Share

บทที่ 4

Author: คุณชายหกถังถัง
“ท่านพี่ไม่ต้องตื่นเต้นนะเจ้าคะ!”

เสียงของหลินหว่านเซียนดังอยู่ข้างหู เห็นชัดว่านางมีประสบการณ์มาก่อน ช่วยจับมือพาหลี่วั่นเหนียนผ่านช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต เพราะเขาอยู่ในวัยใกล้จะลงโลงอยู่แล้ว มีหลายครั้งที่เรี่ยวแรงไม่เป็นดังที่ใจหวัง

.......

หลังจากเสร็จกิจ หลี่วั่นเหนียนสังเกตเห็นว่าทำเนียบวงศ์ตระกูลในหัวสว่างวาบขึ้นมา ในนั้นแสดงรายละเอียด

คู่ครองคนที่หนึ่ง : หลินหว่านเซียน

ค่ากำลังรบผู้นำตระกูล : 1(เทียบเท่าพลังต่อสู้ของชายหนุ่มโตเต็มวัย!)

พรสรรค์ผู้นำตระกูลที่ตื่นขึ้น : ตามหาสมบัติในระยะสิบจั้ง

อายุขัยโดยประมาณของผู้นำตระกูล : ห้าสิบห้า

ทายาท : ไม่มี

หลี่วั่นเหนียนรู้สึกดีใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้มีพลังต่อสู้เทียบเท่าชายหนุ่มโตเต็มวัย แต่ตอนนี้มีแล้ว!

ที่สำคัญที่สุดคือ มีอายุขัยเพิ่มขึ้นสี่ปี ก่อนหน้านี้เขามีอายุขัยแค่ห้าสิบเอ็ดปีเท่านั้น!

ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกได้ว่าในร่างตัวเองเปี่ยมด้วยพลัง!

“น้องหญิงใหญ่ ข้ายังต้องการอีก!”

หลี่วั่นเหนียนได้ลิ้มลองรสชาติแล้วอยากได้อีก…

.......

หนึ่งคืนผ่านไป หลี่วั่นเหนียนได้ยินเสียงเครื่องครัวกระทบกัน เขานอนยาวจนเกือบเที่ยง

ต้องบอกเลยว่านี่เป็นการนอนที่สบายที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้นอนคนเดียวช่างไม่สบายเอาเสียเลย

เมื่อเห็นหลี่วั่นเหนียนตื่นนอนแล้ว หลินหว่านเซียนก็เขินอายเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องน่าอายขึ้น ส่วนหลินหว่านเหยียนกับหลินหว่านชิงก็มองหลี่วั่นเหนียนอย่างเขินอายเช่นกัน ตามธรรมเนียมแล้วต้องผลัดกัน ดังนั้นคืนนี้จึงเป็นคราวของน้องรอง

มันช่วยไม่ได้จริง ๆ เขามีเวลาแค่เดือนเดียว จำเป็นต้องทิ้งทายาทไว้ให้ตระกูลหลี่ นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน!

“ท่านพี่ ข้าเตรียมน้ำล้างหน้าไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ!”

หลินหว่านเซียนสังเกตเห็นว่าวันนี้หลี่วั่นเหนียนดูหนุ่มลงหลายปี แม้แต่หลังก็ตรงขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้ดูเหมือนอายุสี่สิบกว่า

“ได้ ลำบากน้องหญิงแล้ว!”

หลังจากล้างหน้าเสร็จ หลี่วั่นเหนียนก็เริ่มคิดว่าควรทำอย่างไรต่อไป พวกเขามีเสบียงอาหารเหลือพอแค่สำหรับหนึ่งเดือน และอีกหนึ่งเดือนเขาก็ต้องไปเป็นทหารแล้ว ส่วนข้าวฟ่างที่เก็บไว้ก็ยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว แบบนี้หญิงสาวทั้งสามจะไม่ต้องอดตายที่บ้านกันหรือ?

ทันใดนั้น เขาก็นึกได้ว่าทำเนียบวงศ์ตระกูลบอกว่าเขาปลุกความสามารถได้หนึ่งอย่าง ตามหาสมบัติในระยะสิบจั้ง ตามความเข้าใจของเขาแล้ว มันน่าจะหมายถึงการตามหาสมบัติในระยะสิบจั้งได้อย่างแม่นยำ

และห่างจากหมู่บ้านตระกูลหลี่ออกไปสิบลี้ เคยเกิดศึกครั้งใหญ่ระดับหนึ่งพันคน ศึกครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งตัวเขาเองจำไม่ได้แล้ว แต่คนในหมู่บ้านกับบิดาของร่างเดิมเคยพูดให้ฟังอยู่บ่อย ๆ

คิดได้ดังนี้ เขาก็หยิบตะกร้าขึ้นสะพายทันที “ข้าจะไปข้างนอกสักหน่อย จะกลับมาก่อนมื้อเที่ยง!”

เนื่องจากหมู่บ้านของพวกเขาไม่มีนิสัยกินมื้อเช้า คนส่วนใหญ่จะออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ จะกินมื้อแรกก็ตอนใกล้เที่ยง

หญิงสาวทั้งสามไม่รู้ว่าหลี่วั่นเหนียนจะไปที่ใด กระนั้นก็ไม่ได้ห้ามเขาไว้

ครั้นเห็นหลี่วั่นเหนียนเดินจากไป หลินหว่านเหยียนก็พูดขึ้นว่า “พี่หญิง พวกเราอยู่กับตาแก่นี่คงได้อดตายแน่!”

หลินหว่านเหยียนรู้สึกเป็นห่วงชีวิตในอนาคต

แต่หลินหว่านเซียนไม่คิดแบบนั้น “แม้เขาจะอายุมาก แต่ก็เป็นคนที่มีมารยาทที่สุดในที่แห่งนี้ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่สุขุมที่สุด หากไปอยู่กับผู้อื่น ไม่แน่ว่าจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้!”

หลินหว่านเซียนเคยผ่านโลกมามากกว่า มองโดยรวมแล้ว หากไม่นับเรื่องที่ตอนนี้หลี่วั่นเหนียนยังไม่อาจหาเลี้ยงครอบครัว อย่างอื่นที่เหลือก็ดีหมด

“นั่นสิเจ้าคะพี่รอง หลี่วั่นเหนียนมีมารยาท ดีกว่าคนอื่นมากโข!”

หลินหว่านชิงรู้สึกแบบนี้เช่นกัน

......

หลี่วั่นเหนียนไม่รู้เลยว่าหญิงสาวทั้งสามกำลังพูดถึงตัวเอง เขาเดินมาเกือบถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว

ระยะทางสิบลี้ไม่ถือว่าไกล แต่เมื่อมาถึงบริเวณซากสมรภูมิ เขาก็ต้องรู้สึกว่าบรรยากาศที่นี่น่าขนลุกอย่างน่าประหลาด

บริเวณนี้เป็นที่ราบกว้างใหญ่ จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดตอนนั้นการต่อสู้ของกองทัพจึงเกิดขึ้นที่นี่

เขาอยากลองใช้พรสวรรค์ของตัวเอง กวาดสายตามองรอบทิศแต่ก็ไม่พบอะไร จนสงสัยว่าพรสวรรค์เป็นของปลอมหรือไม่

จากนั้น เขาเดินลึกเข้าไปในซากสมรภูมิ ไม่นานนักก็สังเกตเห็นแสงเรือง ๆ บนพื้นดิน เขารีบหยิบจอบออกมาขุดทันที หลังจากขุดได้สักพักก็พบเศษเงินก้อนหนึ่ง มูลค่าประมาณสามเฉียน

แม้เนื้อเงินจะไม่บริสุทธิ์นัก มีคราบเขม่าดำติด แต่เขาก็ยังดูออกว่าเป็นเงิน!

เงินหนึ่งตำลึงมีค่าเท่ากับหนึ่งพันอีแปะ และในพื้นที่แถบนี้ รายได้จากการทำนาของชาวนาหนึ่งคนในหนึ่งปีก็มีแค่สองสามตำลึง ตอนนี้เขาขุดเพียงครั้งเดียวก็ได้เงินที่เทียบเท่ากับรายได้หนึ่งเดือน!

ทว่าเท่านี้ยังไม่เพียงพอ ที่บ้านเขามีสมาชิกสี่คน!

จากนั้น เขาเริ่มสำรวจพื้นที่รอบ ๆ ต่อ ใช้เวลาเพียงครึ่งถ้วยชาก็เห็นแสงสว่างอีกครั้ง คราวนี้แสงสว่างวาบกว่าเดิมมาก เขาลงมือขุดทันที ขุดพบเงินหนึ่งตำลึงเต็ม ๆ เพียงพอให้หนึ่งคนใช้ดำรงชีพได้ถึงหนึ่งเดือน!

ข้าวหนึ่งโต่วมีราคาสามร้อยอีแปะ หรือประมาณสามร้อยเฉียน ตอนนี้เขามีเงินมากพอที่จะซื้อข้าวได้สี่โต่ว เพียงพอให้สมาชิกครอบครัวสี่คนกินได้อีกหนึ่งเดือน

แต่กระนั้นก็ยังเหลือช่วงเวลาที่ขาดแคลนอาหารอยู่อีกสองเดือน เขาต้องค้นหาต่อไป

เขาเดินสำรวจไปรอบ ๆ ตราบใดที่มีสมบัติในระยะสิบจั้งก็จะมองเห็นทั้งหมด ไม่นานก็เห็นแสงเรืองรองอีกครั้ง ขุดแล้วพบเงินอีกหนึ่งตำลึง!

ตอนนี้เขารู้สึกดีใจราวกับชาวนาที่มีผลเก็บเกี่ยวเต็มมือ!

หลี่วั่นเหนียนเก็บเงินลงในห่อผ้าที่อกเสื้อ จากนั้นขุดต่อ!

จนกระทั่งเวลาล่วงเลยจนเกือบใกล้เที่ยง เขาก็ขุดเจอเงินยี่สิบกว่าตำลึง เงินจำนวนนี้ เพียงพอให้พวกเขาใช้ชีวิตได้หนึ่งปี ยิ่งรวมเข้ากับข้าวฟ่างที่กำลังปลูกด้วยแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องไปอีกสองปี

ตอนนี้เขาเดินสำรวจสมรภูมิเกือบทั่วแล้ว ได้เวลากลับไป แต่ที่นี่อยู่ห่างจากตัวอำเภอไม่ไกล เขาจึงแวะไปซื้อของกลับไปด้วย

ตัวอำเภออยู่ห่างจากที่นี่แค่สามลี้ ที่ในอดีตเกิดสงครามขึ้นก็เพื่อตีเมืองนี่เอง ระยะทางจึงใกล้มาก

ตัวอำเภอผิงอันเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของราชสำนัก ภายในเมืองมีประชากรสามถึงสี่พันคน นี่ถือว่าไม่น้อยเลย หากรวมเข้ากับทหารหลายร้อยนายก็จะมีประชากรรวมสี่พันกว่าคน ตัวเมืองแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าของหมู่บ้านกว่าสิบแห่งที่อยู่แถบนี้

เมื่อเดินไปตามถนนสายหลัก เขาเห็นหลายคนที่เดินผ่านไปมาประดับประดาร่างกายด้วยสมบัติระยิบระยับ บางคนก็กองกันไว้ที่หน้าอก บางคนก็ร้อยเหรียญทองแดงเป็นพวงแล้วห้อยไว้ที่เอว ไม่กลัวว่าจะบาดตัวบ้างเลย!

หากเขาผันตัวไปเป็นนักล้วงกระเป๋า คิดว่าคงรวยได้ไม่ยาก!

ทางใต้ของเมืองขายอาหารเป็นส่วนใหญ่ ทางเหนือขายเครื่องเหล็ก ทางตะวันออกเป็นย่านที่อยู่อาศัย ส่วนทางตะวันตกขายเสื้อผ้าอาภรณ์และผ้า

หลังจากเข้ามาในเมือง เขาก็อยู่ที่ย่านทางใต้ เห็นอาหารมากมายละลานตา แต่ราคาแพงลิบลิ่ว เขาจึงไม่ได้สนใจ แต่มุ่งตรงไปยังร้านขายผ้าที่อยู่ทางตะวันตกของเมือง ตั้งใจจะซื้อผ้ากลับไปสักจำนวนหนึ่ง อย่างไรหญิงสาวทั้งสามก็มีเสื้อผ้าแค่ชุดเดียว ต้องมีชุดอื่นไว้เปลี่ยนซักบ้าง

เขาลองสอบถามราคาเมื่อมาถึงร้าน พบว่าผ้าหนึ่งฉื่อมีราคาสามสิบอีแปะ!

เงินหนึ่งตำลึงซื้อผ้าได้แค่สามสิบกว่าฉื่อเท่านั้น กระนั้นเขาก็ยังตัดสินใจซื้ออยู่ดี เพราะต้องใช้ทำเครื่องนอนและเสื้อผ้า ด้วยเหตุนี้จึงซื้อผ้ามาจำนวนหนึ่งตำลึง

เมื่อออกจากร้านขายผ้า ด้านข้างก็เป็นร้านข้าวสารและร้านเกลือ ราคาของเกลืออยู่ในเกณฑ์ปกติ ทว่าราคาข้าวกลับเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ราคาขึ้นเป็นสามร้อยสามสิบอีแปะต่อหนึ่งโต่ว โชคดีที่เขานำตะกร้าแบกหามมาด้วย จึงใส่ข้าวฟ่างลงในผ้า เช่นนี้จะได้ขนกลับไปได้สะดวก

เขาซื้อเกลือมาจำนวนหนึ่ง กับข้าวอีกสามโต่ว ข้าวหนึ่งโต่วมีน้ำหนักสิบสองชั่งครึ่ง ข้าวสามโต่วเท่ากับสามสิบเจ็ดชั่งครึ่ง รวมเข้ากับผ้าดิบแล้วก็มีน้ำหนักเกินห้าสิบชั่ง แต่เมื่อวานนี้ค่ากำลังรบของเขาเพิ่มขึ้น สามารถแบกกลับไปไหว เพียงแต่ต้องเดินแล้วหยุดเป็นระยะ ๆ

ระยะทางสิบกว่าลี้ เดินตั้งแต่ช่วงเที่ยงจนเกือบถึงตอนพระอาทิตย์ตกดินจึงจะถึงทางเข้าหมู่บ้านฝั่งตะวันออก เขาจัดตะกร้าให้เรียบร้อยและปิดข้าวฟ่างที่อยู่ในตะกร้า กลัวว่าจะถูกผู้อื่นเห็น อย่างไรตอนนี้ก็เป็นช่วงอาหารร่อยหรอ อาจทำให้ผู้อื่นอิจฉาได้!

เวลานี้ หญิงสาวทั้งสามร้อนใจกันมาก หากหลี่วั่นเหนียนเป็นอะไรไป พวกนางก็จะกลายเป็นนางบำเรอของทางกองทัพ นี่เป็นเรื่องที่พวกนางไม่อาจยอมรับได้

เมื่อหญิงสาวทั้งสามเห็นเขาเดินกลับมาก็รีบเข้าไปช่วยถือตะกร้า

“ท่านพี่ ท่านบอกว่าจะกลับมาตอนเที่ยงมิใช่หรือ? เหตุใดจึงกลับมาช้าเช่นนี้?”

หลินหว่านเซียนเป็นห่วงมาก

“ขอโทษ ระหว่างทางข้าแวะเข้าไปที่ตัวอำเภอ ซื้อข้าวฟ่างมาเล็กน้อย แล้วก็มีผ้าด้วย ตั้งใจจะให้พวกเจ้าใช้ทำเสื้อผ้า!”

หลี่วั่นเหนียนว่าพลางเปิดตะกร้าให้ดู หญิงสาวทั้งสามถึงค่อยรู้ว่ามีข้าวฟ่างจำนวนมากกับผ้าพับ

“ท่านพี่ พวกนี้แพงมากนะเจ้าคะ!”

หลินหวั่นเซียนไม่ได้รู้สึกแปลกที่ซื้อข้าว แต่การซื้อผ้าดูจะฟุ่มเฟือยเกินไป ที่น่าสงสัยยิ่งกว่านั้นคือ ก่อนหน้านี้โอ่งข้าวสารที่บ้านสะอาดยิ่งกว่าอะไร เขามีเงินสำหรับซื้อของพวกนี้ที่ใดกัน

กระนั้นภายในใจนางกลับรู้สึกอบอุ่น เพราะอย่างไรเสีย เขาก็ซื้อผ้าพับมาให้พวกนาง

“ข้าเก็บเงินได้ระหว่างทาง!”

“เก็บเงินได้ระหว่างทางหรือ?”

หลินหว่านเหยียนไม่ค่อยเชื่อนัก ชาวบ้านไม่มีเงินด้วยซ้ำ จะไปเก็บได้จากที่ใดกัน?

“ใช่ จริงสิ ข้าหิวแล้ว อาหารเย็นเสร็จแล้วหรือยัง?”

หลี่วั่นเหนียนรู้ว่าเรื่องนี้ยากจะอธิบาย จึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย

“ทำเสร็จนานแล้ว ท่านพี่มากินเถอะ!”

หลินหว่านเซียนเทข้าวฟ่างลงในโอ่ง เมื่อเห็นโอ่งถูกเติมจนเต็มมากขึ้น ใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานาน

หลังจากทานอาหารเสร็จก็ถึงเวลาเข้านอนอีกครั้ง

หลี่วั่นเหนียนตั้งตารอคอยมาก หลังจากหลับนอนคืนนี้ ค่ากำลังรบของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกใช่หรือไม่? จะปลุกความสามารถอื่นขึ้นมาอีก? หรือว่าอายุขัยจะมากขึ้นกว่านี้?

“ท่านพี่ คืนนี้ท่านนอนร่วมห้องกับหว่านเหยียนได้หรือไม่เจ้าคะ?”

แม้คำพูดจะออกมาจากปากพี่สาวคนโต แต่ตอนนี้ใบหน้าของหว่านเหยียนกลับแดงก่ำภายใต้ความมืดมิด!

พี่สาวคนโตสวยสะพรั่งแบบหญิงสาวที่โตเต็มวัย เหมือนลูกพลับหวานในฤดูใบไม้ร่วง ส่วนน้องคนรองงดงามเย็นชาแต่สะกดใจ ราวกับดอกบัวในฤดูร้อน แต่ละคนมีเสน่ห์แตกต่างกันไป!

ตอนนี้ บรรยากาศคลุมเครือขึ้นมาทันที!
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เป็นทหารแล้วได้เมีย? ข้าขอแต่งรวดเดียวสิบแปดคน!   บทที่ 100

    กู้เฉวียนจวินสบถคำหยาบออกมาโดยตรง เขาส่งสายตาให้หลี่วั่นเหนียนเตรียมลงมือ แต่ตอนนี้เป็นกลางคืน มองเห็นไม่ชัด ส่วนหลี่วั่นเหนียนก็คิดว่าหมอนี่พูดรหัสลับจริงๆแต่ปรากฏว่ามันคือรหัสลับจริงๆ!“เข้าไปเถิด!”หลังจากคนตรวจสอบข้อมูลทั้งสามคุยกับคนที่อยู่หลังประตู ประตูใหญ่ก็เปิดออกทันที!กู้เฉวียนจวินอึ้งไปแล้ว เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองจะเดารหัสลับถูก แต่ขณะเดียวกัน แผ่นหลังของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้วหลี่วั่นเหนียนพาทุกคนเดินเข้าประตูใหญ่ ขณะที่ประตูกำลังจะปิดลง หลี่วั่นเหนียนฟันดาบออกไปฉับพลัน ศีรษะของหนึ่งในชาวชี่ตานที่กำลังปิดประตูถูกฟันจนขาด ทหารที่อยู่ข้างกายหลี่วั่นเหนียนพากันชักดาบออกมา ชาวชี่ตานไม่ทันตั้งตัว เพียงพริบตาเดี๋ยวก็ล้มลงไปอีกเจ็ดแปดคนเวลานี้เอง ชาวชี่ตาที่อยู่บนหอสังเกตการณ์ของค่ายรู้ตัวแล้ว และกำลังจะตีฆ้อง ทว่าหลี่วั่นเหนียนขว้างมีดบินออกไป สังหารชาวชี่ตานที่อยู่บนหอสังเกตการณ์ทันที และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่บนที่สูงของค่ายก็เจอกับมีดบินเช่นกันผ่านไปเพียงครู่เดียว ประตูใหญ่ถูกเปิดออก คนของหลี่วั่นเหนียนโบกคบเพลิงบนค่ายทหาร!ยามลับที่อยู่นอกค่ายสังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว

  • เป็นทหารแล้วได้เมีย? ข้าขอแต่งรวดเดียวสิบแปดคน!   บทที่ 99

    อันที่จริงตอนแรกที่หลี่วั่นเหนียนกล่าว มีเพียงไม่กี่คนที่สนใจ แต่เมื่อพูดถึงเลื่อนยศหนึ่งขั้น ดวงตาของเหล่าเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านตระกูลหลี่เบิกกว้างทันที!“ข้าไป!”“ข้าก็ไป!”……เพียงครู่เดียว ก็มีคนยกมือเกินสี่สิบคนแล้ว แต่มีเครื่องแบบแค่ยี่สิบชุด จึงต้องคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุด“เสียงเบาหน่อย! คนจากหมู่บ้านตระกูลหลี่เข้าร่วมทั้งหมด คนจากหมู่บ้านตระกูลหวังที่มีอายุระหว่างยี่สิบถึงสามสิบปีได้สิทธิ์ก่อน!”หลี่วั่นเหนียนก็รู้ เขาต้องเลือกผู้ที่มีประสบการณ์การรบ อีกทั้งยังแข็งแรงก่อนสุดท้ายมีสามสิบคนถูกคัดออก ส่วนคนที่เหลือมายืนข้างกายหลี่วั่นเหนียน“ใต้เท้าหลิว ข้าก็จะไป!”ทันใดนั้น กู้เฉวียนจวินยกมือขึ้น แต่หลี่วั่นเหนียนไม่เคยพิจารณาเขาเลย“เจ้าไปไม่ได้!”แม้เขามีความก้าวหน้า แต่พละกำลังและทักษะการต่อสู้ของเขายังสู้เด็กหนุ่มของหมู่บ้านตระกูลหลี่ไม่ได้ และสู้เด็กหนุ่มของหมู่บ้านตระกูลหวังไม่ได้เช่นกัน“พวกเจ้าพูดภาษาชี่ตานไม่ได้ แต่ข้าพูดได้!”เมื่อกู้เฉวียนจวินกล่าวเช่นนี้ หลี่วั่นเหนียนเลิกคิ้วทันที คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีความสามารถเช่นนี้ด้วย“ท่านอย่าเข้าใจผิดเสียล่ะ โยว

  • เป็นทหารแล้วได้เมีย? ข้าขอแต่งรวดเดียวสิบแปดคน!   บทที่ 98

    ช่วงสองวันนี้ไม่มีแสงจันทร์เลย รอหลังจากฟ้ามืดแล้ว หลี่วั่นเหนียนใช้เชือกโรยตัวลงที่นอกกำแพงเมือง เหล่าเด็กหนุ่มของหมู่บ้านตระกูลหวังกับหลี่ก็ตามมาด้วยพวกเขาสามารถออกจากประตูใหญ่ของกำแพงเมือง แต่การทำเช่นนั้นมันสะดุดตาเกินไปหลังออกจากกำแพงเมือง พวกเขามุ่งหน้าไปยังที่ต่ำของเทือกเขาหลังจากเดินออกมาสองสามลี้ พบว่ามีผู้คนหลายร้อยรวมตัวกันที่ด้านหน้า พวกเขาล้วนลงมาจากยอดเขาต่างๆ โดยไม่ได้เลือกออกมาจากประตูใหญ่ของกำแพงเมืองเซียวเจิ้งก็มาถึงแล้วเช่นกัน!แต่เวลานี้ยังไม่มีค่ายไหนที่มากันคบ ทุกคนยังคงรอต่อไปมีคำสั่งทหารหากใครมาไม่ถึงก่อนยามซวี จะถือว่าเป็นทหารหนีทัพทั้งหมด!เซียวเจิ้งจะไม่ลังเลในเวลานี้เช่นนี้ เพราะนี่ก็คือคำสั่งทหาร พวกเขาต้องออกเดินทางก่อนยามซวี ไปถึงจุดซุ่มโจมตีก่อนยามไฮ่และถอนกำลังหลังจากโจมตีหนึ่งชั่วยาม เพราะชาวชี่ตานต้องใช้เวลาส่งข่าวและส่งกำลังเสริมมาถึง ก็คือหนึ่งชั่วยามหัวหน้าล่วงเลยไปทีละนิด สุดท้ายกำลังพลของค่ายเซียวเจิ้งมากันครบแล้ว ค่ายอื่นก็เช่นกันหลังจากมาถึง ก็ออกเดินทางอย่างเต็มกำลังทันทีเพราะที่นี่อยู่ห่างจากกำแพงเมืองสามลี้ ยังต้องเดินหน้

  • เป็นทหารแล้วได้เมีย? ข้าขอแต่งรวดเดียวสิบแปดคน!   บทที่ 97

    หวังโส่วอี้ออกคำสั่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมปฏิบัติตามอย่างไร้เงื่อนไข ไม่นานนัก ทหารส่งสารก็ส่งข่าวมาถึงมืออู๋ซานอู๋ซานอยู่ในค่ายใหญ่ตรงเชิงเขา เมื่อได้รับข่าวนี้ ก็รู้สึกปวดหัวมากเช่นกันต้องบอกก่อนว่า ค่ายแนวหน้าของชาวชี่ตานอยู่ห่างจากกองบัญชาการใหญ่ของพวกเขาเพียงสามสิบลี้ และชาวชี่ตานล้วนเป็นทหารม้า ระยะทางสามสิบลี้สำหรับทหารม้าไม่ถือว่าไกลเลย เมื่อไรที่ไม่สามารถจบการต่อสู้และถอนกำลังทัน ก็มีโอกาสถูกปิดล้อมสูงมากอู๋ซานรู้ดีว่าไม่สามารถขัดคำสั่งทหาร จึงเริ่มลงมือปฏิบัติทันที แต่เขาก็รู้ว่าเป้าหมายหลักในครั้งนี้คือการสั่งสอนชาวชี่ตาน การจะทำลายค่ายแนวหน้านั้นค่อนข้างยาก ดังนั้นย่อมไม่ส่งทหารชั้นยอดออกไป เพราะเขารู้ว่าการทำลายกองทัพศัตรูนั้นเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตนเองก็ต้องไม่เกิดความสูญเสียมากเกินไปหากมีผลงาน เพียงแต่เป็นภายใต้สถานการณ์ที่ผลงานไม่มากนัก ผู้ว่าการทหารก็คงไม่ลงโทษเขาจริงๆ หรอกด้วยเหตุนี้ เขาจึงเรียกจางเหลียงมา“ใต้เท้าอู๋ มีอะไรจะสั่ง?”จางเหลียงมาถึงแล้ว“แม่ทัพจาง ข้ามีภารกิจให้พวกเจ้าไปทำ พาคนของเจ้าไปทำลายค่ายแนวหน้าของชาวชี่ตานเสีย! ขณะเดียวกัน

  • เป็นทหารแล้วได้เมีย? ข้าขอแต่งรวดเดียวสิบแปดคน!   บทที่ 96

    หลังจากตะโกน ก็ใช้ไฟจุดหญ้าแห้งโดยตรง หญ้าแห้งก็ลามไปติดมูลม้า แม้เป็นตอนกลางคืน อาจจะมองไม่เห็นควันไฟ แต่ภายในหอส่งสัญญาณมีแสงไฟ อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ก็สามารถมองเห็น“ลุย!”ชาวชี่ตานที่อยู่ห่างออกไปรู้ว่าตนเองถูกพบเห็นแล้ว จึงพุ่งออกไปโดยตรงหลี่วั่นเหนียนคิดไม่ถึงว่าพวกมันจะบุกตีหอส่งสัญญาณที่เขาอยู่ เพราะเส้นทางที่นี่ยากต่อการเดินทัพเหล่าเด็กหนุ่มของหมู่บ้านตระกูลหวังกับหลี่เลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมาทันทีคบเพลิงโดยรอบก็ถูกจุดสว่างเช่นกัน ที่ด้านล่างของพวกเขา มีชาวชี่ตานเนืองแน่นมากกว่าร้อยคนปรากฏตัวขึ้น นี่เป็นเพียงกำลังพลที่อยู่ใกล้หอส่งสัญญาณของพวกเขา ส่วนหอส่งสัญญาณจุดอื่นมีเท่าไรไม่รู้ แต่จำนวนรวมคงไม่มาก ไม่เช่นนั้นจะเสียงดังเกินไป ไม่มีทางเข้าใกล้ได้ในระยะยี่สิบจั้งแน่นอนชาวชี่ตานพุ่งเข้าหากำแพงเมือง วิธีการบุกโจมตีของพวกเขายังคงเหมือนก่อนหน้านี้ คือใช้ตะขอเหล็ก เชือก และบันไดแต่ครั้งนี้พวกเขาเป็นฝ่ายตั้งรับ แม้มีคนเพียงแค่เกือบหกสิบคน แต่มีชัยภูมิที่ได้เปรียบกว่า อีกฝ่ายต้องมีกำลังพลอย่างน้อยสามเท่าขึ้นไป จึงจะสามารถชนะอย่างแน่นอน ดังนั้นขอแค่ระมัดระวังไม่ให้เกิดข้อ

  • เป็นทหารแล้วได้เมีย? ข้าขอแต่งรวดเดียวสิบแปดคน!   บทที่ 95

    “ใต้เท้า เหตุใดพวกเราไม่เป็นฝ่ายบุกล่ะ?”หัวหน้าหน่วยของหลี่วั่นเหนียนกล่าวถาม เพราะกำลังพลในมือเขาเยอะ ตอนนี้เกือบสองร้อยคนแล้ว ดังนั้นเขาอยากสร้างผลงาน เพื่อเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น“นี่เป็นการตัดสินใจของท่านผู้ว่าการทหาร แต่เท่าที่ข้ารู้จักท่านผู้ว่าการทหาร ความพ่ายแพ้ของครั้งก่อน ไม่อาจชดเชยได้เพียงเพราะยึดปาต๋าหลิงคืนมาได้ ทุกคนเตรียมตัวให้ดีเถิด!”“รับทราบ!”หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง หลี่วั่นเหนียนกับหลิวเถียนกลับมาพร้อมกับเบี้ยทหารทหารที่ได้รับข่าวพากันมาเข้าแถวรอรับเบี้ยทหารแล้วทหารใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมไม่ถึงหนึ่งเดือนก็จ่ายเต็มจำนวนทั้งหมด ดังนั้นทุกคนจึงยิ้มกันถ้วนหน้าแต่อยู่ในค่ายทหาร อยากใช้เงินก็แทบไม่มีที่ใช้ เพราะทางกองทัพเป็นคนจัดหาอาหารให้ สิ่งเดียวที่ต้องเสียเงินก็คือนางบำเรอในสังกัดฝ่ายพลาธิการ หรือไม่ก็ตลาดที่เหล่าทหารตั้งขึ้นเอง สามารถซื้อของเล็กน้อยที่ตนเองต้องการหลี่วั่นเหนียนไม่มีอะไรจะซื้อ จึงเก็บเงินไว้ในกระโจมคืนนี้ผ่านไปอย่างสงบ หลังจากนั้นพวกเขาก็จะขึ้นเขาไปรับช่วงต่อแล้ว ในวันต่อมา พวกเขาต้องลาดตระเวนบนกำแพงเมือง ต้องทนแดดทนฝนอยู่บนนั้นทั้งวัน

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status