....รุ่งอรุณแรกของการเข้าสำนัก แสงอรุณสาดทาบยอดเขา เมฆหมอกล้อมรอบราวแดนสวรรค์
เหล่าศิษย์ใหม่เบียดเสียดกันขึ้นบันไดศิลา ก้าวแรกที่หนักอึ้งปนตื่นเต้น
เสียงกลองพิธีดังก้องกลางลานกว้าง บ่งบอกถึงการเริ่มต้นหนทางเซียน
สายตาศิษย์ผู้มีตระกูลเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง ต่างชี้ชวนกันเลือกเรือนพักหรู
ท่ามกลางความเสียงพุดคุยเหล่านั้น หลินเซียนกลับยืนนิ่ง ดวงตาแน่วแน่ไม่หวั่นไหว
ทันทีที่เจ้าหน้าที่สำนักประกาศแบ่งห้องพักให้ศิษย์ใหม่ เสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้นทั่วลาน
“ห้องนี้มีเตียงไม้หอมจากแดนใต้!”
“เรือนนี้หันออกไปเห็นทะเลเมฆโดยตรง!”
และผู้ที่เสียงดังที่สุดก็คือ หลิวเซี่ยง
ร่างอ้วนเตี้ย ตาโบนเล็กๆ แทรกตัวขึ้นหน้า เบียดไหล่คนอื่นอย่างไม่เกรงใจ
“ฮึ! ข้าคือลูกเสนาบดีตระกูลหลิว ห้องนี้ ข้าเอา!”
มันหันกลับมาแสยะยิ้มใส่หลินเซียน ร่างสูงสง่าในชุดผ้าป่านสีจืดที่ยืนเงียบอยู่ข้างหลัง
“อ้าวๆ นี่หลิน เซียน หรือว่าควรเรียกว่า หลิวเซี่ยงตัวปลอม ดีล่ะ?”
เสียงหัวเราะเยาะของมันปลุกศิษย์ใหม่รอบข้างให้หัวเราะตาม
ยิ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตะโกนประกาศว่า
“หลินเซียน! ที่พักของเจ้าคือห้องเก็บของเก่า ข้างโรงม้า!”
เสียงหัวเราะดังก้องสะท้อนทั่วลาน เหมือนคำพิพากษาแห่งความอัปยศ
หลิวเซี่ยงหัวเราะลั่น ตาพราวด้วยความสะใจ
“ได้กลิ่นขี้ม้า คงหรูหราเหมาะกับชั้นต่ำอย่างเจ้า ขอให้หลับฝันดีทุกคืนนะ ฮะฮ่าๆๆ!”
หลินเซียนกำหมัดแน่น… เขาไม่ได้ตอบโต้อะไร เพียงยืนนิ่ง
แต่ในอกกลับลุกโชนด้วยไฟที่ไม่มีใครเห็น...
....ณ ห้องเก็บของข้างโรงม้าชำรุดทรุดโทรม ประตูไม้บิดเบี้ยว บานพับขึ้นสนิม เมื่อผลักเข้าไป กลิ่นเหม็นอับและกลิ่นขี้ม้าคละคลุ้งตีจมูกทันที พื้นกระดานเต็มไปด้วยฝุ่นหยากไย่ มุมหนึ่งกองฟางเปียกชื้นกองพะเนิน เสียงม้าสะบัดหายใจฟืดฟาดลอดผนังแผ่วเบา ราวกับกำลังหัวเราะเยาะเขา
หลินเซียนวางสัมภาระลงอย่างระมัดระวัง ก่อนหยิบป้ายวิญญาณบิดา ที่ห่อด้วยผ้าเก่าขึ้นมา วางบนหีบไม้เก่าแทนโต๊ะบูชา เสร็จแล้วเขาคุกเข่าลง จุดธูปเล็กๆที่พกติดตัว ก้มศีรษะสามครั้ง น้ำเสียงเคร่งขรึมเอื้อนเอ่ยเบาๆ
“ท่านพ่อ… ลูกจะอดทนต่อคำดูถูกเหยียดหยามทุกสิ่ง เพื่อให้ท่านแม่และท่านย่าสุขสบาย… ลูกจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
แสงเปลวเล็กๆจากธูปลุกไอฝุ่นให้เต้นระริกในความมืด กลายเป็นแสงสลัวที่อบอุ่นราวคำปลอบโยน หลินเซียนยกมือลูบป้ายวิญญาณเบาๆ ราวกับได้สัมผัสบิดาผู้จากไป เขากำหมัดแน่น… กตัญญูคือแรงผลักดันเดียวที่จะพาเขาฝ่าฟันโลกที่โหดร้ายในสำนักเซียนนี้...
....พอสายๆ ศิษย์ใหม่ทุกคนก็เริ่มทยอยมาในห้องเรียน ซึ่งห้องเรียนนี้กว้างขวางโอ่อ่า
ประดับด้วยผ้าแพรและโคมไฟหยก บ้างมีหยกหินเซียนโบราณประดับข้างผนังดูล้ำค่า
บรรดาศิษย์ใหม่ทั้งชายหญิงนั่งเรียงรายส่งเสียงหัวเราะคิกคักดังไม่ขาดปาก
แต่ละคนโอ้อวดสร้อยหยก หยกพกดาบสลักลายทอง ฯลฯ
“นี่คือของขวัญจากบิดา ข้าสั่งทำจากเมืองหลวงโดยเฉพาะ!”
“หึ ของเจ้าน่ะสู้ตระกูลข้าไม่ได้หรอก!”
...ท่ามกลางบรรยากาศโอ้อวดวุ่นวาย ประตูห้องเรียนถูกผลักออกเบาๆ
หลินเซียน เดินเข้ามาในชุดผ้าธรรมดา เก่าแต่สะอาดเรียบร้อย
ร่างสูงโปร่ง สง่าดุจดาบในฝัก ใบหน้าหวานละมุนราวเทพเซียนจุติ
ผิวขาวเนียนดังปุยฝ้ายสะท้อนกับแสง ทำให้ห้องทั้งห้องเงียบกริบ
ศิษย์หญิงนับสิบหันขวับมองพร้อมกัน ดวงตาเบิกกว้าง
ใบหน้าแดงระเรื่อ ริมฝีปากเม้มแน่นราวกับจะกรีดร้องแต่ไม่กล้า
เสียงซุบซิบดังขึ้นอย่างตื่นเต้น “เขา… เขาช่างหล่อละมุนราวเทพเซียนเลย!”
...ทันใดนั้น หลิวเซี่ยง เดินสะบัดตัวเข้าห้อง ตาโบนเล็กพราวด้วยความสะใจ
“ฮ่าๆ พวกเจ้าร่ำรวยโอ้อวดกันเต็มห้องเลยรึ? ของพวกเจ้าดูดีแค่ในสายตาพวกเจ้าเท่านั้น แต่ก็สู้ของข้า หลิวเซี่ยง ผู้นี้ไม่ได้!”
มันชี้ไปยังสร้อยทอง ดาบแกะสลักและกระเป๋าหรูของเพื่อนศิษย์ พร้อมยักไหล่ยียวน
“บ้านข้ารวยที่สุดในสำนัก ไหนใครกล้าข่มข้า!?”
ทุกสายตาในห้องหันไปมองหลิวเซี่ยงด้วยความอึ้งปนหมั่นไส้
เสียงซุบซิบดังขึ้นเบาๆว่า “ไอ้อ้วนเอ้ย ทำเป็นลูกเศรษฐีขี้อวดไปได้…”
ส่วนหลินเซียนยืนนิ่ง แต่อากาศรอบตัวเหมือนล้อมรอบด้วยความสงบและมั่นคง
เขาเพียงเงยหน้ามองหลิวเซี่ยงด้วยสายตาเย็น แต่ไม่ตอบโต้ใดๆ เพียงเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจ
เขากวาดตามองหาที่นั่ง ก่อนที่จะตัดสินใจก้าวตรงไปยังด้านหน้าสุดของห้องเรียน
“ที่ตรงนี้… ใกล้อาจารย์ที่สุด ข้าจะได้ยินทุกถ้อยคำชัดเจน” เขาคิดในใจ
แม้รู้ว่าการนั่งข้างหน้าจะดึงสายตาและคำซุบซิบนินทา แต่เขากลับไม่ลังเล
ที่นั่งตรงนั้นข้างๆมีหลิวเซี่ยงเด็กหนุ่มร่างอ้วนเตี้ยผู้แต่งอาภรณ์ไหมหรูหรานั่งอยู่
เมื่อเห็นหลิวเซียนเดินมานั่งข้าง ๆ เขาก็เลิกคิ้วขึ้นทันที
“หึ… เจ้ากระจอกกล้าดีนักนะ คิดว่าตัวเองคู่ควรกับที่ตรงนี้หรือ?”
เสียงของหลิวเซี่ยงดังพอให้คนรอบ ๆ ได้ยิน เกิดเสียงหัวเราะตามมาประปราย
บางคนส่ายหัว บางคนกระซิบกระซาบ “ดูสิ ขอทานนั่นกล้ามานั่งข้างคุณชายหลิวเซี่ยง”
หลิวเซียนได้ยินทุกถ้อยคำ แต่ไม่แม้แต่จะหันไปตอบโต้
เขาเพียงวางม้วนคัมภีร์ลงบนโต๊ะไม้เรียบ ๆ และนั่งสงบ
สายตาจับจ้องไปยังแท่นอาจารย์เบื้องหน้าเต็มไปด้วยความแน่วแน่
เสียงเปิดประตู อาจารย์ผู้เฒ่าเดินเข้ามาอย่างสุขุม ทุกคนในห้องทำความเคารพ ท่านอาจารย์จึงเริ่มสอนวิชาความรู้
หลิวเซี่ยงขยับตัวมาใกล้ๆหลินเซียน ทำเสียงจมูกสั่งขี้มูกใส่ “เหม็นสาปกลิ่นขี้ม้า”
แต่หลินเซียนยังคงนั่งนิ่งหลังตรง ราวภูผาที่ไม่หวั่นไหวต่อสายลม ฟังแต่เสียงอาจารย์สอนหน้าห้อง...
....กลางป่าลึกที่เงียบสงัด เพียงเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ก็เหมือนกรีดทิ่มใจ ณ ต้นไม้เซียนที่พ่อปลูก ขณะที่หลินเซียนกำลังทดลองนำเปลือกไม้และใบมาผสมปรุงยาอยู่นั้น หลินเซียนก็ขมวดคิ้วแน่น เพราะเขารู้สึกถึงสายตาลึกลับที่จ้องมองอยู่ตลอด เหมือนเส้นลมหายใจถูกกดทับจนแทบแตกสลาย “ใคร?!”เขาเรียกปราณกระบี่สายนทีวายุขึ้นมา 1 เล่มลอยข้างตัวเขาทันที"ออกมา! ถ้าไม่ออกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ"พุ่มไม้ข้างหน้าขยับวูบ ราวกับมีเงาดำซ่อนตัวอยู่ หลินเซียนยกมือแตะด้ามดาบ พลังปราณพลุ่งพล่านพร้อมปะทะในพริบตา บรรยากาศหนักหน่วงเข้มข้นจนแทบกลายเป็นเสียงดังก้องในหูแต่อีกวินาที… “ซวบ!”สิ่งที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้กลับเป็นเจ้าลูกหมีแพนด้าตัวน้อยมันมีขนสีขาวดำที่ควรจะนุ่มนวล แต่ตอนนี้กลับมอมแมมเลอะโคลนไปทั่ว ดวงตากลมโตสีดำสนิทช่างฉายประกายใสซื่อไร้เดียงสา มันยืนสองขาโงนเงน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งตุ้บลงไปอย่างงุ่มง่าม กอดท่อนไผ่หักครึ่งท่อนแนบอกไว้แน่นเหมือนสมบัติล้ำค่าเสียง "กรอบๆ" เล็ดลอดออกมาจากฟันเล็กๆ ที่กำลังแทะไผ่ แต่พอเงยหน้าขึ้นมามอง หลินเซียนก็แทบสะดุ้งกับสายตานั้น… มันจ้องด้วยแววตากลมใสไม่กะพริบ ราวกับกำลังสื่อสารว่า
....ภายในป่าลึกหลังบ้าน แสงจันทร์สาดส่องลอดกิ่งไม้ลงมาเป็นเส้นสาย ต้นไม้เซียนที่พ่อเคยปลูกตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ใบของมันมีประกายแสงระยิบราวหยดน้ำแข็ง ส่วนผลไม้สีม่วงกลมโตกลับแผ่วพลังปราณออกมาจางๆ จนบรรยากาศรอบตัวอบอวลไปด้วยพลังวิเศษหลินเซียนยืนนิ่ง สายตาจับจ้องต้นไม้นั้น แววตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและหนักแน่น“พ่อ…ท่านปลูกสิ่งนี้ไว้เพื่อข้า ข้าจะใช้มันไม่ให้สูญเปล่า เพื่อปกป้องท่านแม่และตัวข้า”เขารู้ตัวเองดี รากวิญญาณของตนต่ำต้อยกว่าคนทั่วไปมาก หากจะเดินตามตำราอย่างเดียว ย่อมไม่ทันใคร ไม่พ้นจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังตลอดไป ดังนั้นเขาต้องสร้างเส้นทางที่ไม่เหมือนใครมือเรียวของเขาเอื้อมไปเด็ดผลไม้ลูกหนึ่งมากัดช้าๆ น้ำหวานหอมไหลซึมลงลำคอ พลังปราณเย็นไหลเข้าสู่เส้นลมปราณทันที แต่หลินเซียนไม่รีบร้อน เขานั่งขัดสมาธิ ปล่อยให้พลังนั้นซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างระมัดระวัง“ตำราเขียนไว้แค่ผลอวิ๋นฮวานี้(ผลไม้แห่งเมฆาและดวงดาว)เพียงอย่างเดียว แม้จะทรงค่า…แต่เหตุใดตำราจึงมิกล่าวถึงราก กิ่ง ก้าน หรือแม้แต่ใบ? ยังไงเสียมันก็คือต้นไม้ที่มีพลังเซียนทุกส่วน”เขาเริ่มขบคิด"ไก่ 2 ตัว เป็ด 3 ตัวออกไข่ได้ 5 ฟอง
....หลินเซียนเปลี่ยนจากชุดผ้าไหมที่เคยสวมใส่เป็นชุดชาวบ้านสีเทาเก่า ๆ ผ้าขาดตรงชายเสื้อเล็กน้อย พอให้ดูไม่ต่างจากชาวบ้านธรรมดาที่เดินไปมาในตลาด เขาดึงหมวกงอบลงต่ำเพื่อบดบังใบหน้า หัวใจยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะยามก้าวผ่านผู้คนเขายังคงครุ่นคิดไม่หยุดถึงความเป็นไปได้สำนักอวิ๋นเจิ้งอาจส่งคนออกมาตามล่าเขาอยู่ทุกย่างก้าว หรือบางทีหลิวเซี่ยง ไอ้อ้วนขี้อิจฉานั่น อาจลงมือเอง ส่งลูกน้องมือดีเฝ้าดักตามทางสายหลักหลินเซียนไม่กลัวตาย แต่สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจคือท่านแม่ หากเขาพลาดท่า ศัตรูเหล่านั้นอาจลามไปถึงผู้ให้กำเนิด ความคิดนั้นทำให้ทุกก้าวที่เหยียบพื้นหินเย็นยะเยือกหนักอึ้งยิ่งกว่าภูเขามือเขาเผลอกำแน่นที่ชายเสื้อ หูคอยเงี่ยฟังทุกเสียงรอบด้าน เสียงฝีเท้าคนเดิน เสียงลมพัดกลีบดอกไม้ เสียงใด ๆ ก็อาจแฝงมีดสั้นจากเงามืดได้ทั้งสิ้นสายตาของเขากวาดมองรอบตลาดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้เพียงร่างคนเมาสะดุดล้ม หลินเซียนก็สะดุ้งนึกว่าเป็นศัตรูมาโจมตี ความกังวลกัดกินใจ แต่สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเขาไว้คือภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของมารดาในความทรงจำเขาต้องอยู่รอดให้ได้… ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อปกป้องนางจากเล่ห์กลของคนใจด
....แสงแรกของรุ่งอรุณลอดผ่านปากถ้ำบาง ๆ กระทบหยดน้ำเกาะตามผนังหินหลินเซียนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางถ้ำ ความมืดรอบตัวไม่อาจกลบความมุ่งมั่นในดวงตาเขาข้อมือและร่างกายยังมีรอยช้ำจากการเฆี่ยนในคุก แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไปทุกความเจ็บปวดคือเชื้อไฟให้หัวใจมุ่งมั่นต่อสู้ในมือ เขารวบรวมปราณวายุให้กลายเป็นคมกระบี่จาง ๆ ที่แทบมองไม่เห็นจากนั้นปราณหมื่นสายนทีเริ่มไหลเวียนในกายละอองน้ำมากมายรวมตัวกันเป็นก้อนน้ำลอยอยู่ระหว่างฝ่ามือทั้งสองของเขาน้ำหยดเล็ก ๆ จากเพดานถ้ำสั่นสะท้านตามจังหวะปราณที่เขาเรียกใช้หลินเซียนค่อย ๆ ผสานสองวิชาเข้าด้วยกันครั้งแรกที่ลอง รวมปราณทั้งสองเข้าด้วยกัน เขารู้สึกพลังปะทะกันรุนแรงเสียงสะท้อนดังก้องในถ้ำ คล้ายกับธรรมชาติทดสอบความเข้มแข็งของเขาเขาสูดลมหายใจลึก ปรับจังหวะลมหายใจให้สอดคล้องกับการไหลของน้ำปราณหมื่นสายนทีพุ่งออกมารอบตัว เป็นเกราะบาง ๆ รอบคมกระบี่วายุคมกระบี่แปรเปลี่ยนเป็นเส้นปราณใสคล้ายลมพายุในละอองน้ำหลินเซียนฟันอากาศ ฝึกซ้ำหลายครั้ง แต่ครั้งแรกยังไม่แม่นยำเสียงลมปราณและน้ำกระทบกันเป็นจังหวะราวกับดนตรีแห่งพลังเขาไม่ยอมแพ้ ล้มแล้วลุกใหม่ ลองปรั
....ท่ามกลางความมืดชื้นและกลิ่นสนิมเลือดในคุกใต้ดิน แสงจันทร์ส่องลอดลงมา ภาพรอยยิ้มของมารดาก็ผุดขึ้นมาในใจหลินเซียนอย่างชัดเจนเขาจำได้ถึงอ้อมแขนอบอุ่นและเสียงปลอบโยนที่เคยคอยประคองเขายามบาดเจ็บและท้อแท้อีกด้านหนึ่ง ความทรงจำของย่าผู้เฒ่าที่คอยหุงหาอาหารและเล่านิทานยามค่ำคืน ทำให้หัวใจเขาอ่อนโยนแต่ก็สั่นไหวความคิดเป็นห่วงพวกท่าน กลัวว่ามารดาและย่าอาจถูกผู้คนภายนอกกดขี่หรือได้รับความอัปยศเพราะเขาทำให้ดวงตาที่เคยสิ้นหวังกลับลุกโชนขึ้นหลินเซียนกัดฟันแน่น ราวกับจะสลักคำสัตย์ลงในเลือดเนื้อของตนเอง“ต่อให้คุกนรกนี้กักขังข้าไว้ ข้าก็ต้องรอดออกไป... เพื่อปกป้องแม่และย่าของข้าให้ได้!”เขาเริ่มมองรอบๆตัวอย่าเพ่งพินิจ คุกใต้ดินหนาแน่นราวกับโคลนเหนียวกลิ่นอับชื้นผสมกับกลิ่นเลือดและสนิมเหล็กคละคลุ้งหลินเซียนนั่งพิงกำแพงหินครุ่นคิด ข้อมือและข้อเท้าถูกโซ่เหล็กหนาล่ามไว้แน่น“ในคุกนี้มีอะไร? แล้วตัวข้าตอนนี้มีอะไร? ข้าต้องเก็บข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อใช้สิ่งที่มีทุกอย่างพาข้าออกไปจากที่นี่!”เขาหลับตา สูดหายใจเข้า แม้เจ็บปวดก็ยังบังคับจิตใจให้นิ่งทบทวนวิชาที่เคยร่ำเรียนต่างๆกระบี่วายุปราณ = มันเปล
....ภายใน หอพิพากษาสำนัก แสงไฟจากคบเพลิงสลัวสะท้อนเงาบนผนังหิน ทำให้บรรยากาศขึงขังและเย็นเยียบ ราวกับทุกลมหายใจถูกพันธนาการด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น เมื่อบานประตูหินหนักค่อยๆ เปิดออก เสียงก้าวเท้าองครักษ์เกราะดำสิบคนกระแทกพื้นดังก้อง พวกมันกดบ่าหลินเซียนแน่นจนถูกบังคับให้คุกเข่าลงบนลานพิพากษาอันกว้างใหญ่เบื้องสูงสุดของแท่นหินดำประดับหยก เจ้าสำนักชุดคลุมสีครามเข้มประทับนั่ง ดวงตาเรียบเฉย แต่แฝงแรงกดข่มที่ทำให้แม้กระทั่งอากาศรอบตัวสั่นสะท้านสองข้างล่างลงมา อาจารย์เฉิงเสิน และ อาจารย์จื่อหยง นั่งขนาบซ้ายขวาอาจารย์เฉิงเสินมีใบหน้าคมคายแฝงรอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาเหมือนมองทุกคนต่ำต้อยกว่าตนส่วนอาจารย์จื่อหยงนั้นสายตาเย็นชา ดั่งเฝ้าสังเกตโดยไร้อารมณ์ด้านข้างอีกชั้นคือ ผู้อาวุโสทั้งสาม ผู้ชรานั่งเรียงราย เคราขาวสะบัดตามลมปราณที่พัดไหว บรรยากาศเคร่งขรึมเต็มไปด้วยอำนาจเก่าแก่หลินเซียนถูกองครักษ์เกราะดำกดคุกเข่าลงตรงกลางลานหินเย็นเฉียบ เลือดที่มุมปากยังไม่แห้งสนิท หัวใจเต้นแรง แต่สายตายังคงแข็งกร้าวไม่ยอมก้มหัวให้ใครหลินเซียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาอิดโรยแต่ยังพอมีประกายความหวังอยู่เล็กน้อย... เมื