ถึงกำหนดที่คิมหันต์จะต้องเดินทาง คราวนี้คนงอแงที่สุดไม่อยากจะให้ไปคงหนีไม่พ้น..เรรันต์
เด็กน้อยผู้มีดวงตากลมโตเป็นเอกลักษณ์ เธอคือลูกสาวของเพื่อนคุณนายอารีย์ ที่ป่วยเป็นโรคร้ายตายไปเมื่อ 8 ปีก่อน ตอนหล่อนยังสาว สมัยเรียนกับแม่ของเรรันต์ที่สนิทกันมาก พักด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน กลายเป็นข่าวลือราวกับพวกเขานั้นเป็นเลสเบี้ยนกัน
จะเรียกตัวติดกันเลยก็ว่าได้ มีปัญหาอะไรต่างคนต่างช่วยเหลือกันมาตลอด แบ่งปันยามที่ไม่มี แม้กระทั่งบางครั้งคุณนายอารีย์ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ก็มีแม่ของเรรันต์นี่แหละ ที่คอยอยู่ช่วยเหลืออยู่เสมอ มาวันนี้ ถึงเวลาที่เพื่อนจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ทิ้งลูกสาววัยสองขวบไว้หนึ่งคน มีหรือหล่อนจะช่วยเพื่อนไม่ได้
เป็นธุระรับเรรันต์เป็นลูกบุณธรรมสืบมา แต่กระนั้นคนทั้งตระกูลต่างรู้แก่ใจดี คุณนายอารีย์มีลูกชายสามคน คนเล็กโตจนสุนัขเลียก้นไม่ถึงขนาดนั้น แถมสามีด่วนมาตายจากตั้งแต่ลูกยังเล็ก เอาเวลาไหนไปตั้งท้องเด็กวัยนั้นมาได้เล่า
ทว่า...พวกเขาแค่ไม่พูดถึง และสัญชาตญาณของเรรันต์เองก็พอจะรู้ ตัวสาวเจ้าแท้จริงคือลูกของใคร
“พี่คิมไปเรียนที่โน่น เรรันต์ต้องเป็นเด็กดีนะรู้เปล่า”
คิมหันต์โน้มตัวลงมาบอก ระหว่างรอไฟล์ทบิน ใช้มือฝ่ามือใหญ่ค้ำหัวเธอ อย่างที่เคยทำมาตลอดด้วยความเอ็นดู แต่เธอกลับเอาแต่ก้มหน้านิ่ง
“หนูจะเหงาไหมคะ”
อยู่ๆ เอ่ยถามคนตัวสูงทั้งๆ ที่สายตาตัวเองยังหลบมองพื้น ร่างสูงถอนหายใจอีกระลอก
“เฮ้อ...”
ทรุดลงนั่งยองศีรษะระดับเดียวกัน พลางดึงเด็กน้อยหน้าละห้อยเข้ามากอด
“ไม่หรอก หนูมีทั้งนายแม่ ทั้งพี่เคล ไหนจะพี่คอปอีก ไม่มีเวลาเหงาหรอกค่ะ”
“แต่พอถึงเวลาพวกเขาก็ไปทำงานกันหมดนี่คะ กว่าจะกลับหนูก็หลับไปแล้ว”
“จริงด้วย...” เขาเอ่ยเสียงแหบ
“คงไม่มีใครเล่านิทานให้หนูฟังอีกแล้ว พวกเขาทำแบบพี่คิมไม่ได้”
ก่อนชายหนุ่มจะหน้าสลด เมื่อเห็นเจ้าหนูตรงหน้าเบ้ปากเตรียมจะร้องไห้
“จุๆๆ อย่าขี้แยน่า...”
“ไม่ไปได้ไหมคะ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ พี่คิมต้องไปเรียนต่อ”
เขาบอก เด็กสาวก้มหน้างุนอีกครั้ง สูดน้ำมูกซืดๆ จนคิมหันต์อดสงสารเธอไม่ได้ เขาเข้าใจดี คงต้องเหงามากหากเขาไม่อยู่ เพราะในบ้านหลังนั้นมีเขาเพียงคนเดียวที่เรรันต์สนิทด้วย แต่จะทำไงได้ล่ะ ในเมื่อนี่คือหน้าที่ที่คุณนายอารีย์มอบหมายให้เขาต้องทำ และมันต้องเป็นเมืองนอกเท่านั้น!
เรียนจบให้เหมือนพี่ชายทั้งสอง แล้วหล่อนจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับชีวิตเขาอีก เพราะเหตุผลนี้ไง เขาถึงเลี่ยงไม่ได้
....คิมหันต์ชอบที่สุดคือความอิสระ
“งั้นเอางี้”
ระหว่างที่เขานั่งนิ่งช่างใจคิด อยู่ๆก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ยื่นโทรศัพท์เครื่องสำรองที่เขาเคยใช้คุยกับสาวๆไปให้เธอ พลางยิ้มกว้าง
“เก็บเจ้านี่ไว้ พี่คิมจะได้โทรมาหาเรรันต์บ่อยๆ ดีไหมคะ”
“โทรศัพท์นี่คะ ?”
“ใช่ค่ะ พี่คิมจะโทรมาเล่านิทานให้เรรันต์ฟังก่อนนอนทุกคืนไง ดีไหม?”
จบประโยคนี้ สาวน้อยตรงหน้าจึงยิ้มออกเสียที ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก หลังจากรับมันมาถือไว้
“พี่คิมไปแล้วนะคะ”
ร่างสูงยื่นปลายจมูกจุมพิตผาก ขยี้หัวอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนผุดลุกขึ้น หลังได้ยินฝ่ายประชาสัมพันธ์ประกาศเตรียมความพร้อมของลูกค้า
“ พี่คิม..ฮึก..”
“ เป็นเด็กดีนะคะ”
“ ฮึกๆ พี่คิม.. “
แต่ทว่า เด็กก็คือเด็ก ที่ต่อให้มีข้อต่อรองมาล่อแค่ไหน สุดท้ายจิตใจข้างในของเธอก็ไม่อยากจะให้ไปอยู่ดี ร้องเรียกคิมหันต์ในขณะยิ่งเรียกเหมือนเจ้าตัวยิ่งไกลห่าง
“พี่คิม!!! ฮื้อ...”
ถึงแม้จะรู้ว่าเด็กคนนี้ต้องดิ้นพล่านร้องไห้แน่ๆ หากเขาต้องไปจริงๆ แต่นั่นคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพราะนี่คือสิ่งที่นายแม่ต้องการ และนั่นก็คืออนาคตของเขา คิมหันต์เลยเลือกที่จะยิ้มกว้างให้เธอ และโบกมือลา จนกว่าจะหายลับเข้าไปในกลุ่มคน .
.... อีก 10 ปี เรรันต์ เราถึงจะได้เจอกันอีก .....
.....สิบปีนั้น เธอคงเป็นสาวพอดี....
5 ปี ผ่านไป
เรรันต์โตขึ้น เธออายุย่างเข้าสิบหก อยู่ในช่วงวัยรุ่นเต็มตัว เรียนไฮสคูลเอกชนชื่อดัง ค่าเทอมแพงหูฉี่ แต่ทว่ากลับทำตัวติดดิน เธอไม่ชอบทำตัวไฮโซตามใคร ยิ่งคุณนายอารีย์บังคับให้ทำแล้วกลับยิ่งทำเธอเมินใส่
เรรันต์เป็นผู้หญิงหวานพอตัว แต่นั่นก็ไม่เชิงว่าจะเฉิ่มจนเกินไป เวลายิ้มตอนเด็กมีลักยิ้มยังไงตอนนี้ก็ยังคงมีอยู่อย่างนั้น เธอเป็นคนน่ารัก และนี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้หัวบันไดหน้าห้องเรียนไม่เคยแห้ง
“รันต์”
“...”
“เรรันต์”
“หืม..”
เจ้าของชื่อผงกหัวจากท่าฟุบโต๊ะขึ้นมาตามเสียงเรียก ก็เห็นว่าเป็นเบสที่ยืนเกาะขอบประตูเรียกเธออยู่
“อ่าวเบส มีไรเหรอ...”
“เย็นนี้เลิกเรียนกี่โมง ร่อนเวลาเหมือนกับเรารึเปล่า ไปกินไอติมกันมั้ย”
เขายิ้มกว้างส่งมาให้ ก่อนจะหุบทันควัน เพราะถูกปฏิเสธ หญิงสาวส่ายหัวเบาๆโดยไม่ทันคิด พร้อมสีหน้าละห้อยกลับมา
“อ่าว ทำไมล่ะ”
“ไม่ว่างหรอก วันนี้นายแม่ส่งคนมารับเรา”
“โถ่ ก็เวลามันร่อนไม่ใช่เหรอ ไปหน่อยเถอะ วันก่อนรันต์ยังไปได้เลย”
“วันไหน” เธอขมวดคิ้วฉงน “อ่อ...ถ้าเบสหมายถึงวันนั้นล่ะก็ ไปกันหลายคนนี่ เบสไม่ลองไปชวนคนอื่นดูล่ะ เผื่อเขาจะว่างกัน”
“ไม่เอาอ่ะ เบสอยากไปกับรันต์แค่สองคน”
“หืม คิดไรป่าวเนี่ย”
เรรันต์ย้อนถามแสร้งจับผิดนิ้วเรียวชี้หน้า ทำเจ้าของคำพูด ต้องยกมือปฏิเสธรนราน
“เฮ้ย เปล่าๆ ไม่ได้คิดไร ก็แค่อยากชวนไปกิน”
“วันนี้เราไม่ว่างน่ะ”
“เหรอ?? ก็ได้ ไว้วันอื่นก็ได้ รันต์รับปากแล้วนะ”
ใช้นิ้วชี้หน้าเธอ แสร้งแยกเขี้ยวขู่ไม่จริงจัง
“โอเค รับปากจ้า”
“โอเค งั้นกลับบ้านดีๆนะ”
“อ่าฮะ^^”
จบบทสนทนาของคนทักคู่ กระดิ๋งบอกเวลาหมดคาบพอดี เบสเป็นฝ่ายเดินออกไปก่อน ก่อนที่เรรันต์และกลุ่มเพื่อนคนอื่นจะเดินตามไป วันนี้โรงเรียนเธอร่อนคาบเลยเลิกเร็ว ทำให้คนที่มารู้เอาที่หลังอย่างเรรันต์ต้องนั่งคอยเวลา เพราะไม่ได้โทรไปบอกคนที่บ้าน กลัวจะรบกวนพวกเขา ลมที่โชยมาเบาๆ ระหว่างนั่งเล่นอยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อน อยู่ๆ ก็เผลอทำให้เธอคิดถึงใครคนนึงขึ้นมา ซึ่งถ้าให้เดาเวลาประมาณนี้ คงจะหลับสนิทไปแล้ว
“จะเป็นยังไงบ้างนะ”
เรรันต์นึกพลางทำหน้าเศร้า ช่วงหลังๆ เธอรู้สึกว่าคิมหันต์ไม่เหมือนเดิม เขาไม่มีเวลาเหมือนแต่ก่อน ที่โทรมาทุกวันตั้งแต่เด็กจนโต จะมีก็เฉพาะตอนติดเรียนที่มีบ้างอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น เดือนหนึ่งผ่านมาแล้ว ยังไม่เห็นแม้แต่ข้อความ จะว่าเปลืองค่าโทรก็คงไม่ใช่ สถานะอย่างตระกูลเขาน่ะหรือ คิดจะมาประหยัดค่าโทรทางไกลเอาตอนนี้
“เฮอะ ไม่มีทางซะหรอก อยู่กับสาวสิไม่ว่า”
เธอบ่นพึมพำคนเดียว ก่อนจะหมุนโทรศัพท์เล่นไปมาบนโต๊ะ แต่ทว่าจังหวะที่มันหมุนอยู่
ติ๊ดๆๆ
อยู่ๆ ข้อความก็เข้ามา
+ พี่คิม +
เธอตะครุบมันขึ้นมาเปิดดู พลางอมยิ้ม
... คิดถึงเด็กน้อยที่นั่นจังแฮะ ป่านนี้คงโตเป็นสาวแล้วสิ เป็นไงบ้างคะ ดูแลตัวเองตามที่พี่สั่งดีรึเปล่า ขอโทษนะที่ไม่ได้โทรไปหาเลย งานยุ่งมากๆ เดี๋ยวคืนนี้พี่โทรหานะ อย่าเพิ่งรีบนอน ....
นั่นทำให้เรรันต์ถึงกับหุบยิ้มไม่ลง แลบลิ้นใส่โทรศัพท์ในมือด้วยความหมั่นไส้
“คนบ้าไร.. ตายยากชะมัด”
งานมงคล... ประตูวิวาห์แสนจะฉุกละหุก ถูกจัดขึ้นในวันที่เหมาะสมที่สุด ต่างเป็นข่าวลั่นวงการนักธุรกิจอึกทึกครึกโครม เป็นบ่อเกิดความอับอายให้แก่คุณนายอารีย์ไม่น้อย ทว่า มันไม่ใช่การจำใจทำ แต่เกิดขึ้นมาด้วยความรักลูกและหลานล้วนๆ หล่อนไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือแคร์บุคคลอื่น ที่มีสถานะเป็นคนนอก ไม่ได้หาเงินให้หล่อนกินสักนิด " รัดไปไหมคะคุณหนู " เสียงเจิมเล็ดลอดออกมา สร้างรอยยิ้มตรงมุมปากคนยืนฟังอยู่ห่างๆ ทอดสายตามองไปยังเจ้าสาวตัวน้อยๆ ที่ไม่สมควรจะเป็นแม่คนด้วยซ้ำ แล้วกลั้นขำ " ฟู่ววว นี่ฉันควรจะดีใจหรือเสียใจดี " เรรันต์บ่นอุบ แม้จะถูกตราหน้าว่ามั่ว เป็นวงศ์ตระกูลฉายาสมพาลกินไก่วัด ทว่า หญิงใหญ่เสียงแหบเกินหวานอย่างเช่นคุณนายอารีย์น่ะหรือจะเดือดร้อน หล่อนคิดว่าดีซะอีก จะได้ไม่ต้องจัดกระบวนขันหมากไปขอใคร กินกันเองนี่แหละ ถือว่าดีไปอีกแบบ ขืนได้ลูกสะใภ้แย่ๆมา บ้านจะแตกน่าดู " เอาล่ะเรรันต์ เสร็จแล้วก็ออกไป แขกเรื่อมารอกันเพียบแล้ว นี่ฉันว่าฉันเปล่าเชิญใครนะ ทำไมถึงได้เยอะเกินคาด " ประโยคหลัง
‘ ไม่นะคะ พี่คิม‘ โพล่งเสียงแหลม พร้อมถลาเข้าไปกุมมือใหญ่ไว้ เปิดโอกาสให้คิมหันต์ดึงเธอเข้าไปกอดได้พอดี “ อ๊ะ! ” ล็อคตัวเธอซะแน่นหนา ให้สมกับความคิดถึง และทรมานที่เขานั้นเจอมา ทำเรรันต์ดิ้นไม่หลุด เพิ่งมารู้ว่าถูกหลอกให้พูด ก็ตอนที่คิมหันต์โกหกเธอ ก็ตอนเขาหอมหนักๆ ลงหลายฟอดตรงซอกคอ ฟอดดดด " คิดถึงจัง..." “ นี่ หยุดนะ! ” ตัดสินใจผลักออกไปอย่างแรง จนเขาผงะ ก่อนจะเหวี่ยงฝ่ามือเข้าไปเต็มๆหน้า เพี้ยะ! ชายหนุ่มชาวาบไปทั้งหน้า หันไปยังไงกลับนิ่งอยู่ในท่านั้น รอให้หายมึน หายอึ้งก่อน จึงจะหันกลับ “รันต์...” “ หนูไม่ชอบ! “ กลับมาเจอเสียงแข็งของหญิงสาว พร้อมหน้ายับยู่ยี่ เธอเบิกตาโพลงมองคนตรงข้ามด้วยความโกรธ ในขณะคิมหันต์นั้นตกใจ “ พี่แค่กอดเองนะรันต์ “ “ กอดที่ไหน ตะกี้พี่...” “ ทำไม... “ ทำท่าจะเถียง แต่ต้องมาชะงัก เพราะคิมหันต์แทรกด้วยเสียงที่สั่นกว่า “ ถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ “ สีหน้าเข้าสลด ดวงตาสั่นเครือ เต็มไปด้
" ขวัญเอ๋ยขวัญมานะลูกนะ " เสียงคุณนายอารีย์ แม่บุญธรรมของเรรันต์เอื้อนขึ้น หลังออกจากโรงพยาบาล กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ในขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีคิมหันต์เป็นคนดูแล " นายแม่.." เสียงเรียกน้อยๆของเธอ ทำหล่อนยิ้มฝืนเลื่อนมือลูบหัวลงมาลูบแก้ม ก่อนจะมองคนป่วยน้ำตาคลอ " เดี๋ยวก็หายแล้วลูก " "ฮึก.." ไม่ต่างกับเรรันต์เลยในตอนนี้ที่ปล่อยน้ำตาให้มันไหลลงมาแล้ว เธอไม่ได้เจ็บปวดเพราะเกิดอุบัติเหตุ แผลบนร่างกายไม่ได้ทำให้เธอเจ็บสักเท่าไหร่ แต่แผลในใจต่างหากที่มันอักเสบซะจนกลัดหนอง เรรันต์รู้สึกผิด ผิดเต็มๆที่ทำคนเป็นแม่เสียใจขนาดนี้ เธอรู้ สิ่งที่ได้มาอาจจะเป็นคำปลอบใจ แต่ขณะเดียวกันในใจลึกๆของคนพูดไม่ต่างกันเลยกับเธอ ยกมือขึ้นไหว้ แล้วบอกขอโทษ ในจังหวะที่นายแม่โน้มตัวลงมาพอดี " รันต์.." หล่อนบีบมือบางนั้นเบาๆ บอกเป็นนัยๆว่าไม่ได้โกรธ ก่อนจะดึงเข้ามากอด ซึ่งนั่นเปิดโอกาสให้เรรันต์ที่สะอื้นไห้อยู่แล้ว ปล่อยโฮอย่างเต็มที่ " ฮือๆๆ ฮือ.." ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ต่าง
ฝั่งด้านของคิมหันต์ตอนรู้ข่าว เขาเปล่าหึงหวงที่รู้ว่าเพื่อนสนิทกินน้ำใต้ศอกกันอย่างนั้น ไม่ได้ถือว่าเป็นของเหลือ เพราะไม่อยากดูถูกใคร แค่นึกไม่ถึงมากกว่าว่าคนอย่างสิงขรน่ะหรือจะทำมันจริง ปกติเขาเป็นคนเลือกมาก แต่พอได้ยินเหตุผลประมาณว่า เขานั้นมีน้ำใจอยากจะช่วยเพื่อน หวังกำจัดหล่อน ชายหนุ่มเลยไม่ติดใจอะไรอีก ในขณะคิมหันต์เปล่าคิดว่ามันจะสมควร ไม่ใช่ว่าจะไม่สนับสนุน เพียงแต่อีกใจนึงของเขา เขานึกสงสาร เห็นใจเพราะนี่ไม่ใช่วิสัยโดยตรง การทำแบบนี้มันดูหน้าตัวเมีย ทว่า เมื่อหันมาเห็นคนนอนนิ่ง ไม่ไหวติงอยู่ ทำชายหนุ่มแทบสะอึก จุกจนพูดไม่ออก ใช่ กับสิ่งที่ภรรยาเขาเจอล่ะ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน เธอยังอยู่ในคราบน้องสาวเขา แต่กลับต้องมาหมดอนาคตนับตั้งแต่เขานั้นกลับมา มันยุติธรรมแล้วหรือ? 15.00น. ร่างสูงยืนตระหง่านอยู่หน้าห้องในโรงพยาบาลด้วยความหมดแรง วันนี้เหยียบเข้ามาวันที่สิบสองแล้ว ภรรยาตัวน้อยๆของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น สองสามวันมานี้ เขารู้สึกเหงา และอ้างว้างเหลือเกิน กับเข็มนาฬิกาที่เดินไปเรื่อยๆ เชื่องช้าซะเหมือนแทบจะคลาน มันทำเขาไ
เมา... ศักยภาพของมันคืออะไรใครพอจะเข้าใจถึงความหมายตรงนี้บ้าง?? สำหรับคนทั่วไป อาจจะมองว่ามันทำให้ขาดสติ ทำอะไรสักอย่างออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ในความคิดส่วนตัวอย่างแอดมินสกั้งคนเขียนเรื่อง จะบอกให้รู้เลยตรงนี้ว่า.. ประเด็นสำคัญหลักของคนเมาไม่ได้อยู่น้ำเมา แต่มันอยู่ที่ตัวบุคคล คนที่ดื่มเข้าไป บางคนไม่ได้แย่ เมาคือการปล่อยโอกาสให้สันดานไม่ดีในจิตใต้สำนึกของคนกินนั้นออกมามากกว่า ดุจแพรววาตอนนี้ ที่ต่อให้เมารึไม่ ความเป็นเธอก็ยังคงเป็นเธอ ควงจริตยังไงไว้ข้างในก็ยังคงมีมันอยู่อย่างนั้น ถึงรู้อยู่แก่ใจว่าหล่อนนั้นผิด ผิดตั้งแต่เดินเข้ามาในชีวิตของคิมหันต์เพราะจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่ใช่ความรัก หล่อนก็ยังไม่แคร์ สำนึกผิดอยู่ตรงไหนในความคิดหล่อน...คงไม่มี อันที่จริงหล่อนควรจะหายไปจากชีวิตของคิมหันต์ตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ ไม่ควรจะกลับมาให้เห็นหน้านับตั้งแต่เขาจับได้ คิมหันต์ทำตามข้อตกลงกับหล่อนอย่างถี่ถ้วนไม่มีข้อบกพร่องด้วยเงินห้าล้านบาท ทว่า..ทำไมยังไม่พอ หล่อนยังหวนคืนกลับมาใหม่ เพื่อยั่วยวนเขา
คำจากปากหมอ ที่ว่าเรรันต์นั้นพ้นขีดอันตราย ปลอดภัยหายห่วงแล้ว ทำทุกคนซึ่งเฝ้าคอยแต่เข้าใจแค่ครึ่งเดียว ใช่อยู่ว่าเธอไม่ตาย แต่ทำไมยังไม่ฟื้น นี่ก็ผ่านมาจะเข้าวันที่สิบแล้ว หญิงสาวไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาขึ้นมาเลย ความวิตกกังวลมาตกอยู่ที่คิมหันต์ เขาจะต้องทรมานแค่ไหน หากวันนึงไม่มีเธอ เขาเอาแต่โทษตัวเขาเอง กับการเจ็บตัวที่เรรันต์นั้นได้รับ กร่นด่าในใจสารพัด เฝ้าภาวนาให้เธอนั้นฟื้น เพื่อที่วันนั้นเขาจะได้กลับไปแก้ตัวเองใหม่ ทิ้งสันดานไม่ดี ผวนกลับมาดูแลเธอเต็มที่ ให้สมกับสิ่งที่เธอคู่ควร ...ซึ่งในฐานะภรรยาไม่ใช่น้องสาว.... ทุกๆภาพ ทุกๆเหตุการณ์ มันทำให้เขาเจ็บปวด หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ทำมันเลย รู้ว่ามันสาย รู้ว่าเพ้อฝัน และรู้ว่าเขานั้นผิด...พูดคำนี้ใครได้ยิน ก็คงมีแต่คนสมน้ำหน้า เหยียบย้ำซ้ำเติม ทว่า มันไม่มีความคิดไหนอีกแล้ว ที่จะเยียวยาจิตใจ นอกไปจากการสำนึกผิด และโทษตัวเองแบบนี้ สิบวันที่ผ่าน ใช่ว่าเขาจะกินอิ่มนอนหลับ คิมหันต์เครียดแทบจะอยู่บ้านไม่ติด ไม่ใช่ว่าคุณนายอารีย์เอาแต่ด่า ไม่ใช่หล่อนเอาแต่บึ้งตึงใส่