิจฉาและความหมั่นไส้ของหลิวเซี่ยงชัดเจนเกินกว่าจะปิดบัง

ในขณะที่หลินเซียนยังคงยืนสงบ รับรอยยิ้มและคำทักทายของเพื่อนศิษย์หญิงด้วยความสุภาพ

....กลางคืนของสำนักเซียนเงียบสงัด แสงจันทร์สาดส่องผ่านไม้คานและเชือกในคอกม้า

ร่างสูงโปร่งของหลินเซียนนั่งอยู่ข้างกองสัมภาระ มีป้ายวิญญาณพ่อตั้งอยู่บนโต๊ะไม้เก่าๆ เสียงลมหายใจของม้าเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจเขา

จู่ๆ ประตูก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง เสียงดังสนั่นทำให้ม้าตื่นกระโจนถอย

“หึ…เจ้าขยะ!” เสียงหลิวเซี่ยงก้องขึ้น ร่างอ้วนเตี้ยพร้อมชายร่างกำยำสองคนถือดาบเดินเข้ามา

“คิดว่ามาอยู่สำนักแล้วเจ้าจะเทียบเท่าข้าได้งั้นรึ?” 

"จัดการมัน!" หลิวเซี่ยงสั่ง

แล้วชายร่างกำยำทั้ง 2 คนก็เข้ามาล็อคแขนหลินเซียนไว้และเตะที่ขาบังคับให้คุกเข่า

หลิวเซี่ยงกวาดตามองป้ายวิญญาณพ่อหลินเซียนด้วยสายตาเย็นชา

“นี่ของเจ้า…ใช่รึ? ฮ่าๆ ช่างไร้ค่าเหลือเกิน!”

“อย่า! ขอแค่สิ่งนั้น ได้โปรด!!” หลินเซียนเงยหน้าตะโกนด้วยความตกใจ

หลิวเซี่ยงหัวเราะสะใจ เขายกป้ายวิญญาณขึ้น ปาป้ายลงพื้นอย่างแรง เสียงกระแทกดังก้องทั่วคอกม้า

ไอ้อ้วนกระทืบป้ายวิญญาณซ้ำๆ จนป้ายวิญญาณแตกครึ่ง เศษไม้เล็กๆบางส่วนกระเด็นทั่วพื้น 

"ไม่!"

หลินเซียนตะโกนสุดเสียง เขาพยายามกระชากมือชายร่างกำยำออก แต่ก็สู้แรงไม่ได้ยังถูกผลักจนล้มลง

“เจ้า…คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาห้ามข้า!” หลิวเซี่ยงตะคอก มืออ้วนเขย่าอกหลินเซียนแรง ๆ

“เจ้าขยะบ้านนอกโง่เง่า! แค่หน้าตาสวยๆ คิดว่าพวกผู้หญิงจะสนใจเจ้าได้หรือไง!?”

หลินเซียนกัดฟันแน่น ดวงตาเปล่งประกายด้วยความโกรธ เขามีน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

หลิวเซี่ยงย่ำเท้าลงกับพื้น เสียงกรอดดังตามแรงอารมณ์

“ข้าจะสอนให้เจ้ารู้…ว่าอะไรฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ! สวะอย่างเจ้ามันต้องโดนอย่างนี้!”

เขาใช้เท้าเตะหลินเซียนจนล้มคว่ำ แล้วกระทืบซ้ำๆอย่างไม่ปราณี

หลินเซียนพยายามลุกขึ้น แต่ชายร่างกำยำก็ดันเขาให้ล้มซ้ำ

“เจ้าขี้ม้าสกปรก! นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องโดน!”

หลิวเซี่ยงตวาดพร้อมกระทืบหลินเซียนอีกหลายครั้ง แรงกระแทกทำให้ร่างเขาสั่นจนเกือบหงายหลัง

เขาหยิบไม้คานในคอกม้าขึ้นฟาดที่ขาและแขนหลินเซียน

"อ๊าก!" หลินเซียนร้องอย่างเจ็บปวด

“จำไว้! อย่าบังอาจมาเทียบชั้นกับข้า!”

ทุกคำพูดของหลิวเซี่ยงเต็มไปด้วยความริษยาและความอิจฉา 

กระทืบพร้อมสถบคำหยาบคายนานถึง 1 เค่อ(15 นาที) จนหลิวเซียงเหนื่อยหอบไม่มีแรงแล้วจึงหยุด

หลิวเซี่ยงจึงถุยน้ำลายใส่ศรีษะหลินเซียน

“เจ้า!…ไม่มีค่าพอที่จะยืนอยู่ในสำนักนี้!”

แล้วหลิวเซี่ยงและชายกำยำเหล่านั้นก็เดินจากไป

หลินเซียนค่อยๆลุกขึ้นมาเก็บเศษไม้ป้ายวิญญาณพ่อของเขา มือของเขาสั่นด้วยแรงโกรธและเสียใจมาก

ดวงตาเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง แต่ในใจเต็มไปด้วยพลังแค้นที่สะสม 

“้ข้า!…จะให้เจ้าชดใช้ด้วยความเจ็บปวด…!”

ความมืดของคืนและแสงจันทร์สะท้อนบนใบหน้าหลินเซียนที่แดงฉาน....

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   ตามความสามารถ

    (3 เดือนผ่านไป).....บัดนี้ศิษย์ทั้ง 6 คนบรรลุระดับรวบรวมปราณขั้นต้นได้หมดแล้ว หลินเซียนเริ่มให้แต่ละคนฝึกฝนต่างกัน - หลี่เทียนอวิ๋น แม้เขาจะเป็นคนก้าวร้าวแต่เขาเป็นลูกขุนนางจึงมีการศึกษาดีกว่าทุกคน หลินเซียนเริ่มสอนทักษะพื้นฐานการสร้าวงค่ายกลให้แก่เขา- เซียวฉิง นางฝึกฝนวิชากระบี่มาจากแม่แล้วหลินเซียนจึงสอนการบรรจุพลังปราณลงในกระบี่ให้- หวังต้า หลินเซียนสอนปราณธาตุไฟให้เขา หวังต้าชอบมากเพราะเขาคิดว่าอนาคตย่อมมีประโยชน์กับงานร้านตีเหล็กของเขาได้- จางซาน หลินเซียนสอนวิชาการปรุงยา และความรู้เรื่องสมุนไพรเซียนให้เขา เผื่อวันหน้าเขาจะหลอมยาไว้บำรุงร่างกายตัวเอง- หานซิ่วเรียนรู้พลังปราณธาตุน้ำตาหลินเซียน- หลิงเออร์แม้จะเป็นเด็กแต่รากวิญญาณเซียนเธอดีพิเศษ หลินเซียนจึงให้เธอฝึกปราณธาตุน้ำ, ไม้ และดิน ซึ่งปราณธาตุไม้นั้นหลินเซียนให้เสี่ยวหมิงออกมาช่วยด้วย เธอจึงทั้งสนุกที่ได้เล่นหมีแพนด้าและสัมผัสปราณธาตุไม้การสอนศิษย์ทุกคนหลายเดือนนี้หลินเซียนก็เหมือนได้ทบทวนวิชาต่างๆที่ตัวเองเคยร่ำเรียนมาให้ความรู้แน่นขึ้น เก็บตกเศษชิ้นส่วนเล็กๆในแต่ละวิชามาเติมเต็มปัญญาตนเอง บางครั้งกลางดึกเขาเองก็ไป

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   สัมผัสปราณ

    ....ข่าวการไล่ตะเพิดอันธพาลทำให้ไม่มีีอาจารย์สถาบันติวอื่นกล้ามาคบหากับหลินเซียน แต่ก็ทำให้มีชื่อเสียงในกลุ่มเด็กๆเยาวชนที่อยากผ่านการทดสอบเป็นเซียนบางคน ทำให้สถาบันของหลินเซียนคึกคักขึ้น ห้องเรียนเล็กๆบัดนี้มีคนหนุ่มสาวทั้งชายหญิงรวมถึงเด็กน้อยครั้งก่อนมาเรียนด้วย 6 คนแล้วคนแรก คือเด็กหญิงตัวน้อยที่มาช่วยหลินเซียนครั้งที่แล้ว เธอชื่อหลิงเออร์ เป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่อยู่กับคุณปู่ที่เปิดร้านขายน้ำหมึกและพู่กันข้างๆบ้านหลินเซียนนี่เอง เนื่องจากหลินเซียนบอกจะสอนให้ฟรี ปู่เธอจึงอนุญาตให้มาเรียนด้วยคนที่ 2 ชื่อหลี่อวิ๋นเทียน อายุ 14-15 ปีแล้ว เขาเป็นคุณชายสกุลขุนนางปลายแถว เนื่องด้วยเป็นเด็กมั่นใจตัวเองสูงพ่อแม่สอนไม่ฟัง จึงเอามาฝากให้หลินเซียนช่วยอบรมให้คนที่ 3 ชื่อหวังต้า เป็นลูกชายคนโตของร้านช่างตีเหล็กในตลาดคนที่ 4 ชื่อหานซิ่ว เป็นลูกชาวนายากจนจากชนบท แต่เป็นคนเรียบร้อยถ่อมตน หลินเซียนให้เขาพักที่สถาบัน โดยให้ทำงานทำความสะอาดเรือนแลกกับการให้ที่พักคนที่ 5 ชื่อเซียวฉิง เธอเป็นลูกสาวจอมยุทธหญิง ชำนาญวิชาดาบ แต่เมื่อตรวจพบว่ามีรากวิญญาณเซียน แม่เธอจึงพาเข้าเมืองหลวง และได้ยินชื่อเสียงหล

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   อาจารย์หลิน

    ....แคว้นจูตั้งอยู่ทางเหนือสุดของทวีป ถูกขนาบด้วยเทือกเขาหิมะที่สูงเสียดฟ้าปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี และในหุบเขามีทะเลสาบน้ำแข็งนิรันดร์ที่เล่ากันว่าซ่อนสมบัติเซียนและกระบี่โบราณไว้อยู่ด้วยส่วนพื้นที่ราบเป็นทุ่งน้ำแข็งและทะเลสาบที่ถูกแช่แข็งเกือบทั้งปี แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนสั้นๆจะมีทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่มให้สัตว์เลี้ยงและกวางป่าออกหากินมีลมเหนือหนาวเย็นพัดลงมาที่เมืองทั้งปี ดวงอาทิตย์ส่องแสงน้อยจึงเป็นแคว้นที่กลางวันสั้นส่วนกลางคืนยาว ทำให้ผู้คนที่นี่แข็งแกร่งและอดทนณ เมืองหลวงขอแคว้นชื่อไป๋ซวง(น้ำค้างขาว) มีกำแพงเมืองที่ถูกสร้างด้วยหินแข็งแรงและไม้สนดำ ทนทานต่อพายุหิมะผู้คนแคว้นนี้มีผิวซีดขาว แก้มแดงจากอากาศหนาว มักสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ซ้อนหลายชั้นอาชีพหลักคือ ล่าสัตว์, ทำหนังสัตว์, ค้าขนสัตว์, และหลอมเหล็กจากแร่ในภูเขา จึงมีตลาดแลกเปลี่ยนที่คึกคัก แม้จะเป็นแคว้นห่างไกลที่นี่ยังเป็นแคว้นที่ผู้คนมีรากวิญญาณเซียนหลายคน นั่นจึงทำให้มีสำนักเซียนมากมายในแคว้น ซึ่งการทดสอบเข้าเป็นศิษยืแต่ละสำนักก็มีทั้งการสอบมาตรฐานที่ราชสำนักกำหนด และการทดสอบเฉพาะแต่ละสำนักด้วยและด้วยทางการสนับสนุนอย่างด

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   สิบปีสุดท้ายนี้ลูกจะอยู่กับแม่ไม่ไปไหน

    A : ไง?หลินเซียน : ท่านเป็นใคร ทำไมข้าไม่เห็นหน้าท่าน? แล้วที่นี่ที่ไหน?B : สำคัญด้วยรึ?หลินเซียน : พวกท่านเป็นใคร? ข้าอยู่ที่ไหน?B : เจ้าหนู ที่นี่มันเป็นสถานที่ๆอธิบายยากอยู่นะ เจ้าอย่าสนใจเลยA : เจ้าช่วยตอบคำถามพวกเราสัก 2 ข้อได้ไหม? แล้วเราจะปล่อยเจ้าไปหลินเซียน : ท่านจะถามอะไรขอรับ?A : ข้าจะถามว่า.......B : ส่วนข้าอยากถามเจ้าว่า.....A+B : แล้ววันหลังพวกเราจะมาขอคำตอบหลินเซียนลืมตาเบิกโพลง เขามองรอบๆตัว ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียง มีผ้าห่ม และผ้าพันแผลพันกายนิดหน่อย"เจ้าฟื้นแล้วรึ?" ไม่ใช่ใครที่ไหน คือนางปีศาจจิ้งจอกเก้าหางนั่นเอง นางนั่งเฝ้าเขาอยู่ไม่ไปไหน แถมมีเสี่ยวหมิงแพนด้าตัวน้อยอยู่ข้าง ๆ พอมันเห็นว่าหลินเซียนฟื้นแล้วมันดีใจรีบเดินเข้าไปออดอ้อนทันที"ขอบใจเจ้ามากที่มาช่วยพวกเรา" หลินเซียนเอื้อมไปจับมือนางจิ้งจอก ทำเอานางเขินแก้มแดง"ม....ไม่มีอะไรนี่ การตอบแทนบุญคุณเป็นเรื่องธรรมดา" หางนางโผล่ออกและบิดไปมา หลินเซียนยิ้มใความเขินอายของสาวแก่อายุตั้งพันปี"อาจารย์ท่านตื่นแล้ว!" องค์ชายดีใจพูดเสียงดัง อาการบาดเจ็บเขาดีขึ้นมากเพราะน้ำวิเศษในน้ำเต้าที่หลินเซียนให้เขาดื่ม

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   ดั่งคำสัญญา....

    .....หลินเซียนใช้ม่านวารีพิทักษ์ป้องกันครบไปแล้ว 3 ครั้ง ดังนั้นลูกไฟสีน้ำเงินและสีเขียวที่ลอยพุ่งมานี้เขาไม่สามารถใช้วิธีเดิมป้องกันได้อีกแล้วหลินเซียนรีบชูแหวนธาราสวรรค์ขึ้นมา เขาเสี่ยงดวงดูว่าแหวนธาราสวรรค์จะสามารถดูดพลังไฟประหลาดทั้งสองนี้เก็บไว้ได้ไหม ปรากฏว่าแหวนธาราสวรรค์ดูไฟทั้งสองสีเข้าไปได้ แต่หากถอดจิตเข้าไปดูด้านในไฟนั้นลุกท่วมไปทั่วทำเอาปราณน้ำที่สะสมไว้ระเหยปั่นป่วนไปหมดหลินเซียนคิดว่าคงไม่อาจเก็บไว้ประหลาดแบบนี้ได้อีกแล้ว ฝ่ายเซียนหยวนอิงประหลาดใจไม่น้อย ไม่คิดว่าหลินเซียนจะมีแหวนธาราสวรรค์ของหายาก เขารู้สึกเจ็บแผลที่ถูกดาบวารีแทงเมื่อสักครู่"โทษที่เจ้าทำให้ข้าเจ็บ งั้นข้าจะเผาเจ้าด้วยสุดยอดไฟของข้า!"เขาปล่อยพลังออกมามากมายจะเศษซากอาคารถล่ม แผ่นดินสั่นไหว เขาใช้สิงมือกุมกันจนมีลูกไฟสีทองแดงโผล่ขึ้นมามันไม่ใ่ชไฟธรรมดา เพียงคนทั่วไปมองก็ตาบอดทันที พวกเซียนระดับต่ำก็มองแล้วจะรู้สึกเหมือนถูกโดนแผดเผาทั้งร่างส่วนหลินเซียนมั้นมองได้แค่แผบเดียวแล้วต้องรีบเอามือมาปิดบัง "นี่คือไฟจากแกนพิภพ!"เซียนชุดแดงหยิบสมบัติเซียนออกมาขว้างไปที่หลินเซียนกลายเป็นกรงแสงที่ไม่มีทางหนีห

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   ไฟ...ปะทะ...น้ำ

    ....กลางสมรภูมิ แผ่นฟ้าสีเลือดฉาบด้วยแสงอัคคีแดงฉาน บัดนี้กองทัพขององค์ชายจ้าวหานเฟิง ที่มีทั้งทหารกล้าและเหล่าเซียนแคว้นจ้าวกำลังถลำลึกสู่ขอบเหวแห่งความพ่ายแพ้เสียงโครมครามของอาวุธชนกับอาวุธปะปนกับเสียงโหยหวน สายลมพัดกลิ่นคาวเลือดโชยอวลจนแทบหายใจไม่ออก ร่างทหารผู้กล้าและเซียนถูกเปลวเพลิงนรกกลืนกิน ร่างพวกเขากรีดร้องเพียงครู่ก่อนจะแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีเหนือสนามรบ บนฟากฟ้าสีแดงฉานปรากฏเงาร่าง เซียนหยวนอิงฝ่ายศัตรูเพียงหนึ่งเดียว ชายชราผมขาวหนวดขาวในชุดสีแดง นัยน์ตาเขาราวกับแผดเผาด้วยเพลิงโลกันต์ ปราณของเขาเป็น "ไฟนรก" ที่ไม่ดับสิ้นแม้เมื่อดวงวิญญาณหลุดร่าง เปลวไฟนี้กัดกร่อนทั้งเนื้อหนังและวิญญาณ ผู้ที่ถูกเผาแม้ตายแล้วก็ยังได้ยินเสียงกรีดร้องของตนเองก้องสะท้อนอยู่ในห้วงว่างเหล่าเซียนแคว้นจ้าวพยายามค้ำยันค่ายกลถึงที่สุด เพื่อป้องกันไฟนรก แต่เส้นลายยันต์บนฟ้าและพื้นดินแตกร้าวอย่างน่าสยดสยอง ราวกับมังกรที่ใกล้ขาดลมหายใจ เซียนหนุ่มสาวและชายชรามากมายผู้รับหน้าที่เป็นเสาหลักของค่ายกล เลือดไหลจากเจ็ดทวาร ร่างสั่นสะท้านจนแทบจะยืนไม่อยู่ หากค่ายกลแตกพังเมื่อใด กองทัพแคว้นจ้าวทั้งหมดจะถูกไฟ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status