Share

บทที่ 3

Author: คุณชายหกถังถัง
“น้องหญิงทั้งหลาย พวกเรากลับบ้านกันเถอะ!”

หลี่วั่นเหนียนโค้งตัวคำนับตามธรรมเนียนของผู้มีการศึกษาในยุคนี้

ใช่แล้ว บิดาของร่างเดิมเป็นผู้มีการศึกษา เป็นซิ่วไฉ[1] แม้จะถูกยกเว้นการเกณฑ์ทหาร แต่เนื่องจากร่างกายอ่อนแอ จึงตายด้วยโรคระบาด

แต่เขาอายุปูนนี้ เพิ่งจะโค้งตัวลงก็ทรุดตัวคุกเข่า ร่างกายอ่อนปวกเปียกไม่ต่างจากน้องชาย!

“ท่านพี่ไม่ต้องทำความเคารพขนาดนี้ อย่างไรท่านก็ช่วยพวกข้าสามพี่น้องไว้!”

พี่สาวคนโตของทั้งสามสาวทำความเคารพอย่างอ่อนช้อยตอบ แม้จะสวมชุดผ้าป่าน แต่ก็ไม่อาจซ่อนความเป็นหญิงผู้ดี

“จริงสิ ข้ายังไม่ทราบชื่อของน้องหญิงทั้งสามเลย?”

หลี่วั่นเหนียนถาม

“ข้ามีนามว่าหลินหว่านเซียน นี่คือน้องคนรองชื่อหลินหว่านเหยียน นี่คือน้องคนเล็กชื่อหลินหว่านชิง!”

“ที่แท้ก็หว่านเซียน หว่านเหยียน และหว่านชิงสามน้องหญิง นี่ก็สายแล้ว พวกเรารีบกลับบ้านกันเถอะ!”

หลี่วั่นเหนียนหิวแล้ว หิวมากจริง ๆ เขากินรำข้าวทั้งหมดตั้งแต่เมื่อวานซืน เมื่อวานนี้ก็ไม่มีข้าวตกถึงท้อง แต่วันนี้ภรรยาทั้งสามนำเสบียงอาหารคนละเดือนกลับมาเป็นสินเดิม เขาจะได้กินอิ่มท้องเสียที

เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเขา ตอนนี้เพิ่งจะเดือนที่สาม เพิ่งเข้าฤดูใบไม้ผลิได้ไม่นาน ข้าวฟ่างที่เพิ่งปลูกลงนาต้องรอถึงเดือนเจ็ดเดือนแปดจึงจะเก็บเกี่ยวได้ ยังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งปี พวกเขาก็ขาดแคลนเสบียงอาหารแล้ว

สาเหตุของการขาดแคลนเสบียงอาหารมีหลายอย่าง ทั้งเพราะผลผลิตในปีที่แล้วไม่ดี การจัดเก็บภาษีของกองทัพและทางการเพิ่มขึ้นสูง ทุกวันนี้ชาวบ้านต้องจ่ายภาษีถึงหกส่วนให้กับกองทัพและทางการ แม้ที่ดินจะเป็นของตัวเอง ทว่ามันกลับไม่ต่างอะไรกับการเช่าที่ดินเลย เมื่อเกิดภัยแล้ง ทุกคนล้วนต้องประสบกับความอดอยาก หลายคนมีชีวิตรอดไม่ถึงวันที่ต้นข้าวเติบโต

“เจ้าค่ะ ท่านพี่โปรดนำทาง!”

ถึงแม้หลินหว่านเซียนจะรู้สึกว่าสามีคนนี้ดูแก่มากแล้ว ไม่น่าจะเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่อย่างน้อยก็มีมารยาทกว่าชาวนาพวกนั้นมาก ที่เพิ่งจะมารับตัวเจ้าสาวเมื่อครู่ก็จับก้นและหน้าอกแล้ว

เมื่อมาถึงหน้าบ้านของหลี่วั่นเหนียน ทุกคนต่างประหลาดใจเมื่อเห็นกระท่อมที่มีรูโหว่เต็มไปด้วย หลี่วั่นเหนียนพูดอย่างอาย ๆ เช่นกัน “ขออภัย ช่วงก่อนมัวแต่ยุ่งกับการปลูกข้าวฟ่าง ลืมซ่อมแซมบ้าน แต่ไม่ต้องห่วง ข้ามีฟางข้าวกับหญ้าป่าเยอะมาก พอที่จะซ่อมกระท่อมได้!”

หลี่วั่นเหนียนทะลุมิติมาอยู่ที่นี่ได้สี่สิบกว่าปีแล้ว อาศัยอยู่ที่กระท่อมโทรม ๆ หลังนี้มาโดยตลอด ที่จริงแล้ว สภาพที่อยู่อาศัยของทุกคนก็เหมือนกันหมด เป็นกระท่อมฟางทั้งสิ้น จะมีก็แต่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้นที่สร้างจากอิฐ แต่นั่นก็เพราะอีกฝ่ายเป็นสายหลักของตระกูลใหญ่ ได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ตอนนี้หัวหน้าหมู่บ้านไม่มีกำลังพอที่จะสร้างบ้านอิฐเป็นหลังที่สองเช่นกัน

“ไม่เป็นไร พวกเราร่วมด้วยช่วยกัน แค่เดี๋ยวเดียวก็ซ่อมเสร็จแล้ว!”

น้องสาวคนที่สาม หลินหว่านชิงไม่ได้ผิดหวังมากนัก เพราะเท่านี้มันก็ดีมากแล้ว

“จริงสิ พวกเจ้าทั้งสามไปเตรียมมื้อเที่ยงเถอะ ข้าจะซ่อมกระท่อมเอง!”

แม้หลี่วั่นเหนียนจะอายุมากแล้ว แต่เขาเป็นคนหลังค่อม ไม่มีกำลังที่จะจัดการเรื่องพวกนี้

เพราะเดิมทีเขาก็อยู่คนเดียว ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรมากนัก ต่อให้ซ่อมไป เขาก็หนาวอยู่ดีเพราะไม่มีเครื่องนอน แต่ตอนนี้เขาต้องทำกิจในตอนกลางคืน ถ้าในบ้านมีลมโกรกไปทั่วก็คงจะไม่เหมาะสม

“ท่านพี่อย่าทำเรื่องพวกนี้เลยเจ้าค่ะ นี่เป็นหน้าที่ของหญิงสาวเช่นพวกข้าอยู่แล้ว!”

หลินหว่านเซียนปฏิเสธทันที ทำให้ตัวเขาที่อยู่โดดเดี่ยวมาหลายสิบปี พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

หลินหว่านเหยียนยังคงไม่พูดอะไรสักคำ ดูจะค่อนข้างเก็บตัว ส่วนหลินหว่านชิงสดใสร่าเริงมาก คอยวิ่งวุ่นทำโน่นทำนี่

ครานี้หญิงสาวทั้งสามแบ่งหน้าที่กัน คนที่ซ่อมกระท่อมก็ซ่อมไป คนที่ทำอาหารก็ทำอาหารไป

พวกนางนำข้าวฟ่างสำหรับหนึ่งเดือนมากันคนละชุด หรือก็คือยี่สิบกว่าชั่ง พอให้หนึ่งคนกินได้หนึ่งเดือน

“ท่านพี่ โอ่งเก็บข้าวสำหรับใส่ข้าวฟ่างอยู่ที่ใด?”

“อยู่ตรงนี้!”

หลี่วั่นเหนียนชี้ไปที่โอ่งเก็บข้าว หลินหว่านเซียนเปิดดู โอ่งใบนี้สะอาดยิ่งกว่าใบหน้าเสียอีก ภาพนี้ทำให้นางสงสารขึ้นมาทันที มิน่าเล่า เขาถึงต้องไปเป็นทหาร ที่แท้ก็เพราะไม่มีอาหารให้กินแล้ว น่าสงสารจริง ๆ!

หลี่วั่นเหนียนรู้สึกอายเล็กน้อย “แค่ก ๆ น่าจะใส่ได้พอใช่หรือไม่?”

“ใส่ได้พอเจ้าค่ะ ท่านพี่ไปนั่งพักก่อน เดี๋ยวข้าวก็สุกแล้ว!”

“ได้! น้องหญิงหว่านเซียนลำบากแล้ว!”

หลี่วั่นเหนียนนั่งรอในโถงรับแขกที่ความจริงก็มีขนาดเล็กมาก ส่วนห้องครัวก็เป็นแค่ครัวเล็ก ๆ ที่อยู่ติดกับตัวบ้าน มีลมโกรกทั้งสามด้าน โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันและเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่หนาวนัก

“ท่านพี่ไม่ต้องเกรงใจ!”

หลินหว่านเซียนก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

ส่วนหลี่วั่นเหนียนนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก ฟังเสียงก๊องแก๊งในครัว ในที่สุดก็รู้สึกถึงความเป็นครอบครัวขึ้นมาบ้าง แต่เขารู้ดี วันเวลาแบบนี้จะอยู่ได้อีกไม่นานนัก อีกหนึ่งเดือน เขาก็ต้องไปรายงานตัวที่อำเภอแล้ว ถ้าโชคดีก็จะได้ประจำการที่อำเภอนี้ แต่ถ้าโชคร้าย ก็อาจต้องไปประจำการที่ชายแดน

แน่นอนว่าเขาอยากอยู่ที่นี่ต่อ เพราะจะทำให้เดินทางกลับบ้านได้สะดวก

ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา กลิ่นหอมของข้าวฟ่างก็โชยออกมา

“ท่านพี่ ในบ้านมีชามข้าวหรือไม่เจ้าคะ?”

“อยู่นี่!”

หลี่วั่นเหนียนหยิบชามข้าวออกมา มีเพียงชามเดียวที่ยังพอสะอาด ส่วนชามอื่นที่เหลือมีฝุ่นจับหนาเตอะ สาเหตุเป็นเพราะเขาอาศัยอยู่ตัวคนเดียว ปกติก็ใช้ชามแค่ใบเดียวในการกินข้าว นอกจากนี้ยังเป็นชามปากบิ่น

หลังจากหญิงสาวทั้งสามล้างทำความสะอาดชามอย่างดี ก็นำข้าวฟ่างที่หุงเสร็จเรียบร้อยมาวางบนโต๊ะขาเป๋

“ท่านพี่ เชิญท่านกินก่อน!”

หญิงสาวทั้งสามไม่ได้กินอาหารทันที รอให้หลี่วั่นเหนียนกินก่อน

หลี่วั่นเหนียนมองอาหารร้อนกรุ่น รู้สึกร้อนผะผ่าวที่ขอบตา บอกตามตรง การจะได้กินอาหารร้อน ๆ สักมื้อไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ที่ยากยิ่งกว่า คือการได้กินอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว

แม้หญิงสาวทั้งสามจะไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานกับเขา แต่ก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ในสายตาของทางการและวงศ์ตระกูล เขาก็คือหัวหน้าครอบครัว

“กินพร้อมกันเถอะ! อย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน!”

หลี่วั่นเหนียนไม่ได้แบ่งแยกว่าบุรุษเหนือกว่าสตรี ทุกคนจะกินข้าวก็กินพร้อมกัน ไม่จำเป็นต้องรอให้บุรุษกินเสร็จก่อน

เมื่อได้รับการอนุญาตจากหลี่วั่นเหนียน ทุกคนก็เริ่มกินอาหารด้วยความซาบซึ้งใจ

หญิงสาวทั้งสามต่างก็ได้รับการอบรมมาอย่างดี กินอาหารกันอย่างสุภาพ แม้จะหิวเพียงใดแต่ก็ไม่ได้กินอย่างมูมมาม

“ข้าสงสัยยิ่งนัก เหตุใดพวกเจ้าจึงกลายเป็นทาส!”

หลี่วั่นเหนียนสงสัยมาก จึงใช้โอกาสนี้ไขข้อสงสัยให้ตัวเอง

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งสามสาวพลันมีสีหน้าเศร้าสร้อยทันตา หลินหว่านเซียนพูด “เดิมทีบิดาของข้าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นขั้นห้าของราชสำนัก เนื่องจากล่วงเกินผู้มีอำนาจ จึงถูกจับเข้าคุกและรอประหารหลังฤดูใบไม้ร่วง ส่วนพวกข้าที่เป็นสตรี ก็ถูกลดขั้นให้เป็นทาสทั้งหมด!”

“หืม ล่วงเกินผู้ใดหรือ?”

หลี่วั่นเหนียนถามอย่างไม่คิดอะไร

“อัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน!”

“แค่ก ๆ ๆ!”

หลี่วั่นเหนียนสำลักข้าว บิดาของหญิงสาวตระกูลหลินเหล่านี้ช่างโชคร้าย แต่เขาไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร ตัวเขาอยู่ห่างจากคนระดับอัครมหาเสนาบดีไกลมาก อย่าว่าแต่อัครมหาเสนาบดีเลย แค่ขุนนางขั้นที่ห้าก็ห่างไกลมากแล้ว เพราะขนาดนายอำเภอของพวกเขา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกครองร้อยลี้ ก็ยังเป็นแค่ขุนนางขั้นเจ็ด เวลาพบขุนนางขั้นที่ห้าต้องโค้งตัวคำนับ

“ท่านพี่วางใจได้ พวกข้าจะไม่บอกผู้ใดแน่นอน!”

หลินหว่านเซียนนึกย้อนเสียใจ อย่างไรเขาก็เป็นแค่ชายชรา ถ้าหากตกใจตายขึ้นมา พวกนางคงถูกส่งไปให้กองทัพอีกครั้ง

“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้ข้ายังรับได้!”

หลี่วั่นเหนียนไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องนี้ เขาเหลืออายุขัยอีกแค่หนึ่งเดือน ต้องรีบให้สามนางมีทายาทให้ตระกูลหลี่ภายในหนึ่งเดือนนี้!

หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็ยังคงอยู่ในช่วงประมาณเที่ยงวัน ยังมีเวลาอีกนานกว่าจะถึงตอนกลางคืน ทุกคนจึงทำความสะอาดบ้านและจัดที่นอน

เดิมทีแล้วมีเตียงอยู่สองหลัง แต่ตอนนี้มีสมาชิกสี่คน เตียงหนึ่งนอนได้สองคน ทั้งยังไม่มีผ้าห่ม

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงหาหญ้าแห้งมาทอเป็นผ้าห่ม ใช้ป้องกันความหนาวในยามค่ำคืน

หลี่วั่นเหนียนชินนานแล้ว แต่บุตรสาวตระกูลหลินทั้งสามคนเติบโตมากับความหรูหรา หากไม่มีผ้าห่มคงจะทนไม่ไหว

โดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง

“ท่านพี่ ข้าจะต้มโจ๊ก กินแล้วรีบเข้านอนแต่หัวค่ำนะเจ้าคะ!”

หลินหว่านเซียนเหมือนจะคุ้นชินกับบทบาทนายหญิงของบ้านแล้ว ยังคงจัดการงานบ้านต่อไป

“ได้!”

หลี่วั่นเหนียนทำงานมาตลอดทั้งบ่าย รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย นั่งรออาหารเสร็จอยู่บนเก้าอี้เล็ก ๆ

ในโลกนี้ ชาวบ้านจะกินอาหารวันละสองมื้อในช่วงที่มีผลผลิตอุดมสมบูรณ์ โดยทั่วไปแล้วจะกินมื้อหนึ่งในช่วงใกล้เที่ยง จากนั้นกินอีกมื้อในช่วงเย็น ซึ่งมื้อเย็นนี้ต้องรีบกินก่อนพระอาทิตย์ตกดิน มิเช่นนั้นตกกลางคืนมืดมิดก็จะไม่เห็นอะไรเลย

ที่เตามีหม้ออยู่สองใบ ใบหนึ่งสำหรับหุงข้าว อีกใบสำหรับต้มน้ำร้อน หญิงสาวทั้งสามทำงานกันอย่างไม่หยุดพัก

โจ๊กในมื้อเย็นเหลวมาก แต่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อคนสี่คนต้องกินอาหารที่มีพอแค่สำหรับสามคน จำเป็นต้องประหยัดเข้าไว้

เมื่อหลี่วั่นเหนียนกินมื้อเย็นเสร็จ ท้องฟ้าก็ใกล้มืดสนิทแล้ว

“ท่านพี่ น้ำร้อนพร้อมแล้ว เชิญท่านล้างหน้าล้างตัวก่อน”

หลินหว่านเซียนพูดอย่างรู้ความ

“ได้!”

หลี่วั่นเหนียนรู้ว่าวันนี้ต้องทำกิจกรรมบนเตียง ต้องล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด บริเวณจุดที่ปกติแล้วไม่ได้ใส่ใจ วันนี้ต้องทำความสะอาดให้ทั่วถึง ป้องกันไม่ให้สตรีป่วยเป็นโรคทางระบบสืบพันธุ์

เขารู้สึกว่าตัวเองมีความรับผิดชอบพอสมควร อย่างน้อย ๆ บุรุษในโลกนี้ก็ไม่ใส่ใจรายละเอียดพวกนี้

พื้นที่อาบน้ำอยู่ภายในห้อง หลี่วั่นเหนียนทำความสะอาดร่างกายอย่างหมดจดแล้วนำน้ำไปเททิ้ง จากนั้นไปนอนบนเตียง ส่วนภรรยาทั้งสามไปอาบน้ำกันที่อีกห้อง

ช่วงเวลาประมาณยามซวี หรือก็คือหลังหนึ่งทุ่ม หลินหว่านเซียนก็เดินเข้ามาในห้องของหลี่วั่นเหนียน ส่วนหว่านเหยียนกับหว่านชิงอยู่ในอีกห้องหนึ่ง

“ท่านพี่ พวกเรารีบพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ!”

หลินหว่านเซียนเป็นหญิงสาวที่โตเต็มวัยแล้ว ย่อมรู้ดีถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น แต่แล้วเมื่อต้องเผชิญกับสามีสูงวัย นางก็ยังรู้สึกประหม่าและเขินอายเล็กน้อย ขณะเดียวกัน หัวใจของหลี่วั่นเหนียนก็เต้นระรัว

ทันใดนั้น ผ้าห่มก็ถูกเลิกขึ้น หว่านเซียนผู้มีรูปร่างเย้ายวนก็เข้ามาอยู่ใต้ผ้าห่ม!

ชั่วพริบตานี้ ฟืนแก่ได้พบกับเพลิงร้อนแรง!

____________________________

[1] ซิ่วไฉ หมายถึง คำเรียกผู้สอบผ่านระดับท้องถิ่น
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เป็นทหารแล้วได้เมีย? ข้าขอแต่งรวดเดียวสิบแปดคน!   บทที่ 100

    กู้เฉวียนจวินสบถคำหยาบออกมาโดยตรง เขาส่งสายตาให้หลี่วั่นเหนียนเตรียมลงมือ แต่ตอนนี้เป็นกลางคืน มองเห็นไม่ชัด ส่วนหลี่วั่นเหนียนก็คิดว่าหมอนี่พูดรหัสลับจริงๆแต่ปรากฏว่ามันคือรหัสลับจริงๆ!“เข้าไปเถิด!”หลังจากคนตรวจสอบข้อมูลทั้งสามคุยกับคนที่อยู่หลังประตู ประตูใหญ่ก็เปิดออกทันที!กู้เฉวียนจวินอึ้งไปแล้ว เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองจะเดารหัสลับถูก แต่ขณะเดียวกัน แผ่นหลังของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้วหลี่วั่นเหนียนพาทุกคนเดินเข้าประตูใหญ่ ขณะที่ประตูกำลังจะปิดลง หลี่วั่นเหนียนฟันดาบออกไปฉับพลัน ศีรษะของหนึ่งในชาวชี่ตานที่กำลังปิดประตูถูกฟันจนขาด ทหารที่อยู่ข้างกายหลี่วั่นเหนียนพากันชักดาบออกมา ชาวชี่ตานไม่ทันตั้งตัว เพียงพริบตาเดี๋ยวก็ล้มลงไปอีกเจ็ดแปดคนเวลานี้เอง ชาวชี่ตาที่อยู่บนหอสังเกตการณ์ของค่ายรู้ตัวแล้ว และกำลังจะตีฆ้อง ทว่าหลี่วั่นเหนียนขว้างมีดบินออกไป สังหารชาวชี่ตานที่อยู่บนหอสังเกตการณ์ทันที และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่บนที่สูงของค่ายก็เจอกับมีดบินเช่นกันผ่านไปเพียงครู่เดียว ประตูใหญ่ถูกเปิดออก คนของหลี่วั่นเหนียนโบกคบเพลิงบนค่ายทหาร!ยามลับที่อยู่นอกค่ายสังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว

  • เป็นทหารแล้วได้เมีย? ข้าขอแต่งรวดเดียวสิบแปดคน!   บทที่ 99

    อันที่จริงตอนแรกที่หลี่วั่นเหนียนกล่าว มีเพียงไม่กี่คนที่สนใจ แต่เมื่อพูดถึงเลื่อนยศหนึ่งขั้น ดวงตาของเหล่าเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านตระกูลหลี่เบิกกว้างทันที!“ข้าไป!”“ข้าก็ไป!”……เพียงครู่เดียว ก็มีคนยกมือเกินสี่สิบคนแล้ว แต่มีเครื่องแบบแค่ยี่สิบชุด จึงต้องคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุด“เสียงเบาหน่อย! คนจากหมู่บ้านตระกูลหลี่เข้าร่วมทั้งหมด คนจากหมู่บ้านตระกูลหวังที่มีอายุระหว่างยี่สิบถึงสามสิบปีได้สิทธิ์ก่อน!”หลี่วั่นเหนียนก็รู้ เขาต้องเลือกผู้ที่มีประสบการณ์การรบ อีกทั้งยังแข็งแรงก่อนสุดท้ายมีสามสิบคนถูกคัดออก ส่วนคนที่เหลือมายืนข้างกายหลี่วั่นเหนียน“ใต้เท้าหลิว ข้าก็จะไป!”ทันใดนั้น กู้เฉวียนจวินยกมือขึ้น แต่หลี่วั่นเหนียนไม่เคยพิจารณาเขาเลย“เจ้าไปไม่ได้!”แม้เขามีความก้าวหน้า แต่พละกำลังและทักษะการต่อสู้ของเขายังสู้เด็กหนุ่มของหมู่บ้านตระกูลหลี่ไม่ได้ และสู้เด็กหนุ่มของหมู่บ้านตระกูลหวังไม่ได้เช่นกัน“พวกเจ้าพูดภาษาชี่ตานไม่ได้ แต่ข้าพูดได้!”เมื่อกู้เฉวียนจวินกล่าวเช่นนี้ หลี่วั่นเหนียนเลิกคิ้วทันที คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีความสามารถเช่นนี้ด้วย“ท่านอย่าเข้าใจผิดเสียล่ะ โยว

  • เป็นทหารแล้วได้เมีย? ข้าขอแต่งรวดเดียวสิบแปดคน!   บทที่ 98

    ช่วงสองวันนี้ไม่มีแสงจันทร์เลย รอหลังจากฟ้ามืดแล้ว หลี่วั่นเหนียนใช้เชือกโรยตัวลงที่นอกกำแพงเมือง เหล่าเด็กหนุ่มของหมู่บ้านตระกูลหวังกับหลี่ก็ตามมาด้วยพวกเขาสามารถออกจากประตูใหญ่ของกำแพงเมือง แต่การทำเช่นนั้นมันสะดุดตาเกินไปหลังออกจากกำแพงเมือง พวกเขามุ่งหน้าไปยังที่ต่ำของเทือกเขาหลังจากเดินออกมาสองสามลี้ พบว่ามีผู้คนหลายร้อยรวมตัวกันที่ด้านหน้า พวกเขาล้วนลงมาจากยอดเขาต่างๆ โดยไม่ได้เลือกออกมาจากประตูใหญ่ของกำแพงเมืองเซียวเจิ้งก็มาถึงแล้วเช่นกัน!แต่เวลานี้ยังไม่มีค่ายไหนที่มากันคบ ทุกคนยังคงรอต่อไปมีคำสั่งทหารหากใครมาไม่ถึงก่อนยามซวี จะถือว่าเป็นทหารหนีทัพทั้งหมด!เซียวเจิ้งจะไม่ลังเลในเวลานี้เช่นนี้ เพราะนี่ก็คือคำสั่งทหาร พวกเขาต้องออกเดินทางก่อนยามซวี ไปถึงจุดซุ่มโจมตีก่อนยามไฮ่และถอนกำลังหลังจากโจมตีหนึ่งชั่วยาม เพราะชาวชี่ตานต้องใช้เวลาส่งข่าวและส่งกำลังเสริมมาถึง ก็คือหนึ่งชั่วยามหัวหน้าล่วงเลยไปทีละนิด สุดท้ายกำลังพลของค่ายเซียวเจิ้งมากันครบแล้ว ค่ายอื่นก็เช่นกันหลังจากมาถึง ก็ออกเดินทางอย่างเต็มกำลังทันทีเพราะที่นี่อยู่ห่างจากกำแพงเมืองสามลี้ ยังต้องเดินหน้

  • เป็นทหารแล้วได้เมีย? ข้าขอแต่งรวดเดียวสิบแปดคน!   บทที่ 97

    หวังโส่วอี้ออกคำสั่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมปฏิบัติตามอย่างไร้เงื่อนไข ไม่นานนัก ทหารส่งสารก็ส่งข่าวมาถึงมืออู๋ซานอู๋ซานอยู่ในค่ายใหญ่ตรงเชิงเขา เมื่อได้รับข่าวนี้ ก็รู้สึกปวดหัวมากเช่นกันต้องบอกก่อนว่า ค่ายแนวหน้าของชาวชี่ตานอยู่ห่างจากกองบัญชาการใหญ่ของพวกเขาเพียงสามสิบลี้ และชาวชี่ตานล้วนเป็นทหารม้า ระยะทางสามสิบลี้สำหรับทหารม้าไม่ถือว่าไกลเลย เมื่อไรที่ไม่สามารถจบการต่อสู้และถอนกำลังทัน ก็มีโอกาสถูกปิดล้อมสูงมากอู๋ซานรู้ดีว่าไม่สามารถขัดคำสั่งทหาร จึงเริ่มลงมือปฏิบัติทันที แต่เขาก็รู้ว่าเป้าหมายหลักในครั้งนี้คือการสั่งสอนชาวชี่ตาน การจะทำลายค่ายแนวหน้านั้นค่อนข้างยาก ดังนั้นย่อมไม่ส่งทหารชั้นยอดออกไป เพราะเขารู้ว่าการทำลายกองทัพศัตรูนั้นเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตนเองก็ต้องไม่เกิดความสูญเสียมากเกินไปหากมีผลงาน เพียงแต่เป็นภายใต้สถานการณ์ที่ผลงานไม่มากนัก ผู้ว่าการทหารก็คงไม่ลงโทษเขาจริงๆ หรอกด้วยเหตุนี้ เขาจึงเรียกจางเหลียงมา“ใต้เท้าอู๋ มีอะไรจะสั่ง?”จางเหลียงมาถึงแล้ว“แม่ทัพจาง ข้ามีภารกิจให้พวกเจ้าไปทำ พาคนของเจ้าไปทำลายค่ายแนวหน้าของชาวชี่ตานเสีย! ขณะเดียวกัน

  • เป็นทหารแล้วได้เมีย? ข้าขอแต่งรวดเดียวสิบแปดคน!   บทที่ 96

    หลังจากตะโกน ก็ใช้ไฟจุดหญ้าแห้งโดยตรง หญ้าแห้งก็ลามไปติดมูลม้า แม้เป็นตอนกลางคืน อาจจะมองไม่เห็นควันไฟ แต่ภายในหอส่งสัญญาณมีแสงไฟ อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ก็สามารถมองเห็น“ลุย!”ชาวชี่ตานที่อยู่ห่างออกไปรู้ว่าตนเองถูกพบเห็นแล้ว จึงพุ่งออกไปโดยตรงหลี่วั่นเหนียนคิดไม่ถึงว่าพวกมันจะบุกตีหอส่งสัญญาณที่เขาอยู่ เพราะเส้นทางที่นี่ยากต่อการเดินทัพเหล่าเด็กหนุ่มของหมู่บ้านตระกูลหวังกับหลี่เลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมาทันทีคบเพลิงโดยรอบก็ถูกจุดสว่างเช่นกัน ที่ด้านล่างของพวกเขา มีชาวชี่ตานเนืองแน่นมากกว่าร้อยคนปรากฏตัวขึ้น นี่เป็นเพียงกำลังพลที่อยู่ใกล้หอส่งสัญญาณของพวกเขา ส่วนหอส่งสัญญาณจุดอื่นมีเท่าไรไม่รู้ แต่จำนวนรวมคงไม่มาก ไม่เช่นนั้นจะเสียงดังเกินไป ไม่มีทางเข้าใกล้ได้ในระยะยี่สิบจั้งแน่นอนชาวชี่ตานพุ่งเข้าหากำแพงเมือง วิธีการบุกโจมตีของพวกเขายังคงเหมือนก่อนหน้านี้ คือใช้ตะขอเหล็ก เชือก และบันไดแต่ครั้งนี้พวกเขาเป็นฝ่ายตั้งรับ แม้มีคนเพียงแค่เกือบหกสิบคน แต่มีชัยภูมิที่ได้เปรียบกว่า อีกฝ่ายต้องมีกำลังพลอย่างน้อยสามเท่าขึ้นไป จึงจะสามารถชนะอย่างแน่นอน ดังนั้นขอแค่ระมัดระวังไม่ให้เกิดข้อ

  • เป็นทหารแล้วได้เมีย? ข้าขอแต่งรวดเดียวสิบแปดคน!   บทที่ 95

    “ใต้เท้า เหตุใดพวกเราไม่เป็นฝ่ายบุกล่ะ?”หัวหน้าหน่วยของหลี่วั่นเหนียนกล่าวถาม เพราะกำลังพลในมือเขาเยอะ ตอนนี้เกือบสองร้อยคนแล้ว ดังนั้นเขาอยากสร้างผลงาน เพื่อเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น“นี่เป็นการตัดสินใจของท่านผู้ว่าการทหาร แต่เท่าที่ข้ารู้จักท่านผู้ว่าการทหาร ความพ่ายแพ้ของครั้งก่อน ไม่อาจชดเชยได้เพียงเพราะยึดปาต๋าหลิงคืนมาได้ ทุกคนเตรียมตัวให้ดีเถิด!”“รับทราบ!”หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง หลี่วั่นเหนียนกับหลิวเถียนกลับมาพร้อมกับเบี้ยทหารทหารที่ได้รับข่าวพากันมาเข้าแถวรอรับเบี้ยทหารแล้วทหารใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมไม่ถึงหนึ่งเดือนก็จ่ายเต็มจำนวนทั้งหมด ดังนั้นทุกคนจึงยิ้มกันถ้วนหน้าแต่อยู่ในค่ายทหาร อยากใช้เงินก็แทบไม่มีที่ใช้ เพราะทางกองทัพเป็นคนจัดหาอาหารให้ สิ่งเดียวที่ต้องเสียเงินก็คือนางบำเรอในสังกัดฝ่ายพลาธิการ หรือไม่ก็ตลาดที่เหล่าทหารตั้งขึ้นเอง สามารถซื้อของเล็กน้อยที่ตนเองต้องการหลี่วั่นเหนียนไม่มีอะไรจะซื้อ จึงเก็บเงินไว้ในกระโจมคืนนี้ผ่านไปอย่างสงบ หลังจากนั้นพวกเขาก็จะขึ้นเขาไปรับช่วงต่อแล้ว ในวันต่อมา พวกเขาต้องลาดตระเวนบนกำแพงเมือง ต้องทนแดดทนฝนอยู่บนนั้นทั้งวัน

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status