Beranda / แฟนตาซี / เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path) / เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า

Share

เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า

last update Terakhir Diperbarui: 2025-10-07 07:16:17

....ภายใน หอพิพากษาสำนัก แสงไฟจากคบเพลิงสลัวสะท้อนเงาบนผนังหิน ทำให้บรรยากาศขึงขังและเย็นเยียบ ราวกับทุกลมหายใจถูกพันธนาการด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น 

เมื่อบานประตูหินหนักค่อยๆ เปิดออก เสียงก้าวเท้าองครักษ์เกราะดำสิบคนกระแทกพื้นดังก้อง พวกมันกดบ่าหลินเซียนแน่นจนถูกบังคับให้คุกเข่าลงบนลานพิพากษาอันกว้างใหญ่

เบื้องสูงสุดของแท่นหินดำประดับหยก เจ้าสำนักชุดคลุมสีครามเข้มประทับนั่ง ดวงตาเรียบเฉย แต่แฝงแรงกดข่มที่ทำให้แม้กระทั่งอากาศรอบตัวสั่นสะท้าน

สองข้างล่างลงมา อาจารย์เฉิงเสิน และ อาจารย์จื่อหยง นั่งขนาบซ้ายขวา

อาจารย์เฉิงเสินมีใบหน้าคมคายแฝงรอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาเหมือนมองทุกคนต่ำต้อยกว่าตน

ส่วนอาจารย์จื่อหยงนั้นสายตาเย็นชา ดั่งเฝ้าสังเกตโดยไร้อารมณ์

ด้านข้างอีกชั้นคือ ผู้อาวุโสทั้งสาม ผู้ชรานั่งเรียงราย เคราขาวสะบัดตามลมปราณที่พัดไหว บรรยากาศเคร่งขรึมเต็มไปด้วยอำนาจเก่าแก่

หลินเซียนถูกองครักษ์เกราะดำกดคุกเข่าลงตรงกลางลานหินเย็นเฉียบ เลือดที่มุมปากยังไม่แห้งสนิท หัวใจเต้นแรง แต่สายตายังคงแข็งกร้าวไม่ยอมก้มหัวให้ใคร

หลินเซียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาอิดโรยแต่ยังพอมีประกายความหวังอยู่เล็กน้อย... เมื่อเห็นเงาร่างคุ้นตา  อาจารย์เฉิงเสิน ผู้ที่เขาเคารพบูชาและยึดมั่นเสมอมา กำลังนั่งอยู่ข้างเจ้าสำนัก

“ท่านอาจารย์อยู่ที่นี่... อย่างน้อยท่านต้องเชื่อใจข้า ท่านจะช่วยข้าแน่...”

ความคิดดังพลุ่งพล่านในใจเขา

ทว่าเวลาค่อยๆ ผ่านไป เฉิงเสินเพียงนั่งนิ่ง แววตาเย็นชาเหมือนมองคนแปลกหน้า ราวกับไม่เคยมีความผูกพันใดๆ กับศิษย์ผู้นี้มาก่อน

เสียงเคาะไม้พิพากษาดัง “ก๊อก!” ก้องสะท้อนทั้งหอ

เจ้าสำนักเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นต่ำ

“หลินเซียน... เจ้าถูกกล่าวหาว่าทำร้ายศิษย์ร่วมสำนัก ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และดูหมิ่นกฎแห่งสำนัก เจ้าจะมีสิ่งใดแก้ต่างหรือไม่?”

หลิวเซี่ยงที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบชิงโอกาส หมอบคุกเข่าทำทีเป็นผู้น้อยผู้ซื่อสัตย์ เสียงเจื้อยแจ้วเต็มไปด้วยเล่ห์กล

“เรียนเจ้าสำนัก ศิษย์ผู้นี้เกรี้ยวกราดไร้มารยาท ขัดขืนคำสั่ง ไม่เห็นหัวผู้ใด กระทั่งยังลงมือทำร้ายข้า! หากมิลงโทษอย่างรุนแรง เกรงว่าสำนักเราจะถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ และข้าจำเป็นต้องเอาความนี้ไปแจ้งแก่ท่านเสนาบดีบิดาข้า”

คำพูดประหนึ่งมีดกรีดกลางใจหลินเซียน เสียงหัวเราะกดข่มของเฉิงเสินดังแทรกขึ้นทันที

“ฮึ... ขยะที่แค่บังเอิญโชคดีนิดหน่อยเลื่อนมาเป็นขั้น 2 ปราณพื้นฐาน คิดว่าตนเป็นใครกัน ถึงกล้าเหิมเกริมเช่นนี้?”

ผู้อาวุโสผู้เฒ่าคนหนึ่งลูบเคราช้าๆ แววตาแฝงประกายครุ่นคิด มิได้กล่าวเสริม แต่กลับทำให้บรรยากาศหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม

หลินเซียนเงยหน้าขึ้น แม้ถูกกดไว้จนเจ็บปวด แต่ดวงตายังคงลุกโชน

“เรียนที่เจ้าสำนักและผู้อาวุโสทุกท่าน หากศิษย์ผิดจริง ข้ายอมรับโทษ... แต่เหตุการณ์วันนี้ ข้ามิอาจก้มหัวให้กับความเท็จ!ได้ขอรับ”

ทันใดนั้น เสียงฮือฮาดังสะท้อนทั้งหอพิพากษา องครักษ์เกราะดำกดแรงลงบนบ่าเขามากขึ้น ราวกับหวังบดขยี้ให้ร่างนั้นแตกสลาย

สายตาของเจ้าสำนักกวาดมองทุกคน ก่อนจะหยุดอยู่ที่หลินเซียน... ความเงียบอันเย็นเยือกปกคลุมทั้งลาน ดั่งพายุใหญ่กำลังจะก่อตัว

เสียง อาจารย์จื่อหยง ดังขึ้นอย่างเฉียบขาด

“เรียนเจ้าสำนัก ศิษย์ผู้นี้ไม่เพียงก่อเรื่องวิวาทกับหลิวเซี่ยง หากแต่ยังเคยใช้ วิชากระบี่เซียน ฟันใส่ข้าโดยตรง!”

หลินเซียนตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง รีบโต้กลับเสียงสั่นเครือ

“ไม่จริง! ตอนนั้นข้ากำลังฝึกกระบี่อยู่ในลานฝึก อาจารย์จื่อหยงเดินเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว ข้าจึงเก็บกระบี่ไม่ทัน! ข้าไม่มีทางคิดทำร้ายอาจารย์แน่!”

แต่เจ้าสำนักกลับเคาะไม้พิพากษาดังสนั่น น้ำเสียงเย็นเยือก

“นอกจากทำร้ายศิษย์ร่วมสำนัก เจ้ายังกล้าจะสังหารอาจารย์ของตน...ไอ้ศิษย์เนรคุณ!

เจ้าไม่รู้หรือว่าคนผู้นี้เป็นถึงลูกเสนาบดีหลิวผู้ยิ่งใหญ่ เจ้ายังคิดจะอาศัยอำนาจคุ้มกฎสำนักช่วยปกป้องเจ้า?"

"บาปนี้จะปล่อยผ่านมิได้!”

หัวใจหลินเซียนหล่นวูบ ดวงหน้าซีดเผือด แต่ยังคงมองไปที่เฉิงเสินด้วยความหวังครั้งสุดท้าย

“อาจารย์... ได้โปรดเถิด! ท่านย่อมรู้จักข้ามานาน ข้าไม่เคยคิดร้ายต่อท่าน ท่านจะไม่พูดแทนข้าสักคำเลยหรือ?”

คราวนี้ เฉิงเสินจ้องมองเขานิ่ง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่แทงทะลุหัวใจยิ่งกว่าใบมีดใดๆ

“หลินเซียน... เจ้ารู้หรือไม่ คัมภีร์กระบี่เซียนที่ข้ามอบให้ นั่นคือสิ่งที่ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นศิษย์ที่ข้าไว้วางใจที่สุด ข้าถึงยอมมอบมันให้... แต่วันนี้ เจ้ากลับใช้มันหันคมใส่อาจารย์ตนเอง หัวใจเจ้าทำด้วยอะไร! เจ้ายังสมควรเรียกข้าว่าอาจารย์อีกหรือ?”

ถ้อยคำแต่ละคำเหมือนฟ้าผ่ากลางอก หลินเซียนตัวสั่นงันงก ความสิ้นหวังสุมแน่นในทรวง

เขาตะโกนโต้กลับด้วยเสียงสั่นเครือ

“ท่านอาจารย์! วิชากระบี่นี้ข้าฝึกเพราะอยากสืบทอดเจตจำนงของท่าน ไม่ใช่หันมาทำร้ายใครสักคน! ทำไมท่านถึงไม่เชื่อใจข้าเลย... ทำไมท่านถึงตัดสินข้าเหมือนคนแปลกหน้า...?”

“ท่านอาจารย์! เรารู้จักสนิทสนมกันมาหลายปี เหตุใดท่านถึงฟังความเพียงด้านเดียว! เหตุใดไม่ยอมฟังข้าอธิบายบ้างเลย!!”

แต่อาจารย์เฉิงเสินกลับลุกขึ้น หันหลังเดินจากไปอย่างเฉยชา ทิ้งเพียงความว่างเปล่าไว้กลางอกศิษย์

เสียงนั้นก้องสะท้อนในโสตประสาท หลินเซียนเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางอก

เลือดในกายพลันร้อนระอุ เขาตะโกนโต้เถียง น้ำตาเอ่อขึ้นโดยไม่รู้ตัว

อาจารย์ที่ข้ารักเคารพที่สุด บัดนี้ เขาทอดทิ้งข้าเหลือเพียงความว่างเปล่าอันเย็นชาไว้ให้ข้าผู้เป็นศิษย์ที่ยังคุกเข่าอยู่

เจ้าสำนัก แค่นลมหายใจเย็นเยียบ พลันประกาศเสียงดังก้อง

“หลินเซียน มีความผิดครบทุกข้อ ลงโทษขับออกจากสำนัก เฆี่ยนห้าสิบไม้ ล่ามโซ่ขังไว้คุกใต้ดินชั่วกาล อย่าให้มันได้ก้าวออกมาเห็นแสงอรุณอีก!”

สิ้นคำตัดสิน เหล่าผู้อาวุโสที่นั่งแท่นตัดสินทุกคนลุกออกจากแท่นและกำลังเดินออก

หลิวเซี่ยงยิ้มดีใจมากก้มศรีษะโค้งคำนับเจ้าสำนักอย่างนอบน้อม

"ท่านเจ้าสำนัก ท่านผู้อาวุโส ท่านอาจารย์ ได้โปรด อย่าขังข้า ข้ามีแม่และย่าที่ต้องกลับไปดูแล ได้โปรด!"

"ข้ายอมรับโทษทุกอย่างแล้ว ขอพวกท่านได้โปรด แม่ข้า ย่าข้า อยู่ลำพังไม่ได้!"

หลินเซียนโขกศรีษะกับพื้นหลายครั้งจนเลือดออก แต่ไม่มีใครสนใจจะฟังคำขอร้องนั้น 

องครักษ์เกราะดำกระชากร่างหลินเซียนลากออกไป เสียงโซ่เหล็กกระทบพื้นดังกรุ๋งกริ๋ง 

หลินเซียนกำหมัดแน่น เลือดไหลออกจากริมฝีปาก สายตาเต็มไปด้วยความช็อค ความเสียใจ และความแค้นที่แผดเผาหัวใจ

“พวกท่าน...ยังมีจิตวิญญาณความเป็นครูอยู่อีกไหม!!”

"อย่างเจ้า ไม่ต้องมาสอนข้าๆถ่ายทอดวิชามาทั้งชีวิต" เสียงผู้อาวุโสผู้เฒ่าคนหนึ่งลูบเคราช้าๆ 

"ขยะ ยังไงก็คือขยะ หึ! ไม่ควรรับมันเข้าสำนักมาตั้งแต่แรก" เสียงบ่นพรึมพรำของผู้อาวุโสอีกคนหนึ่ง

หลินเซียนมองหน้าพวกมันอย่างเจ็บแค้นถึงที่สุด ก่อนที่จะถูกลากออกไปเฆี่ยนประจานตรงกลางลานของสำนัก

...ความมืดหนาทึบคล้ายกำลังกลืนกินทุกสรรพสิ่ง เพดานต่ำและชื้นแฉะ น้ำสกปรกหยดลงมาจากหินด้านบนเป็นจังหวะ ติ๋ง... ติ๋ง... กลิ่นเหม็นเน่าของเลือดเก่าผสมกับสนิมเหล็กอบอวลจนแทบหายใจไม่ออก

ร่างของ หลินเซียน ถูกโซ่เหล็กเส้นหนาล่ามตรึงไว้กับกำแพง ข้อมือแตกยับ เลือดสดไหลปนกับสนิมแดงคล้ำ ความเจ็บปวดจากแผลเฆี่ยนทั่วร่างยังคงรุนแรงทุกครั้งที่เขาขยับ

ชุดเซียนสีขาวบริสุทธิ์ที่ครั้งหนึ่ง อาจารย์เฉิงเสิน เคยมอบให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิ บัดนี้ขาดวิ่นเป็นเศษผ้า มีแต่คราบเลือดเกรอะกรังเปื้อนปะปนกับโคลนสกปรกของคุกใต้ดิน จนแทบมองไม่ออกว่านั่นเคยเป็นชุดที่สง่างามเพียงใด

ทุกครั้งที่สายตาเหลือบมองเศษผ้าขาดๆ บนกาย ความทรงจำในวันที่อาจารย์มอบมันให้ยังผุดขึ้นชัดเจน 

เสียงอาจารย์วันนั้นบอกว่า “เจ้าคือศิษย์ที่ข้าไว้ใจที่สุด”

แต่วันนี้... คำพูดเย็นชากลับก้องซ้ำ “หลินเซียน เจ้ามันศิษย์เนรคุณ”

หลินเซียนหัวเราะเบาๆ เสียงแห้งแตกปนเลือด กลายเป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยน้ำตาและความสิ้นหวัง

“หึ... ฮะฮะ... พวกมันเขียนข้าด้วยมือแล้วลบด้วยเท้า”

"มันมองข้าเป็นขยะมาตลอด ฮะฮะฮะฮะ" เขาหัวเราะเบาๆราวกับคนเสียสติ

หยดน้ำตาไหลปนเลือดบนแก้ม ก่อนที่แววตาจะค่อยๆ แข็งกร้าว แสงสลัวในคุกสะท้อนดวงตาที่เริ่มเปล่งประกายแค้นลึก

“ก็ได้... หากความสัตย์จริงไม่มีค่า... ข้าจะสร้างความจริงขึ้นมาด้วยมือของข้าเอง... และสักวันพวกเจ้าทุกคน...จะต้องได้ชดใช้!”

เสียงโซ่เหล็กที่ขยับดัง กรุ๋งกริ๋ง ไปทั่วคุกใต้ดิน ราวกับสัญญาแห่งความมืดกำลังถูกสลักลงในชะตาของเขา....

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   สัตว์เลี้ยงอสูรตัวแรก

    ....กลางป่าลึกที่เงียบสงัด เพียงเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ก็เหมือนกรีดทิ่มใจ ณ ต้นไม้เซียนที่พ่อปลูก ขณะที่หลินเซียนกำลังทดลองนำเปลือกไม้และใบมาผสมปรุงยาอยู่นั้น หลินเซียนก็ขมวดคิ้วแน่น เพราะเขารู้สึกถึงสายตาลึกลับที่จ้องมองอยู่ตลอด เหมือนเส้นลมหายใจถูกกดทับจนแทบแตกสลาย “ใคร?!”เขาเรียกปราณกระบี่สายนทีวายุขึ้นมา 1 เล่มลอยข้างตัวเขาทันที"ออกมา! ถ้าไม่ออกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ"พุ่มไม้ข้างหน้าขยับวูบ ราวกับมีเงาดำซ่อนตัวอยู่ หลินเซียนยกมือแตะด้ามดาบ พลังปราณพลุ่งพล่านพร้อมปะทะในพริบตา บรรยากาศหนักหน่วงเข้มข้นจนแทบกลายเป็นเสียงดังก้องในหูแต่อีกวินาที… “ซวบ!”สิ่งที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้กลับเป็นเจ้าลูกหมีแพนด้าตัวน้อยมันมีขนสีขาวดำที่ควรจะนุ่มนวล แต่ตอนนี้กลับมอมแมมเลอะโคลนไปทั่ว ดวงตากลมโตสีดำสนิทช่างฉายประกายใสซื่อไร้เดียงสา มันยืนสองขาโงนเงน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งตุ้บลงไปอย่างงุ่มง่าม กอดท่อนไผ่หักครึ่งท่อนแนบอกไว้แน่นเหมือนสมบัติล้ำค่าเสียง "กรอบๆ" เล็ดลอดออกมาจากฟันเล็กๆ ที่กำลังแทะไผ่ แต่พอเงยหน้าขึ้นมามอง หลินเซียนก็แทบสะดุ้งกับสายตานั้น… มันจ้องด้วยแววตากลมใสไม่กะพริบ ราวกับกำลังสื่อสารว่า

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   สิ่งที่ข้ามีเหนือกว่า

    ....ภายในป่าลึกหลังบ้าน แสงจันทร์สาดส่องลอดกิ่งไม้ลงมาเป็นเส้นสาย ต้นไม้เซียนที่พ่อเคยปลูกตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ใบของมันมีประกายแสงระยิบราวหยดน้ำแข็ง ส่วนผลไม้สีม่วงกลมโตกลับแผ่วพลังปราณออกมาจางๆ จนบรรยากาศรอบตัวอบอวลไปด้วยพลังวิเศษหลินเซียนยืนนิ่ง สายตาจับจ้องต้นไม้นั้น แววตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและหนักแน่น“พ่อ…ท่านปลูกสิ่งนี้ไว้เพื่อข้า ข้าจะใช้มันไม่ให้สูญเปล่า เพื่อปกป้องท่านแม่และตัวข้า”เขารู้ตัวเองดี รากวิญญาณของตนต่ำต้อยกว่าคนทั่วไปมาก หากจะเดินตามตำราอย่างเดียว ย่อมไม่ทันใคร ไม่พ้นจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังตลอดไป ดังนั้นเขาต้องสร้างเส้นทางที่ไม่เหมือนใครมือเรียวของเขาเอื้อมไปเด็ดผลไม้ลูกหนึ่งมากัดช้าๆ น้ำหวานหอมไหลซึมลงลำคอ พลังปราณเย็นไหลเข้าสู่เส้นลมปราณทันที แต่หลินเซียนไม่รีบร้อน เขานั่งขัดสมาธิ ปล่อยให้พลังนั้นซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างระมัดระวัง“ตำราเขียนไว้แค่ผลอวิ๋นฮวานี้(ผลไม้แห่งเมฆาและดวงดาว)เพียงอย่างเดียว แม้จะทรงค่า…แต่เหตุใดตำราจึงมิกล่าวถึงราก กิ่ง ก้าน หรือแม้แต่ใบ? ยังไงเสียมันก็คือต้นไม้ที่มีพลังเซียนทุกส่วน”เขาเริ่มขบคิด"ไก่ 2 ตัว เป็ด 3 ตัวออกไข่ได้ 5 ฟอง

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   ความดีของท่านพ่อ

    ....หลินเซียนเปลี่ยนจากชุดผ้าไหมที่เคยสวมใส่เป็นชุดชาวบ้านสีเทาเก่า ๆ ผ้าขาดตรงชายเสื้อเล็กน้อย พอให้ดูไม่ต่างจากชาวบ้านธรรมดาที่เดินไปมาในตลาด เขาดึงหมวกงอบลงต่ำเพื่อบดบังใบหน้า หัวใจยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะยามก้าวผ่านผู้คนเขายังคงครุ่นคิดไม่หยุดถึงความเป็นไปได้สำนักอวิ๋นเจิ้งอาจส่งคนออกมาตามล่าเขาอยู่ทุกย่างก้าว หรือบางทีหลิวเซี่ยง ไอ้อ้วนขี้อิจฉานั่น อาจลงมือเอง ส่งลูกน้องมือดีเฝ้าดักตามทางสายหลักหลินเซียนไม่กลัวตาย แต่สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจคือท่านแม่ หากเขาพลาดท่า ศัตรูเหล่านั้นอาจลามไปถึงผู้ให้กำเนิด ความคิดนั้นทำให้ทุกก้าวที่เหยียบพื้นหินเย็นยะเยือกหนักอึ้งยิ่งกว่าภูเขามือเขาเผลอกำแน่นที่ชายเสื้อ หูคอยเงี่ยฟังทุกเสียงรอบด้าน เสียงฝีเท้าคนเดิน เสียงลมพัดกลีบดอกไม้ เสียงใด ๆ ก็อาจแฝงมีดสั้นจากเงามืดได้ทั้งสิ้นสายตาของเขากวาดมองรอบตลาดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้เพียงร่างคนเมาสะดุดล้ม หลินเซียนก็สะดุ้งนึกว่าเป็นศัตรูมาโจมตี ความกังวลกัดกินใจ แต่สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเขาไว้คือภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของมารดาในความทรงจำเขาต้องอยู่รอดให้ได้… ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อปกป้องนางจากเล่ห์กลของคนใจด

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   ไม่เป็นไรลูก

    ....แสงแรกของรุ่งอรุณลอดผ่านปากถ้ำบาง ๆ กระทบหยดน้ำเกาะตามผนังหินหลินเซียนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางถ้ำ ความมืดรอบตัวไม่อาจกลบความมุ่งมั่นในดวงตาเขาข้อมือและร่างกายยังมีรอยช้ำจากการเฆี่ยนในคุก แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไปทุกความเจ็บปวดคือเชื้อไฟให้หัวใจมุ่งมั่นต่อสู้ในมือ เขารวบรวมปราณวายุให้กลายเป็นคมกระบี่จาง ๆ ที่แทบมองไม่เห็นจากนั้นปราณหมื่นสายนทีเริ่มไหลเวียนในกายละอองน้ำมากมายรวมตัวกันเป็นก้อนน้ำลอยอยู่ระหว่างฝ่ามือทั้งสองของเขาน้ำหยดเล็ก ๆ จากเพดานถ้ำสั่นสะท้านตามจังหวะปราณที่เขาเรียกใช้หลินเซียนค่อย ๆ ผสานสองวิชาเข้าด้วยกันครั้งแรกที่ลอง รวมปราณทั้งสองเข้าด้วยกัน เขารู้สึกพลังปะทะกันรุนแรงเสียงสะท้อนดังก้องในถ้ำ คล้ายกับธรรมชาติทดสอบความเข้มแข็งของเขาเขาสูดลมหายใจลึก ปรับจังหวะลมหายใจให้สอดคล้องกับการไหลของน้ำปราณหมื่นสายนทีพุ่งออกมารอบตัว เป็นเกราะบาง ๆ รอบคมกระบี่วายุคมกระบี่แปรเปลี่ยนเป็นเส้นปราณใสคล้ายลมพายุในละอองน้ำหลินเซียนฟันอากาศ ฝึกซ้ำหลายครั้ง แต่ครั้งแรกยังไม่แม่นยำเสียงลมปราณและน้ำกระทบกันเป็นจังหวะราวกับดนตรีแห่งพลังเขาไม่ยอมแพ้ ล้มแล้วลุกใหม่ ลองปรั

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   แหกคุกด้วยปัญญา

    ....ท่ามกลางความมืดชื้นและกลิ่นสนิมเลือดในคุกใต้ดิน แสงจันทร์ส่องลอดลงมา ภาพรอยยิ้มของมารดาก็ผุดขึ้นมาในใจหลินเซียนอย่างชัดเจนเขาจำได้ถึงอ้อมแขนอบอุ่นและเสียงปลอบโยนที่เคยคอยประคองเขายามบาดเจ็บและท้อแท้อีกด้านหนึ่ง ความทรงจำของย่าผู้เฒ่าที่คอยหุงหาอาหารและเล่านิทานยามค่ำคืน ทำให้หัวใจเขาอ่อนโยนแต่ก็สั่นไหวความคิดเป็นห่วงพวกท่าน กลัวว่ามารดาและย่าอาจถูกผู้คนภายนอกกดขี่หรือได้รับความอัปยศเพราะเขาทำให้ดวงตาที่เคยสิ้นหวังกลับลุกโชนขึ้นหลินเซียนกัดฟันแน่น ราวกับจะสลักคำสัตย์ลงในเลือดเนื้อของตนเอง“ต่อให้คุกนรกนี้กักขังข้าไว้ ข้าก็ต้องรอดออกไป... เพื่อปกป้องแม่และย่าของข้าให้ได้!”เขาเริ่มมองรอบๆตัวอย่าเพ่งพินิจ คุกใต้ดินหนาแน่นราวกับโคลนเหนียวกลิ่นอับชื้นผสมกับกลิ่นเลือดและสนิมเหล็กคละคลุ้งหลินเซียนนั่งพิงกำแพงหินครุ่นคิด ข้อมือและข้อเท้าถูกโซ่เหล็กหนาล่ามไว้แน่น“ในคุกนี้มีอะไร? แล้วตัวข้าตอนนี้มีอะไร? ข้าต้องเก็บข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อใช้สิ่งที่มีทุกอย่างพาข้าออกไปจากที่นี่!”เขาหลับตา สูดหายใจเข้า แม้เจ็บปวดก็ยังบังคับจิตใจให้นิ่งทบทวนวิชาที่เคยร่ำเรียนต่างๆกระบี่วายุปราณ = มันเปล

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า

    ....ภายใน หอพิพากษาสำนัก แสงไฟจากคบเพลิงสลัวสะท้อนเงาบนผนังหิน ทำให้บรรยากาศขึงขังและเย็นเยียบ ราวกับทุกลมหายใจถูกพันธนาการด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น เมื่อบานประตูหินหนักค่อยๆ เปิดออก เสียงก้าวเท้าองครักษ์เกราะดำสิบคนกระแทกพื้นดังก้อง พวกมันกดบ่าหลินเซียนแน่นจนถูกบังคับให้คุกเข่าลงบนลานพิพากษาอันกว้างใหญ่เบื้องสูงสุดของแท่นหินดำประดับหยก เจ้าสำนักชุดคลุมสีครามเข้มประทับนั่ง ดวงตาเรียบเฉย แต่แฝงแรงกดข่มที่ทำให้แม้กระทั่งอากาศรอบตัวสั่นสะท้านสองข้างล่างลงมา อาจารย์เฉิงเสิน และ อาจารย์จื่อหยง นั่งขนาบซ้ายขวาอาจารย์เฉิงเสินมีใบหน้าคมคายแฝงรอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาเหมือนมองทุกคนต่ำต้อยกว่าตนส่วนอาจารย์จื่อหยงนั้นสายตาเย็นชา ดั่งเฝ้าสังเกตโดยไร้อารมณ์ด้านข้างอีกชั้นคือ ผู้อาวุโสทั้งสาม ผู้ชรานั่งเรียงราย เคราขาวสะบัดตามลมปราณที่พัดไหว บรรยากาศเคร่งขรึมเต็มไปด้วยอำนาจเก่าแก่หลินเซียนถูกองครักษ์เกราะดำกดคุกเข่าลงตรงกลางลานหินเย็นเฉียบ เลือดที่มุมปากยังไม่แห้งสนิท หัวใจเต้นแรง แต่สายตายังคงแข็งกร้าวไม่ยอมก้มหัวให้ใครหลินเซียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาอิดโรยแต่ยังพอมีประกายความหวังอยู่เล็กน้อย... เมื

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status