LOGINแม้ในตรอกแคบ ๆ ที่พ่อค้ารายย่อยตั้งร้านขายน้ำสมุนไพร น้ำเสียงของลูกค้ากลับดังเป็นพิเศษ
“ จริงสิ มีคนแอบได้ยินว่าคนในโรงเตี๊ยมเห็นคุณหนูใหญ่ยิ้มให้บุรุษเนี่ย ‘ยิ้มให้บุรุษ’ ด้วยนะ!”
“อ๊า! ยิ้มงั้นหรือ? โอ้ย นั่นมัน… ชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่เพียงดื่มชา” เสียงหัวเราะขบขันอีกระลอกดังขึ้น
ขณะที่อีกฟากหนึ่ง มีหญิงชราผู้หนึ่งนั่งขายของแห้งอยู่ริมฟุตบาท สีหน้าหม่นหมอง ถอนหายใจพลางเอ่ยกับบุตรสาวที่นั่งปอกหัวไชเท้าอยู่ข้างกัน
“เสียดายจริง…เป็นถึงบุตรสาวของฮูหยินเอกแท้ ๆ แต่น่าสงสารนะ ไม่มีใครคอยดูแล ก็คงเผลอไผลตามวัย…”
เสียงสนทนาต่ำ ๆ ของชายหนุ่มสองสามคนผุดขึ้นกลางบรรยากาศเงียบสงบหน้าร้านเครื่องประดับกลางตลาด
“เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องคุณหนูเนี่ย?”
“น่าเสียดายนัก ข้าเคยได้ยินว่านางเป็นคนเงียบขรึม เรียบร้อย แต่นี่กลับทำเรื่องที่ไม่ควรเสียแล้ว…”
“หากข่าวเป็นจริง นางคงยากจะหาคู่ที่มีชาติตระกูลยอมรับได้อีก”
“ข้าได้ยินว่าท่านผู้เฒ่าเมิ่ง เคยคิดสู่ขอให้นางแต่งเป็นสะใภ้รอง ตระกูล ด้วยนะตอนนี้คงถอนใจไปถึงสามลมหายใจแล้วกระมัง”
ข่าวลือเหล่านี้แพร่กระจายราวหมอกควันมิใช่ด้วยเสียงตะโกน แต่ด้วยรอยยิ้มบาง ๆ เสียงหัวเราะน้อย ๆ และคำกระซิบในเงา พวกเขาไม่รู้ว่า “ชายผู้นั้น” เป็นใคร
พวกเขาไม่รู้ว่า “ห้องบนชั้นสอง” นั้นมีกี่คน และพวกเขาไม่เคยเห็นเนี่ยฮุ่ยเฟยพูดหรือทำสิ่งใดล่วงเกิน แต่สิ่งที่พวกเขา “รู้แน่” …คือ “ความเสื่อมเสีย” ได้เริ่มขึ้นแล้ว
หลิงเซ่าเทียนนั่งพิงพนักเก้าอี้ภายในห้องบัญชีของโรงเตี๊ยม ดวงตาดำสนิทประหนึ่งบ่อน้ำลึกไม่มีก้นทอดมองเอกสารในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างค่อย ๆ หมุนถ้วยชาที่อุณหภูมิยังอุ่นอยู่ในอุ้งมือ
ประตูไม้เลื่อนเปิดเบา ๆ
เสียงฝีเท้านุ่มนวลดังขึ้นหนึ่งคู่ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของ “อวิ๋นจิ้ง” สายลับคนสนิทที่คอยจัดการข่าวสารในเมืองแทนเขา
“นายท่าน มีข่าวสำคัญเกี่ยวกับคุณหนูเนี่ย”
หลิงเซ่าเทียนไม่ได้ละสายตาจากกระดาษในมือเพียงกล่าวเรียบ ๆ
“พูดมา”
“มีข่าวลือแพร่ในตลาดหลายจุดในช่วงสองวันมานี้ กล่าวหาว่า…คุณหนูเนี่ยฮุ่ยเฟย แอบมีสัมพันธ์ลับกับบุรุษ กล่าวกันว่า…นางนั่งดื่มชากับชายแปลกหน้าในห้องส่วนตัวที่โรงเตี๊ยม”
มือที่หมุนถ้วยชาชะงักเพียงครู่ก่อนจะเคลื่อนไหวต่อราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“…แล้วมีผู้ใดระบุหรือไม่ว่าชายผู้นั้นคือผู้ใด?”
อวิ๋นจิ้งส่ายหน้า
“ไม่แน่ชัด ใครกล่าวถามก็ถูกปฏิเสธว่า ‘ได้ยินมาจากคนในโรงเตี๊ยม’ เท่านั้นดูเหมือนจะมีการวางมือบางอย่างอยู่เบื้องหลัง …”
“…ห้องที่ใช้วันนั้นเป็นห้องประจำของข้า” เสียงเขานิ่งเรียบ ไม่สูง ไม่ต่ำ แต่ทำเอาอวิ๋นจิ้งเหงื่อตก
“ข้าน้อยตรวจสอบเส้นทางข่าว พบว่าจุดแรกเริ่ม มาจากร้านขายปิ่นในซอยตะวันตก ซึ่งเจ้าของร้าน…เคยรับเครื่องประดับจากจวนตระกูลเนี่ยขอรับ”
“…ฟู่ซื่อ” หลิงเซ่าเทียนเอ่ยชื่อนั้นออกมาช้า ๆ เสียงของเขานิ่ง แต่แฝงแรงสะท้อนดั่งคลื่นลึกใต้ทะเล
“ ฟู่ซื่อผู้นี้ คือผู้ที่มีมือยาวที่สุด เอื้อมเข้ามาถึงโรงเตี๊ยมของข้า แส่ในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตน”
เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะเบา ๆ
“ดูเหมือนนางจะลืมไปเสียแล้ว…ว่าโลกนี้ยังมีเงา ที่มิใช่เงาของตนเอง”
รุ่งเช้าหลิงเซ่าเทียนไม่กล่าวสิ่งใด เขาเพียงยื่นแผ่นไม้บาง ๆ ชิ้นหนึ่งให้บนแผ่นไม้ มีรายชื่อร้านค้า สถานที่ และชื่อบุคคลห้าราย ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกับการปล่อยข่าวลือในช่วงสองวันที่ผ่านมา
“ในคืนนี้…ข้าต้องการความเงียบ” เขากล่าวด้วยเสียงราบเรียบ
“และไม่ใช่เพียงเงียบแต่ต้องเป็นเงียบอย่างไม่กล้าแม้จะกระซิบอีก”
ชายชุดดำพยักหน้า เข้าใจคำสั่งทันที
“รับทราบ นายท่าน”
กลางดึกในย่านตลาดใหญ่ของเมืองลั่วหลิง ร้านปิ่น ร้านผ้า ร้านชา และร้านสมุนไพรบางแห่งถูกแวะเวียนโดยคนแปลกหน้า
ชายเงียบ ๆ เหล่านี้ไม่พูดอะไรมากเพียงซื้อของเล็กน้อย แล้วกล่าวประโยคหนึ่งก่อนจากไป…
“คุณหนูใหญ่ตระกูลเนี่ย มิมีวันเลือกคบคนไม่คู่ควร และนางมิเคยก้าวข้ามเส้นที่สตรีดีงามไม่พึงข้าม ข่าวลือหากกล่าวเกินจริง ลิ้นอาจขาด หรือไม่ก็เป็นศีรษะของพวกเจ้านั่นแหละที่จะขาด “
รุ่งเช้าวันถัดไปเสียงซุบซิบในตลาดเงียบไปอย่างน่าประหลาด หญิงวัยกลางคนที่เคยหัวเราะเยาะกลับเม้มปากเงียบไม่ยอมเอ่ยอะไร
เจ้าของร้านปิ่นในตรอกตะวันตกเก็บร้านเร็วกว่าปกติด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
แม้แต่กลุ่มบัณฑิตหนุ่มที่เคยนั่งร่ำสุราพูดถึง “คุณหนูผู้เสื่อมเสีย” ก็เปลี่ยนหัวข้อกระทันหันเมื่อมีคนแปลกหน้าเดินผ่าน
ภายในโรงเตี๊ยมเมิ่งหลิ่วชุน หลิงเซ่าเทียนยังคงอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ ในห้องใต้ดินหลังร้านชา
มีเพียงอวิ๋นจิ้งที่เข้ามารายงานเสียงเบา
“ภารกิจสำเร็จ…ตอนนี้ไม่มีใครกล้าพูดถึงข่าวลือนั้นอีก แม้แต่คนที่เคยซุบซิบ ก็ต่างตีหน้าไม่รู้ไม่เห็น”
หลิงเซ่าเทียนวางหนังสือลงช้า ๆ สายตาทอดออกไปยังหน้าต่างกระดาษที่ปิดไว้จากภายใน
“ข้าไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศว่านางบริสุทธิ์ เพียงทำให้โลกนี้รู้ว่า หากคิดจะกล่าวถึงนาง…ต้องกลัวเสียก่อน”
ราวกับสวรรค์เบิกฟ้า ลมหายใจในห้องกลับมาไหลเวียนอีกครั้ง หมอตำแยชูเด็กทารกเพศหญิงขึ้น เสียงร้องดังใสแจ๋วดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนเงียบลงเมื่อนางถูกห่อตัวด้วยผ้าขาวสะอาดก่อนจะอุ้มออกมาส่งมอบให้หลิงเว่าเทียนที่ด้านนอก “เป็นคุณหนูน้อยเจ้าค่ะ! สมบูรณ์แข็งแรง!” หลิงเซ่าเทียนมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกเหนือคำบรรยาย เขารับบุตรีตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนเป็นคนแรก ก่อนส่งให้นางผู้เป็นมารดา เนี่ยฮุ่ยเฟยมองใบหน้ากลมมนเล็กจิ๋วของลูก ดวงตาคู่นั้นยังปิดสนิท แต่กลับรู้สึกราวกับสัมผัสถึงดวงวิญญาณเล็ก ๆ ที่มาเติมเต็มหัวใจของนาง “อวี้เหม่ย…ขอต้อนรับเจ้ามาสู่โลกใบนี้…” นางกล่าวด้วยเสียงสั่น เฝ้ามองลูกอย่างหลงใหล ดวงตาคู่นั้นพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำใส หลิงเซ่าเทียนก้มลงจุมพิตเบา ๆ ที่หน้าผากภรรยา “เจ้าคือสตรีที่เก่งที่สุดในโลก…” เสียงลมหายใจของทารกน้อยดังปนอยู่กับเสียงเทียนที่ยังคงลุกไหม้แผ่วเบาในห้อง ทั้งห
หลังยืนยันการตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ก็เริ่มเกิดขึ้น ในครัวใหญ่ ปรับเมนูอาหารใหม่สำหรับสตรีมีครรภ์ เน้นอาหารอ่อน ย่อยง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการ และในเรือนก็ได้รับการตกแต่งใหม่เพิ่มความโปร่งและเงียบสงบ ลดเสียงรบกวน เพื่อให้เนี่ยฮุ่ยเฟยพักผ่อนได้อย่างเต็มที่แม้แต่ในห้องของหลิงจิ่งหาน ถูกแยกออกเป็นห้องเล็ก ๆ ข้างเรือนใหญ่ เพื่อให้พี่เลี้ยงดูแลอย่างใกล้ชิด โดยยังให้เด็กน้อยมาเล่นกับมารดาได้ตามเวลา หลิงจิ่งหานที่ยังพูดไม่คล่องนัก มักยื่นของเล่นให้มารดา บางครั้งก็นำตุ๊กตาผ้าไปวางบนหน้าท้องนางแล้วหัวเราะเสียงใส “เจ้าอยากให้เขาเล่นกับเจ้าใช่หรือไม่?” เนี่ยฮุ่ยเฟยหัวเราะเบา ๆ ขณะลูบผมลูกชาย“อีกไม่นานเจ้าก็จะได้เป็นพี่ชายแล้วนะ…” ในคืนหนึ่ง ขณะทั้งสองสามีภรรยนั่งบนศาลาริมสระ แสงจันทร์ทอดเงาจางบนผิวน้ำ เสียงจักจั่นแว่วจากแนวไม้ไผ่ หลิงเซ่าเทียนจ้องมองหน้าท้องของภรรยา ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม “ข้
ฤดูใบไม้ผลิเดินทางเข้าสู่กลางฤดู กลีบดอกเหมยเริ่มปลิดปลิวตามลมอ่อน ๆ ยามเช้า ในจวนหลิงที่เคยวุ่นวาย ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ และเสียงเด็กทารกร้องจ๊อกแจ๊ก ยามรุ่งอรุณอาบแสงแดดสีทองที่เลื้อยผ่านม่านบาง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังคลอไปกับเสียงทารกน้อยที่กำลังส่งเสียงเรียกผู้เป็นแม่ในแบบของเขา ภายในเรือนกลาง เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งพิงเบาะนิ่มด้วยท่าทางอ่อนโยน บนตักของนางมีเด็กชายตัวน้อยวัยไม่ถึงเดือน เขากำลังดูดนมจากอกของมารดา แก้มเล็ก ๆ แดงปลั่ง มือเล็กกำแน่นจิกชายเสื้อของมารดาไว้แน่น “ค่อย ๆ ดื่มนะลูก… อย่าหายใจเร็ว” เสียงกระซิบของนางอ่อนโยนดั่งเสียงลมพัดในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาของนางจับจ้องใบหน้าของทารกน้อยด้วยแววตาเปี่ยมรัก หลังจากป้อนเสร็จ นางอุ้มลูกขึ้นพาดไหล่ ตบหลังเบา ๆ ให้เรอ เมื่อเสียงเรอดัง “เอิ๊ก” เล็ก ๆ ออกมา นางถึงกับหัวเราะเบา ๆ พลางยิ้มด้วยความเอ็นดู ในขณะนั้นเอง บานประตูบานใหญ่ของเรือนก็เปิดออก เสียงฝีเท้าคุ้นเคยที่หนักแน่นและมั่นคงดังขึ้น
เมื่อบุตรชายมีอายุครบหนึ่งปี หลิงเซ่าเทียนจึงจัดพิธีเรียกว่า “จัวโจว” โดยวางสิ่งของต่าง ๆ ไว้ให้เด็กเลือก เพื่อทำนายอนาคตในศาลาหลังสวนมีผืนผ้าไหมปูลาดอย่างประณีต บนผ้านั้นมีสิ่งของเรียงราย:• พู่กันและม้วนกระดาษ (หมายถึงนักปราชญ์)• ลูกคิด (หมายถึงพ่อค้า)• ดาบไม้ (หมายถึงนักรบ)• ถุงใส่เงินทอง (หมายถึงความมั่งมี)• หยกก้อนเล็ก (หมายถึงโชคดี) หลิงจิ่งหานถูกอุ้มให้นั่งกลางวงอย่างระมัดระวัง ทุกสายตาจับจ้องขณะเขาเหลือบมองของตรงหน้า สายตาเปล่งประกายอยากรู้ ทันใดนั้น… เขาคลานตรงไปยัง พู่กัน แต่ยังไม่ทันหยิบ ก็มองเห็นลูกคิดไม้ข้าง ๆ จึงเปลี่ยนใจไปหยิบมันขึ้นมาแทน และยิ้มแฉ่งราวพอใจ เสียงหัวเราะดังขึ้นทันที “ฮ่าๆๆ เจ้าตัวแสบของเราจะเป็นพ่อค้าที่เก่งกาจหรือไม่เนี่ย” หลิงเซ่าเทียนหัวเราะ ขณะยกบุตรขึ้นสูงแล้วหมุนเบา ๆ“อย่างไรพ่อก็ขอให้เจ้าเติบโตอย่างมีสติปัญญา สุขภาพแข็งแรงพอ”
รุ่งเช้าวันถัดมา หลิงเซ่าเทียนส่งอวี๋เหยียนกับสายลับคนสนิทเดินทางไปทางเหนือ เพื่อสืบความเคลื่อนไหวของกลุ่มขุนนางชายแดน อีกกลุ่มหนึ่ง ส่งเข้าเมืองหลวงอย่างลับเพื่อเตรียม ‘พยาน’ ที่เคยถูกปิดปากในอดีต เขาไม่ได้รอการโจมตีเขากำลัง ‘เตรียมสวนกลับ’ ในเวลาและสถานที่ที่เขาเลือกอย่างไรก็ตามภายในโรงน้ำชาร้างนอกประตูเมือง ชายวัยกลางคนสวมชุดหรูหราแต่ปิดหน้าอยู่ในเงา กำลังพูดกับคนรับใช้ข้างกาย “หลิงเซ่าเทียน…ไม่ยอมตายเหมือนพ่อมัน เช่นนั้น…เราคงต้องทำให้มันทรมานเสียก่อนจะตาย”หลายวันต่อมา ขณะที่ท้องฟ้าเมืองหลวงขมุกขมัว ท่ามกลางม่านเมฆสีเทาหนักอึ้งรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้าสู่ประตูวังหลวงอย่างเงียบงันภายในรถม้า ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก “อวี๋เหยียน” มือซ้ายของหลิงเซ่าเทียน และ ชายชรา คนที่หายไปจากแผ่นดินมานานกว่า 10 ปี ผู้เคยเป็น “เจ้ากรมอาลักษณ์” ที่อยู่ใต้คำสั่งของบิดาหลิงเซ่าเทียนเมื่อครั้งยังมีอำนาจ เขาคือหนึ่งในคนไม่กี่คน ที่รู้แผนปลอมเอกสารและใส่ร้ายตระกูลหลิงเมื่อ 13 ปีก่อน และเป็นคนเดียวที่…หนีรอดมาได้ “ข้าคิดว่าจะตายอย่างคนไม่มีชื่อ…แต่ในเมื่อผู้มีบุญคุณยังมีชีวิต ข้าจะขอเอาชีวิตที่เหลือ ทำให้ความ
ภายในจวนตระกูลหลิงเอง สาวใช้คนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ถูกส่งตัวให้รับหน้าที่ในครัวท่าทางว่าง่าย พูดน้อย ไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย นางมักเงียบงันและหลบในเงามืดของเรือนแต่ในคืนหนึ่ง ขณะที่เรือนอาหารเตรียมมื้อเย็นสำหรับฮูหยินตั้งครรภ์ นางแอบใส่ “สิ่งบางอย่าง” ลงในหม้อต้มยาจีนอย่างแผ่วเบาก่อนรีบหายตัวไปจากมุมครัวอย่างไร้ร่องรอยทว่า… เงาร่างหนึ่งยืนอยู่เหนือหลังคาใกล้ศาลาเงียบดวงตาคู่นั้นจับจ้องทุกการเคลื่อนไหว และใบหน้าที่หลบอยู่ภายใต้หน้ากากสีเงิน คือสายลับผู้หนึ่งที่หลิงเซ่าเทียนสั่งให้จับตามองทุกสิ่งในจวนของเขาเอาไว้เมื่อหลิงเซ่าเทียนกลับถึงจวนก่อนเวลา และทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องอาหาร เขากลับหยุดนิ่งทันทีก่อนจะเอ่ยกับซูหรูด้วยเสียงเรียบแต่แฝงความเย็น“นำยาทั้งหมดไปเททิ้ง และนำภาชนะไปให้ท่านหมอตรวจทันที”เนี่ยฮุ่ยเฟยมองเขาอย่างประหลาดใจ หลิงเซ่าเทียนเดินเข้าไปนั่งใกล้ ลูบมือนางเบา ๆ ก่อนเอ่ย“มีคนต้องการให้เจ้ากับลูก…ไม่ได้อยู่ต่อในโลกนี้”เนี่ยฮุ่ยเฟยหน้าซีดลงช้า ๆ นางไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่เงียบงัน มือแน่นิ่งในมือเขาหลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมดุดันดุจพยัคฆ์ใต้เงาเมฆ“ข้าเคยยอมให้ค







