หลังจากนั้นฉันก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติ แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือ พี่มิลคอยมารับมาส่งฉันในทุก ๆ เช้าและเย็น ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครแต่พี่เขาก็หมั่นมาดูแลฉันอย่างสม่ำเสมอ
พี่มิลบอกว่าหากเขาได้ทำงานอย่างเต็มตัวเมื่อไหร่ เขาจะบอกเรื่องนี้กับพ่อเขาแล้วมาดูแลฉันกับลูกได้อย่างเต็มที่ ฉันเองก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่เพื่อนสนิทของฉันเองก็ตาม ไม่ใช่ว่าฉันไม่ไว้ใจเพื่อนของฉันหรอกนะ แต่แค่ฉันไม่รู้จะเริ่มเล่าอย่างไรดี
นี่ก็เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่พี่มิลคอยมารับมาส่งฉัน จนฉันรู้สึกเหมือนพี่เขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันไปแล้ว
“พี่ได้ยินมาว่านมอันนี้เหมาะกับคนท้องนะ เราเอาไปด้วยดีไหม” พี่มิลว่าก่อนจะหยิบนมกล่องออกมาจากชั้นวางของในซูเปอร์มาเก็ต
“แต่เดือนนี้พี่ซื้อให้ฉันกินจนเกือบฉันกินไม่ทันแล้วนะ” ฉันว่าปนหัวเราะ
“กินไปเถอะ จะได้แข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูกไง” พี่มิลว่าก่อนจะวางนมกล่องใส่ในรถเข็น เราสองคนเดินเลือกของในซูเปอร์มาเก็ตกันสองคน เวลาที่ฉันอยู่กับพี่มิลแค่สองคน ฉันเหมือนเห็นด้านของพี่เขาที่ฉันไม่เคยเห็น พวกเราใช้เวลาอยู่ด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน จนลืมไปว่าพวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันเลย ความรู้สึกแปลก ๆ ผุดขึ้นอยู่ในใจของฉัน จนฉันรู้สึกว่าพวกเราไม่ได้ฝืนทนอยู่เพื่อลูก แต่เราเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ
“พี่มิลทำอะไรคะ” ฉันเดินกลับมาหารุ่นพี่หนุ่มที่ยืนมองโซนเสื้อผ้าเด็กด้วยสายตาละห้อย
“พี่ซื้อได้ไหม”
“ลูกยังไม่เกิดเลยพี่จะรีบทำไมคะ” ฉันหัวเราะร่วนก่อนชายหนุ่มจะหันมามองฉันพลางส่งสายตาออดอ้อน
“เผลอแป๊บเดียวเดี๋ยวลูกก็ใส่ได้แล้ว มันน่ารักอ่า” หัวใจฉันเผลอเต้นผิดจังหวะจนต้องหันไปมองทางอื่นเพราะทนสายตาออดอ้อนของชายหนุ่มไม่ไหว
“พี่มน” ฉันหันขวับไปมองคนที่เรียกฉันด้วยน้ำเสียงแข็งขัน
“มิกซ์” น้องชายฉันมองมาที่เราทั้งสองด้วยดวงตาแข็งกร้าว
“พวกพี่หมายความว่าไง เรื่องลูกเหรอ” ฉันกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อกก่อนที่ฉันจะหันมามองทางพี่มิลที่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย มิกซ์ยืนจ้องมองพี่มิลตาเขม็งอย่างกับจะเข้ามากระชากคอเสื้อถ้าไม่มีฉันยืนคั่นกลางไว้ซะก่อน ให้ตายสิ
“พี่มิลคะ นี่น้องชายหนูเองค่ะชื่อมิกซ์ เป็นน้องชายคนละพ่อ” ระหว่างทางที่ขึ้นรถพี่มิลมาลงที่คอนโดฯ จนเดินขึ้นมาบนห้อง ทั้งสองก็คงยังจ้องมองกันตาเขม็งอย่างกับมีสายฟ้าฟาดกันไปมาทางสายตาอย่างไรอย่างนั้น
“มิกซ์ ส่วนนี่พี่มิล เป็น...” ฉันหันหน้ามามองทางหนุ่มรุ่นพี่ไม่รู้ว่าควรจะแนะนำในฐานะอะไรดี
“เป็นพ่อของลูกในท้องมน” พี่มิลชิงตัดพูดขึ้นมาเสียก่อน
“นี่พี่ทำพี่สาวผมท้องเหรอ” มิกซ์ลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงนอนหวังจะเข้ามากระชากคอเสื้อของพี่มิลดีที่ฉันรีบเข้าไปห้ามไว้เสียก่อน พี่มิลรีบลุกขึ้นมาแล้วดันมิกซ์ให้ออกห่างจากฉันจนเกิดเหตุการณ์ชุลมุน
“หยุดนะ เดี๋ยวสะเทือนเด็กในท้อง” พี่มิลเอาแขนมากันตัวฉันไว้จนมิกซ์มองตาค้างด้วยความตกตะลึง พี่มิลก้มลงมาถามฉันด้วยน้ำเสียงอ่อน “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
ฉันส่ายหน้าตอบเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่หนุ่มมีสีหน้าที่จริงจังก่อนจะช้อนสายตาหันไปมองน้องชายฉันอย่างคาดโทษ
“พี่เป็นแฟนกับพี่สาวผมเหรอ” มิกซ์ยอมถอยหลังแล้วกลับไปนั่งดี ๆ
“จะว่างั้นก็ไม่ใช่อะมิกซ์ พวกเราแค่พลาดอะ” น้องชายฉันช้อนสายตาขึ้นไปมองพี่มิลอย่างไม่เกรงกลัว
“แล้วผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าพี่จะดูแลพี่สาวผมได้”
“พี่โตแล้ว พี่พูดคำไหนคำนั้นแน่นอน”
“ผมจะคอยจับตาดูพี่ให้ดีเลย” มิกซ์ยกแขนขึ้นมากอดอก
“พอเลย ๆ พอเลยทั้งคู่อะ” ฉันรีบเข้ามาขวางระหว่างทั้งสองเอาไว้ “เรามาทานข้าวกันเถอะค่ะ มิกซ์ทานด้วยกันนะ”
“อยู่แล้วครับ ผมจะได้จับตามองพี่ให้ดีเลยพี่มิล”
ฉันเดินออกมาหาพี่มิลที่ยืนเหม่อมองออกไปนอกระเบียงห้องอย่างเลื่อนลอย
“ยังไม่ง่วงเหรอคะ” วันนี้พี่มิลขอนอนด้วยเพราะไม่อยากกลับบ้าน ตอนแรกฉันก็รู้สึกแปลก ๆ ที่มีผู้ชายคนอื่นมานอนในห้องแต่ก็เริ่มชินขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างที่บอกไปว่าฉันชินเวลาที่มีพี่มิลอยู่ด้วยแล้ว รวมทั้งไอ้น้องชายตัวแสบที่นอนเฝ้าฉันอยู่บนพื้นข้างเตียงนั้นด้วย
“พี่ยังไม่ง่วงอะ ไม่ชินที่น้องเธอมานอนด้วย” ฉันหัวเราะออกมาเมื่อเห็นแววตาไม่พอใจของพี่มิล
“ฉันก็ไม่ชินเหมือนกัน เดือนนี้ฉันเองก็ปรับตัวเยอะเหมือนกันนะคะ” พี่มิลขมวดคิ้วแล้วหันมามองหน้าฉัน
“พี่ว่าจะถามเธอนานแล้ว ทำไมกับธิดาเธอแทนตัวเองว่าหนูคะหนูขา แล้วทำไมกับพี่ถึงเป็นฉันล่ะ แบบนี้มันดูห่างเหินไปนะทั้งที่เราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” ใบหน้าของฉันเห่อร้อนขึ้นมาภายใต้ความมืด
“ก็พี่ธิดาเป็นพี่ที่ฉันทั้งรักและเคารพนี่คะ” พี่มิลโน้มใบหน้าลงมาหาฉันเสียจนฉันเบิกตากว้างเมื่อใบหน้าของเราทั้งสองเข้ามาใกล้กันเสียจนหัวใจมันเต้นระรัวผิดปกติ
“แล้วพี่ไม่ใช่รุ่นพี่ที่เธอเคารพและรักบ้างเหรอ” ฉันกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะรีบดันอกของร่างสูงให้ออกห่างเพราะทำตัวไปถูก
“มันยังไม่ชินนี่คะ ขอเวลาฉันก่อนก็แล้วกัน” พี่มิลหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันออกไปมองแสงไฟในเมืองหลวงที่ไม่เคยดับสนิทลงเลยสักคืน
“เวลาเธอเขินก็น่ารักเหมือนกันนะ”
“พี่มิล” ฉันขึ้นเสียงใส่เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายของตัวเอง
วันนี้พี่มิลส่งข้อความมาบอกฉันว่าติดประชุมเรื่องการประเมินของพี่เขา ฉันตื่นเต้นแทนอย่างบอกไม่ถูก เพราะถ้าพี่เขาประเมินผ่านนั่นก็หมายความว่าพวกเราจะได้เป็นครอบครัวกันจริง ๆ แล้ว
แล้วทำไมฉันต้องดีใจด้วยเนี่ย
ฉันเลยต้องเดินทางกลับคอนโดฯ เอง ถึงแม้ปกติมันจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉัน แต่พอมีคนคอยมาส่งบ่อย ๆ ก็กลายเป็นว่าฉันไม่ชินกับการกลับบ้านคนเดียวซะแล้วสิ
แต่วันนี้มันแปลกไปน่ะสิ พอฉันมาถึงห้องฉันก็รู้สึกปวดหน่วง ๆ ที่ท้องน้อยขึ้นมาแปลก ๆ จนต้องค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนั่งบเตียงนอนแล้วใช้มือมากุมท้องของตัวเองไว้
มันไม่ควรจะมีอาการแบบนี้ตอนท้องสิ หรือว่ามันเกิดเรื่องไม่ดีอะไรกับลูก
พอคิดได้อย่างนั้นสิ่งแรกที่ฉันนึกถึงคือโรงพยาบาล ฉันรีบเด้งตัวขึ้นมาก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อบนที่นอนของฉันมีคราบเลือดติดอยู่ที่
ผ้าปูที่นอนหลังจากที่ฉันลุกขึ้นมาลมหายใจของฉันถี่กระชั้นด้วยความแตกตื่น ฉันรีบคว้าโทรศัพท์มือถือเพื่อที่จะโทร.หาพี่มิลทันทีแต่พอนึกได้ว่าพี่มิลติดประชุมฉันก็รีบเปลี่ยนเป็นเบอร์ล่าสุดที่เมมไว้ในมือถือ
มิกซ์ (น้องชาย)
มิกซ์รีบพาฉันมาโรงพยาบาลทั้งที่สวมใส่ชุดนักเรียน ในตอนนั้น
ฉันเองรู้สึกเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูกตอนที่พยาบาลซักไซ้ประวัติเรื่องการตั้งครรภ์ ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความหวาดวิตก แต่ผลตรวจทำให้ฉันช็อกยิ่งกว่า“หมอไม่ตรวจพบการตั้งครรภ์ของคนไข้นะคะ” คำพูดของคุณหมอเหมือนมีสายฟ้าฟาดกลางร่างของฉันจนเนื้อตัวชาไปหมด
“เป็นไปไม่ได้ค่ะคุณหมอ ตอนนั้นที่ตรวจครรภ์มันขึ้นสองขีดนะ แถมหนูยังมีอาการอาเจียนเวียนหัว ประจำเดือนหนูก็ไม่มา” ฉันพูดเสียงสั่น
“อาการตกเลือดที่คนไข้เข้าใจนี่เป็นประจำเดือนของคนไข้เองนะคะ ส่วนอาการคลื่นไส้อาเจียนหรือประจำเดือนมาไม่ตรงก็อาจจะเกิดจากหลายปัจจัย เช่นความเครียดสะสมก็ได้ค่ะ แล้วก็การตรวจครรภ์บางครั้งผลก็ไม่ได้ออกมาตรงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์นะคะ อาจเป็นผลลวงที่มีสารปนเปื้อนในปัสสาวะจากการทานยาบางตัวก็ได้ค่ะ เช่นพวกกลุ่มยาแก้แพ้ก็อาจทำให้เกิดผลลวงได้”
ในหัวของฉันมันว่างเปล่าไปหมดจนฉันเอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้
ด้วยความสิ้นหวัง มิกซ์รีบเข้ามาประคองฉันแล้วพาฉันเดินออกมาจากห้องตรวจ“ไม่ท้องก็ดีแล้วนี่พี่มน ทำไมพี่ทำหน้าเหมือนโลกจะถล่มอย่างนี้อะ” ฉันเงยหน้าขึ้นมามองน้องชาย นั่นสิ ทำไมกันนะ
“มน เกิดอะไรขึ้นอะ เธอส่งข้อความมาบอกพี่ว่าอยู่โรงพยาบาล พี่ตกใจแทบแย่” พี่มิลเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น ใบหน้าหล่อมีเหงื่อเต็มขมับ ยิ่งฉันเห็นหน้าของรุ่นพี่หนุ่มฉันก็รู้สึกเจ็บในใจอย่างบอกไม่ถูก
“พี่มิลคะ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
ฉันพาพี่มิลเดินเข้ามาในบันไดฉุกเฉิน แล้วหันหลังให้ร่างสูง
“มน บอกพี่มาเถอะ เกิดอะไรขึ้น” ฉันพยายามคุมน้ำเสียงสั่นเครือของตัวเองไว้
“ไม่มีลูกแล้วค่ะพี่มิล”
“หมายความว่ายังไงอะมน” พี่มิลรีบเข้ามาจับที่แขนของฉันเบา ๆ แล้วจับให้ฉันหันมาคุยกันดี ๆ ในตอนนั้นเองน้ำตาของฉันมันก็ไหลพรากออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“พวกเราไม่ได้มีลูกด้วยกันตั้งแต่แรก ฉันไม่ได้ท้องค่ะ” ฉันพูดด้วยเสียงสั่นเครือระคนกับสะอื้นไห้ออกมา เรียวขาของฉันมันไร้เรี่ยวแรงเสียจนจะทรุดลงไปนั่งบนพื้น แต่ก็ยังใช้แขนค้ำกับผนังเอาไว้ พี่มิลก็คงจะรู้สึกช็อกไปเช่นกันถึงได้ปล่อยมือออกจากฉันแล้วถอยหลังจนชิดกับผนังอย่างอ่อนแรง
“มัน... หมายความว่ายังไงอะมน” พี่มิลยังคงถามด้วยไม่อาจเชื่อความจริง
“ผลตรวจมันเป็นผลลวงค่ะ ฉันไม่ได้ท้องจริง ๆ” ชายหนุ่มก้มหน้าลงแล้วยกมือขึ้นมาปิดหน้า ยิ่งพี่มิลแสดงออกมาว่าผิดหวังมากเท่าไรในใจฉันมันก็รู้สึกเจ็บมากเท่านั้น
“เธอพูดจริงเหรอ” พี่มิลเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฉัน ดวงตาคมแดงก่ำน้ำตาคลออย่างน่าสงสาร
“ฉันขอโทษที่ทำให้พี่เสียเวลานะคะ แต่ต่อจากนี้ถ้าไม่มีลูกแล้วพวกเราก็ไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกันอีกแล้ว” ฉันยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาบนแก้มเนียนของตัวเอง “จากนี้พวกเรา... ไม่ต้องเจอกันอีกแล้วนะคะ”
“มน” ฉันรีบเดินออกไปจากทางบันไดหนีไฟโดยไม่หันกลับมามองพี่มิลอีก ฉันตัดสินใจบล็อกการติดต่อของพี่มิลทุกช่องทางหลังจากนั้น เพื่อตัดพี่มิลให้ออกไปจากชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น แต่ทำไมในหัวใจมันไม่เคยทำได้สักที
หลังจากที่ฉันรู้ตัวว่าตัวเองท้องพี่มิลก็ไม่ปล่อยให้ฉันได้ทำงานหนักอีกเลย แถมยังตามใจสุด ๆ ฉันอยากได้อะไร พี่มิลก็จะซื้อให้โดยที่ไม่ต้องขอเลยสักนิด อยากกินอะไรก็ได้กิน จนตอนนี้ฉันมีน้ำมีนวลขึ้นเป็นกอง ไม่เป็นไรลูกคลอดก็คงจะกลับมาเฟิร์มเอง นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ใกล้ถึงวันกำหนดคลอดเต็มที ฉันกับพี่มิลตื่นเต้นเอามาก ๆ ฉันไปอัลตราซาวนด์มา ลูกแข็งแรงมาก แถมยังเป็นเพศชายสมใจอยากอีกต่างหาก “พี่มิลคะ พี่อยากตั้งชื่อลูกว่าอะไรเหรอ” ฉันเอ่ยถามระหว่างที่พี่เขากำลังนั่งลูบท้องของฉันอยู่อย่างอ่อนโยน “พี่อยากให้ลูกชื่อมิ่งขวัญ” พี่มิลพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ทำไมถึงชื่อมิ่งขวัญเหรอคะ” ฉันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “มิ่งขวัญแปลว่าผู้เป็นที่รัก เพราะลูกเกิดจากความรักของเราสองคน และพี่ก็อยากให้ลูกเป็นที่รักของคนอื่น ๆ” ชายหนุ่มโน้มตัวลงมานอนข้าง ๆ กันก่อนจะสวมกอดฉันเอาไว้ “โตมาจะเป็นพวกมากรักเหมือนพ่อไหมเนี่ย” ฉันหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหลับตาลงในอ้อมกอดของคนรัก “แต่เป็นชื่อที่เพราะมากจริง ๆ นะคะ” ในคืนนั้นฉันรู้สึกไม่สบายตั
หลังจากที่พวกเราแต่งงานกัน เวลาก็ล่วงมาถึงสองปีแล้ว พวกเรายังคงใช้ชีวิตหวานชื่นอย่างที่คู่รักหลังแต่งงานทั่วไปควรจะเป็น เวลาว่างก็พากันไปเที่ยวเล่น เติมความหวานในชีวิตให้แก่กันและกัน จนพวกเราได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะมีลูก ฉันอยากมีลูกมาก ๆ ไม่ต่างจากพี่มิลหรอก ฉันอยากมีลูกชายมาก ส่วนพี่มิลบอกว่าจะลูกสาวหรือลูกชายอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น พวกเราเริ่มปรึกษาหมอเรื่องการมีลูก ซื้อหนังสือมาอ่าน เข้าคอร์ส อบรมมากมายเพื่อเตรียมพร้อม และแน่นอนว่าพี่มิลค่อนข้างจะตื่นเต้นจนฉันรู้ตัวอีกทีพี่เขาก็ซื้อบ้านใหม่เพื่อเตรียมห้องให้เจ้าตัวเล็กถึงสองคน ฉันว่าฉันตื่นเต้นมากแล้วนะ แต่พี่มิลตื่นเต้นมากกว่าฉันซะอีก “พ่อกับแม่อยากมีหลานชายหรือหลานสาวคะ” ฉันเอ่ยถามทั้งแม่และลุงภูมิที่กำลังนั่งนับเงินหลังจากที่ร้านปิด ตอนนี้ฉันเรียกลุงภูมิว่าพ่อได้อย่างสนิทใจแล้ว เพราะลุงภูมินั้นรับฉันเป็นลูกบุญธรรมแบบถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนนามสกุลฉันก็เปลี่ยนมาใช้ของพี่มิลหลังจากที่แต่งงานกัน ไม่ต้องพูดถึงพ่อแท้ ๆ ตั้งแต่ที่ฉันมาอยู่กับแม่ก็ขาด
หลังจากการฝึกงานอันแสนหนักหนาสิ้นสุดลง ฉันก็หมกตัวอยู่กับการทำโพรเจกต์จบจนตัวเองไม่ได้หลับไม่ได้นอน รวมทั้งไม่ได้เจอพี่มิลด้วย พี่มิลน่ารักกับฉันอยู่เสมอ คอยเอาใจใส่แม้ในวันที่ฉันจะยุ่งปางตายก็ตามจนในที่สุดฉันก็เรียนจบได้โดยสวัสดิภาพ ตอนนี้เลยมานอนแนบตักของพี่มิลเพื่อให้คลายเหนื่อยซะหน่อย “เรียนจบแล้ว แต่งงานกันเลยดีไหมคะ” พี่มิลเอ่ยถามพลางลูบหัวของฉันไปพลาง “พี่มิลไม่อยากใช้ชีวิตดูก่อนเหรอคะ พวกเราไปเที่ยวกันเยอะ ๆ พอมีลูกคงจะเหนื่อยน่าดู แล้วก็พวกเราจะได้เตรียมพร้อมเพื่อเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดีไงคะ” ฉันพูดทั้งที่ยังหลับตาพริ้มอยู่บนตักของคนพี่ “พี่ก็ว่างั้นแหละ ทำไงได้มีเมียเด็กก็ต้องตามใจ” ฉันฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง “ว่านอนสอนง่ายมากค่ะพี่มิล” เพื่อเป็นรางวัลฉันเลยโน้มใบหน้าเข้าไปหอมแก้มขาวของคนพี่ฟอดหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อจะลุกไปหาอะไรมากิน “วันงานปริญญาของเธอ พี่อาจจะไปไม่ได้นะ” มือที่กำลังจะเอื้อมไปเปิดตู้เย็นถึงกับชะงักทันที วันสำคัญทั้งที่แต่กลับไม่ว่างงั้นเหรอ อยากจะงอนน
“ในที่สุดพวกเราก็ได้มาเลี้ยงส่งให้พวกน้อง ๆ ฝึกงานสักที อ้าว ชน” พวกเราทั้งสี่คนชนแก้วกันบนโต๊ะในร้านของรุ่นพี่ในคณะที่กลุ่มของพี่มิลรู้จักมักคุ้นเลยมักจะพามาสังสรรค์บ่อย ๆ “อันที่จริงก็ไม่อยากให้น้องมนไปเลย พอไปแล้วคงจะเหงาแย่” รุ่นพี่คนหนึ่งทำหน้ามู่ทู่ราวระคนกับเศร้าสร้อย “อย่าเศร้าสิคะ หนูจะมาเยี่ยมบ่อย ๆ นะ” ฉันว่าด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มก่อนจะยกเครื่องดื่มขึ้นดื่ม แน่นอนว่าฉันก็ยังดื่มน้ำหวานอยู่ดี คราวนี้พี่มิลคุมเองทุกแก้วไม่มีสารปนเปื้อนแน่นอน “เออน้องมน ตอนที่เราไปทะเลกันพี่ไม่ค่อยเห็นน้องมนเลย หายไปไหนมาเหรอคะ” แก้วเครื่องดื่มในมือฉันเริ่มสั่นคลอนเพราะใจสั่นที่กระตุกวูบ ฉันเงยหน้าขึ้นมาพลางฝืนยิ้มให้ปกติที่สุด “คือว่า... อ๋อ ๆ มนมีเพื่อนอยู่แถวนั้นพอดีเลยไปหาเพื่อนน่ะค่ะ” ฉันพูดแถไปอย่างนั้นทั้งที่ฉันก็เอาแต่กกตัวอยู่กับพี่มิลในห้องพักนั่นแหละ “ไม่เนียนนะคะลูกสาว” กลายเป็นว่าพวกรุ่นพี่ดันจับพิรุธได้พลางส่งสายตาจับผิดมาทางฉันกันยกใหญ่ “แอบคบกับคนในบริษัทก็บอกค่ะ พวกพี่จะไม่บอกใครสัญญา” ฉันกลืนน้ำลายเอื้อกให
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จเรียบร้อย พี่รดากับพ่อก็ขอตัวเพื่อจะกลับบ้าน ส่วนฉันกับพี่มิลก็กลับมาที่คอนโดฯ ของพี่มิลเหตุผลเพราะพี่มิลรอของขวัญวันเกิดจากฉันอยู่ ระหว่างทางกลับบ้านฉันรู้สึกเสียวสันหลังวาบชอบกลยามที่สายตาของคนพี่จ้องมองมา อย่างคาดหวังเยอะได้ไหมใจคอมันไม่ดี พอมาถึงห้องฉันก็บอกให้พี่มิลรอฉันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นก่อนแล้วขอจัดแจงอะไรสักพัก ฉันรีบมุ่งตรงมาที่ห้องน้ำก่อนที่จะเปิดน้ำในอ่างแช่น้ำอันใหญ่ในห้องน้ำของพี่มิล หลังจากนั้นก็โรยกลีบกุหลายแล้วจุดเทียนเพิ่มบรรยากาศเสียหน่อย “พี่มิลคะพร้อมแล้วค่ะ” ฉันออกมายืนรอหน้าห้องน้ำด้วยชุดคลุมอาบน้ำยิ่งทำให้ชายหนุ่มดวงตาวาววับยิ่งขึ้นไปอีก “จะเล่นอะไรคะเนี่ย” พี่มิลย่างเท้าเดินเข้ามาใกล้ด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์รอยยิ้มบ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังชอบใจ “บอกไปก็ไม่เซอร์ไพรส์สิคะ” ฉันว่าก่อนจะดันให้ร่างสูงเข้าไปในห้องน้ำที่ปิดไฟมือสนิทมีเพียงแสงสว่างรำไรจากแท่งเทียนหอมที่ถูกวางไว้แต่ละจุดในห้องน้ำเพื่อสร้างบรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติก เสียงประตูถูกปิดลงก่อนที่ฉันจะเดินเข้าไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิ
วันนี้เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่ฉันมาทำงานอย่างเช่นปกติ เพียงอีกแค่สามวันเท่านั้นที่ฉันจะฝึกงานจบเสียที มิกซ์กลัวว่าฉันจะโดนคุณวิรชาตามราวีอีก เจ้าตัวแสบเลยจะมารับในตอนเย็น ฉันเลยเดินลงมาเพื่อที่จะมองหาน้องชายของตัวเองจะได้กลับบ้านพร้อมกัน “มน” ฉันหันหน้าไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะเผยรอยยิ้มเมื่อเห็นพี่รดาเดินเข้ามาหา “พี่รดา หายเจ็บแล้วเหรอคะ” ฉันเดินเข้าไปหารุ่นพี่สาวที่กำลังจะเดินสวนทางฉันขึ้นไปยังบริษัท “อื้อ หายแล้ว อันที่จริงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย พี่มิลอะเวอร์” หญิงสาวหัวเราะร่วน “พี่รดาหายเจ็บแล้วหนูก็สบายใจ มิกซ์เป็นห่วงพี่มากนะคะ” พี่รดานิ่งเงียบไปก่อนจะเผยยิ้มขึ้นมาถึงแม้ว่ามันจะดูฝืนไปสักหน่อย “พี่ต้องขอโทษแทนแม่พี่อีกครั้งนะ” หญิงสาวเอื้อมมือมากุมมือของฉันเอาไว้พลางเอ่ยคำขอโทษออกมาด้วยใจจริง “หนูยอมหายโกรธเพราะพี่นะคะ” พี่รดายกยิ้มอย่างโล่งใจ “พรุ่งนี้วันเกิดพี่มิล คุณพ่อพี่อยากเจอเธอนะ” ฉันถึงกับรีบหันขวับไปสบตากับพี่รดาด้วยความตกตะลึง “อะไรนะคะ พ่อพี่มิลอย