.....4 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก หลินเซียนและเพื่อนร่วมรุ่นทุกคนเรียนวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว สำนักนี้มีการแจกยาสมุนไพรเซียนให้ศิษย์ทุกๆ ครั้งที่เรียนจบ ศิษย์ที่ผลการเรียนดีที่สุดในวิชานั้นจะได้รับยา 2 เม็ด ปานกลางได้ 1 เม็ด และศิษย์ที่ผลการเรียนวิชานั้นแย่มากจะไม่ได้รับยา ซึ่งยานี้มีผลต่อการช่วยเพิ่มระดับชั้นปราณเซียนได้ ดังนั้นเมื่อผ่านมา 4 ปี จึงมีศิษย์หลายๆ คนระดับพลังปราณเซียนสูงขึ้น และมีบางคนทะลุไปอีกขั้น นั่นคือขั้นที่ 2 ปราณพื้นฐานได้สำเร็จ
ส่วนหลินเซียนนั้น เนื่องจากเขาผลการเรียนได้ระดับสูงสุดแทบทุกวิชา (ยกเว้นวิชาของอาจารย์จื่อหยง) เขาจึงมักได้รับยาโอสถเซียนถึง 2 เม็ดแทบทุกครั้ง วันนี้เขาจึงบรรลุขั้นที่ 2 ปราณพื้นฐานไปเรียบร้อยแล้ว แถมยังขึ้นไปดึงระดับกลางอีกด้วย (คนเก่งอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันได้แค่ขั้นปราณพื้นฐานระดับต้นเท่านั้น)
หลินเซียนต้องใช้ความพยายามอย่างหนักและยาปริมาณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าเพื่อบรรลุสู่ขั้นปราณพื้นฐานเนื่องจากรากวิญญาณเซียนของเขาอ่อนด้อยกว่าคนอื่นมากๆ รากวิญญาณเซียนเริ่มต้นนั้นดีกว่าคนธรรมดาแค่นิดเดียว ซึ่งหลินเซียนตระหนักข้อนี้ดี ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเขาถึงได้พยายามมากกว่าคุณหนูคุณชายคนอื่นๆ นั่นเอง หลินเซียนจึงเป็นแบบอย่างและเป็นที่นับถือของศิษย์รุ่นน้องมากมาย
โดยปกติแล้วศิษย์ที่เรียนจบจะแยกย้ายกลับไปตระกูลของตนเอง แต่ก็มีศิษย์บางคนอยู่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในสำนักต่อ
แต่...เฉพาะปีนี้ที่มีสิทธิ์พิเศษทำเอาทุกคนในสำนักตาลุกวาว นั่นคือทางสำนักได้รับโควต้ามาจากสำนักเซียนชั้นสูงในเมืองหลวงมอบโควต้าให้ศิษย์ที่เพิ่งจบ 3 คนได้ทุนส่งต่อไปเรียนที่สำนักเซียนชั้นสูง เพื่อพัฒนาไปสู่ระดับ 3 ขั้นแกนปราณ
เรื่องนี้เป็นที่สนใจของศิษย์มากมาย ทั้งความอิจฉาจากศิษย์รุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ในสำนักซึ่งไม่ได้รับโอกาส ทุกๆ คนเพิ่งเล็งหลินเซียน เพราะเขาคือศิษย์ผู้มีคะแนนสอบสูงที่สุดของรุ่น
ผู้อาวุโสนำแผ่นป้านประกาศรายชื่อศิษย์ 3 คนที่ได้รับโควต้านี้มาแปะไว้ที่กระดาษป้ายประกาศของสำนัก ทุกๆ คนก็วิ่งกรูกันเข้าไปดู โดยหวังว่าจะมีลุ้นกับเขาบ้าง
ในขณะที่เสียงอื้ออึงแซงแซ่หน้าป้ายกระกาศ หลินเซียนในชุดเซียนสีขาวบริสุทธิ์ ใบหน้างดงามราวเซียนจากสวรรค์เขาค่อยๆ เดินมาที่ป้ายประกาศ ในใจลึกๆ เขาแอบยิ้มและวางแผนไว้แล้วว่าเขาจะตั้งหน้าตั้งตาเรียนในสำนักเซียนชั้นสูงที่เมืองหลวงเพื่อยกระดับตนเองไปสู่ขั้นที่ 3 แกนปราณให้ได้เท่ากับอาจารย์เฉิงเสินที่เขานับถือมาก เพราะเขาอยากได้ยินคำชื่นชมจากอาจารย์เฉิงเสินสั้นๆ ว่า "เก่งมากนะ หลินเซียน อาจารย์ภูมิใจในตัวเจ้า" หลินเซียนหวังแค่นั้นจริงๆ
"ฮ่าๆ ไอ้ขยะ"
หลินเซียนหันมองข้างเห็นไอ้อ้วนหลิวเซี่ยง มันยังคงเป็นคนขี้อิจฉาริษยาเขาไม่เคยเปลี่ยนมาตลอด 4 ปี
แต่มันก็เลื่อนขั้นที่ 2 ปราณพื้นฐานได้ด้วยยาคุณภาพดีที่ตระกูลหลิวส่งมาให้พิเศษหลายครั้งเพื่อช่วยมัน ทั้งๆ ที่มันได้คะแนนต่ำสุดแทบจะทุกวิชา (คือควรจะไม่ได้รับยาเลย) แต่ที่ไม่สอบตกเพราะอาจารย์แต่ละท่านยังเกรงใจสกุลหลิวของมันเท่านั้นเอง
หลินเซียนหันหน้ากลับใบหน้าเฉยชาทำไม่สนใจ ในใจคิดว่าวันนี้วันสุดท้ายแล้วที่ข้าจะได้เห็นใบหน้าและท่าทางที่น่ารังเกียจของเจ้า จากนี้ข้าจะไปเมืองหลวงเพื่อร่ำเรียนไปสู่ระดับแกนปราณที่สำนักเซียนชั้นสูงแล้ว ลาขาด!
หลินเซียนใช้ดวงตาแสนมั่นใจมองขึ้นไปที่แผ่นกระดาษที่ประกาศผล
"เจี้ยงเซิ่ง" .....ใช่ เขาคืออันดับ 2 ต่อจากข้าในหลายๆ วิชา ไม่แปลกที่เขาจะได้
"จินฮวา!!" ......ข่าวลือเข้ามาในใจเขาทันที จินฮวาผู้นี้มีเสียงซุบซิบมากมายว่าเข้าออกห้องนอนอาจารย์จื่อหยงเป็นประจำ และอาจารย์จื่อหยงยังให้ป้ายพิเศษเข้าในหอตำราเฉพาะศิษย์ฝ่ายในแก่จินฮวาอีกด้วย
หลินเซียนถอนหายใจ และรู้สึกสมเพชเวทนาศิษย์หญิงผู้นี้ที่ใช้ร่างกายเป็นวิธีพิเศษในการได้รับสิทธิ์
หลินเซียนเลื่อนสายตาลงมาชื่อที่สาม ซึ่งเขามั่นใจว่าจะเป็นชื่อตัวเอง
"ห...หลิว....หลิวเซี่ยง!!" เขาตกใจมาก รีบหันหน้าไปทางหลิวเซี่ยง
ไอ้อ้วนเห็นหลินเซียนหันหน้ามามองด้วยสายตาโกรธแค้น มันสะใจมาก หัวเราะเสียงดังจนน้ำลายกระเด็น อุบาว์ทสายตาที่สุด
"ฮ่าๆ ไอ้ขยะ สวะชนชั้นล่างอย่างเจ้าหวังลมๆ แล้งๆ อะไรไม่ทราบ"
"เจ้าไม่รู้รึว่าข้าคือผู้ที่เกิดมาเพื่อเป็นใหญ่ในอนาคต"
"พ่อข้าเป็นถึงเสนาบดีของแคว้น เจ้าเป็นใคร ไอ้ขยะ! แค่ลูกทหารชั้นต่ำที่ไม่มีใครจำได้ที่ตายห่าให้อีแร้งกินในสนามรบ"
หลินเซียนเลือดขึ้นหน้า เขาแค้นไอ้อ้วนนี่ตั้งแต่ที่มันทำลายป้ายวิญญาณพ่อเขาแล้ว ครั้งนี้มันยังกล้าพูดถึงพ่อเขาอีก
เสียงกำปั้นกระแทกดัง ปัง! หลิวเซี่ยงถูกหมัดของหลินเซียนซัดเข้าที่ใบหน้าเต็มแรงจนล้มกระแทกพื้น
เลือดไหลซิบจากมุมปาก หลิวเซี่ยงลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ทั้งจากความเจ็บและความอับอาย
“จับมันเดี๋ยวนี้!” หลิวเซี่ยงตะโกนด้วยเสียงสั่นแต่ก้องกังวาน
ทันใดนั้น เหล่าทหารองครักษ์สิบคนในเกราะดำรีบกรูกันเข้ามาล้อมหลินเซียน
คมดาบวาววับชี้ตรงมาที่ร่างของศิษย์หนุ่มผู้ยังหอบหายใจแรงด้วยความโกรธ
หลินเซียนหันมองรอบกาย แววตายังเปล่งไฟแห่งความไม่ยอมจำนน
องครักษ์สองคนพุ่งเข้าคว้าแขนล็อกไว้ อีกสองคนกดบ่าให้ก้มลงอย่างไม่ปรานี
เสียงโซ่เหล็กดังกราวเมื่อถูกนำมาคล้องข้อมือหลินเซียนแน่นหนา
“เอาไปให้เข้าสำนักตัดสินโทษ!” หลิวเซี่ยงกรีดเสียงลั่น ราวกับชัยชนะอยู่ในกำมือ
บรรยากาศรอบข้างเงียบงัน เหล่าศิษย์ทั้งหลายได้แต่เบิกตาโต มองภาพนั้นด้วยทั้งความตกใจและเวทนาในใจ
....กลางป่าลึกที่เงียบสงัด เพียงเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ก็เหมือนกรีดทิ่มใจ ณ ต้นไม้เซียนที่พ่อปลูก ขณะที่หลินเซียนกำลังทดลองนำเปลือกไม้และใบมาผสมปรุงยาอยู่นั้น หลินเซียนก็ขมวดคิ้วแน่น เพราะเขารู้สึกถึงสายตาลึกลับที่จ้องมองอยู่ตลอด เหมือนเส้นลมหายใจถูกกดทับจนแทบแตกสลาย “ใคร?!”เขาเรียกปราณกระบี่สายนทีวายุขึ้นมา 1 เล่มลอยข้างตัวเขาทันที"ออกมา! ถ้าไม่ออกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ"พุ่มไม้ข้างหน้าขยับวูบ ราวกับมีเงาดำซ่อนตัวอยู่ หลินเซียนยกมือแตะด้ามดาบ พลังปราณพลุ่งพล่านพร้อมปะทะในพริบตา บรรยากาศหนักหน่วงเข้มข้นจนแทบกลายเป็นเสียงดังก้องในหูแต่อีกวินาที… “ซวบ!”สิ่งที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้กลับเป็นเจ้าลูกหมีแพนด้าตัวน้อยมันมีขนสีขาวดำที่ควรจะนุ่มนวล แต่ตอนนี้กลับมอมแมมเลอะโคลนไปทั่ว ดวงตากลมโตสีดำสนิทช่างฉายประกายใสซื่อไร้เดียงสา มันยืนสองขาโงนเงน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งตุ้บลงไปอย่างงุ่มง่าม กอดท่อนไผ่หักครึ่งท่อนแนบอกไว้แน่นเหมือนสมบัติล้ำค่าเสียง "กรอบๆ" เล็ดลอดออกมาจากฟันเล็กๆ ที่กำลังแทะไผ่ แต่พอเงยหน้าขึ้นมามอง หลินเซียนก็แทบสะดุ้งกับสายตานั้น… มันจ้องด้วยแววตากลมใสไม่กะพริบ ราวกับกำลังสื่อสารว่า
....ภายในป่าลึกหลังบ้าน แสงจันทร์สาดส่องลอดกิ่งไม้ลงมาเป็นเส้นสาย ต้นไม้เซียนที่พ่อเคยปลูกตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ใบของมันมีประกายแสงระยิบราวหยดน้ำแข็ง ส่วนผลไม้สีม่วงกลมโตกลับแผ่วพลังปราณออกมาจางๆ จนบรรยากาศรอบตัวอบอวลไปด้วยพลังวิเศษหลินเซียนยืนนิ่ง สายตาจับจ้องต้นไม้นั้น แววตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและหนักแน่น“พ่อ…ท่านปลูกสิ่งนี้ไว้เพื่อข้า ข้าจะใช้มันไม่ให้สูญเปล่า เพื่อปกป้องท่านแม่และตัวข้า”เขารู้ตัวเองดี รากวิญญาณของตนต่ำต้อยกว่าคนทั่วไปมาก หากจะเดินตามตำราอย่างเดียว ย่อมไม่ทันใคร ไม่พ้นจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังตลอดไป ดังนั้นเขาต้องสร้างเส้นทางที่ไม่เหมือนใครมือเรียวของเขาเอื้อมไปเด็ดผลไม้ลูกหนึ่งมากัดช้าๆ น้ำหวานหอมไหลซึมลงลำคอ พลังปราณเย็นไหลเข้าสู่เส้นลมปราณทันที แต่หลินเซียนไม่รีบร้อน เขานั่งขัดสมาธิ ปล่อยให้พลังนั้นซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างระมัดระวัง“ตำราเขียนไว้แค่ผลอวิ๋นฮวานี้(ผลไม้แห่งเมฆาและดวงดาว)เพียงอย่างเดียว แม้จะทรงค่า…แต่เหตุใดตำราจึงมิกล่าวถึงราก กิ่ง ก้าน หรือแม้แต่ใบ? ยังไงเสียมันก็คือต้นไม้ที่มีพลังเซียนทุกส่วน”เขาเริ่มขบคิด"ไก่ 2 ตัว เป็ด 3 ตัวออกไข่ได้ 5 ฟอง
....หลินเซียนเปลี่ยนจากชุดผ้าไหมที่เคยสวมใส่เป็นชุดชาวบ้านสีเทาเก่า ๆ ผ้าขาดตรงชายเสื้อเล็กน้อย พอให้ดูไม่ต่างจากชาวบ้านธรรมดาที่เดินไปมาในตลาด เขาดึงหมวกงอบลงต่ำเพื่อบดบังใบหน้า หัวใจยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะยามก้าวผ่านผู้คนเขายังคงครุ่นคิดไม่หยุดถึงความเป็นไปได้สำนักอวิ๋นเจิ้งอาจส่งคนออกมาตามล่าเขาอยู่ทุกย่างก้าว หรือบางทีหลิวเซี่ยง ไอ้อ้วนขี้อิจฉานั่น อาจลงมือเอง ส่งลูกน้องมือดีเฝ้าดักตามทางสายหลักหลินเซียนไม่กลัวตาย แต่สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจคือท่านแม่ หากเขาพลาดท่า ศัตรูเหล่านั้นอาจลามไปถึงผู้ให้กำเนิด ความคิดนั้นทำให้ทุกก้าวที่เหยียบพื้นหินเย็นยะเยือกหนักอึ้งยิ่งกว่าภูเขามือเขาเผลอกำแน่นที่ชายเสื้อ หูคอยเงี่ยฟังทุกเสียงรอบด้าน เสียงฝีเท้าคนเดิน เสียงลมพัดกลีบดอกไม้ เสียงใด ๆ ก็อาจแฝงมีดสั้นจากเงามืดได้ทั้งสิ้นสายตาของเขากวาดมองรอบตลาดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้เพียงร่างคนเมาสะดุดล้ม หลินเซียนก็สะดุ้งนึกว่าเป็นศัตรูมาโจมตี ความกังวลกัดกินใจ แต่สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเขาไว้คือภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของมารดาในความทรงจำเขาต้องอยู่รอดให้ได้… ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อปกป้องนางจากเล่ห์กลของคนใจด
....แสงแรกของรุ่งอรุณลอดผ่านปากถ้ำบาง ๆ กระทบหยดน้ำเกาะตามผนังหินหลินเซียนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางถ้ำ ความมืดรอบตัวไม่อาจกลบความมุ่งมั่นในดวงตาเขาข้อมือและร่างกายยังมีรอยช้ำจากการเฆี่ยนในคุก แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไปทุกความเจ็บปวดคือเชื้อไฟให้หัวใจมุ่งมั่นต่อสู้ในมือ เขารวบรวมปราณวายุให้กลายเป็นคมกระบี่จาง ๆ ที่แทบมองไม่เห็นจากนั้นปราณหมื่นสายนทีเริ่มไหลเวียนในกายละอองน้ำมากมายรวมตัวกันเป็นก้อนน้ำลอยอยู่ระหว่างฝ่ามือทั้งสองของเขาน้ำหยดเล็ก ๆ จากเพดานถ้ำสั่นสะท้านตามจังหวะปราณที่เขาเรียกใช้หลินเซียนค่อย ๆ ผสานสองวิชาเข้าด้วยกันครั้งแรกที่ลอง รวมปราณทั้งสองเข้าด้วยกัน เขารู้สึกพลังปะทะกันรุนแรงเสียงสะท้อนดังก้องในถ้ำ คล้ายกับธรรมชาติทดสอบความเข้มแข็งของเขาเขาสูดลมหายใจลึก ปรับจังหวะลมหายใจให้สอดคล้องกับการไหลของน้ำปราณหมื่นสายนทีพุ่งออกมารอบตัว เป็นเกราะบาง ๆ รอบคมกระบี่วายุคมกระบี่แปรเปลี่ยนเป็นเส้นปราณใสคล้ายลมพายุในละอองน้ำหลินเซียนฟันอากาศ ฝึกซ้ำหลายครั้ง แต่ครั้งแรกยังไม่แม่นยำเสียงลมปราณและน้ำกระทบกันเป็นจังหวะราวกับดนตรีแห่งพลังเขาไม่ยอมแพ้ ล้มแล้วลุกใหม่ ลองปรั
....ท่ามกลางความมืดชื้นและกลิ่นสนิมเลือดในคุกใต้ดิน แสงจันทร์ส่องลอดลงมา ภาพรอยยิ้มของมารดาก็ผุดขึ้นมาในใจหลินเซียนอย่างชัดเจนเขาจำได้ถึงอ้อมแขนอบอุ่นและเสียงปลอบโยนที่เคยคอยประคองเขายามบาดเจ็บและท้อแท้อีกด้านหนึ่ง ความทรงจำของย่าผู้เฒ่าที่คอยหุงหาอาหารและเล่านิทานยามค่ำคืน ทำให้หัวใจเขาอ่อนโยนแต่ก็สั่นไหวความคิดเป็นห่วงพวกท่าน กลัวว่ามารดาและย่าอาจถูกผู้คนภายนอกกดขี่หรือได้รับความอัปยศเพราะเขาทำให้ดวงตาที่เคยสิ้นหวังกลับลุกโชนขึ้นหลินเซียนกัดฟันแน่น ราวกับจะสลักคำสัตย์ลงในเลือดเนื้อของตนเอง“ต่อให้คุกนรกนี้กักขังข้าไว้ ข้าก็ต้องรอดออกไป... เพื่อปกป้องแม่และย่าของข้าให้ได้!”เขาเริ่มมองรอบๆตัวอย่าเพ่งพินิจ คุกใต้ดินหนาแน่นราวกับโคลนเหนียวกลิ่นอับชื้นผสมกับกลิ่นเลือดและสนิมเหล็กคละคลุ้งหลินเซียนนั่งพิงกำแพงหินครุ่นคิด ข้อมือและข้อเท้าถูกโซ่เหล็กหนาล่ามไว้แน่น“ในคุกนี้มีอะไร? แล้วตัวข้าตอนนี้มีอะไร? ข้าต้องเก็บข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อใช้สิ่งที่มีทุกอย่างพาข้าออกไปจากที่นี่!”เขาหลับตา สูดหายใจเข้า แม้เจ็บปวดก็ยังบังคับจิตใจให้นิ่งทบทวนวิชาที่เคยร่ำเรียนต่างๆกระบี่วายุปราณ = มันเปล
....ภายใน หอพิพากษาสำนัก แสงไฟจากคบเพลิงสลัวสะท้อนเงาบนผนังหิน ทำให้บรรยากาศขึงขังและเย็นเยียบ ราวกับทุกลมหายใจถูกพันธนาการด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น เมื่อบานประตูหินหนักค่อยๆ เปิดออก เสียงก้าวเท้าองครักษ์เกราะดำสิบคนกระแทกพื้นดังก้อง พวกมันกดบ่าหลินเซียนแน่นจนถูกบังคับให้คุกเข่าลงบนลานพิพากษาอันกว้างใหญ่เบื้องสูงสุดของแท่นหินดำประดับหยก เจ้าสำนักชุดคลุมสีครามเข้มประทับนั่ง ดวงตาเรียบเฉย แต่แฝงแรงกดข่มที่ทำให้แม้กระทั่งอากาศรอบตัวสั่นสะท้านสองข้างล่างลงมา อาจารย์เฉิงเสิน และ อาจารย์จื่อหยง นั่งขนาบซ้ายขวาอาจารย์เฉิงเสินมีใบหน้าคมคายแฝงรอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาเหมือนมองทุกคนต่ำต้อยกว่าตนส่วนอาจารย์จื่อหยงนั้นสายตาเย็นชา ดั่งเฝ้าสังเกตโดยไร้อารมณ์ด้านข้างอีกชั้นคือ ผู้อาวุโสทั้งสาม ผู้ชรานั่งเรียงราย เคราขาวสะบัดตามลมปราณที่พัดไหว บรรยากาศเคร่งขรึมเต็มไปด้วยอำนาจเก่าแก่หลินเซียนถูกองครักษ์เกราะดำกดคุกเข่าลงตรงกลางลานหินเย็นเฉียบ เลือดที่มุมปากยังไม่แห้งสนิท หัวใจเต้นแรง แต่สายตายังคงแข็งกร้าวไม่ยอมก้มหัวให้ใครหลินเซียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาอิดโรยแต่ยังพอมีประกายความหวังอยู่เล็กน้อย... เมื