Home / แฟนตาซี / เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path) / เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า

Share

เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า

last update Last Updated: 2025-10-07 07:16:17

....ภายใน หอพิพากษาสำนัก แสงไฟจากคบเพลิงสลัวสะท้อนเงาบนผนังหิน ทำให้บรรยากาศขึงขังและเย็นเยียบ ราวกับทุกลมหายใจถูกพันธนาการด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น 

เมื่อบานประตูหินหนักค่อยๆ เปิดออก เสียงก้าวเท้าองครักษ์เกราะดำสิบคนกระแทกพื้นดังก้อง พวกมันกดบ่าหลินเซียนแน่นจนถูกบังคับให้คุกเข่าลงบนลานพิพากษาอันกว้างใหญ่

เบื้องสูงสุดของแท่นหินดำประดับหยก เจ้าสำนักชุดคลุมสีครามเข้มประทับนั่ง ดวงตาเรียบเฉย แต่แฝงแรงกดข่มที่ทำให้แม้กระทั่งอากาศรอบตัวสั่นสะท้าน

สองข้างล่างลงมา อาจารย์เฉิงเสิน และ อาจารย์จื่อหยง นั่งขนาบซ้ายขวา

อาจารย์เฉิงเสินมีใบหน้าคมคายแฝงรอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาเหมือนมองทุกคนต่ำต้อยกว่าตน

ส่วนอาจารย์จื่อหยงนั้นสายตาเย็นชา ดั่งเฝ้าสังเกตโดยไร้อารมณ์

ด้านข้างอีกชั้นคือ ผู้อาวุโสทั้งสาม ผู้ชรานั่งเรียงราย เคราขาวสะบัดตามลมปราณที่พัดไหว บรรยากาศเคร่งขรึมเต็มไปด้วยอำนาจเก่าแก่

หลินเซียนถูกองครักษ์เกราะดำกดคุกเข่าลงตรงกลางลานหินเย็นเฉียบ เลือดที่มุมปากยังไม่แห้งสนิท หัวใจเต้นแรง แต่สายตายังคงแข็งกร้าวไม่ยอมก้มหัวให้ใคร

หลินเซียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาอิดโรยแต่ยังพอมีประกายความหวังอยู่เล็กน้อย... เมื่อเห็นเงาร่างคุ้นตา  อาจารย์เฉิงเสิน ผู้ที่เขาเคารพบูชาและยึดมั่นเสมอมา กำลังนั่งอยู่ข้างเจ้าสำนัก

“ท่านอาจารย์อยู่ที่นี่... อย่างน้อยท่านต้องเชื่อใจข้า ท่านจะช่วยข้าแน่...”

ความคิดดังพลุ่งพล่านในใจเขา

ทว่าเวลาค่อยๆ ผ่านไป เฉิงเสินเพียงนั่งนิ่ง แววตาเย็นชาเหมือนมองคนแปลกหน้า ราวกับไม่เคยมีความผูกพันใดๆ กับศิษย์ผู้นี้มาก่อน

เสียงเคาะไม้พิพากษาดัง “ก๊อก!” ก้องสะท้อนทั้งหอ

เจ้าสำนักเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นต่ำ

“หลินเซียน... เจ้าถูกกล่าวหาว่าทำร้ายศิษย์ร่วมสำนัก ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และดูหมิ่นกฎแห่งสำนัก เจ้าจะมีสิ่งใดแก้ต่างหรือไม่?”

หลิวเซี่ยงที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบชิงโอกาส หมอบคุกเข่าทำทีเป็นผู้น้อยผู้ซื่อสัตย์ เสียงเจื้อยแจ้วเต็มไปด้วยเล่ห์กล

“เรียนเจ้าสำนัก ศิษย์ผู้นี้เกรี้ยวกราดไร้มารยาท ขัดขืนคำสั่ง ไม่เห็นหัวผู้ใด กระทั่งยังลงมือทำร้ายข้า! หากมิลงโทษอย่างรุนแรง เกรงว่าสำนักเราจะถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ และข้าจำเป็นต้องเอาความนี้ไปแจ้งแก่ท่านเสนาบดีบิดาข้า”

คำพูดประหนึ่งมีดกรีดกลางใจหลินเซียน เสียงหัวเราะกดข่มของเฉิงเสินดังแทรกขึ้นทันที

“ฮึ... ขยะที่แค่บังเอิญโชคดีนิดหน่อยเลื่อนมาเป็นขั้น 2 ปราณพื้นฐาน คิดว่าตนเป็นใครกัน ถึงกล้าเหิมเกริมเช่นนี้?”

ผู้อาวุโสผู้เฒ่าคนหนึ่งลูบเคราช้าๆ แววตาแฝงประกายครุ่นคิด มิได้กล่าวเสริม แต่กลับทำให้บรรยากาศหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม

หลินเซียนเงยหน้าขึ้น แม้ถูกกดไว้จนเจ็บปวด แต่ดวงตายังคงลุกโชน

“เรียนที่เจ้าสำนักและผู้อาวุโสทุกท่าน หากศิษย์ผิดจริง ข้ายอมรับโทษ... แต่เหตุการณ์วันนี้ ข้ามิอาจก้มหัวให้กับความเท็จ!ได้ขอรับ”

ทันใดนั้น เสียงฮือฮาดังสะท้อนทั้งหอพิพากษา องครักษ์เกราะดำกดแรงลงบนบ่าเขามากขึ้น ราวกับหวังบดขยี้ให้ร่างนั้นแตกสลาย

สายตาของเจ้าสำนักกวาดมองทุกคน ก่อนจะหยุดอยู่ที่หลินเซียน... ความเงียบอันเย็นเยือกปกคลุมทั้งลาน ดั่งพายุใหญ่กำลังจะก่อตัว

เสียง อาจารย์จื่อหยง ดังขึ้นอย่างเฉียบขาด

“เรียนเจ้าสำนัก ศิษย์ผู้นี้ไม่เพียงก่อเรื่องวิวาทกับหลิวเซี่ยง หากแต่ยังเคยใช้ วิชากระบี่เซียน ฟันใส่ข้าโดยตรง!”

หลินเซียนตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง รีบโต้กลับเสียงสั่นเครือ

“ไม่จริง! ตอนนั้นข้ากำลังฝึกกระบี่อยู่ในลานฝึก อาจารย์จื่อหยงเดินเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว ข้าจึงเก็บกระบี่ไม่ทัน! ข้าไม่มีทางคิดทำร้ายอาจารย์แน่!”

แต่เจ้าสำนักกลับเคาะไม้พิพากษาดังสนั่น น้ำเสียงเย็นเยือก

“นอกจากทำร้ายศิษย์ร่วมสำนัก เจ้ายังกล้าจะสังหารอาจารย์ของตน...ไอ้ศิษย์เนรคุณ!

เจ้าไม่รู้หรือว่าคนผู้นี้เป็นถึงลูกเสนาบดีหลิวผู้ยิ่งใหญ่ เจ้ายังคิดจะอาศัยอำนาจคุ้มกฎสำนักช่วยปกป้องเจ้า?"

"บาปนี้จะปล่อยผ่านมิได้!”

หัวใจหลินเซียนหล่นวูบ ดวงหน้าซีดเผือด แต่ยังคงมองไปที่เฉิงเสินด้วยความหวังครั้งสุดท้าย

“อาจารย์... ได้โปรดเถิด! ท่านย่อมรู้จักข้ามานาน ข้าไม่เคยคิดร้ายต่อท่าน ท่านจะไม่พูดแทนข้าสักคำเลยหรือ?”

คราวนี้ เฉิงเสินจ้องมองเขานิ่ง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่แทงทะลุหัวใจยิ่งกว่าใบมีดใดๆ

“หลินเซียน... เจ้ารู้หรือไม่ คัมภีร์กระบี่เซียนที่ข้ามอบให้ นั่นคือสิ่งที่ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นศิษย์ที่ข้าไว้วางใจที่สุด ข้าถึงยอมมอบมันให้... แต่วันนี้ เจ้ากลับใช้มันหันคมใส่อาจารย์ตนเอง หัวใจเจ้าทำด้วยอะไร! เจ้ายังสมควรเรียกข้าว่าอาจารย์อีกหรือ?”

ถ้อยคำแต่ละคำเหมือนฟ้าผ่ากลางอก หลินเซียนตัวสั่นงันงก ความสิ้นหวังสุมแน่นในทรวง

เขาตะโกนโต้กลับด้วยเสียงสั่นเครือ

“ท่านอาจารย์! วิชากระบี่นี้ข้าฝึกเพราะอยากสืบทอดเจตจำนงของท่าน ไม่ใช่หันมาทำร้ายใครสักคน! ทำไมท่านถึงไม่เชื่อใจข้าเลย... ทำไมท่านถึงตัดสินข้าเหมือนคนแปลกหน้า...?”

“ท่านอาจารย์! เรารู้จักสนิทสนมกันมาหลายปี เหตุใดท่านถึงฟังความเพียงด้านเดียว! เหตุใดไม่ยอมฟังข้าอธิบายบ้างเลย!!”

แต่อาจารย์เฉิงเสินกลับลุกขึ้น หันหลังเดินจากไปอย่างเฉยชา ทิ้งเพียงความว่างเปล่าไว้กลางอกศิษย์

เสียงนั้นก้องสะท้อนในโสตประสาท หลินเซียนเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางอก

เลือดในกายพลันร้อนระอุ เขาตะโกนโต้เถียง น้ำตาเอ่อขึ้นโดยไม่รู้ตัว

อาจารย์ที่ข้ารักเคารพที่สุด บัดนี้ เขาทอดทิ้งข้าเหลือเพียงความว่างเปล่าอันเย็นชาไว้ให้ข้าผู้เป็นศิษย์ที่ยังคุกเข่าอยู่

เจ้าสำนัก แค่นลมหายใจเย็นเยียบ พลันประกาศเสียงดังก้อง

“หลินเซียน มีความผิดครบทุกข้อ ลงโทษขับออกจากสำนัก เฆี่ยนห้าสิบไม้ ล่ามโซ่ขังไว้คุกใต้ดินชั่วกาล อย่าให้มันได้ก้าวออกมาเห็นแสงอรุณอีก!”

สิ้นคำตัดสิน เหล่าผู้อาวุโสที่นั่งแท่นตัดสินทุกคนลุกออกจากแท่นและกำลังเดินออก

หลิวเซี่ยงยิ้มดีใจมากก้มศรีษะโค้งคำนับเจ้าสำนักอย่างนอบน้อม

"ท่านเจ้าสำนัก ท่านผู้อาวุโส ท่านอาจารย์ ได้โปรด อย่าขังข้า ข้ามีแม่และย่าที่ต้องกลับไปดูแล ได้โปรด!"

"ข้ายอมรับโทษทุกอย่างแล้ว ขอพวกท่านได้โปรด แม่ข้า ย่าข้า อยู่ลำพังไม่ได้!"

หลินเซียนโขกศรีษะกับพื้นหลายครั้งจนเลือดออก แต่ไม่มีใครสนใจจะฟังคำขอร้องนั้น 

องครักษ์เกราะดำกระชากร่างหลินเซียนลากออกไป เสียงโซ่เหล็กกระทบพื้นดังกรุ๋งกริ๋ง 

หลินเซียนกำหมัดแน่น เลือดไหลออกจากริมฝีปาก สายตาเต็มไปด้วยความช็อค ความเสียใจ และความแค้นที่แผดเผาหัวใจ

“พวกท่าน...ยังมีจิตวิญญาณความเป็นครูอยู่อีกไหม!!”

"อย่างเจ้า ไม่ต้องมาสอนข้าๆถ่ายทอดวิชามาทั้งชีวิต" เสียงผู้อาวุโสผู้เฒ่าคนหนึ่งลูบเคราช้าๆ 

"ขยะ ยังไงก็คือขยะ หึ! ไม่ควรรับมันเข้าสำนักมาตั้งแต่แรก" เสียงบ่นพรึมพรำของผู้อาวุโสอีกคนหนึ่ง

หลินเซียนมองหน้าพวกมันอย่างเจ็บแค้นถึงที่สุด ก่อนที่จะถูกลากออกไปเฆี่ยนประจานตรงกลางลานของสำนัก

...ความมืดหนาทึบคล้ายกำลังกลืนกินทุกสรรพสิ่ง เพดานต่ำและชื้นแฉะ น้ำสกปรกหยดลงมาจากหินด้านบนเป็นจังหวะ ติ๋ง... ติ๋ง... กลิ่นเหม็นเน่าของเลือดเก่าผสมกับสนิมเหล็กอบอวลจนแทบหายใจไม่ออก

ร่างของ หลินเซียน ถูกโซ่เหล็กเส้นหนาล่ามตรึงไว้กับกำแพง ข้อมือแตกยับ เลือดสดไหลปนกับสนิมแดงคล้ำ ความเจ็บปวดจากแผลเฆี่ยนทั่วร่างยังคงรุนแรงทุกครั้งที่เขาขยับ

ชุดเซียนสีขาวบริสุทธิ์ที่ครั้งหนึ่ง อาจารย์เฉิงเสิน เคยมอบให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิ บัดนี้ขาดวิ่นเป็นเศษผ้า มีแต่คราบเลือดเกรอะกรังเปื้อนปะปนกับโคลนสกปรกของคุกใต้ดิน จนแทบมองไม่ออกว่านั่นเคยเป็นชุดที่สง่างามเพียงใด

ทุกครั้งที่สายตาเหลือบมองเศษผ้าขาดๆ บนกาย ความทรงจำในวันที่อาจารย์มอบมันให้ยังผุดขึ้นชัดเจน 

เสียงอาจารย์วันนั้นบอกว่า “เจ้าคือศิษย์ที่ข้าไว้ใจที่สุด”

แต่วันนี้... คำพูดเย็นชากลับก้องซ้ำ “หลินเซียน เจ้ามันศิษย์เนรคุณ”

หลินเซียนหัวเราะเบาๆ เสียงแห้งแตกปนเลือด กลายเป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยน้ำตาและความสิ้นหวัง

“หึ... ฮะฮะ... พวกมันเขียนข้าด้วยมือแล้วลบด้วยเท้า”

"มันมองข้าเป็นขยะมาตลอด ฮะฮะฮะฮะ" เขาหัวเราะเบาๆราวกับคนเสียสติ

หยดน้ำตาไหลปนเลือดบนแก้ม ก่อนที่แววตาจะค่อยๆ แข็งกร้าว แสงสลัวในคุกสะท้อนดวงตาที่เริ่มเปล่งประกายแค้นลึก

“ก็ได้... หากความสัตย์จริงไม่มีค่า... ข้าจะสร้างความจริงขึ้นมาด้วยมือของข้าเอง... และสักวันพวกเจ้าทุกคน...จะต้องได้ชดใช้!”

เสียงโซ่เหล็กที่ขยับดัง กรุ๋งกริ๋ง ไปทั่วคุกใต้ดิน ราวกับสัญญาแห่งความมืดกำลังถูกสลักลงในชะตาของเขา....

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   ตามความสามารถ

    (3 เดือนผ่านไป).....บัดนี้ศิษย์ทั้ง 6 คนบรรลุระดับรวบรวมปราณขั้นต้นได้หมดแล้ว หลินเซียนเริ่มให้แต่ละคนฝึกฝนต่างกัน - หลี่เทียนอวิ๋น แม้เขาจะเป็นคนก้าวร้าวแต่เขาเป็นลูกขุนนางจึงมีการศึกษาดีกว่าทุกคน หลินเซียนเริ่มสอนทักษะพื้นฐานการสร้าวงค่ายกลให้แก่เขา- เซียวฉิง นางฝึกฝนวิชากระบี่มาจากแม่แล้วหลินเซียนจึงสอนการบรรจุพลังปราณลงในกระบี่ให้- หวังต้า หลินเซียนสอนปราณธาตุไฟให้เขา หวังต้าชอบมากเพราะเขาคิดว่าอนาคตย่อมมีประโยชน์กับงานร้านตีเหล็กของเขาได้- จางซาน หลินเซียนสอนวิชาการปรุงยา และความรู้เรื่องสมุนไพรเซียนให้เขา เผื่อวันหน้าเขาจะหลอมยาไว้บำรุงร่างกายตัวเอง- หานซิ่วเรียนรู้พลังปราณธาตุน้ำตาหลินเซียน- หลิงเออร์แม้จะเป็นเด็กแต่รากวิญญาณเซียนเธอดีพิเศษ หลินเซียนจึงให้เธอฝึกปราณธาตุน้ำ, ไม้ และดิน ซึ่งปราณธาตุไม้นั้นหลินเซียนให้เสี่ยวหมิงออกมาช่วยด้วย เธอจึงทั้งสนุกที่ได้เล่นหมีแพนด้าและสัมผัสปราณธาตุไม้การสอนศิษย์ทุกคนหลายเดือนนี้หลินเซียนก็เหมือนได้ทบทวนวิชาต่างๆที่ตัวเองเคยร่ำเรียนมาให้ความรู้แน่นขึ้น เก็บตกเศษชิ้นส่วนเล็กๆในแต่ละวิชามาเติมเต็มปัญญาตนเอง บางครั้งกลางดึกเขาเองก็ไป

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   สัมผัสปราณ

    ....ข่าวการไล่ตะเพิดอันธพาลทำให้ไม่มีีอาจารย์สถาบันติวอื่นกล้ามาคบหากับหลินเซียน แต่ก็ทำให้มีชื่อเสียงในกลุ่มเด็กๆเยาวชนที่อยากผ่านการทดสอบเป็นเซียนบางคน ทำให้สถาบันของหลินเซียนคึกคักขึ้น ห้องเรียนเล็กๆบัดนี้มีคนหนุ่มสาวทั้งชายหญิงรวมถึงเด็กน้อยครั้งก่อนมาเรียนด้วย 6 คนแล้วคนแรก คือเด็กหญิงตัวน้อยที่มาช่วยหลินเซียนครั้งที่แล้ว เธอชื่อหลิงเออร์ เป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่อยู่กับคุณปู่ที่เปิดร้านขายน้ำหมึกและพู่กันข้างๆบ้านหลินเซียนนี่เอง เนื่องจากหลินเซียนบอกจะสอนให้ฟรี ปู่เธอจึงอนุญาตให้มาเรียนด้วยคนที่ 2 ชื่อหลี่อวิ๋นเทียน อายุ 14-15 ปีแล้ว เขาเป็นคุณชายสกุลขุนนางปลายแถว เนื่องด้วยเป็นเด็กมั่นใจตัวเองสูงพ่อแม่สอนไม่ฟัง จึงเอามาฝากให้หลินเซียนช่วยอบรมให้คนที่ 3 ชื่อหวังต้า เป็นลูกชายคนโตของร้านช่างตีเหล็กในตลาดคนที่ 4 ชื่อหานซิ่ว เป็นลูกชาวนายากจนจากชนบท แต่เป็นคนเรียบร้อยถ่อมตน หลินเซียนให้เขาพักที่สถาบัน โดยให้ทำงานทำความสะอาดเรือนแลกกับการให้ที่พักคนที่ 5 ชื่อเซียวฉิง เธอเป็นลูกสาวจอมยุทธหญิง ชำนาญวิชาดาบ แต่เมื่อตรวจพบว่ามีรากวิญญาณเซียน แม่เธอจึงพาเข้าเมืองหลวง และได้ยินชื่อเสียงหล

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   อาจารย์หลิน

    ....แคว้นจูตั้งอยู่ทางเหนือสุดของทวีป ถูกขนาบด้วยเทือกเขาหิมะที่สูงเสียดฟ้าปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี และในหุบเขามีทะเลสาบน้ำแข็งนิรันดร์ที่เล่ากันว่าซ่อนสมบัติเซียนและกระบี่โบราณไว้อยู่ด้วยส่วนพื้นที่ราบเป็นทุ่งน้ำแข็งและทะเลสาบที่ถูกแช่แข็งเกือบทั้งปี แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนสั้นๆจะมีทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่มให้สัตว์เลี้ยงและกวางป่าออกหากินมีลมเหนือหนาวเย็นพัดลงมาที่เมืองทั้งปี ดวงอาทิตย์ส่องแสงน้อยจึงเป็นแคว้นที่กลางวันสั้นส่วนกลางคืนยาว ทำให้ผู้คนที่นี่แข็งแกร่งและอดทนณ เมืองหลวงขอแคว้นชื่อไป๋ซวง(น้ำค้างขาว) มีกำแพงเมืองที่ถูกสร้างด้วยหินแข็งแรงและไม้สนดำ ทนทานต่อพายุหิมะผู้คนแคว้นนี้มีผิวซีดขาว แก้มแดงจากอากาศหนาว มักสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ซ้อนหลายชั้นอาชีพหลักคือ ล่าสัตว์, ทำหนังสัตว์, ค้าขนสัตว์, และหลอมเหล็กจากแร่ในภูเขา จึงมีตลาดแลกเปลี่ยนที่คึกคัก แม้จะเป็นแคว้นห่างไกลที่นี่ยังเป็นแคว้นที่ผู้คนมีรากวิญญาณเซียนหลายคน นั่นจึงทำให้มีสำนักเซียนมากมายในแคว้น ซึ่งการทดสอบเข้าเป็นศิษยืแต่ละสำนักก็มีทั้งการสอบมาตรฐานที่ราชสำนักกำหนด และการทดสอบเฉพาะแต่ละสำนักด้วยและด้วยทางการสนับสนุนอย่างด

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   สิบปีสุดท้ายนี้ลูกจะอยู่กับแม่ไม่ไปไหน

    A : ไง?หลินเซียน : ท่านเป็นใคร ทำไมข้าไม่เห็นหน้าท่าน? แล้วที่นี่ที่ไหน?B : สำคัญด้วยรึ?หลินเซียน : พวกท่านเป็นใคร? ข้าอยู่ที่ไหน?B : เจ้าหนู ที่นี่มันเป็นสถานที่ๆอธิบายยากอยู่นะ เจ้าอย่าสนใจเลยA : เจ้าช่วยตอบคำถามพวกเราสัก 2 ข้อได้ไหม? แล้วเราจะปล่อยเจ้าไปหลินเซียน : ท่านจะถามอะไรขอรับ?A : ข้าจะถามว่า.......B : ส่วนข้าอยากถามเจ้าว่า.....A+B : แล้ววันหลังพวกเราจะมาขอคำตอบหลินเซียนลืมตาเบิกโพลง เขามองรอบๆตัว ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียง มีผ้าห่ม และผ้าพันแผลพันกายนิดหน่อย"เจ้าฟื้นแล้วรึ?" ไม่ใช่ใครที่ไหน คือนางปีศาจจิ้งจอกเก้าหางนั่นเอง นางนั่งเฝ้าเขาอยู่ไม่ไปไหน แถมมีเสี่ยวหมิงแพนด้าตัวน้อยอยู่ข้าง ๆ พอมันเห็นว่าหลินเซียนฟื้นแล้วมันดีใจรีบเดินเข้าไปออดอ้อนทันที"ขอบใจเจ้ามากที่มาช่วยพวกเรา" หลินเซียนเอื้อมไปจับมือนางจิ้งจอก ทำเอานางเขินแก้มแดง"ม....ไม่มีอะไรนี่ การตอบแทนบุญคุณเป็นเรื่องธรรมดา" หางนางโผล่ออกและบิดไปมา หลินเซียนยิ้มใความเขินอายของสาวแก่อายุตั้งพันปี"อาจารย์ท่านตื่นแล้ว!" องค์ชายดีใจพูดเสียงดัง อาการบาดเจ็บเขาดีขึ้นมากเพราะน้ำวิเศษในน้ำเต้าที่หลินเซียนให้เขาดื่ม

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   ดั่งคำสัญญา....

    .....หลินเซียนใช้ม่านวารีพิทักษ์ป้องกันครบไปแล้ว 3 ครั้ง ดังนั้นลูกไฟสีน้ำเงินและสีเขียวที่ลอยพุ่งมานี้เขาไม่สามารถใช้วิธีเดิมป้องกันได้อีกแล้วหลินเซียนรีบชูแหวนธาราสวรรค์ขึ้นมา เขาเสี่ยงดวงดูว่าแหวนธาราสวรรค์จะสามารถดูดพลังไฟประหลาดทั้งสองนี้เก็บไว้ได้ไหม ปรากฏว่าแหวนธาราสวรรค์ดูไฟทั้งสองสีเข้าไปได้ แต่หากถอดจิตเข้าไปดูด้านในไฟนั้นลุกท่วมไปทั่วทำเอาปราณน้ำที่สะสมไว้ระเหยปั่นป่วนไปหมดหลินเซียนคิดว่าคงไม่อาจเก็บไว้ประหลาดแบบนี้ได้อีกแล้ว ฝ่ายเซียนหยวนอิงประหลาดใจไม่น้อย ไม่คิดว่าหลินเซียนจะมีแหวนธาราสวรรค์ของหายาก เขารู้สึกเจ็บแผลที่ถูกดาบวารีแทงเมื่อสักครู่"โทษที่เจ้าทำให้ข้าเจ็บ งั้นข้าจะเผาเจ้าด้วยสุดยอดไฟของข้า!"เขาปล่อยพลังออกมามากมายจะเศษซากอาคารถล่ม แผ่นดินสั่นไหว เขาใช้สิงมือกุมกันจนมีลูกไฟสีทองแดงโผล่ขึ้นมามันไม่ใ่ชไฟธรรมดา เพียงคนทั่วไปมองก็ตาบอดทันที พวกเซียนระดับต่ำก็มองแล้วจะรู้สึกเหมือนถูกโดนแผดเผาทั้งร่างส่วนหลินเซียนมั้นมองได้แค่แผบเดียวแล้วต้องรีบเอามือมาปิดบัง "นี่คือไฟจากแกนพิภพ!"เซียนชุดแดงหยิบสมบัติเซียนออกมาขว้างไปที่หลินเซียนกลายเป็นกรงแสงที่ไม่มีทางหนีห

  • เดินวิถีเซียน (Walking the Immortal Path)   ไฟ...ปะทะ...น้ำ

    ....กลางสมรภูมิ แผ่นฟ้าสีเลือดฉาบด้วยแสงอัคคีแดงฉาน บัดนี้กองทัพขององค์ชายจ้าวหานเฟิง ที่มีทั้งทหารกล้าและเหล่าเซียนแคว้นจ้าวกำลังถลำลึกสู่ขอบเหวแห่งความพ่ายแพ้เสียงโครมครามของอาวุธชนกับอาวุธปะปนกับเสียงโหยหวน สายลมพัดกลิ่นคาวเลือดโชยอวลจนแทบหายใจไม่ออก ร่างทหารผู้กล้าและเซียนถูกเปลวเพลิงนรกกลืนกิน ร่างพวกเขากรีดร้องเพียงครู่ก่อนจะแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีเหนือสนามรบ บนฟากฟ้าสีแดงฉานปรากฏเงาร่าง เซียนหยวนอิงฝ่ายศัตรูเพียงหนึ่งเดียว ชายชราผมขาวหนวดขาวในชุดสีแดง นัยน์ตาเขาราวกับแผดเผาด้วยเพลิงโลกันต์ ปราณของเขาเป็น "ไฟนรก" ที่ไม่ดับสิ้นแม้เมื่อดวงวิญญาณหลุดร่าง เปลวไฟนี้กัดกร่อนทั้งเนื้อหนังและวิญญาณ ผู้ที่ถูกเผาแม้ตายแล้วก็ยังได้ยินเสียงกรีดร้องของตนเองก้องสะท้อนอยู่ในห้วงว่างเหล่าเซียนแคว้นจ้าวพยายามค้ำยันค่ายกลถึงที่สุด เพื่อป้องกันไฟนรก แต่เส้นลายยันต์บนฟ้าและพื้นดินแตกร้าวอย่างน่าสยดสยอง ราวกับมังกรที่ใกล้ขาดลมหายใจ เซียนหนุ่มสาวและชายชรามากมายผู้รับหน้าที่เป็นเสาหลักของค่ายกล เลือดไหลจากเจ็ดทวาร ร่างสั่นสะท้านจนแทบจะยืนไม่อยู่ หากค่ายกลแตกพังเมื่อใด กองทัพแคว้นจ้าวทั้งหมดจะถูกไฟ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status