Masukยามสาย แสงแดดอ่อนลอดผ่านม่านโปร่งที่ไหวตามลม ภายในเรือนของ “ฟู่ซื่อ” กลิ่นธูปหอมอบอวล ปะปนกับกลิ่นชาดอกเหมย
หญิงผู้ครองตำแหน่ง “ฮูหยินเอกคนปัจจุบัน” นั่งประณีตอยู่บนอาสนะไม้ลายกลีบบัว
งดงามดุจสตรีผู้สูงศักดิ์ หากแต่ในแววตากลับมีเงาของความไม่พอใจแฝงอยู่
สาวใช้ที่ไว้ใจได้ “ชุนผิง” เดินเข้ามาคุกเข่าแล้วก้มหน้ารายงานเบา ๆ
“อูหยินเจ้าคะ…บ่าวกลับจากตลาดแล้ว แต่…เรื่องที่สั่งเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่…”
ฟู่ซื่อเอียงศีรษะเล็กน้อย “ว่าอย่างไร? คนในตลาดว่าอะไรบ้าง”
“…ขออภัยเจ้าค่ะ ไม่มีใครกล่าวถึงอีกเลย”
มือที่กำลังถือถ้วยชาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะวางลงช้า ๆ
“ไม่มีเลย? หมายความว่าอย่างไร…”
“เมื่อคืนตลาดปิดเร็วกว่าปกติหลายร้าน แม่ค้าบางคนที่เคยพูดถึงข่าวลือเรื่องคุณหนูใหญ่ ก็เงียบ ไม่กล้ากล่าวแม้คำเดียว แม้บ่าวจะลองจงใจถามนำเรื่อง ก็ถูกปฏิเสธ หรือไม่ก็ถูกเมินค่ะ”
ฟู่ซื่อขมวดคิ้ว เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงต่ำ
“แปลก…ข้าคิดว่าอย่างน้อยพวกชาวบ้านคงไม่หยุดพูดกันเร็วถึงเพียงนี้ หรือว่าผู้ใด…เข้าแทรกแซง?”
“ชุนผิง เจ้าเคยได้ยินชื่อของผู้ใดที่มีผู้คนกล่าวถึงในตลาดเร็ว ๆ นี้บ้างหรือไม่?”
ชุนผิงเงยหน้าช้า ๆ คล้ายลังเล
“หากพูดถึงผู้ที่ร้านค้าให้ความเกรงใจ…ก็มีเพียง ‘โรงเตี๊ยมเมิ่งหลิ่วชุน’ เจ้าค่ะ ว่ากันว่าเจ้าของเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี มีอำนาจในเงามืด ผู้คนเรียกเขาว่า… นายท่านหลิง “
ชื่อ “หลิง” สะกิดความทรงจำบางอย่างในใจของฟู่ซื่อทันที นัยน์ตานางเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง ก่อนรีบกลบเกลื่อน
“…หลิงอย่างนั้นหรือ… โรงเตี๊ยมนั้นใช่โรงเดียวกับที่ข่าวกล่าวว่าฮุ่ยเฟยนั่งดื่มชายามบ่ายอยู่หรือไม่?”
“เจ้าค่ะ”
ฟู่ซื่อหลุบตาลง แต่ปลายนิ้วกลับบีบพัดในมือลงแน่นอย่างไม่รู้ตัวสายลมที่เคยเย็นสบายกลับรู้สึกร้อนอึดอัดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
“เป็นเพียงคุณหนูตกอับ แต่กลับมีบุรุษผู้มีอำนาจคอยลบข่าวให้เช่นนี้? นางไปเกี่ยวพันกับผู้ใด…?”
หลังจากนั้นฟู่ซื่อสั่งให้ “ซูอี้” สาวใช้ข้างกายอีกคนแอบสืบข่าวจากในโรงเตี๊ยมเมิ่งหลิ่วชุน
ด้วยความระแวง
“หรือว่า…ที่ข้าปล่อยข่าวไปมิใช่การทำลายคุณหนูผู้ไร้ที่พึ่ง… แต่คือการสะกิดเงาของใครบางคนเข้าโดยไม่รู้ตัว? หากผู้นั้นคือหลิงเซ่าเทียน…แล้วนางเกี่ยวพันกับเขาได้อย่างไร?
มิหนำซ้ำ เขายังลงมือ ‘ปิดข่าว’ อย่างเงียบงันได้ในคืนเดียว “
ยามเย็นใกล้ค่ำภายในเรือนกลีบบัวของฟู่ซื่อ กลิ่นชาดอกหอมหมื่นลี้ยิ่งกว่าปกติ ทว่าเจ้าของเรือนกลับไม่ได้ลิ้มรสแม้หยดเดียว
นางนั่งอยู่บนอาสนะไม้จันทน์ ขณะนิ้วเรียวยังคงหมุนพัดไม้ในมือช้า ๆ คิ้วเรียวขมวดน้อย ๆ
แววตาเปล่งประกายเจือเย็นชาและคาดการณ์
“เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่าเป็นชายผู้นั้น… ‘นายท่านหลิง’ แห่งโรงเตี๊ยมเมิ่งหลิ่วชุน?”
เสียงของนางถามขึ้นเรียบเย็น ข้างหน้าเป็นสาวใช้ในชุดสีหม่น ผูกผ้าโพกศีรษะต่ำ “ซูอี้” สาวใช้ที่นางส่งออกไปสืบ
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน นอกจากรูปพรรณสัณฐานและคำเรียกขานแล้ว ร้านค้าหลายแห่งยังมีท่าทีเกรงใจเขายิ่งกว่าทหารผู้คุมเมืองเสียอีก และมีคนกล่าวว่าเขามิใช่พ่อค้าธรรมดา หากแต่มีความเกี่ยวพันกับขุนนางใหญ่ในอดีต”
พัดในมือของฟู่ซื่อหยุดเคลื่อนไหวฉับพลัน “…ตระกูล ‘หลิง’ สายนั้นหรือ?”
เสียงนางเบา แต่แฝงด้วยแรงสะเทือน
“แม้ล่มสลายไปแล้วหลายปี…แต่หากยังมีผู้รอดชีวิต และหวนกลับมาในฐานะพ่อค้าผู้กุมเงามืดเช่นนี้ “ฟู่ซื่อหลุบตามองต่ำ ความคิดแล่นราวสายฟ้าในยามมืด
“ไม่เพียงแต่ปล่อยข่าวลือไม่สำเร็จ… แต่กลับกลายเป็นการเปิดทางให้นางได้พึ่งพิงผู้มีอำนาจอีกครั้ง…ข้าจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ “ นางวางพัดลงกับโต๊ะ หันขวับไปทางซูอี้
“สะกดรอยนางตั้งแต่พรุ่งนี้ ให้เจ้าตามคุณหนูใหญ่ทุกย่างก้าวจะออกเรือนไปที่ใด พบใคร สนทนาเรื่องใด …. ข้าต้องรู้!”
ซูอี้พยักหน้า “เจ้าค่ะ”
“หากนางพัวพันกับบุรุษผู้นั้นจริง…ข้าจะเป็นผู้ ‘ตัดรากถอนโคน’ ด้วยมือของข้าเอง” ฟู่ซื่อพึมพำออกมาเบาๆ
ท่ามกลางเสียงคนจอแจ ควันขนมอบใหม่ลอยฟุ้งแม่ค้าเรียกลูกค้าเสียงเจื้อยแจ้ว สลับกับเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ตลาดตะวันตกวันนี้ดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษ ด้วยอากาศปลอดโปร่ง และแสงแดดอุ่นที่ส่องผ่านเรือนกระดาษสี
แต่ภายใต้ความคึกคักนั้นเงาหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวตามอีกเงาหนึ่งอย่างแนบเนียน
ซูอี้ แฝงตัวอยู่ในชุดแม่ค้าธรรมดา ทว่าดวงตาคอยจับจ้องอยู่ที่หญิงสาวในชุดเรียบสีคราม ที่กำลังเดินทอดน่องไปยังร้านเครื่องเขียนเก่าแก่ด้านข้างถนน
เนี่ยฮุ่ยเฟย หญิงสาวผู้ที่เคยอยู่ในเงามืดของจวนตระกูลเนี่ย บัดนี้กลับมีแววตามั่นคงและท่วงท่าเปี่ยมสง่า แม้จะไม่มีสาวใช้ตามหลังสักคน
“ใจกล้านัก…ออกจากเรือนโดยไม่มีคนรับใช้ ไม่กลัวเสื่อมเสียหรืออย่างไร?”
นางหลบอยู่หลังแผงผลไม้ มือหนึ่งถือถาดพุทรา อีกมือกุมมีดเล็ก แสร้งเป็นแม่ค้าเดินขายไปเรื่อย ๆ ขณะที่สายตาไม่คลาดจากเป้าหมาย
ราวกับสวรรค์เบิกฟ้า ลมหายใจในห้องกลับมาไหลเวียนอีกครั้ง หมอตำแยชูเด็กทารกเพศหญิงขึ้น เสียงร้องดังใสแจ๋วดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนเงียบลงเมื่อนางถูกห่อตัวด้วยผ้าขาวสะอาดก่อนจะอุ้มออกมาส่งมอบให้หลิงเว่าเทียนที่ด้านนอก “เป็นคุณหนูน้อยเจ้าค่ะ! สมบูรณ์แข็งแรง!” หลิงเซ่าเทียนมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกเหนือคำบรรยาย เขารับบุตรีตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนเป็นคนแรก ก่อนส่งให้นางผู้เป็นมารดา เนี่ยฮุ่ยเฟยมองใบหน้ากลมมนเล็กจิ๋วของลูก ดวงตาคู่นั้นยังปิดสนิท แต่กลับรู้สึกราวกับสัมผัสถึงดวงวิญญาณเล็ก ๆ ที่มาเติมเต็มหัวใจของนาง “อวี้เหม่ย…ขอต้อนรับเจ้ามาสู่โลกใบนี้…” นางกล่าวด้วยเสียงสั่น เฝ้ามองลูกอย่างหลงใหล ดวงตาคู่นั้นพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำใส หลิงเซ่าเทียนก้มลงจุมพิตเบา ๆ ที่หน้าผากภรรยา “เจ้าคือสตรีที่เก่งที่สุดในโลก…” เสียงลมหายใจของทารกน้อยดังปนอยู่กับเสียงเทียนที่ยังคงลุกไหม้แผ่วเบาในห้อง ทั้งห
หลังยืนยันการตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ก็เริ่มเกิดขึ้น ในครัวใหญ่ ปรับเมนูอาหารใหม่สำหรับสตรีมีครรภ์ เน้นอาหารอ่อน ย่อยง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการ และในเรือนก็ได้รับการตกแต่งใหม่เพิ่มความโปร่งและเงียบสงบ ลดเสียงรบกวน เพื่อให้เนี่ยฮุ่ยเฟยพักผ่อนได้อย่างเต็มที่แม้แต่ในห้องของหลิงจิ่งหาน ถูกแยกออกเป็นห้องเล็ก ๆ ข้างเรือนใหญ่ เพื่อให้พี่เลี้ยงดูแลอย่างใกล้ชิด โดยยังให้เด็กน้อยมาเล่นกับมารดาได้ตามเวลา หลิงจิ่งหานที่ยังพูดไม่คล่องนัก มักยื่นของเล่นให้มารดา บางครั้งก็นำตุ๊กตาผ้าไปวางบนหน้าท้องนางแล้วหัวเราะเสียงใส “เจ้าอยากให้เขาเล่นกับเจ้าใช่หรือไม่?” เนี่ยฮุ่ยเฟยหัวเราะเบา ๆ ขณะลูบผมลูกชาย“อีกไม่นานเจ้าก็จะได้เป็นพี่ชายแล้วนะ…” ในคืนหนึ่ง ขณะทั้งสองสามีภรรยนั่งบนศาลาริมสระ แสงจันทร์ทอดเงาจางบนผิวน้ำ เสียงจักจั่นแว่วจากแนวไม้ไผ่ หลิงเซ่าเทียนจ้องมองหน้าท้องของภรรยา ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม “ข้
ฤดูใบไม้ผลิเดินทางเข้าสู่กลางฤดู กลีบดอกเหมยเริ่มปลิดปลิวตามลมอ่อน ๆ ยามเช้า ในจวนหลิงที่เคยวุ่นวาย ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ และเสียงเด็กทารกร้องจ๊อกแจ๊ก ยามรุ่งอรุณอาบแสงแดดสีทองที่เลื้อยผ่านม่านบาง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังคลอไปกับเสียงทารกน้อยที่กำลังส่งเสียงเรียกผู้เป็นแม่ในแบบของเขา ภายในเรือนกลาง เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งพิงเบาะนิ่มด้วยท่าทางอ่อนโยน บนตักของนางมีเด็กชายตัวน้อยวัยไม่ถึงเดือน เขากำลังดูดนมจากอกของมารดา แก้มเล็ก ๆ แดงปลั่ง มือเล็กกำแน่นจิกชายเสื้อของมารดาไว้แน่น “ค่อย ๆ ดื่มนะลูก… อย่าหายใจเร็ว” เสียงกระซิบของนางอ่อนโยนดั่งเสียงลมพัดในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาของนางจับจ้องใบหน้าของทารกน้อยด้วยแววตาเปี่ยมรัก หลังจากป้อนเสร็จ นางอุ้มลูกขึ้นพาดไหล่ ตบหลังเบา ๆ ให้เรอ เมื่อเสียงเรอดัง “เอิ๊ก” เล็ก ๆ ออกมา นางถึงกับหัวเราะเบา ๆ พลางยิ้มด้วยความเอ็นดู ในขณะนั้นเอง บานประตูบานใหญ่ของเรือนก็เปิดออก เสียงฝีเท้าคุ้นเคยที่หนักแน่นและมั่นคงดังขึ้น
เมื่อบุตรชายมีอายุครบหนึ่งปี หลิงเซ่าเทียนจึงจัดพิธีเรียกว่า “จัวโจว” โดยวางสิ่งของต่าง ๆ ไว้ให้เด็กเลือก เพื่อทำนายอนาคตในศาลาหลังสวนมีผืนผ้าไหมปูลาดอย่างประณีต บนผ้านั้นมีสิ่งของเรียงราย:• พู่กันและม้วนกระดาษ (หมายถึงนักปราชญ์)• ลูกคิด (หมายถึงพ่อค้า)• ดาบไม้ (หมายถึงนักรบ)• ถุงใส่เงินทอง (หมายถึงความมั่งมี)• หยกก้อนเล็ก (หมายถึงโชคดี) หลิงจิ่งหานถูกอุ้มให้นั่งกลางวงอย่างระมัดระวัง ทุกสายตาจับจ้องขณะเขาเหลือบมองของตรงหน้า สายตาเปล่งประกายอยากรู้ ทันใดนั้น… เขาคลานตรงไปยัง พู่กัน แต่ยังไม่ทันหยิบ ก็มองเห็นลูกคิดไม้ข้าง ๆ จึงเปลี่ยนใจไปหยิบมันขึ้นมาแทน และยิ้มแฉ่งราวพอใจ เสียงหัวเราะดังขึ้นทันที “ฮ่าๆๆ เจ้าตัวแสบของเราจะเป็นพ่อค้าที่เก่งกาจหรือไม่เนี่ย” หลิงเซ่าเทียนหัวเราะ ขณะยกบุตรขึ้นสูงแล้วหมุนเบา ๆ“อย่างไรพ่อก็ขอให้เจ้าเติบโตอย่างมีสติปัญญา สุขภาพแข็งแรงพอ”
รุ่งเช้าวันถัดมา หลิงเซ่าเทียนส่งอวี๋เหยียนกับสายลับคนสนิทเดินทางไปทางเหนือ เพื่อสืบความเคลื่อนไหวของกลุ่มขุนนางชายแดน อีกกลุ่มหนึ่ง ส่งเข้าเมืองหลวงอย่างลับเพื่อเตรียม ‘พยาน’ ที่เคยถูกปิดปากในอดีต เขาไม่ได้รอการโจมตีเขากำลัง ‘เตรียมสวนกลับ’ ในเวลาและสถานที่ที่เขาเลือกอย่างไรก็ตามภายในโรงน้ำชาร้างนอกประตูเมือง ชายวัยกลางคนสวมชุดหรูหราแต่ปิดหน้าอยู่ในเงา กำลังพูดกับคนรับใช้ข้างกาย “หลิงเซ่าเทียน…ไม่ยอมตายเหมือนพ่อมัน เช่นนั้น…เราคงต้องทำให้มันทรมานเสียก่อนจะตาย”หลายวันต่อมา ขณะที่ท้องฟ้าเมืองหลวงขมุกขมัว ท่ามกลางม่านเมฆสีเทาหนักอึ้งรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้าสู่ประตูวังหลวงอย่างเงียบงันภายในรถม้า ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก “อวี๋เหยียน” มือซ้ายของหลิงเซ่าเทียน และ ชายชรา คนที่หายไปจากแผ่นดินมานานกว่า 10 ปี ผู้เคยเป็น “เจ้ากรมอาลักษณ์” ที่อยู่ใต้คำสั่งของบิดาหลิงเซ่าเทียนเมื่อครั้งยังมีอำนาจ เขาคือหนึ่งในคนไม่กี่คน ที่รู้แผนปลอมเอกสารและใส่ร้ายตระกูลหลิงเมื่อ 13 ปีก่อน และเป็นคนเดียวที่…หนีรอดมาได้ “ข้าคิดว่าจะตายอย่างคนไม่มีชื่อ…แต่ในเมื่อผู้มีบุญคุณยังมีชีวิต ข้าจะขอเอาชีวิตที่เหลือ ทำให้ความ
ภายในจวนตระกูลหลิงเอง สาวใช้คนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ถูกส่งตัวให้รับหน้าที่ในครัวท่าทางว่าง่าย พูดน้อย ไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย นางมักเงียบงันและหลบในเงามืดของเรือนแต่ในคืนหนึ่ง ขณะที่เรือนอาหารเตรียมมื้อเย็นสำหรับฮูหยินตั้งครรภ์ นางแอบใส่ “สิ่งบางอย่าง” ลงในหม้อต้มยาจีนอย่างแผ่วเบาก่อนรีบหายตัวไปจากมุมครัวอย่างไร้ร่องรอยทว่า… เงาร่างหนึ่งยืนอยู่เหนือหลังคาใกล้ศาลาเงียบดวงตาคู่นั้นจับจ้องทุกการเคลื่อนไหว และใบหน้าที่หลบอยู่ภายใต้หน้ากากสีเงิน คือสายลับผู้หนึ่งที่หลิงเซ่าเทียนสั่งให้จับตามองทุกสิ่งในจวนของเขาเอาไว้เมื่อหลิงเซ่าเทียนกลับถึงจวนก่อนเวลา และทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องอาหาร เขากลับหยุดนิ่งทันทีก่อนจะเอ่ยกับซูหรูด้วยเสียงเรียบแต่แฝงความเย็น“นำยาทั้งหมดไปเททิ้ง และนำภาชนะไปให้ท่านหมอตรวจทันที”เนี่ยฮุ่ยเฟยมองเขาอย่างประหลาดใจ หลิงเซ่าเทียนเดินเข้าไปนั่งใกล้ ลูบมือนางเบา ๆ ก่อนเอ่ย“มีคนต้องการให้เจ้ากับลูก…ไม่ได้อยู่ต่อในโลกนี้”เนี่ยฮุ่ยเฟยหน้าซีดลงช้า ๆ นางไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่เงียบงัน มือแน่นิ่งในมือเขาหลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมดุดันดุจพยัคฆ์ใต้เงาเมฆ“ข้าเคยยอมให้ค







