เมื่อหลิงเซ่าเทียนนำเนี่ยฮุ่ยเฟยเข้าไป ทันทีที่เห็นว่าเขามาเยือน หลงจู้แซ่หลงก็รีบออกมาตอบรับเขาทันทีและทำความเคารพอย่างไม่ปิดบัง
“นายท่าน ห้องชั้นบนจัดเตรียมไว้แล้วขอรับ”
เนี่ยฮุ่ยเฟยเหลือบมองเขา
“…นายท่าน?”
หลิงเซ่าเทียนไม่ตอบตรง ๆ เพียงแย้มยิ้มมุมปาก “ข้ากับสหายร่วมกันเปิดที่นี่ เพื่อไว้เป็นที่พักสายตาเวลาวุ่นวาย”
ห้องชั้นสองที่เขาพาขึ้นไป เงียบสงบ เหมาะแก่การพูดคุยบานหน้าต่างเปิดออกเห็นวิวตลาดบางส่วน แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านม่านโปร่ง ทำให้ห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศผ่อนคลาย
เสี่ยวเอ้อเข้ามาวางกาน้ำชาและขนมแห้งเบา ๆ บนโต๊ะ ก่อนจะรีบออกจากห้องไป
หลิงเซ่าเทียนรินชาด้วยตนเอง ก่อนยื่นถ้วยให้ฮุ่ยเฟยอย่างสุภาพ “ลองชิมดูสิ ชาจื่อฮวา (เก๊กฮวยสีม่วง) นี้ส่งตรงจากแคว้นหนานหลิง ช่วยบรรเทาอาการใจสั่น”
นางรับถ้วยชาไว้ไอน้ำอุ่นลอยจากถ้วยดินเผา กลิ่นหอมจาง ๆ ของกลีบดอกไม้ทำให้นางเผลอสูดลมหายใจลึก
หลิงเซ่าเทียนมองนางเงียบๆ ขณะจิบชาไปด้วยก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ข้าเอง…ก็เคยกลับไปที่เรือนหลังนั้น ในวันที่มันไม่ใช่ของข้าอีกแล้ว “
เนี่ยฮุ่ยเฟยเงยหน้าขึ้นสบตาเขาวินาทีนั้นนางเพิ่งรู้ว่า คนผู้นี้…ก็ไม่ต่างจากตน พวกเขาต่างเป็นผู้ถูก “ทำให้หลงเหลือ” ในขณะที่คนอื่นมีครอบครัว มีอ้อมกอด มีสิ่งให้หวงแหน พวกเขากลับมีเพียง “เงา” ที่ยังหลงเหลือในใจ
ณ โรงเตี๊ยม “เมิ่งหลิ่วชุน” ชั้นล่างนั้น เสียงพูดคุยจอแจของบรรดาสตรีผู้ดีที่นั่งประจำโต๊ะริมหน้าต่าง มิได้รบกวนบรรยากาศโดยรวมของโรงเตี๊ยมมากนัก ทว่าเสียงหัวเราะแหลมสูงของใครบางคนกลับเด่นชัดขึ้นมาเหนือเสียงอื่นราวกับตั้งใจให้ได้ยินกันทั่วทั้งชั้น
“อาโย่ว เจ้าเห็นหรือไม่…บุรุษผู้นั้นช่างหล่อเหลายิ่งนัก” เสียงของจางรั่วรั่วเอ่ยดังขึ้น
เนี่ยเหวินชิงวางพัดในมือลงช้า ๆ ดวงตากลมโตที่มักฉาบด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานฉายแววแปลกประหลาดขึ้นมาเมื่อมองผ่านฉากไม้โปร่งขึ้นไปยังชั้นบน นางจ้องอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนริมฝีปากจะเหยียดขึ้นอย่างนึกสนุก
“…บังเอิญยิ่งนัก “นางพึมพำเบา ๆ ขณะหยิบถ้วยชาขึ้นจิบ ทว่าแววตากลับเยียบเย็นราวหยาดน้ำค้างเหนือลานหิมะ ก่อนจะเรียกหา “สาวใช้คู่ใจ” ที่ติดตามมาตลอด นามว่า “ชุยหลาน”
“ขึ้นไปดูให้ชัดว่าสตรีที่นั่งอยู่นั่นคือฮุ่ยเฟยหรือไม่ “ น้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าแฝงแรงกดดันที่สาวใช้ไม่กล้าปฏิเสธ แต่เพียงครู่เดียวชุยหลานกลับมาค้อมตัวกระซิบข้างหูนาง
“… เป็นคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ “
เนี่ยเหวินชิงยิ้มหวานเอ่ยสั่งสาวใช้ของตนอีกครั้ง “ไปแจ้งท่านแม่ให้เร็วที่สุด” ภายในเรือนด้านตะวันตกของจวนเนี่ย ซึ่งเป็นเรือนของฟู่ซื่อ ที่อยู่ในชุดผ้าไหมปักลายเมฆสีเงิน นั่งอ่านบทกวีอยู่บนเตียงอุ่น เมื่อได้ยินเสียงรายงานจากหน้าห้องก็เอ่ยอนุญาตให้สาวใช้ของบุตรสาวตนเข้าพบทันที “มีอะไรถึงได้รีบร้อนเช่นนี้ แล้วลูกข้าอยู่ที่ใด?”ชุยหลานค้อมตัวลง แล้วกล่าวด้วยเสียงตื่นเต้นปนสะใจ
“คุณหนูนางให้บ่าวมาแจ้งท่านว่า บัดนี้คุณหนูใหญ่ …นางกำลังดื่มชาอยู่กับบุรุษ ณ โรงเตี๊ยมเมิ่งหลิ่วชุนเจ้าค่ะ แถมเป็นบุรุษที่ไม่มีใครรู้ว่ามาจากตระกูลใด!”
ฟู่ซื่อชะงักไปเพียงอึดใจ ก่อนหัวเราะเบา ๆ “โอ้…เป็นเช่นนั้นหรือ?” นางวางตำราในมือ ก่อนเอ่ยต่อ“ถึงคราวที่สวรรค์เป็นใจให้ข้าบ้างแล้วละ”นางหันไปหาสาวใช้ในเรือนที่ยืนอยู่อีกฟากห้อง
“ไปสั่งให้พวกแม่ค้าในตลาด…กระจายข่าว ว่า ‘คุณหนูใหญ่ตระกูลเนี่ย’ แอบนัดบุรุษนอกจวนไปดื่มชากลางวันแสก ๆ แล้วยังนั่งในห้องสองต่อสองเสียด้วย! อย่าให้ใครรู้ว่าต้นข่าวมาจากไหน อย่าเอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้น ให้ทุกอย่างดู… ‘หลุด’ ออกจากปากคนในโรงเตี๊ยม ““เจ้าค่ะ!”
เพียงข้ามคืน ข่าวลือเริ่มแพร่กระจายไปทั่วตลาด “ว่าไปแล้ว ข้าเห็นบุรุษรูปงามคนหนึ่งพาเด็กสาวเข้าห้องบนจริง ๆ”“ไม่แน่…อาจจะเป็นคู่หมาย หรือไม่ก็บุรุษที่แอบคบหากัน”
เสียงกระซิบ…เสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างเจือเยาะ
“เฮ้อ เจ้าได้ยินหรือยังเรื่องคุณหนูใหญ่ตระกูลเนี่ยน่ะ?”
“อะไร? คุณหนูที่ไม่เคยออกจากจวนนั่นน่ะหรือ?”
“นั่นแหละ! เขาว่าเมื่อวานนางไปดื่มชากับบุรุษหน้าตาดีอยู่ในโรงเตี๊ยมเมิ่งหลิ่วชุนนะสิ”
“หา! จริงหรือ? แถมอยู่กันแค่สองคนอีก?”
“ใช่แล้ว ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คู่หมั้น…เจ้ายังจะคิดอะไรได้อีกล่ะ?”
พ่อค้าขายขนมใกล้ประตูเมืองถอนหายใจอย่างสมเพชขณะเลื่อนถาดขนมให้ลูกค้า
“ข้าก็เคยเห็นนางตอนยังเด็กนะ…ดูเป็นเด็กเรียบร้อย แต่ตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว ถ้าไม่ระวังตน ก็ไม่แปลกหรอกที่ชื่อเสียงจะมัวหมอง”
ข้างร้านขายเครื่องประดับ หญิงวัยกลางคนในชุดแพรสีชมพูซีดหยุดเลือกปิ่นปักผมแล้วหันมากระซิบกับสหาย
“นางเป็นบุตรสาวของฮูหยินเอกที่ตายไปนานแล้วนี่นะ? แต่ตอนนี้เห็นว่าไม่มีใครในจวนใส่ใจนัก…”
“ยิ่งไม่มีผู้คุ้มกัน ก็ยิ่งทำตัวตามใจหรือเปล่า?”
“เฮอะ ๆ ๆ ข้าได้ยินว่าบุรุษผู้นั้น…รูปงามนัก นางคงต้านเสน่ห์ไม่ไหวกระมัง”
เสียงหัวเราะเย้ยหยันตามมาทันที
เมื่อฟ้าเช้าเริ่มปรากฏแสงแดดแรกของวัน หลิงเซ่าเทียนเดินออกจากวังหลวงโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร มีเพียงร่องรอยรองเท้าบนฝุ่นบาง ๆ ที่ลานหิน และเงาของเขาที่ทอดยาวไกล เขาหยิบตราลับเล็กอีกดวงจากอกเสื้อ เป็นตราที่ราชเลขามอบให้เขาโดยเฉพาะตราที่ให้สิทธิ์ “ปิดเมือง สอบสวน และควบคุมผู้ต้องสงสัย” ได้โดยตรงในอำนาจของราชเลขาหวังจิ่นข่าย “ถึงเวลาตอบแทนความยุติธรรม…ของท่านพ่อแล้ว” เรือนเล็กของเนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งอยู่กลางสวนหลังเรือน นางกำลังวาดภาพเหมือนของมารดาตามความทรงจำ ในใจเต็มไปด้วยความกังวล หลังข่าวลือเรื่องขบถเงาเริ่มแทรกซึมสังคมสาวใช้คนสนิทวิ่งเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียด “คุณหนูเจ้าคะ! มีคนแปลกหน้าป้วนเปี้ยนแถวเรือนตั้งแต่เช้า! ข้าคิดว่า…พวกเขาไม่ใช่คนของจวน!” เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดมือที่กำลังแตะปลายพู่กันสายตาแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “นั่นแสดงว่า…ฟู่ซื่อเริ่มลงมือแล้ว
คลิก… ฝากล่องเปิดออกภายในมีม้วนผ้าไหมยาวหลายผืน จดหมายที่ถูกพับอย่างบรรจง และ “เหรียญประจำตระกูล” ซึ่งหายไปนานนับสิบปี นางค่อย ๆ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นลายมือมารดาชัดเจน และเปื้อนรอยน้ำตาเก่า ๆ นางอ่านเบา ๆ ในจดหมาย มารดานางเขียนถึง ภัยที่ใกล้เข้ามาในวันนั้นกล่าวถึง “ขุนนางบางคน” ที่มีความเกี่ยวพันกับฟู่ซื่อ และการยักยอกเงินหลวงผ่านกิจการในนามร้านเล็ก ๆ มารดานางพยายามจะเปิดโปง แต่ถูกสั่งปิดปากอย่างเลือดเย็นหลิงเซ่าเทียนเงียบอยู่นาน ก่อนพูดช้า ๆ “นี่…คือหลักฐานที่ท่านพ่อของข้า เคยตามหา และเป็นหลักฐาน…ที่อาจโค่นทั้งฟู่ซื่อและตระกูลเนี่ยพร้อมกันได้” แววตาของฮุ่ยเฟยในยามนั้น…ไม่ใช่สายตาของคุณหนูผู้เคยถูกทอดทิ้งอีกต่อไปแต่มันคือดวงตาของคนที่ตื่นขึ้นจากเงามืดพร้อมจะยืนอยู่กลางแสงอย่างไม่กลัวสิ่งใด “ข้าจะไม่ถอยอีกต่อไป…ไม่ว่าใครจะต้องล้มไปกับความจริงนี้ก็ตาม”
อีกด้านของเมืองนั้น ภายในห้องหนังสือของหลิงเซ่าเทียน แสงจากตะเกียงส่องลงบนแผนที่และสมุดบัญชีเก่า ๆ บ่าวคนสนิทของเขารายงานด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “นายท่าน ร้านเก่าของฮูหยินเนี่ยถูกลอบวางเพลิง!” หลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้นทันทีแววตาเยือกเย็นวูบผ่าน ก่อนเขาจะลุกขึ้น “พวกมันเริ่มแล้ว….ไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปพบกับฮุ่ยเฟยในคืนนี้” ในยามที่ทุกสิ่งเคลื่อนไหวในเงามืดความลับของอดีต คำมั่นในปัจจุบัน และเงาแค้นของอนาคต…กำลังเริ่มปะทะกันอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าบนลานกรวดเงียบเชียบ หากมั่นคงบ่าวคนสนิทของหลิงเซ่าเทียนเดินมาหยุดที่ข้างหน้าต่าง โบกมือเบา ๆ ส่งสัญญาณ ไม่นานนัก เงาร่างสูงสง่าก็ข้ามกำแพงเข้าสู่เรือนอย่างไร้สุ้มเสียงสายตาเขาเหลือบมองความมืดรอบข้างก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่แสงตะเกียงยังคงส่องสลัว เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งรออยู่แล้ว ราวกับรู้ว่าเขาจะมาสีหน้าแม้เคร่งขรึม แต่ดวงตายังคงเยือกเย็นอย่างควบคุม
เนี่ยฮุ่ยเฟยสบตาเขานางเห็นแววจริงใจในดวงตานั้นแต่ก็ยังไม่ละความระแวดระวัง “ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดท่านจึงต้องช่วยเหลือข้า” หลิงเซ่าเทียนวางถ้วยชาลงเงียบไปนาน ก่อนตอบช้า ๆ “ในสายตาคนนอก เจ้าอาจเป็นเพียงคุณหนูตกอับของจวนตระกูลเนี่ย แต่ข้า…เห็นเจ้ายืนหยัดด้วยตัวเองมาตลอด ไม่แม้แต่จะยอมจำนนต่อโชคชะตา” เสียงเขาชะงักเล็กน้อยก่อนพูดคำที่ทำให้นางแทบลืมหายใจ “และที่สำคัญ…ข้าเป็นหนี้คนผู้หนึ่ง ซึ่งเกี่ยวพันกับท่าน” ดวงตาของฮุ่ยเฟยเบิกขึ้น “หนี้? ท่านหมายถึงใครกัน…” หลิงเซ่าเทียนสบตานางใบหน้าเขาเคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน “ฮูหยินเอกแห่งตระกูลเนี่ย มารดาของเจ้า” มือที่ถือถ้วยชากระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยหัวใจเต้นถี่…คล้ายกลัวความจริงที่รออยู่เบื้องหน้านางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เสียงที่เปล่งออกมาแม้เบา แต่ชัดเจนและมั่นคง “ท่านแม่ของข้า นางเกี่ยวข้องอะไรกับท่
เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดอยู่หน้าร้านหนึ่งมองแผ่นป้ายไม้ที่จางไปตามกาลเวลาร้านนั้นคือ “ร้านผ้าเมฆา” ร้านผ้าที่เคยเป็นของมารดาตนเนี่ยฮุ่ยเฟยมองป้ายร้านอยู่นาน ดวงตาที่ปกติแน่วแน่นั้นสั่นระริกเพียงครู่ จากนั้นจึงหันหลังเดินต่อ โดยมุ่งหน้าไปยังตรอกด้านหลังตลาด จากนั้นซูอวี้ก้เดินตามนางไปซูอี้มองซ้ายขวาอย่างระมัดระวังตรอกนี้เป็นทางเชื่อมระหว่างตลาดกับโรงเตี๊ยมเมิ่งหลิ่วชุนจังหวะที่นางแทรกตัวเข้าไป ทันใดนั้น…เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นด้านหลัง เร็ว และมั่นคงจนผิดสังเกตซูอี้ขมวดคิ้ว รีบหมุนตัวกลับกลับพบเพียงบุรุษในชุดดำ สวมหมวกบังหน้า เดินสวนผ่านเธอไปเงียบ ๆ แต่สัมผัสบางอย่างไม่ถูกต้องกลิ่นยาสมุนไพรจาง ๆ กับแรงกดดันจากแววตาผู้ผ่านไปนั้นทำให้หลังของซูอี้เย็นวาบหลิงเซ่าเทียนยืนมองออกไปจากหน้าต่างเขาสวมเสื้อคลุมสีเข้ม ผ้าคาดเอวหรูหราแต่ไม่อวดอ้างในมือนั้นถือพัดไม้ไผ่ปักชื่อ ‘เมิ่งหลิ่วชุน’ อย่างอ่อนช้อย ข้างหลังเขา คือชายวัยกลางคนในชุดทหารปลอมตัว “จินซาน” อดีตองครักษ์ประจำตระกูลหลิง“สาวใช้นั่นใช่คนของฟู่ซื่อหรือไม่?” หลิงเซ่าเทียนถามโดยไม่หันกลับมา“ใช่ขอรับ ข้าสืบพบว่าเรียกชื่อว่าซูอี้ สนิทกับฮู
ยามสาย แสงแดดอ่อนลอดผ่านม่านโปร่งที่ไหวตามลม ภายในเรือนของ “ฟู่ซื่อ” กลิ่นธูปหอมอบอวล ปะปนกับกลิ่นชาดอกเหมยหญิงผู้ครองตำแหน่ง “ฮูหยินเอกคนปัจจุบัน” นั่งประณีตอยู่บนอาสนะไม้ลายกลีบบัวงดงามดุจสตรีผู้สูงศักดิ์ หากแต่ในแววตากลับมีเงาของความไม่พอใจแฝงอยู่สาวใช้ที่ไว้ใจได้ “ชุนผิง” เดินเข้ามาคุกเข่าแล้วก้มหน้ารายงานเบา ๆ“อูหยินเจ้าคะ…บ่าวกลับจากตลาดแล้ว แต่…เรื่องที่สั่งเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่…”ฟู่ซื่อเอียงศีรษะเล็กน้อย “ว่าอย่างไร? คนในตลาดว่าอะไรบ้าง”“…ขออภัยเจ้าค่ะ ไม่มีใครกล่าวถึงอีกเลย”มือที่กำลังถือถ้วยชาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะวางลงช้า ๆ“ไม่มีเลย? หมายความว่าอย่างไร…”“เมื่อคืนตลาดปิดเร็วกว่าปกติหลายร้าน แม่ค้าบางคนที่เคยพูดถึงข่าวลือเรื่องคุณหนูใหญ่ ก็เงียบ ไม่กล้ากล่าวแม้คำเดียว แม้บ่าวจะลองจงใจถามนำเรื่อง ก็ถูกปฏิเสธ หรือไม่ก็ถูกเมินค่ะ”ฟู่ซื่อขมวดคิ้ว เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงต่ำ“แปลก…ข้าคิดว่าอย่างน้อยพวกชาวบ้านคงไม่หยุดพูดกันเร็วถึงเพียงนี้ หรือว่าผู้ใด…เข้าแทรกแซง?”“ชุนผิง เจ้าเคยได้ยินชื่อของผู้ใดที่มีผู้คนกล่าวถึงในตลาดเร็ว ๆ นี้บ้างหรือไม่?”ชุนผิงเงยหน้าช้า ๆ คล้ายล