วันนี้คนตรงหน้าไม่ได้มีความสำคัญใดต่อเธออีกแล้ว ในเมื่อเธอสามารถยืนด้วยสองขาของตัวเองอย่างมั่นคงเป็นหลักให้ลูกน้อยได้อย่างไม่อายใคร หรือจะพูดให้ถูกคือเธอเลยจุดที่อับอายจนกลายเป็นด้านชาเสียแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใครโดยเฉพาะคนที่เคยทิ้งกันแบบไม่มีเยื่อใยอย่างเขา
วันนี้ชิษณุกรก็แค่คนแปลกหน้าสำหรับเธอเท่านั้น
“เอาล่ะ เห็นแก่ที่คุณเป็นน้องพี่สาธุพี่เขยฉัน พี่สาธุเขาเป็นคนดี แล้วเขาก็ดีกับครอบครัวฉันมาก ดังนั้นฉันจะลืมๆ เรื่องบัดซบในอดีตนั่นไปก็แล้วกัน ถือว่าฉันมันโง่เองที่หน้ามืดตามัวหลงผิด เชื่อใจคนง่ายๆ อยากได้ผัวดีๆ แบบพี่รจ คิดว่าคุณน่าจะใช่เพราะเป็นน้องชายพี่สาธุ ใครจะรู้ว่าพี่กับน้องต่างกันอย่างกับฟ้ากะเหวแบบนี้”
ชิษณุกรถึงกับสะอึก เถียงอะไรไม่ออก เมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมของเธอ ในโพรงอกก็รู้สึกแสบร้อนปนวูบโหวง
“แต่เอาเถอะ ตอนนี้ฉันตาสว่างแล้ว เลิกเคี้ยวเอื้องแล้ว และฉันก็มีงานดีๆ มีเงินเก็บมากพอสามารถเลี้ยงดูลูกได้สบายๆ ไม่ต้องหวังพึ่งใครหน้าไหนให้มาช่วยสงเคราะห์หรือเวทนา ส่วนที่ผ่านมาก็ถือว่าซื้อบทเรียนราคาแพง ต่อไปนี้เราก็ต่างคนต่างอยู่ ชีวิตก็ใครชีวิตมัน เหมือนที่คุณทำมาตลอดนั่นแล้วกัน จบนะ...”
พอได้ระบายสิ่งที่ค้างคาในใจตลอดหลายปีออกมาเสียบ้าง หญิงสาวก็รู้สึกโล่งขึ้น โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พูดกลับกระแทกจิตใจคนฟังจนหนักอึ้งแทน
ดวงตาเข้มๆ มองใบหน้าสวยพริ้มเพราของผู้หญิงตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งที่บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่มันกำลังบีบเค้นหัวใจเขาจนปวดหนึบ
“อ้อ! จริงสิ เกือบลืมไป”
จู่ๆ เธอก็ร้องขึ้น พลางล้วงหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า แล้วยัดมันใส่ในมือของชายหนุ่ม
ชิษณุกรก้มลงมองในมือตัวเองก็พบว่ามันเป็นธนบัตรสีเทาหนึ่งใบ
“เอ้านี่ เอาของคุณคืนไป...” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับวางธนบัตรสีเขียวอีกใบในมือเขา “ส่วนนี่ทิป ฉันให้ ไม่ต้องทอนนะ”
“นี่มันอะไรกัน” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น ตามองเงินในมืออย่างงุนงง
“อ้าว! ก็ค่าตัวคุณไง หนึ่งพันที่คุณให้มาตอนนั้น ฉันคืนให้ ส่วนยี่สิบนี่ ถือว่าฉันจ่ายเป็นค่าตัวคุณ ถึงจะแรงดี แต่ลีลาก็งั้นๆ บอกตามตรงว่าฉันไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ ถ้าจะมัดใจสาว คุณคงต้องพยายามฝึกฝนให้มากกว่านี้หน่อยนะ”
เมรีกดยิ้มอย่างเลือดเย็น ดวงตาคู่งามมองหน้าอีกฝ่ายก่อนหลุบตามองต่ำลงไปหยุดที่กึ่งกลางลำตัวอย่างมีนัยยะ แล้วแกล้งเบะปากส่ายหน้าไปมา
“ไม่ไหว...ไม่ประทับใจอย่างแรง”
“เมรี!”
ชายหนุ่มคำรามลอดไรฟัน จ้องมองดวงหน้าใสๆ ที่ลอยหน้าอย่างอวดดีจนน่าตีที่สุด ในใจเดือดปุดๆ ไม่เคยมีใครหยามหน้าเขาแบบที่เธอทำ ค่าตัวบ้าอะไร ตอนนั้นเขาเสียแรงไปตั้งเท่าไหร่
สี่ยก! ตั้งสี่ยก ยัยนี่ตีราคาออกมาแค่ยี่สิบบาท ก็ตกยกละห้าบาทเนี่ยนะ
เดี๋ยวนะ! นี่มันไม่ใช่ประเด็นนี่หว่า...
“เรียกทำไม หรือว่ายี่สิบมันน้อยไป ช่วยไม่ได้นะ ก็ลีลาคุณมัน ห่วยแตกต้องพัฒนาจริงๆ จะมาโก่งค่าตัวเอาเปรียบผู้บริโภคมันก็ไม่ได้ไง อุ๊บ!”
คำพูดของเธอถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อถูกคนห่วยแตกปิดปากด้วยริมฝีปากอันร้อนผ่าวอย่างดุดัน
เมรีเบิกตาค้าง รู้สึกราวกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ เมื่อได้พบรสสัมผัสที่คุ้นเคยมาก่อกวนตะกอนที่เคยนอนสงบในใจให้ปั่นป่วนอีกครั้ง พลันภาพในวันวานก็ผุดขึ้นในสมองเป็นฉากๆ
จูบของเขาวันนี้ไม่มีรสของสาโทหรือน้ำเมาใดๆ เจือปน แต่กลับทำให้เธอมึนเมาเสียยิ่งกว่าวันนั้น และช่างดุดันเมื่อเจ้าตัวจงใจบดขยี้มันลงมาหมายสั่งสอนคนปากดีด้วยอารมณ์โกรธกรุ่นที่ถูกสบประมาทอย่างรุนแรง
ถึงจะตกใจในตอนแรก แต่เมรีก็รีบรวบรวมสติที่กระเจิงหาย รอจังหวะเหมาะที่อีกฝ่ายเผลอตัวตายใจคิดว่าเธอหลงเคลิ้มไปกับรสจูบแสนเร้าใจของเขา พอได้ทีก็ตอบโต้กลับ
“โอ๊ะ! โอ๊ย!”
ชิษณุกรถึงกับผงะหน้าหงาย เมื่อเจอปลายเล็บแหลมคมจิกหมับเข้าที่ยอดอกของเขาแล้วบิดอย่างแรงจนเนื้อแทบหลุดติดมือ ถึงเธอตัวเล็กกว่าแต่ใช่ว่าจะยอมให้ใครรังแกเอาง่ายๆ
ดวงตาเข้มดุตวัดมองสาวแสบที่ยกเท้ากระทืบลงมาที่ปลายเท้าเขาแบบเน้นๆ จนเขาเผลอสะดุ้งผงะ ก่อนที่จะโดนผลักอกอย่างสุดแรง เกือบกระเด็นหงายเงิบ
ยังไม่ทันตั้งตัวติดชายหนุ่มก็ต้องรีบเบี่ยงตัวหลบเมื่อเห็นฝ่ามือพิฆาตตวัดลงมาที่ใบหน้าอันหล่อเหลา ถึงหลบได้ฉิวเฉียดแต่ไม่วายโดนปลายเล็บคมเกี่ยวข้างแก้มจนรู้สึกแสบวูบ
“โอ๊ะ!”
เมรีถอนหายใจฟึดฟัดอย่างเสียดายที่พลาดเป้าตบไม่โดนปากร้ายๆ หรือเบ้าตาคมเข้มกวนโอ๊ยคู่นั้นให้เสียโฉม เธอรีบถอยฉากไปตั้งหลัก พลางใช้หลังมือถูกลีบปากตัวเองรัวๆ
“อี๋...สกปรก” เจ้าของปากที่ใครๆ ต่างบอกว่าเซ็กซี่น่าจูบที่สุดถึงกับฉุนกึก เมื่อถูกสบประมาท
“มากไปหรือเปล่า”
เมรีเบ้ปากใส่ หน้าบึ้งด้วยความโกรธ
“ไม่มากหรอก คุณมันสกปรกทั้งตัวทั้งใจ อยู่ให้ไกลๆ ไว้ก่อนแหละดี ต้องไปฉีดยากันพิษสุนัขบ้าหรือเปล่าเนี่ย อี๋...”
ชายหนุ่มฟังแล้วรู้สึกมันเขี้ยว แต่สัมผัสที่ติดตรึงที่ริมฝีปากเขามันกลับร้อนผ่าวและหวานซาบซ่านยิ่งกว่าตอนที่เขาและเธอ...ในวันนั้น
“คิดอะไรของคุณ” เมรีหรี่ตามองดวงตาคมลึกคู่นั้นอย่างรู้ทัน “คิดหื่นอีกล่ะสิไอ้คนลามก”
“รู้ได้ไงว่าพี่กำลังคิดถึงวันที่เรา...”
“พอ! หยุดพูด! แล้วรีบไสหัวไปก่อนที่ฉันจะอ้วกแตก”
“เราพูดกันดีๆ ได้ไหม พูดกันให้รู้เรื่องแบบไม่ใช้อารมณ์” เขาเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แม้ในใจร้อนรุ่มกับสิ่งที่อยากรู้จากอีกฝ่าย
“นี่ก็ยังไม่ได้ด่านี่ ฉันรู้เรื่องแล้ว คุณต่างหากเมื่อไหร่จะพูดรู้เรื่องสักที รีบออกไปหาคู่หมั้นตัวเองซะก่อนที่เธอจะสงสัย ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเปิดโปงคุณ ถ้าคุณไม่ระรานฉันก่อน เรายังพออยู่ร่วมโลกกันได้ ไม่ต้องมายุ่งกับพวกเราแม่ลูกอีก มันน่ารำคาญ”
“แต่ลูก...”
“ลูก...ลูกอะไร ลูกทำไม ก็บอกแล้วว่าลูกฉันกับคนอื่น ไม่ใช่ลูกคุณสักหน่อย”
“งั้นกล้าพิสูจน์ไหม เราไปโรงพยาบาลตรวจดีเอ็นเอกันเดี๋ยวนี้เลยไหม...”
ยิ่งพูดก็ยิ่งปวดตับ เมรีแยกเขี้ยวใส่ เขาจะมาอะไรนักหนา เธออุตส่าห์หาทางจบสวยๆ ให้ ตัวเองก็จะแต่งงานกับคนอื่นแล้ว ยังจะมาตรวจหาความจริงให้มันได้อะไรขึ้นมา หรืออยากยั่วประสาทให้องค์แม่ลงประทับ
“ว่าไง เธอกล้าไหม”
“ไม่รักงั้นเหรอ!”“ครับ เราไม่ได้รักกัน ผมมีผู้หญิงที่รักและอยากแต่งงานด้วยอยู่แล้ว”“อ้าว แล้วทำไมลูกไม่บอกพ่อกับแม่ล่ะ ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนล่ะ” คุณมาลินีซักด้วยน้ำเสียงพิศวง “หรือเราจะไปขอให้แม่หนูคนนั้นมาเข้าพิธีกับลูกดีไหม”“ผมก็อยากให้เป็นแบบนั้นครับแม่ แต่ว่าตอนนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอกับลูกหนีผมไปอยู่ที่ไหน และถึงตามตัวเจอ เธอก็คงไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายอย่างผมอยู่ดี”“อ้าว! นี่แกไปหลงรักแม่หม้ายหรือเมียใครกัน มีลูกติดด้วยเนี่ยนะ โอย...ฉันจะเป็นลม” คนพูดรีบควักยาดมในกระเป๋ามาโบก ร้อนถึงสามีต้องหาพัดมาวีให้“ไม่ใช่ครับแม่ ไม่ใช่ลูกติดของใคร แต่เป็นลูกสาวของผมเองครับ หลานแท้ๆ ของคุณพ่อกับคุณแม่” ยิ่งฟังก็ยิ่งงุนงง“ว่าไงนะ แล้วนี่แกไปทำลูกสาวใครเขาท้องมาตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะตาชิษ ทำไมเพิ่งมาบอกพวกเราเอาตอนนี้”“สี่ปีที่แล้วครับ ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีลูกเมื่อไม่นานมานี้”“โอ๊ย ลูกหนอลูก ทำสาวท้องตั้งสี่ปีเพิ่งมารู้ ก็สมควรแล้วให้เขาพาลูกเต้าหนี แล้วนี่จะยังไง เจ้าสาวก็หนี เมียก็ยังมาหอบลูกหนีอีก งามหน้าไหมลูกชายฉัน”“ใจเย็นๆ ก่อนครับคุณแม่”
บรรยากาศในไร่สาธุคุณวันนี้คึกคักกว่าปกติ เพราะกำลังจะมีงานมงคลเกิดขึ้น คนงานในไร่ช่วยกันตกแต่งสถานที่กันอย่างขมีขมันเป็นพิเศษ เพราะเจ้าภาพของงานเป็นถึงน้องชายคนเดียวของเจ้าของไร่ แถมมีแม่เลี้ยงรจนาและสามีลงมาคุมงานด้วยตัวเองทุกขั้นตอนในขณะที่ใครต่อใครกำลังวุ่นวายทำหน้าที่ มีเพียงคนเดียวที่ไม่อยากให้งานนี้เกิดขึ้น ว่าที่เจ้าบ่าวของงานยืนทอดสายตามองที่ระเบียงห้องนอนปล่อยใจล่องลอยไปถึงใครบางคนป่านนี้เธอคนนั้นจะเป็นยังไงบ้าง อยู่ที่ไหน อยู่กับใครกัน สบายดีหรือเปล่า และจะรู้บ้างไหมว่ามีคนคิดถึงเธอมากแค่ไหน“อ้าว มาอยู่นี่เองเหรอเจ้าบ่าว”เสียงนั้นทำให้คนใจลอยได้สติ หันไปมองต้นเสียงด้วยสายตาที่ทำให้คนเป็นพี่ชายใจหาย เพราะมันคือสายตาของความสิ้นหวัง หม่นหมอง ผิดวิสัยของคนกำลังจะเข้าประตูวิวาห์ที่ควรมีความสุข ดวงตาเป็นประกายแวววาว ไม่ใช่ไร้วิญญาณเช่นนี้“อย่าบอกนะว่านายคิดจะโดดลงจากระเบียงฆ่าตัวตายหนีงานแต่งวันนี้” สาธุคุณแกล้งหยอกแรงๆ“หึ! ผมดูเหมือนคนคิดสั้นขนาดนั้นเลยหรือครับพี่”“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง นายลองไปส่องกระจกดูสิ หน้าตาไม่เหมือนคนจะเข้าหอ แต่เหมือนคนจะโดนประหารยังไงยังงั้น ทำไมวะ ไ
“พี่รจจะมาวันนี้ทำไมเห็นโทรมาบอกเลยล่ะจ๊ะ”“พอดีพี่รีบมากะทันหันน่ะ มีคนบอกว่าอยากเจอเธอ”เมรีชะงักกึก ชะเง้อมองไปข้างหลังที่มีใครอีกคนเพิ่งเปิดประตูลงมาจากรถก่อนอุทานลั่น“พี่แนน!”นันทิกามองสบตาหญิงสาวตรงหน้านิ่ง ก่อนที่จะคลี่ยิ้มออกมา“ไม่เจอกันนานเลยนะคะน้องเมรี”“เอ่อ...” เมรีมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างอึดอัดปนอยากรู้ในเจตนาของอีกฝ่าย เธอสู้อุตส่าห์หนีมาหลบกะว่าให้ผ่านพ้นงานแต่งของอีกฝ่ายเพราะเกรงจะเกิดปัญหาตามมา แต่ไม่คิดว่านันทิกาจะอยากพบหน้าเธออีกทำไมไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะตามมาตบเธอหน้าแหกใช่ไหม“เชิญเข้าบ้านก่อนสิคะ เดี๋ยวเมรีไปเอาน้ำมาให้”“อย่าลำบากเลยค่ะ พี่มีเรื่องอยากจะถามน้องเมรีนิดหน่อย ได้คำตอบแล้วพี่ก็จะไป”คำว่าไปของอีกฝ่ายทำให้เมรีแอบฉงน แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร“ไปเจ้าลูกหมู ไปดูการ์ตูนกับป้ารจดีกว่า” รจนาพาหลานเลี่ยงไปที่ห้องรับแขก ปล่อยให้สองสาวได้คุยกัน แต่ก็ไม่วายแอบดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆเมื่อได้อยู่ตามลำพังนันทิกาก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงตรงเข้าประเด็นทันที“พี่ขอถามน้องเมรีตรงๆ ได้ไหมว่าน้องเมรีรู้สึกยังไงกับพี่ชิษคะ”มาคำถามแรกก็ทำคนถูกถามอึ้งเสียแล้ว เมรีมองสบตาอี
ตึง!ขาเม้าท์ทั้งฝูงสะดุ้งโหยง หันมองต้นเสียงกันเลิ่กลั่ก พอเห็นว่าเป็นใครต่างก็หน้าเสียไปตามๆ กัน“รับอะไรดีจ๊ะพ่อหนุ่ม” เจ้าของร้านเปลี่ยนสีหน้ายิ้มแย้มรับลูกค้าทันใด“น้ำเย็นขวดหนึ่งครับป้า”“ได้จ้ะ รอเดี๋ยวนะ”“นั่นไงๆ ผัวเก่ายัยเมรี หูย...หน้าอย่างกับมหาโจร หนวดเครางี้ครึ้มเชียว”คนถูกนินทายังคงวางหน้านิ่ง“หน้าโหดแบบนี้ไงเล่าถึงโดนเมียทิ้งหอบลูกหอบเต้าหนีไปกับผัวใหม่”กร๊อบบบบเสียงขวดน้ำดื่มในมือถูกบีบจนแตกยับเยินคามือ ก่อนที่ดวงตาดุเข้มปรายมองฝูงไฮยีนากระหายเลือดอย่างเย็นชาและเหี้ยมเกรียม“ขอโทษนะครับป้า ผมขอแก้ข่าวหน่อย”“จ๊ะ...กะ แก้ข่าวอะไรหรือพ่อหนุ่ม”“ผมชื่อชิษณุกร ไม่ใช่ผัวเก่าของเมรีลูกแม่สีดา แต่เป็นผัวคนปัจจุบัน และผัวคนเดียวของเธอต่างหาก อ้อ! แล้วน้องเวียงพิงค์นั่นก็ลูกผมเอง ไม่ใช่เด็กไม่มีพ่อที่ไหน แล้วถ้าใครอยากเสือก เอ๊ย! สงสัยอยากรู้อะไรก็ไปถามผมได้ทุกเมื่อที่ไร่พี่สาธุ แต่ถ้าผมได้ยินว่ามีคนปากหมามาว่าลูกเมียผมในทางไม่ดีหรือไม่จริงอีกล่ะก็ รอรับหมายศาลถึงบ้านเลยก็แล้วกัน งานนี้ผมรับคำขอโทษเป็นเงินสดหกหลักขึ้นเท่านั้น หวังว่าป้าๆ ทุกคนคงเข้าใจนะครับ”พอพูดจบ ความ
เขาคิดถึงและเป็นห่วงเธอจะแย่แล้ว ไหนจะคิดถึงลูกสาวตัวน้อยที่ไม่ได้เจอหน้าตั้งหลายวัน หลังจากวันนั้นที่เขาบอกกับแม่ของเธอว่าจะมาหาในวันรุ่งขึ้น แต่พอมาถึงนางสีดาก็บอกว่าเธอไปทำงานแล้ว และหลังจากนั้นมาเขาก็ไม่ได้พบหน้าเธอและลูกสาวอีกเลยคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากอีกฝ่ายต้องการหลบหน้ากัน แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ยังแอบมาส่องหน้าบ้านเธอทุกคืน ไม่ได้เห็นหน้าขอเห็นหลังคาก็ยังดีแต่วันนี้เขาต้องพบเธอให้ได้ ก่อนที่อกจะแตกตายเพราะความอัดอั้นที่มีจนมากล้น แต่พอชายหนุ่มไปถึงบ้านของเมรีก็พบว่ามันปิดเงียบเชียบเหมือนไม่มีคนอยู่“มีใครอยู่ไหมครับ” ชิษณุกรตะโกนเรียก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา และไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ไม่มีใครขานตอบจากในบ้าน ไหนว่าลาป่วย หรือว่าอาการหนักจนต้องไปโรงพยาบาลยิ่งคิดก็ยิ่งห่วง รออยู่นานจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แน่ๆ ชายหนุ่มจึงยอมถอยไปตั้งหลักที่บ้านพี่ชาย แต่ทว่าตอนที่เขากำลังจะเข้าบ้านนั้นเอง ก็มีใครบางคนเดินสวนออกมาเสียก่อน“น้าสีดา น้าแผน”ชิษณุกรเผลอยิ้มออกมาอย่างดีใจ โดยไม่ทันสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายที่ดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร“ที่แท้ก็มาอยู่นี่เอง เมื่อกี้ผมไปหาที่บ้าน แต่เห็นปิดป
“สะดุดตกคันนามาน่ะแม่ ฉันมันโง่เองน่ะแม่ เดินไม่ระวัง ไม่สิจริงๆก็ระวังแล้วล่ะ แต่ก็ยังอุตส่าห์พลาดอีกจนได้” เมรียิ้มเยาะตัวเอง ทั้งที่ตอนนี้ขอบตาร้อนผ่าวแต่เธอพยายามสะกดกลั้นไม่ปล่อยให้ความรู้สึกที่กำลังเอ่อท้นล้นออกมาฟ้องความอ่อนแอให้ใครเห็นเธอไม่ต้องการให้พ่อแม่หรือใครต้องเป็นห่วงหรือสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น“พูดอะไรของแกน่ะ แม่งงไปหมดแล้ว”“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะแม่ อย่าสนใจเลย แล้วนี่เจ้าเวียงพิงค์ล่ะ ขึ้นนอนแล้วเหรอ”“อืม งอแงตั้งแต่หัวค่ำ บอกจะให้พาไปหาแกกับพ่อจ๋าที่ไร่โน้น แม่กับพ่อแกทั้งกล่อมทั้งปลอบอยู่ตั้งนานกว่าจะยอมนอนหลับได้”คำว่า ‘พ่อจ๋า’ ทำให้คนฟังสะอึก คงเป็นสายใยผูกพันทางสายเลือดที่ทำให้ลูกเธอติดเขา แม้ว่าจะพบกันไม่กี่หนลูกติดเขายังพออ้างได้ แต่เธอนี่สิหลงเชื่อเขาซ้ำๆ มากี่ครั้งกี่หนแล้วจะอ้างอะไรดี“งั้นฉันขึ้นไปดูลูกก่อนนะแม่”“อ้าว ไม่กินข้าวกินปลาก่อนเหรอ” คนเป็นแม่มองตามหลังแม่ลูกสาวที่เดินคอตกขึ้นบ้านไปเงียบๆ อย่างแปลกใจ“เป็นอะไรของมันไปอีกล่ะนั่น หรือว่า...”“เมรี! เมรี...” ยังไม่ทันได้คำตอบ ก็มีเสียงเรียกขึ้นที่หน้าบ้านอีกครั้ง“ใครกันมาตะโกนเรียกค่ำๆ มืดๆ” นางสีดา