LOGIN....ท่ามกลางความมืดชื้นและกลิ่นสนิมเลือดในคุกใต้ดิน แสงจันทร์ส่องลอดลงมา ภาพรอยยิ้มของมารดาก็ผุดขึ้นมาในใจหลินเซียนอย่างชัดเจน
เขาจำได้ถึงอ้อมแขนอบอุ่นและเสียงปลอบโยนที่เคยคอยประคองเขายามบาดเจ็บและท้อแท้
อีกด้านหนึ่ง ความทรงจำของย่าผู้เฒ่าที่คอยหุงหาอาหารและเล่านิทานยามค่ำคืน ทำให้หัวใจเขาอ่อนโยนแต่ก็สั่นไหว
ความคิดเป็นห่วงพวกท่าน กลัวว่ามารดาและย่าอาจถูกผู้คนภายนอกกดขี่หรือได้รับความอัปยศเพราะเขาทำให้ดวงตาที่เคยสิ้นหวังกลับลุกโชนขึ้น
หลินเซียนกัดฟันแน่น ราวกับจะสลักคำสัตย์ลงในเลือดเนื้อของตนเอง
“ต่อให้คุกนรกนี้กักขังข้าไว้ ข้าก็ต้องรอดออกไป... เพื่อปกป้องแม่และย่าของข้าให้ได้!”
เขาเริ่มมองรอบๆตัวอย่าเพ่งพินิจ คุกใต้ดินหนาแน่นราวกับโคลนเหนียว
กลิ่นอับชื้นผสมกับกลิ่นเลือดและสนิมเหล็กคละคลุ้ง
หลินเซียนนั่งพิงกำแพงหินครุ่นคิด ข้อมือและข้อเท้าถูกโซ่เหล็กหนาล่ามไว้แน่น
“ในคุกนี้มีอะไร? แล้วตัวข้าตอนนี้มีอะไร? ข้าต้องเก็บข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อใช้สิ่งที่มีทุกอย่างพาข้าออกไปจากที่นี่!”
เขาหลับตา สูดหายใจเข้า แม้เจ็บปวดก็ยังบังคับจิตใจให้นิ่ง
ทบทวนวิชาที่เคยร่ำเรียนต่างๆ
กระบี่วายุปราณ = มันเปลี่ยนปราณเป็นคมดาบตัดโช่ให้ข้าได้
เขามองที่น้ำสกปรกรอบตัวและหนู "ปราณหมื่นสายนที ข้าใช้ประโยชน์จากน้ำพวกนี้ได้"
เขาครุ่นคิดต่อไป ทั้งสองวิชานี้ต่างแข็งแกร่ง แต่ยังไม่เคยมีผู้ใดนำมาผสานเป็นหนึ่ง ข้าควรนำข้อดีทั้งสองวิชามาผนวกเข้าด้วยกัน
แม้ไม่มีใครเคยคิดจะลอง แต่หากไม่ลองตอนนี้... ข้าคงถูกขังลืมจนตายอย่างไร้ค่าที่นี่!
เขารวบรวมปราณภายใน แปรเปลี่ยนเป็นคมกระบี่ในฝ่ามือ
กระบี่วายุปราณแหลมคม วาบแสงจางๆ
หลินเซียนกัดฟัน ฟันลงไปที่โซ่เหล็ก
ฉึก แคร๊ก!
แต่โซ่เพียงเกิดรอยร้าวเล็กน้อย ไม่แตกหัก
กระแสปราณในกายสั่นสะท้าน เขาไอเป็นเลือดคำใหญ่
ความล้มเหลวครั้งแรกกดทับดวงใจอย่างหนัก
หลินเซียนกัดฟัน ลองใหม่อีกครั้ง
คราวนี้เขาเพ่งจิตไปที่น้ำโสโครกที่ขังตามพื้น
ใช้ ปราณหมื่นสายนที เชื่อมวิญญาณเข้ากับหยดน้ำ
น้ำที่เน่าเหม็นกลับสั่นสะท้าน แปรเปลี่ยนเป็นประกายปราณเล็กๆ
เขาควบคุมสายน้ำให้พุ่งกัดกร่อนโซ่เหล็ก
ซู่ซู่...
แต่เพียงครู่เดียว น้ำกลับกระเซ็นแตกกระจาย ไร้พลัง
ปราณในกายสูญเปล่าไปครึ่งหนึ่ง
“ไม่พอ... ยังไม่พอ!”
หลินเซียนทุบกำแพงหิน เลือดจากข้อนิ้วเปื้อนเป็นรอย
ในความเงียบ มีเสียงยามเดินผ่านทางเดินด้านบน
หลินเซียนรีบสงบจิต กดลมหายใจจนแทบดับ
เขารู้... หากก่อเสียงดังแม้เพียงน้อย ก็อาจถูกจับได้และเฆี่ยนซ้ำ
ใจเขาเต้นแรง แต่ไม่ยอมแพ้
“ข้าต้องรวมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน... ต้องหาทางใหม่”
เขาเข้าสมาธิอีกครั้ง
จิตหนึ่งหล่อเลี้ยงพลังวายุปราณ คมกระบี่ไร้รูป
จิตอีกส่วนโอบกอดสายน้ำ ปราณที่หลอมรวมกับสภาวะธรรมชาติ
ครั้งแรกที่พยายามรวมเข้าด้วยกัน พลังปะทะกันรุนแรง
บึ้ม!
กระแสปราณระเบิดภายในกาย ทำให้หลินเซียนไอเลือดคาวออกมาเต็มปาก
ร่างเขาแทบทรุดคว่ำ
แต่แววตากลับเปล่งประกาย...
“ใช่แล้ว... มันคือเส้นทางนี้ ถึงเจ็บปวดก็ต้องเดินต่อ!”
เขานั่งขัดสมาธิใหม่ แม้เลือดยังไม่หยุดไหล
รอบที่เท่าไหร่ไม่รู้แล้ว...ครั้งนี้เขาทดลองบังคับวายุให้ “หลอม” เข้ากับน้ำ ไม่ใช่ปะทะ
ปราณในกายหมุนเวียนไปทั่วเส้นลมปราณอย่างช้าๆ
เสียงหยดน้ำ ติ๋ง...ติ๋ง... กลายเป็นเสียงก้องสะท้อนที่ช่วยขับเคลื่อนสมาธิ
น้ำที่พื้นที่ผสมกับเลือดของเขาเริ่มรวมตัว ลอยขึ้นเป็นละอองใสที่มีสีแดงเจือปนอยู่
วายุปราณซึมซับเข้าไปในละอองนั้น
กลายเป็น “คมกระบี่ที่โอบล้อมด้วยสายน้ำ”
มันไม่เปล่งแสง ไม่ส่งเสียง แต่กลับแฝงความเย็นเยียบอำมหิต
หลินเซียนสูดหายใจเข้า
ยกกระบี่ปราณสายนทีวายุขึ้นฟันลงที่โซ่ตรวน
ฉึก! กร๊อบ!
โซ่เหล็กหนาที่เคยไร้ทางขาด กลับถูกตัดอย่างเงียบกริบ
ข้อมือของเขาเป็นอิสระ เลือดสดไหลรินจากรอยถลอก แต่ไม่มีความหมายอีกแล้ว
เขาหันไปตัดโซ่ข้อเท้า แคร่ก! เงียบสนิทราวกับโซ่ละลายหายไปเอง
หลินเซียนยกมือขึ้นมองคมปราณที่เพิ่งสร้าง
รอยยิ้มเย็นปรากฏบนใบหน้าที่เปื้อนเลือด
“นี่คือวิชาของข้าเอง... กระบี่สายนทีวายุ”
ในดวงตาของเขา ไม่ใช่ความสิ้นหวังอีกต่อไป แต่เป็นประกายแห่งความท้าทาย
เขาทดสอบก้าวเดินแรก แต่พื้นคุกแฉะและเต็มไปด้วยน้ำโสโครก เสียงก้าวอาจดังได้ง่าย
หลินเซียนจึงซ่อนปราณไว้ใต้ฝ่าเท้า
ทุกย่างก้าว น้ำโสโครกดูดซับเสียงจนเบาบางเหมือนฝีเท้าของเงา
เขาเคลื่อนไปในความมืด ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของคุกเอง
ยามสองคนเดินผ่านปากทางด้านบน
แสงไฟส่องลอดลงมา
หลินเซียนซ่อนกายแนบกำแพง เงียบจนแม้เสียงหายใจก็แทบไม่มี
เขาใช้พลังปราณพรางลมหายใจ กลืนไปกับกลิ่นอับชื้นรอบกาย
ยามสองคนมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ก่อนเดินผ่านไป
หลินเซียนจึงค่อยๆ เล็ดลอดออกจากเงามืด
เส้นทางใต้ดินวกวน เขาใช้ปลายนิ้วสัมผัสผนังหิน
จิตปราณรับรู้ทิศทางการไหลของน้ำที่รินผ่านรอยแยก
เขาตามกระแสน้ำไป ราวกับมันกำลังนำทาง
ทุกย่างก้าวคือการต่อสู้กับความเจ็บปวดในกาย
แต่หัวใจของเขากลับสงบนิ่งยิ่งกว่าเคย
สุดท้าย เขามาถึงกำแพงหินด้านหนึ่ง
มีเพียงรอยร้าวเล็กๆ ที่น้ำซึมผ่าน
หลินเซียนยกกระบี่สายนทีวายุขึ้นอีกครั้ง
ปราณหมุนเวียนพุ่งออกเป็นคมเฉียบฟาดลง
ฉึก—ครืน...
กำแพงหินแตกแยก เผยให้เห็นทางลับแคบๆ
ลมเย็นจากภายนอกพัดเข้ามากระทบใบหน้า
หลินเซียนสูดลมแรกแห่งอิสรภาพ
ความเจ็บปวดทั้งหมดกลับกลายเป็นพลังที่คุกรุ่นอยู่ในใจ
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่ปรากฏตรงหน้า
ดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือเมฆหมอก
“คืนหนึ่งในคุกใต้ดิน... คืนหนึ่งที่ข้าล้มตายเกือบสิ้น”
“แต่ก็เป็นคืนที่กระบี่ของข้า... กำเนิดขึ้น”
หลินเซียนก้าวออกจากเงามืด
ไม่ใช่ในฐานะศิษย์ที่ถูกตราหน้าว่าเนรคุณ
แต่เป็นอัจฉริยะที่สามารถสร้างหนทางของตนเองได้
“พวกเจ้าที่ใส่ร้าย... เจ้าสำนักที่ไม่ฟังความจริง...”
“วันหนึ่ง... ข้าจะกลับมาทวงคืนความยุติธรรมด้วยกระบี่นี้”
ร่างที่เปื้อนเลือดและโซ่ตรวนเพิ่งถูกตัดขาด อยู่ตรงเงามืดด้านนอกสำนัก
หลินเซียนคุกเข่าลงไปทางทศที่เป็นห้องตำรา ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ปลุกฝันและหล่อเลี้ยงวิญญาณแห่งวิถีเซียนของเขา
เขาก้มศีรษะต่ำ ทำความเคารพตำราเหล่านั้นและบูรพาจารย์ผู้เขียนตำราให้เขาได้ศึกษาด้วยหัวใจที่สั่นไหว
เมื่อสายตาเลื่อนไปทางทิศที่เคยเป็นตึกเรียนที่ยังคงตั้งตระหง่าน ความทรงจำของเสียงอาจารย์สอนสั่งและเสียงหัวเราะของสหายยังดังก้องในโสต
ทุกสิ่งที่เคยงดงาม บัดนี้กลับแฝงด้วยรอยแผลแห่งการทรยศและความไม่ยุติธรรม
หลินเซียนยืนขึ้นอีกครั้ง มองทั่วทั้งสำนักด้วยดวงตาที่ปะปนทั้งความเศร้าและความมุ่งมั่น
เขารู้แล้วว่าเส้นทางที่รอเขาข้างหน้าต่อจากนี้ จะมิใช่เส้นทางที่สำนักนี้มอบให้ หากเป็นทางที่เขาจะสร้างขึ้นด้วยเลือดและวิญญาณของตนเอง
ร่างของหลินเซียนค่อยๆ ละลายหายไปในเงาไม้
ทิ้งไว้เพียงเสียงลมพัดเบาๆ และเศษโซ่เหล็กขาดสะบั้นที่เคยล่ามตรวนเขาไว้ในคุกที่มืดมิด....
(3 เดือนผ่านไป).....บัดนี้ศิษย์ทั้ง 6 คนบรรลุระดับรวบรวมปราณขั้นต้นได้หมดแล้ว หลินเซียนเริ่มให้แต่ละคนฝึกฝนต่างกัน - หลี่เทียนอวิ๋น แม้เขาจะเป็นคนก้าวร้าวแต่เขาเป็นลูกขุนนางจึงมีการศึกษาดีกว่าทุกคน หลินเซียนเริ่มสอนทักษะพื้นฐานการสร้าวงค่ายกลให้แก่เขา- เซียวฉิง นางฝึกฝนวิชากระบี่มาจากแม่แล้วหลินเซียนจึงสอนการบรรจุพลังปราณลงในกระบี่ให้- หวังต้า หลินเซียนสอนปราณธาตุไฟให้เขา หวังต้าชอบมากเพราะเขาคิดว่าอนาคตย่อมมีประโยชน์กับงานร้านตีเหล็กของเขาได้- จางซาน หลินเซียนสอนวิชาการปรุงยา และความรู้เรื่องสมุนไพรเซียนให้เขา เผื่อวันหน้าเขาจะหลอมยาไว้บำรุงร่างกายตัวเอง- หานซิ่วเรียนรู้พลังปราณธาตุน้ำตาหลินเซียน- หลิงเออร์แม้จะเป็นเด็กแต่รากวิญญาณเซียนเธอดีพิเศษ หลินเซียนจึงให้เธอฝึกปราณธาตุน้ำ, ไม้ และดิน ซึ่งปราณธาตุไม้นั้นหลินเซียนให้เสี่ยวหมิงออกมาช่วยด้วย เธอจึงทั้งสนุกที่ได้เล่นหมีแพนด้าและสัมผัสปราณธาตุไม้การสอนศิษย์ทุกคนหลายเดือนนี้หลินเซียนก็เหมือนได้ทบทวนวิชาต่างๆที่ตัวเองเคยร่ำเรียนมาให้ความรู้แน่นขึ้น เก็บตกเศษชิ้นส่วนเล็กๆในแต่ละวิชามาเติมเต็มปัญญาตนเอง บางครั้งกลางดึกเขาเองก็ไป
....ข่าวการไล่ตะเพิดอันธพาลทำให้ไม่มีีอาจารย์สถาบันติวอื่นกล้ามาคบหากับหลินเซียน แต่ก็ทำให้มีชื่อเสียงในกลุ่มเด็กๆเยาวชนที่อยากผ่านการทดสอบเป็นเซียนบางคน ทำให้สถาบันของหลินเซียนคึกคักขึ้น ห้องเรียนเล็กๆบัดนี้มีคนหนุ่มสาวทั้งชายหญิงรวมถึงเด็กน้อยครั้งก่อนมาเรียนด้วย 6 คนแล้วคนแรก คือเด็กหญิงตัวน้อยที่มาช่วยหลินเซียนครั้งที่แล้ว เธอชื่อหลิงเออร์ เป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่อยู่กับคุณปู่ที่เปิดร้านขายน้ำหมึกและพู่กันข้างๆบ้านหลินเซียนนี่เอง เนื่องจากหลินเซียนบอกจะสอนให้ฟรี ปู่เธอจึงอนุญาตให้มาเรียนด้วยคนที่ 2 ชื่อหลี่อวิ๋นเทียน อายุ 14-15 ปีแล้ว เขาเป็นคุณชายสกุลขุนนางปลายแถว เนื่องด้วยเป็นเด็กมั่นใจตัวเองสูงพ่อแม่สอนไม่ฟัง จึงเอามาฝากให้หลินเซียนช่วยอบรมให้คนที่ 3 ชื่อหวังต้า เป็นลูกชายคนโตของร้านช่างตีเหล็กในตลาดคนที่ 4 ชื่อหานซิ่ว เป็นลูกชาวนายากจนจากชนบท แต่เป็นคนเรียบร้อยถ่อมตน หลินเซียนให้เขาพักที่สถาบัน โดยให้ทำงานทำความสะอาดเรือนแลกกับการให้ที่พักคนที่ 5 ชื่อเซียวฉิง เธอเป็นลูกสาวจอมยุทธหญิง ชำนาญวิชาดาบ แต่เมื่อตรวจพบว่ามีรากวิญญาณเซียน แม่เธอจึงพาเข้าเมืองหลวง และได้ยินชื่อเสียงหล
....แคว้นจูตั้งอยู่ทางเหนือสุดของทวีป ถูกขนาบด้วยเทือกเขาหิมะที่สูงเสียดฟ้าปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี และในหุบเขามีทะเลสาบน้ำแข็งนิรันดร์ที่เล่ากันว่าซ่อนสมบัติเซียนและกระบี่โบราณไว้อยู่ด้วยส่วนพื้นที่ราบเป็นทุ่งน้ำแข็งและทะเลสาบที่ถูกแช่แข็งเกือบทั้งปี แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนสั้นๆจะมีทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่มให้สัตว์เลี้ยงและกวางป่าออกหากินมีลมเหนือหนาวเย็นพัดลงมาที่เมืองทั้งปี ดวงอาทิตย์ส่องแสงน้อยจึงเป็นแคว้นที่กลางวันสั้นส่วนกลางคืนยาว ทำให้ผู้คนที่นี่แข็งแกร่งและอดทนณ เมืองหลวงขอแคว้นชื่อไป๋ซวง(น้ำค้างขาว) มีกำแพงเมืองที่ถูกสร้างด้วยหินแข็งแรงและไม้สนดำ ทนทานต่อพายุหิมะผู้คนแคว้นนี้มีผิวซีดขาว แก้มแดงจากอากาศหนาว มักสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ซ้อนหลายชั้นอาชีพหลักคือ ล่าสัตว์, ทำหนังสัตว์, ค้าขนสัตว์, และหลอมเหล็กจากแร่ในภูเขา จึงมีตลาดแลกเปลี่ยนที่คึกคัก แม้จะเป็นแคว้นห่างไกลที่นี่ยังเป็นแคว้นที่ผู้คนมีรากวิญญาณเซียนหลายคน นั่นจึงทำให้มีสำนักเซียนมากมายในแคว้น ซึ่งการทดสอบเข้าเป็นศิษยืแต่ละสำนักก็มีทั้งการสอบมาตรฐานที่ราชสำนักกำหนด และการทดสอบเฉพาะแต่ละสำนักด้วยและด้วยทางการสนับสนุนอย่างด
A : ไง?หลินเซียน : ท่านเป็นใคร ทำไมข้าไม่เห็นหน้าท่าน? แล้วที่นี่ที่ไหน?B : สำคัญด้วยรึ?หลินเซียน : พวกท่านเป็นใคร? ข้าอยู่ที่ไหน?B : เจ้าหนู ที่นี่มันเป็นสถานที่ๆอธิบายยากอยู่นะ เจ้าอย่าสนใจเลยA : เจ้าช่วยตอบคำถามพวกเราสัก 2 ข้อได้ไหม? แล้วเราจะปล่อยเจ้าไปหลินเซียน : ท่านจะถามอะไรขอรับ?A : ข้าจะถามว่า.......B : ส่วนข้าอยากถามเจ้าว่า.....A+B : แล้ววันหลังพวกเราจะมาขอคำตอบหลินเซียนลืมตาเบิกโพลง เขามองรอบๆตัว ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียง มีผ้าห่ม และผ้าพันแผลพันกายนิดหน่อย"เจ้าฟื้นแล้วรึ?" ไม่ใช่ใครที่ไหน คือนางปีศาจจิ้งจอกเก้าหางนั่นเอง นางนั่งเฝ้าเขาอยู่ไม่ไปไหน แถมมีเสี่ยวหมิงแพนด้าตัวน้อยอยู่ข้าง ๆ พอมันเห็นว่าหลินเซียนฟื้นแล้วมันดีใจรีบเดินเข้าไปออดอ้อนทันที"ขอบใจเจ้ามากที่มาช่วยพวกเรา" หลินเซียนเอื้อมไปจับมือนางจิ้งจอก ทำเอานางเขินแก้มแดง"ม....ไม่มีอะไรนี่ การตอบแทนบุญคุณเป็นเรื่องธรรมดา" หางนางโผล่ออกและบิดไปมา หลินเซียนยิ้มใความเขินอายของสาวแก่อายุตั้งพันปี"อาจารย์ท่านตื่นแล้ว!" องค์ชายดีใจพูดเสียงดัง อาการบาดเจ็บเขาดีขึ้นมากเพราะน้ำวิเศษในน้ำเต้าที่หลินเซียนให้เขาดื่ม
.....หลินเซียนใช้ม่านวารีพิทักษ์ป้องกันครบไปแล้ว 3 ครั้ง ดังนั้นลูกไฟสีน้ำเงินและสีเขียวที่ลอยพุ่งมานี้เขาไม่สามารถใช้วิธีเดิมป้องกันได้อีกแล้วหลินเซียนรีบชูแหวนธาราสวรรค์ขึ้นมา เขาเสี่ยงดวงดูว่าแหวนธาราสวรรค์จะสามารถดูดพลังไฟประหลาดทั้งสองนี้เก็บไว้ได้ไหม ปรากฏว่าแหวนธาราสวรรค์ดูไฟทั้งสองสีเข้าไปได้ แต่หากถอดจิตเข้าไปดูด้านในไฟนั้นลุกท่วมไปทั่วทำเอาปราณน้ำที่สะสมไว้ระเหยปั่นป่วนไปหมดหลินเซียนคิดว่าคงไม่อาจเก็บไว้ประหลาดแบบนี้ได้อีกแล้ว ฝ่ายเซียนหยวนอิงประหลาดใจไม่น้อย ไม่คิดว่าหลินเซียนจะมีแหวนธาราสวรรค์ของหายาก เขารู้สึกเจ็บแผลที่ถูกดาบวารีแทงเมื่อสักครู่"โทษที่เจ้าทำให้ข้าเจ็บ งั้นข้าจะเผาเจ้าด้วยสุดยอดไฟของข้า!"เขาปล่อยพลังออกมามากมายจะเศษซากอาคารถล่ม แผ่นดินสั่นไหว เขาใช้สิงมือกุมกันจนมีลูกไฟสีทองแดงโผล่ขึ้นมามันไม่ใ่ชไฟธรรมดา เพียงคนทั่วไปมองก็ตาบอดทันที พวกเซียนระดับต่ำก็มองแล้วจะรู้สึกเหมือนถูกโดนแผดเผาทั้งร่างส่วนหลินเซียนมั้นมองได้แค่แผบเดียวแล้วต้องรีบเอามือมาปิดบัง "นี่คือไฟจากแกนพิภพ!"เซียนชุดแดงหยิบสมบัติเซียนออกมาขว้างไปที่หลินเซียนกลายเป็นกรงแสงที่ไม่มีทางหนีห
....กลางสมรภูมิ แผ่นฟ้าสีเลือดฉาบด้วยแสงอัคคีแดงฉาน บัดนี้กองทัพขององค์ชายจ้าวหานเฟิง ที่มีทั้งทหารกล้าและเหล่าเซียนแคว้นจ้าวกำลังถลำลึกสู่ขอบเหวแห่งความพ่ายแพ้เสียงโครมครามของอาวุธชนกับอาวุธปะปนกับเสียงโหยหวน สายลมพัดกลิ่นคาวเลือดโชยอวลจนแทบหายใจไม่ออก ร่างทหารผู้กล้าและเซียนถูกเปลวเพลิงนรกกลืนกิน ร่างพวกเขากรีดร้องเพียงครู่ก่อนจะแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีเหนือสนามรบ บนฟากฟ้าสีแดงฉานปรากฏเงาร่าง เซียนหยวนอิงฝ่ายศัตรูเพียงหนึ่งเดียว ชายชราผมขาวหนวดขาวในชุดสีแดง นัยน์ตาเขาราวกับแผดเผาด้วยเพลิงโลกันต์ ปราณของเขาเป็น "ไฟนรก" ที่ไม่ดับสิ้นแม้เมื่อดวงวิญญาณหลุดร่าง เปลวไฟนี้กัดกร่อนทั้งเนื้อหนังและวิญญาณ ผู้ที่ถูกเผาแม้ตายแล้วก็ยังได้ยินเสียงกรีดร้องของตนเองก้องสะท้อนอยู่ในห้วงว่างเหล่าเซียนแคว้นจ้าวพยายามค้ำยันค่ายกลถึงที่สุด เพื่อป้องกันไฟนรก แต่เส้นลายยันต์บนฟ้าและพื้นดินแตกร้าวอย่างน่าสยดสยอง ราวกับมังกรที่ใกล้ขาดลมหายใจ เซียนหนุ่มสาวและชายชรามากมายผู้รับหน้าที่เป็นเสาหลักของค่ายกล เลือดไหลจากเจ็ดทวาร ร่างสั่นสะท้านจนแทบจะยืนไม่อยู่ หากค่ายกลแตกพังเมื่อใด กองทัพแคว้นจ้าวทั้งหมดจะถูกไฟ







