....ท่ามกลางความมืดชื้นและกลิ่นสนิมเลือดในคุกใต้ดิน แสงจันทร์ส่องลอดลงมา ภาพรอยยิ้มของมารดาก็ผุดขึ้นมาในใจหลินเซียนอย่างชัดเจน
เขาจำได้ถึงอ้อมแขนอบอุ่นและเสียงปลอบโยนที่เคยคอยประคองเขายามบาดเจ็บและท้อแท้
อีกด้านหนึ่ง ความทรงจำของย่าผู้เฒ่าที่คอยหุงหาอาหารและเล่านิทานยามค่ำคืน ทำให้หัวใจเขาอ่อนโยนแต่ก็สั่นไหว
ความคิดเป็นห่วงพวกท่าน กลัวว่ามารดาและย่าอาจถูกผู้คนภายนอกกดขี่หรือได้รับความอัปยศเพราะเขาทำให้ดวงตาที่เคยสิ้นหวังกลับลุกโชนขึ้น
หลินเซียนกัดฟันแน่น ราวกับจะสลักคำสัตย์ลงในเลือดเนื้อของตนเอง
“ต่อให้คุกนรกนี้กักขังข้าไว้ ข้าก็ต้องรอดออกไป... เพื่อปกป้องแม่และย่าของข้าให้ได้!”
เขาเริ่มมองรอบๆตัวอย่าเพ่งพินิจ คุกใต้ดินหนาแน่นราวกับโคลนเหนียว
กลิ่นอับชื้นผสมกับกลิ่นเลือดและสนิมเหล็กคละคลุ้ง
หลินเซียนนั่งพิงกำแพงหินครุ่นคิด ข้อมือและข้อเท้าถูกโซ่เหล็กหนาล่ามไว้แน่น
“ในคุกนี้มีอะไร? แล้วตัวข้าตอนนี้มีอะไร? ข้าต้องเก็บข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อใช้สิ่งที่มีทุกอย่างพาข้าออกไปจากที่นี่!”
เขาหลับตา สูดหายใจเข้า แม้เจ็บปวดก็ยังบังคับจิตใจให้นิ่ง
ทบทวนวิชาที่เคยร่ำเรียนต่างๆ
กระบี่วายุปราณ = มันเปลี่ยนปราณเป็นคมดาบตัดโช่ให้ข้าได้
เขามองที่น้ำสกปรกรอบตัวและหนู "ปราณหมื่นสายนที ข้าใช้ประโยชน์จากน้ำพวกนี้ได้"
เขาครุ่นคิดต่อไป ทั้งสองวิชานี้ต่างแข็งแกร่ง แต่ยังไม่เคยมีผู้ใดนำมาผสานเป็นหนึ่ง ข้าควรนำข้อดีทั้งสองวิชามาผนวกเข้าด้วยกัน
แม้ไม่มีใครเคยคิดจะลอง แต่หากไม่ลองตอนนี้... ข้าคงถูกขังลืมจนตายอย่างไร้ค่าที่นี่!
เขารวบรวมปราณภายใน แปรเปลี่ยนเป็นคมกระบี่ในฝ่ามือ
กระบี่วายุปราณแหลมคม วาบแสงจางๆ
หลินเซียนกัดฟัน ฟันลงไปที่โซ่เหล็ก
ฉึก แคร๊ก!
แต่โซ่เพียงเกิดรอยร้าวเล็กน้อย ไม่แตกหัก
กระแสปราณในกายสั่นสะท้าน เขาไอเป็นเลือดคำใหญ่
ความล้มเหลวครั้งแรกกดทับดวงใจอย่างหนัก
หลินเซียนกัดฟัน ลองใหม่อีกครั้ง
คราวนี้เขาเพ่งจิตไปที่น้ำโสโครกที่ขังตามพื้น
ใช้ ปราณหมื่นสายนที เชื่อมวิญญาณเข้ากับหยดน้ำ
น้ำที่เน่าเหม็นกลับสั่นสะท้าน แปรเปลี่ยนเป็นประกายปราณเล็กๆ
เขาควบคุมสายน้ำให้พุ่งกัดกร่อนโซ่เหล็ก
ซู่ซู่...
แต่เพียงครู่เดียว น้ำกลับกระเซ็นแตกกระจาย ไร้พลัง
ปราณในกายสูญเปล่าไปครึ่งหนึ่ง
“ไม่พอ... ยังไม่พอ!”
หลินเซียนทุบกำแพงหิน เลือดจากข้อนิ้วเปื้อนเป็นรอย
ในความเงียบ มีเสียงยามเดินผ่านทางเดินด้านบน
หลินเซียนรีบสงบจิต กดลมหายใจจนแทบดับ
เขารู้... หากก่อเสียงดังแม้เพียงน้อย ก็อาจถูกจับได้และเฆี่ยนซ้ำ
ใจเขาเต้นแรง แต่ไม่ยอมแพ้
“ข้าต้องรวมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน... ต้องหาทางใหม่”
เขาเข้าสมาธิอีกครั้ง
จิตหนึ่งหล่อเลี้ยงพลังวายุปราณ คมกระบี่ไร้รูป
จิตอีกส่วนโอบกอดสายน้ำ ปราณที่หลอมรวมกับสภาวะธรรมชาติ
ครั้งแรกที่พยายามรวมเข้าด้วยกัน พลังปะทะกันรุนแรง
บึ้ม!
กระแสปราณระเบิดภายในกาย ทำให้หลินเซียนไอเลือดคาวออกมาเต็มปาก
ร่างเขาแทบทรุดคว่ำ
แต่แววตากลับเปล่งประกาย...
“ใช่แล้ว... มันคือเส้นทางนี้ ถึงเจ็บปวดก็ต้องเดินต่อ!”
เขานั่งขัดสมาธิใหม่ แม้เลือดยังไม่หยุดไหล
รอบที่เท่าไหร่ไม่รู้แล้ว...ครั้งนี้เขาทดลองบังคับวายุให้ “หลอม” เข้ากับน้ำ ไม่ใช่ปะทะ
ปราณในกายหมุนเวียนไปทั่วเส้นลมปราณอย่างช้าๆ
เสียงหยดน้ำ ติ๋ง...ติ๋ง... กลายเป็นเสียงก้องสะท้อนที่ช่วยขับเคลื่อนสมาธิ
น้ำที่พื้นที่ผสมกับเลือดของเขาเริ่มรวมตัว ลอยขึ้นเป็นละอองใสที่มีสีแดงเจือปนอยู่
วายุปราณซึมซับเข้าไปในละอองนั้น
กลายเป็น “คมกระบี่ที่โอบล้อมด้วยสายน้ำ”
มันไม่เปล่งแสง ไม่ส่งเสียง แต่กลับแฝงความเย็นเยียบอำมหิต
หลินเซียนสูดหายใจเข้า
ยกกระบี่ปราณสายนทีวายุขึ้นฟันลงที่โซ่ตรวน
ฉึก! กร๊อบ!
โซ่เหล็กหนาที่เคยไร้ทางขาด กลับถูกตัดอย่างเงียบกริบ
ข้อมือของเขาเป็นอิสระ เลือดสดไหลรินจากรอยถลอก แต่ไม่มีความหมายอีกแล้ว
เขาหันไปตัดโซ่ข้อเท้า แคร่ก! เงียบสนิทราวกับโซ่ละลายหายไปเอง
หลินเซียนยกมือขึ้นมองคมปราณที่เพิ่งสร้าง
รอยยิ้มเย็นปรากฏบนใบหน้าที่เปื้อนเลือด
“นี่คือวิชาของข้าเอง... กระบี่สายนทีวายุ”
ในดวงตาของเขา ไม่ใช่ความสิ้นหวังอีกต่อไป แต่เป็นประกายแห่งความท้าทาย
เขาทดสอบก้าวเดินแรก แต่พื้นคุกแฉะและเต็มไปด้วยน้ำโสโครก เสียงก้าวอาจดังได้ง่าย
หลินเซียนจึงซ่อนปราณไว้ใต้ฝ่าเท้า
ทุกย่างก้าว น้ำโสโครกดูดซับเสียงจนเบาบางเหมือนฝีเท้าของเงา
เขาเคลื่อนไปในความมืด ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของคุกเอง
ยามสองคนเดินผ่านปากทางด้านบน
แสงไฟส่องลอดลงมา
หลินเซียนซ่อนกายแนบกำแพง เงียบจนแม้เสียงหายใจก็แทบไม่มี
เขาใช้พลังปราณพรางลมหายใจ กลืนไปกับกลิ่นอับชื้นรอบกาย
ยามสองคนมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ก่อนเดินผ่านไป
หลินเซียนจึงค่อยๆ เล็ดลอดออกจากเงามืด
เส้นทางใต้ดินวกวน เขาใช้ปลายนิ้วสัมผัสผนังหิน
จิตปราณรับรู้ทิศทางการไหลของน้ำที่รินผ่านรอยแยก
เขาตามกระแสน้ำไป ราวกับมันกำลังนำทาง
ทุกย่างก้าวคือการต่อสู้กับความเจ็บปวดในกาย
แต่หัวใจของเขากลับสงบนิ่งยิ่งกว่าเคย
สุดท้าย เขามาถึงกำแพงหินด้านหนึ่ง
มีเพียงรอยร้าวเล็กๆ ที่น้ำซึมผ่าน
หลินเซียนยกกระบี่สายนทีวายุขึ้นอีกครั้ง
ปราณหมุนเวียนพุ่งออกเป็นคมเฉียบฟาดลง
ฉึก—ครืน...
กำแพงหินแตกแยก เผยให้เห็นทางลับแคบๆ
ลมเย็นจากภายนอกพัดเข้ามากระทบใบหน้า
หลินเซียนสูดลมแรกแห่งอิสรภาพ
ความเจ็บปวดทั้งหมดกลับกลายเป็นพลังที่คุกรุ่นอยู่ในใจ
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่ปรากฏตรงหน้า
ดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือเมฆหมอก
“คืนหนึ่งในคุกใต้ดิน... คืนหนึ่งที่ข้าล้มตายเกือบสิ้น”
“แต่ก็เป็นคืนที่กระบี่ของข้า... กำเนิดขึ้น”
หลินเซียนก้าวออกจากเงามืด
ไม่ใช่ในฐานะศิษย์ที่ถูกตราหน้าว่าเนรคุณ
แต่เป็นอัจฉริยะที่สามารถสร้างหนทางของตนเองได้
“พวกเจ้าที่ใส่ร้าย... เจ้าสำนักที่ไม่ฟังความจริง...”
“วันหนึ่ง... ข้าจะกลับมาทวงคืนความยุติธรรมด้วยกระบี่นี้”
ร่างที่เปื้อนเลือดและโซ่ตรวนเพิ่งถูกตัดขาด อยู่ตรงเงามืดด้านนอกสำนัก
หลินเซียนคุกเข่าลงไปทางทศที่เป็นห้องตำรา ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ปลุกฝันและหล่อเลี้ยงวิญญาณแห่งวิถีเซียนของเขา
เขาก้มศีรษะต่ำ ทำความเคารพตำราเหล่านั้นและบูรพาจารย์ผู้เขียนตำราให้เขาได้ศึกษาด้วยหัวใจที่สั่นไหว
เมื่อสายตาเลื่อนไปทางทิศที่เคยเป็นตึกเรียนที่ยังคงตั้งตระหง่าน ความทรงจำของเสียงอาจารย์สอนสั่งและเสียงหัวเราะของสหายยังดังก้องในโสต
ทุกสิ่งที่เคยงดงาม บัดนี้กลับแฝงด้วยรอยแผลแห่งการทรยศและความไม่ยุติธรรม
หลินเซียนยืนขึ้นอีกครั้ง มองทั่วทั้งสำนักด้วยดวงตาที่ปะปนทั้งความเศร้าและความมุ่งมั่น
เขารู้แล้วว่าเส้นทางที่รอเขาข้างหน้าต่อจากนี้ จะมิใช่เส้นทางที่สำนักนี้มอบให้ หากเป็นทางที่เขาจะสร้างขึ้นด้วยเลือดและวิญญาณของตนเอง
ร่างของหลินเซียนค่อยๆ ละลายหายไปในเงาไม้
ทิ้งไว้เพียงเสียงลมพัดเบาๆ และเศษโซ่เหล็กขาดสะบั้นที่เคยล่ามตรวนเขาไว้ในคุกที่มืดมิด....
....กลางป่าลึกที่เงียบสงัด เพียงเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ก็เหมือนกรีดทิ่มใจ ณ ต้นไม้เซียนที่พ่อปลูก ขณะที่หลินเซียนกำลังทดลองนำเปลือกไม้และใบมาผสมปรุงยาอยู่นั้น หลินเซียนก็ขมวดคิ้วแน่น เพราะเขารู้สึกถึงสายตาลึกลับที่จ้องมองอยู่ตลอด เหมือนเส้นลมหายใจถูกกดทับจนแทบแตกสลาย “ใคร?!”เขาเรียกปราณกระบี่สายนทีวายุขึ้นมา 1 เล่มลอยข้างตัวเขาทันที"ออกมา! ถ้าไม่ออกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ"พุ่มไม้ข้างหน้าขยับวูบ ราวกับมีเงาดำซ่อนตัวอยู่ หลินเซียนยกมือแตะด้ามดาบ พลังปราณพลุ่งพล่านพร้อมปะทะในพริบตา บรรยากาศหนักหน่วงเข้มข้นจนแทบกลายเป็นเสียงดังก้องในหูแต่อีกวินาที… “ซวบ!”สิ่งที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้กลับเป็นเจ้าลูกหมีแพนด้าตัวน้อยมันมีขนสีขาวดำที่ควรจะนุ่มนวล แต่ตอนนี้กลับมอมแมมเลอะโคลนไปทั่ว ดวงตากลมโตสีดำสนิทช่างฉายประกายใสซื่อไร้เดียงสา มันยืนสองขาโงนเงน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งตุ้บลงไปอย่างงุ่มง่าม กอดท่อนไผ่หักครึ่งท่อนแนบอกไว้แน่นเหมือนสมบัติล้ำค่าเสียง "กรอบๆ" เล็ดลอดออกมาจากฟันเล็กๆ ที่กำลังแทะไผ่ แต่พอเงยหน้าขึ้นมามอง หลินเซียนก็แทบสะดุ้งกับสายตานั้น… มันจ้องด้วยแววตากลมใสไม่กะพริบ ราวกับกำลังสื่อสารว่า
....ภายในป่าลึกหลังบ้าน แสงจันทร์สาดส่องลอดกิ่งไม้ลงมาเป็นเส้นสาย ต้นไม้เซียนที่พ่อเคยปลูกตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ใบของมันมีประกายแสงระยิบราวหยดน้ำแข็ง ส่วนผลไม้สีม่วงกลมโตกลับแผ่วพลังปราณออกมาจางๆ จนบรรยากาศรอบตัวอบอวลไปด้วยพลังวิเศษหลินเซียนยืนนิ่ง สายตาจับจ้องต้นไม้นั้น แววตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและหนักแน่น“พ่อ…ท่านปลูกสิ่งนี้ไว้เพื่อข้า ข้าจะใช้มันไม่ให้สูญเปล่า เพื่อปกป้องท่านแม่และตัวข้า”เขารู้ตัวเองดี รากวิญญาณของตนต่ำต้อยกว่าคนทั่วไปมาก หากจะเดินตามตำราอย่างเดียว ย่อมไม่ทันใคร ไม่พ้นจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังตลอดไป ดังนั้นเขาต้องสร้างเส้นทางที่ไม่เหมือนใครมือเรียวของเขาเอื้อมไปเด็ดผลไม้ลูกหนึ่งมากัดช้าๆ น้ำหวานหอมไหลซึมลงลำคอ พลังปราณเย็นไหลเข้าสู่เส้นลมปราณทันที แต่หลินเซียนไม่รีบร้อน เขานั่งขัดสมาธิ ปล่อยให้พลังนั้นซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างระมัดระวัง“ตำราเขียนไว้แค่ผลอวิ๋นฮวานี้(ผลไม้แห่งเมฆาและดวงดาว)เพียงอย่างเดียว แม้จะทรงค่า…แต่เหตุใดตำราจึงมิกล่าวถึงราก กิ่ง ก้าน หรือแม้แต่ใบ? ยังไงเสียมันก็คือต้นไม้ที่มีพลังเซียนทุกส่วน”เขาเริ่มขบคิด"ไก่ 2 ตัว เป็ด 3 ตัวออกไข่ได้ 5 ฟอง
....หลินเซียนเปลี่ยนจากชุดผ้าไหมที่เคยสวมใส่เป็นชุดชาวบ้านสีเทาเก่า ๆ ผ้าขาดตรงชายเสื้อเล็กน้อย พอให้ดูไม่ต่างจากชาวบ้านธรรมดาที่เดินไปมาในตลาด เขาดึงหมวกงอบลงต่ำเพื่อบดบังใบหน้า หัวใจยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะยามก้าวผ่านผู้คนเขายังคงครุ่นคิดไม่หยุดถึงความเป็นไปได้สำนักอวิ๋นเจิ้งอาจส่งคนออกมาตามล่าเขาอยู่ทุกย่างก้าว หรือบางทีหลิวเซี่ยง ไอ้อ้วนขี้อิจฉานั่น อาจลงมือเอง ส่งลูกน้องมือดีเฝ้าดักตามทางสายหลักหลินเซียนไม่กลัวตาย แต่สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจคือท่านแม่ หากเขาพลาดท่า ศัตรูเหล่านั้นอาจลามไปถึงผู้ให้กำเนิด ความคิดนั้นทำให้ทุกก้าวที่เหยียบพื้นหินเย็นยะเยือกหนักอึ้งยิ่งกว่าภูเขามือเขาเผลอกำแน่นที่ชายเสื้อ หูคอยเงี่ยฟังทุกเสียงรอบด้าน เสียงฝีเท้าคนเดิน เสียงลมพัดกลีบดอกไม้ เสียงใด ๆ ก็อาจแฝงมีดสั้นจากเงามืดได้ทั้งสิ้นสายตาของเขากวาดมองรอบตลาดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้เพียงร่างคนเมาสะดุดล้ม หลินเซียนก็สะดุ้งนึกว่าเป็นศัตรูมาโจมตี ความกังวลกัดกินใจ แต่สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเขาไว้คือภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของมารดาในความทรงจำเขาต้องอยู่รอดให้ได้… ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อปกป้องนางจากเล่ห์กลของคนใจด
....แสงแรกของรุ่งอรุณลอดผ่านปากถ้ำบาง ๆ กระทบหยดน้ำเกาะตามผนังหินหลินเซียนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางถ้ำ ความมืดรอบตัวไม่อาจกลบความมุ่งมั่นในดวงตาเขาข้อมือและร่างกายยังมีรอยช้ำจากการเฆี่ยนในคุก แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไปทุกความเจ็บปวดคือเชื้อไฟให้หัวใจมุ่งมั่นต่อสู้ในมือ เขารวบรวมปราณวายุให้กลายเป็นคมกระบี่จาง ๆ ที่แทบมองไม่เห็นจากนั้นปราณหมื่นสายนทีเริ่มไหลเวียนในกายละอองน้ำมากมายรวมตัวกันเป็นก้อนน้ำลอยอยู่ระหว่างฝ่ามือทั้งสองของเขาน้ำหยดเล็ก ๆ จากเพดานถ้ำสั่นสะท้านตามจังหวะปราณที่เขาเรียกใช้หลินเซียนค่อย ๆ ผสานสองวิชาเข้าด้วยกันครั้งแรกที่ลอง รวมปราณทั้งสองเข้าด้วยกัน เขารู้สึกพลังปะทะกันรุนแรงเสียงสะท้อนดังก้องในถ้ำ คล้ายกับธรรมชาติทดสอบความเข้มแข็งของเขาเขาสูดลมหายใจลึก ปรับจังหวะลมหายใจให้สอดคล้องกับการไหลของน้ำปราณหมื่นสายนทีพุ่งออกมารอบตัว เป็นเกราะบาง ๆ รอบคมกระบี่วายุคมกระบี่แปรเปลี่ยนเป็นเส้นปราณใสคล้ายลมพายุในละอองน้ำหลินเซียนฟันอากาศ ฝึกซ้ำหลายครั้ง แต่ครั้งแรกยังไม่แม่นยำเสียงลมปราณและน้ำกระทบกันเป็นจังหวะราวกับดนตรีแห่งพลังเขาไม่ยอมแพ้ ล้มแล้วลุกใหม่ ลองปรั
....ท่ามกลางความมืดชื้นและกลิ่นสนิมเลือดในคุกใต้ดิน แสงจันทร์ส่องลอดลงมา ภาพรอยยิ้มของมารดาก็ผุดขึ้นมาในใจหลินเซียนอย่างชัดเจนเขาจำได้ถึงอ้อมแขนอบอุ่นและเสียงปลอบโยนที่เคยคอยประคองเขายามบาดเจ็บและท้อแท้อีกด้านหนึ่ง ความทรงจำของย่าผู้เฒ่าที่คอยหุงหาอาหารและเล่านิทานยามค่ำคืน ทำให้หัวใจเขาอ่อนโยนแต่ก็สั่นไหวความคิดเป็นห่วงพวกท่าน กลัวว่ามารดาและย่าอาจถูกผู้คนภายนอกกดขี่หรือได้รับความอัปยศเพราะเขาทำให้ดวงตาที่เคยสิ้นหวังกลับลุกโชนขึ้นหลินเซียนกัดฟันแน่น ราวกับจะสลักคำสัตย์ลงในเลือดเนื้อของตนเอง“ต่อให้คุกนรกนี้กักขังข้าไว้ ข้าก็ต้องรอดออกไป... เพื่อปกป้องแม่และย่าของข้าให้ได้!”เขาเริ่มมองรอบๆตัวอย่าเพ่งพินิจ คุกใต้ดินหนาแน่นราวกับโคลนเหนียวกลิ่นอับชื้นผสมกับกลิ่นเลือดและสนิมเหล็กคละคลุ้งหลินเซียนนั่งพิงกำแพงหินครุ่นคิด ข้อมือและข้อเท้าถูกโซ่เหล็กหนาล่ามไว้แน่น“ในคุกนี้มีอะไร? แล้วตัวข้าตอนนี้มีอะไร? ข้าต้องเก็บข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อใช้สิ่งที่มีทุกอย่างพาข้าออกไปจากที่นี่!”เขาหลับตา สูดหายใจเข้า แม้เจ็บปวดก็ยังบังคับจิตใจให้นิ่งทบทวนวิชาที่เคยร่ำเรียนต่างๆกระบี่วายุปราณ = มันเปล
....ภายใน หอพิพากษาสำนัก แสงไฟจากคบเพลิงสลัวสะท้อนเงาบนผนังหิน ทำให้บรรยากาศขึงขังและเย็นเยียบ ราวกับทุกลมหายใจถูกพันธนาการด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น เมื่อบานประตูหินหนักค่อยๆ เปิดออก เสียงก้าวเท้าองครักษ์เกราะดำสิบคนกระแทกพื้นดังก้อง พวกมันกดบ่าหลินเซียนแน่นจนถูกบังคับให้คุกเข่าลงบนลานพิพากษาอันกว้างใหญ่เบื้องสูงสุดของแท่นหินดำประดับหยก เจ้าสำนักชุดคลุมสีครามเข้มประทับนั่ง ดวงตาเรียบเฉย แต่แฝงแรงกดข่มที่ทำให้แม้กระทั่งอากาศรอบตัวสั่นสะท้านสองข้างล่างลงมา อาจารย์เฉิงเสิน และ อาจารย์จื่อหยง นั่งขนาบซ้ายขวาอาจารย์เฉิงเสินมีใบหน้าคมคายแฝงรอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาเหมือนมองทุกคนต่ำต้อยกว่าตนส่วนอาจารย์จื่อหยงนั้นสายตาเย็นชา ดั่งเฝ้าสังเกตโดยไร้อารมณ์ด้านข้างอีกชั้นคือ ผู้อาวุโสทั้งสาม ผู้ชรานั่งเรียงราย เคราขาวสะบัดตามลมปราณที่พัดไหว บรรยากาศเคร่งขรึมเต็มไปด้วยอำนาจเก่าแก่หลินเซียนถูกองครักษ์เกราะดำกดคุกเข่าลงตรงกลางลานหินเย็นเฉียบ เลือดที่มุมปากยังไม่แห้งสนิท หัวใจเต้นแรง แต่สายตายังคงแข็งกร้าวไม่ยอมก้มหัวให้ใครหลินเซียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาอิดโรยแต่ยังพอมีประกายความหวังอยู่เล็กน้อย... เมื