LOGINโรงน้ำชาฝูหมิงชั้นสอง หลันฮวายืนนิ่งทอดสายตามองตามสตรีร่างบางระเหิดระหงที่เดินอยู่ไกลๆ
หวงลี่ฟางเป็นโฉมงามปานเทพธิดา ดวงหน้าคิ้วตาสะสวยชนิดหาตัวจับได้ยาก นางเหมือนบุปผาน้ำแข็ง แลดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่กลับมอบความเหน็บหนาวที่หยั่งลึกถึงจิตวิญญาณให้แก่คนมอง
เท่าที่สืบทราบ หวงลี่ฟางเป็นสตรีใจเย็นเรียบง่าย พูดน้อย นิสัยอ่อนโยน แทบจะไม่โกรธหรือมีเรื่องกับใครเลย ทว่าพอเอาจริงขึ้นมา กลับพูดจาได้เย็นเยียบเด็ดขาด ทั้งเฉยชาและไร้อารมณ์อาวรได้อย่างน่าทึ่ง
ความรู้สึกหนึ่งคือหวงลี่ฟางไม่มีใครสามารถด้อยค่าได้ คำพูดที่กดให้ต่ำล้วนกระทำเพื่อให้ฉุกใจคิดว่าสมควรไปอยู่ในฐานะที่ดีกว่าการเป็นภรรยาลับของผู้ใด ทว่าคนกลับไม่แยแสแม้หางตา
ดีเหลือเกินที่นายหญิงมิได้มาด้วยตัวเอง หาไม่ย่อมเกิดศึกสายเลือดจนสะบั้นมากกว่าเดิมก่อนเปิดปากสนทนาเป็นแน่แท้
หลันฮวาหลับตาทอดถอนใจ ก่อนลืมตาขึ้นมาใหม่เพื่อมองแผ่นหลังของหวงลี่ฟางที่เหยียดตรง ท่วงท่ายามย่างก้าวงามสง่า ทั้งบริสุทธิ์งดงามและผ่าเผย ไหนเลยจะเห็นเป็นสตรีต่ำต้อยด้อยค่า ภายใต้เสื้อผ้าเนื้อธรรมดาไร้สีสันนั้น คำว่าหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ล้วนมีอยู่ทั่วอณูเรือนกาย
ชินอ๋องซื่อจื่อจะรู้หรือไม่ ว่าตนเป็นบุรุษที่ได้ครองหงส์ฟ้า ทว่ากลับมองว่าเป็นเพียงนกกาไร้ค่าให้ใส่ใจ
เฮ้อ...ช่างน่าเศร้า
ลานเล็กหลังคฤหาสน์หนิงเทียนเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างประตูข้างกับทางเดินแผ่นหินทอดยาวไปถึงเรือนของหวงลี่ฟาง
สวนดอกไม้ห่างจากโรงครัวเล็กน้อย สาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มสองคนกำลังนั่งคุยกัน
คนแรกนามว่าตานฉง คนที่สองนามว่ายุ่นเอ๋อร์
ตานฉงทำเสียงจิ๊ปากเอ่ยอย่างขัดเคืองใจ
“ต่อให้นางเป็นสาวงามแค่ไหน น่าเอ็นดูปานใด สุดท้าย ชายาชินอ๋องซื่อจื่อก็เป็นตำแหน่งสูงศักดิ์สำหรับพญาหงส์เท่านั้น หญิงงามรู้ใจที่ได้เคียงข้างหรือก็แค่สตรีเร้นลับที่ถูกเก็บในซอกหลีบ มิอาจเชิดชูตลอดกาล แค่ภรรยาลับ เหตุใดต้องทำตัวสูงส่งปานนั้น หน้าที่ปรนนิบัติบนเตียงให้ซื่อจื่อ ข้าเองก็ทำได้ดี เจ้าบอกข้าทีว่าข้างามไม่เท่านางที่ใด ไฉนทุกคราที่ซื่อจื่อเข้าคฤหาสน์มา นางต้องให้พวกเราออกมาห่างจากเรือนนอนด้วย”
ยุ่นเอ๋อร์ขมวดคิ้ว มองหน้าตานฉงด้วยแววตาซับซ้อน พลางถามเสียงเบา “พี่ตานฉง คันฉ่องในห้องท่านน่าจะขุ่นมัวเกินไปกระมัง ให้ข้าเอามาขัดให้ดีหรือไม่?”
ไหล่บางของยุ่นเอ๋อร์ถูกตีดังเพียะ “โอ๊ย! ข้าผิดไปแล้ว”
ตานฉงเชิดหน้ากล่าวอีกว่า “อาจเป็นเพราะนางเข้าครัวแสดงฝีมือการทำอาหารให้ซื่อจื่อด้วยตัวเองเป็นแน่ ผู้ใดไม่รู้บ้าง ว่าบุรุษสกุลจ้าวชอบกินข้าวฝีมือสตรีของตน ฮึ! ข้าเคยแอบชิมฝีมือของนางหนหนึ่ง รสชาติไม่เห็นจะดี”
บุรุษสกุลจ้าวล้วนเป็นราชนิกุล[1]
จ้าวฉีเสวียนคือบุตรชายของชินอ๋องจ้าวเฟิ่ง
ชินอ๋องเป็นพระอนุชาแท้ๆ ขององค์จักรพรรดิแคว้นจิน
ดังนั้นการเอ่ยถึงไม่ว่าร้ายหรือดีล้วนเป็นคำกล่าวที่อาจทำให้สาวใช้นางหนึ่งถึงขั้นหัวหลุดจากบ่าได้
ยุ่นเอ๋อร์จึงบิดไหล่หนีห่างตางฉงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเบา “รสชาติจะเป็นอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ข้าได้ข่าวจากพี่องครักษ์ของซื่อจื่อที่มาครั้งก่อนว่า พระชายาจัดให้มีการแข่งขันการทำอาหารที่จวนชินอ๋อง บรรดาคุณหนูผู้งดงามวัยออกเรือนพากันตบเท้าเข้ามาอวดฝีมือกันคับคั่ง หมายได้รับคำวิจารณ์จากซื่อจื่อ ทว่าซื่อจื่อกลับเลือกมากินอาหารที่นี่”
ตานฉงหันขวับ ดวงตาปานเพลิง “เจ้าก็ดีแต่ขัดวาจาข้า ยุ่นเอ๋อร์ วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้หนัก”
ยุ่นเอ๋อร์มีหรือจะนั่งอยู่ นางลุกขึ้นวิ่งหนีทันที
อาจพูดได้ว่าวันนี้เป็นเคราะห์ร้ายของสาวใช้นามตานฉง เพราะหากหวงลี่ฟางไม่บังเอิญเดินผ่านมาแล้วได้ยินพอดิบพอดี นางก็คงไม่ใส่ใจอันใด
หญิงสาวเดินขึ้นหน้าด้วยสีหน้าเยือกเย็น เผยร่างงามให้สองสาวใช้ได้เห็น และทันทีที่ตางฉงกับยุ่นเอ๋อร์เห็นหวงลี่ฟาง นางทั้งสองก็ชะงักฝีเท้า
“ม่ะ...แม่นางฟางเหนียง” ยุ่นเอ๋อร์รีบคารวะนอบน้อม ก่อนยืนนิ่ง ก้มหน้าหลุบตามิกล้าเงย
ในขณะที่ตานฉงเพียงยอบกายคารวะเร็วๆ คราหนึ่ง ก่อนยืนนิ่ง แต่ลอบกลอกตาเหยียดริมฝีปากอย่างไร้ความเคารพ
หวงลี่ฟางย่อมไม่ถือสาหาความยุ่นเอ๋อร์ผู้ร่วมสนทนา นางเพียงมองตานฉงนิ่ง สีหน้าเรียบเย็น
ตานฉงมองหวงลี่ฟางตรงๆ แต่เพียงวูบเดียวนางก็ต้องรีบก้มหน้าหลุบตา มันเป็นไปตามสัญชาตญาณ มิรู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่ดวงตาคู่งามที่จับจ้องของสตรีตรงหน้าให้ความรู้สึกข่มขวัญอย่างประหลาด
ฟางเหนียงผู้นี้เหตุใดใช้เพียงแววตามองมานิ่งๆ กลับทำให้ผู้อื่นนึกอยากคุกเข่าสยบแทบเท้าปานนี้เล่า?
ตานฉงเริ่มตัวสั่น
[1] ราชนิกุล ผู้มีเชื้อสายของพระมหากษัตริย์, ตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์.
จวนชินอ๋องทางฝั่งจ้าวฉีเสวียน เขาไม่รู้ว่าช่วงนี้ตนเองเป็นอะไรไป เหตุใดถึงรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจตลอดเวลาครั้นหันไปมองหน้าอันงดงามเปล่งปลั่งของสตรีที่ตัวติดกันตลอดหลายวันมานี้ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ไฉนไม่เคยปฏิเสธนางสักครา“น้องเฟยเฟยจะติดตามไปด้วยกันทุกที่ก็ได้”หลิงเฟยแย้มยิ้มเบิกบานราวบุปผา “พี่เสวียนไปที่ใดหรือ?”ชายหนุ่มตอบนิ่งๆ “ข้าจะเข้าไปที่คฤหาสน์หนิงเทียน”“คฤหาสน์หนิงเทียน?” หลิงเฟยให้รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง ที่นั่นมีสาวงามหยาดเยิ้มซึ่งนางเทียบไม่ติดอยู่ผู้หนึ่ง “เหตุใดท่านต้องไปที่นั่นอีก เราสองคนกำลังจะหมั้นหมายกันแล้วนะเจ้าคะ”นั่นสิ เหตุใดต้องไปที่นั่น จ้าวฉีเสวียนเองก็ไม่เข้าใจ ในอกพลันร้อนรุ่มแปลกๆ เขารู้สึกเหมือนลืมใครไปสักคนหนึ่งจ้าวฉีเสวียนให้รู้สึกปวดหัว เขาพยายามนึกภาพสตรีผู้นั้น ทว่าในความเลือนรางไม่ชัดเจน กลับเห็นเป็นหลิงเฟยที่ยื่นหน้ามา ภาพที่เพียรนึกถึงพลันอันตรธานหายไป คล้ายถูกมนต์มารล่อลวงและปิดตาบิดเบือนในคราวเดียวกันหลิงเฟยยื่นหน้ามองจ้าวฉีเสวียนอย่างกดดัน สุ้มเสียงที่เคยหวานใสระรื่นหูบัดนี้เปลี่ยนไปเป็นหวานแหลมเฉียบคม“ข้าไม่ให้พี่เสวียนไปเจ
สตรีทั้งสองพากันเดินไปนั่งจิบชาในศาลารับลมริมบึงบัวฟางซินที่ไม่ตามไปจึงได้โอกาสหันมาหาสามีอย่างรักใคร่“พี่เหอ เหนื่อยหรือไม่?”จิ้นเหอหันไปเห็นภรรยาคนงามมีหรือยังกล้าแข็งแรงอยู่อีก เขาบ่นอย่างเหน็ดเหนื่อย“ข้ารู้สึกอ่อนเพลียยิ่งนัก”“โอ...ข้าจะพาท่านพี่ไปพักเจ้าค่ะ”เวลานี้ยังต้องยืนเวรตามหน้าที่ ฟางซินจึงดึงจิ้นเหอให้ไปนั่งลงบนขั้นบันไดหน้าห้องหนังสือไม่ไกลจากตำแหน่งยืนยาม ก่อนลงมือบีบนวดให้อย่างเอาอกเอาใจนางถามเสียงหวาน “ปวดเมื่อยตรงนี้หรือไม่ ข้านวดให้”จิ้นเหอเสียงอ่อน “ปวดมาก เมื่อยยิ่ง ตรงนี้ด้วย”ฟางซินเริ่มตาโต “ท่านพี่ปวดเมื่อยถึงเพียงนี้ ข้าอยากให้ท่านลางานสักคืนเหลือเกิน” นางรีบกระซิบข้างหูน้ำเสียงกระเส่า “แล้วข้าจะนวดให้ท่านทั้งตัว ไร้เสื้อผ้ากางกั้น ดีหรือไม่เจ้าคะ”ดวงตาจิ้นเหอพลันสว่างวาบ ใจเหลวไปหมด“ข้าจะลางานคืนนี้เลย”จิ้นอันที่ยืนอยู่เพียงกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างหมั่นไส้เวลาล่วงเลยผ่านไปหนึ่งชั่วยามนับเป็นเวลาที่ไม่นานเลยสำหรับทุกคน ทว่ากลับยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึกของหวงลี่ฟางเหตุเพราะจ้าวฉีเสวียนอยู่ในห้องกับหลิงเฟยตลอดเวลา หลังจากนั้น พอเขาออกมาจากห
ระเบียงทางเดินระหว่างเรือนรับรองที่ทอดยาวเชื่อมต่อกับเรือนตำราหวงลี่ฟางยืนถือถาดน้ำชารสล้ำหอมกรุ่นยืนนิ่งเงียบงัน มิอาจขยับเขยื้อนไปข้างหน้าได้อีกแม้ครึ่งก้าวเมื่อครู่ จ้าวฉีเสวียนสั่งให้นางรอปรนนิบัติชงชาให้ในห้อง แต่เขาไม่ชอบชาเก่าที่อยู่ในห้องหนังสือ นางจึงออกมาชงชากาใหม่ ทว่าพอกลับมาคนกลับไม่รอชิมชาฝีมือนางอีกต่อไปด้านข้างนางคือฟางซินที่ยืนกระซิบกระซาบอยู่ไม่ห่าง “ซื่อจื่อมีท่านหญิงหลิงคอยดูแลชงชาให้แล้ว เจ้าอย่าเข้าไปเลย”พอพูดจบ ฟางซินลอบกลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างยากลำบากด้วยหน้าที่ต้องรับผิดชอบ งานต้องทำให้ลุล่วง นางจึงต้องทำอย่างจำใจ ทว่าส่วนลึกกลับรู้สึกผิดเหลือเกินหญิงสาวกลั้นใจเอ่ยอีกว่า “ท่านหญิงหลิงเฟยผู้นี้คือคู่หมั้นของซื่อจื่อเชียวนะ เจ้าควรรู้เอาไว้”คู่หมั้น...ร่างอรชรนิ่งงันราวถูกสาปในที่สุดวันนี้ก็มาถึง...แคว้นจิน นิยมให้ชายแต่งงานอายุยี่สิบ หญิงแต่งสิบห้า ปีหน้าจ้าวฉีเสวียนก็อายุครบยี่สิบปีแล้วคงสมควรแก่เวลาสินะส่วนนางหากไม่เกิดเหตุพลิกผันก่อนอายุสิบห้าปีก็คงไม่แคล้วกลายเป็นชายารัชทายาทอย่างขมขื่น ไหนเลยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดจ้าวฉีเ
พี่น้องสกุลจ้าวล้วนไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันและกัน ทุกคนมีสิทธิ์ทำอะไรตามอำเภอใจเต็มที่ ขอแค่ไม่หลงผิดคิดทำชั่ว เรื่องที่ทำต้องยึดมั่นถือมั่นในคุณธรรมเป็นที่ตั้งอ้อ...แต่อาจมีบ้างในเรื่องคู่ครองที่ออกจะเอาแต่ใจไปบ้างความคิดของจ้าวเล่อเสียล่องลอย ขณะที่หลิงเฟยยังคงพูดถึงจ้าวฉีเสวียน “พี่เสวียนซื้อคฤหาสน์ไว้พักผ่อนจริงดังเจ้าว่า...”และยิ่งเล่า สีหน้าหลิงเฟยยิ่งเผยความนัยคล้ายไม่ยินดี“ที่นั่นน่ะ มิใช่คฤหาสน์ธรรมดา แต่เป็นเรือนทองซ่อนสตรี พี่เสวียนซ่อนสาวงามเอาไว้ถึงสองคน แม่นางฟางซินก็คือหนึ่งในสาวงามของพี่เสวียนที่ยกให้จิ้นเหอ”จ้าวเล่อเสียพยักหน้าเอื่อยๆ แม้จะแปลกใจเพราะนี่มิใช่นิสัยของพี่ชาย แต่นางก็พอทำความเข้าใจได้ว่า“เรื่องนี้หาใช่เรื่องแปลกนี่นา พี่รองอาจได้รับมาเพราะเป็นเครื่องบรรณาการจากขุนนาง เขารับไว้แล้วส่งต่อให้ลูกน้องอีกที บุรุษสกุลจ้าวทำเช่นนี้ตั้งแต่รุ่นท่านพ่อแล้วล่ะ”หลิงเฟยรีบพูดอีกว่า “แต่ก่อนหน้าฟางซิน พี่เสวียนเลี้ยงดูหญิงงามไว้คนหนึ่ง นางผู้นี้อยู่กับพี่เสวียนเต็มหนึ่งปีแล้ว”จ้าวเล่อเสียเริ่มมีปฏิกิริยา “จริงหรือ?”หลิงเฟยถอนหายใจ “ผู้คนเล่าลือกันทั
ธรรมชาติของหวงลี่ฟางดื้อรั้น ยึดมั่นถือมั่น ต้องถูกกระตุ้นด้วยวิธีที่รุนแรงต่อจิตใจระดับนี้เท่านั้นรุ่ยเยียนเหลือบตามองหลันฮวาแวบหนึ่งแล้วนิ่งสนิท พยายามระงับโทสะที่เจียนระเบิดในที่สุดเพลิงพิโรธในอกก็สงบลง นางหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด ก่อนเผยยิ้มเย็นยะเยือก“ดี!” ว่าพลางหันไปหยิบตลับหยกใหม่ในลิ้นชักใต้โต๊ะขึ้นมายื่นให้หลันฮวา“นี่คือผีเสื้อ ‘วสันต์พร่ำรัก’ ละอองเรณูจากปีกผีเสื้อนี้มีฤทธิ์เดชกล้าแกร่งยิ่งกว่าครั้งก่อน มันมิใช่แค่ควบคุมจิตวิญญาณแต่จะทำหน้าที่สร้างปฏิสัมพันธ์ให้จิตวิญญาณผสานเกิดเป็นพันธนาการรัดรึงยากฉุดรั้งให้กลับคืน หากใช้กับคนสองคนที่มีใจผูกพันแต่เดิมไม่ว่าด้วยฐานะใด จะรักกันแน่นแฟ้นมากขึ้น”นั่นหมายความว่า ต่อให้จ้าวฉีเสวียนไม่ได้มีใจให้หลิงเฟย ทว่าแค่รู้จักมักคุ้นกันตั้งแต่เด็กก็จะแปรเปลี่ยนเป็นรักปักใจทันทีหลันฮวาเก็บตลับหยกอันใหม่ใส่แขนเสื้ออย่างระมัดระวัง“รับทราบเจ้าค่ะ”ด้วยไม่แน่ชัดถึงความรู้สึกนึกคิดของจ้าวฉีเสวียนการที่เขาแอบเลี้ยงดูสาวงามไว้ที่คฤหาสน์หนิงเทียนจึงมิใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การรายงานบุรุษอายุสิบแปดสิบเก้าปีผู้หนึ่งจะมีสตรีเอาไว้ปล
จิ้นเหอไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้เพียงว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มีเพียงต้องไปต่อเท่านั้น เขาไม่มีทางพอแค่นี้เป็นที่แน่นอนเสื้อผ้าพลันปลดเปลื้อง สตรีแยกขา บุรุษแทรกกลาง การสอดใส่เกิดขึ้นตามด้วยเสียงครางครวญอย่างสุขสมไม่มีหรอกการเล้าโลมคลอเคลีย ชายหญิงคู่หนึ่งคล้ายน้ำมันไหลหลากปะทะเปลวไฟ ร้อนแรงยิ่งกว่ากองเพลิงสีน้ำเงิน[1] ในหุบเขาบรรลัยกัลป์คนสองคนคล้ายลอยล่องหลุดพ้นจากแดนดินสู่แดนสรวงทว่าเสี้ยวสติหนึ่งของบุรุษพลันชะงัก เมื่อสัมผัสและรับรู้ได้ถึงเยื่อบางๆ ที่ขาดสะบั้นกับหยาดเลือดพรหมจรรย์ที่หลั่งรินเบาๆ จากช่องทางเร้นลับคับแคบซึ่งกำลังบีบรัดตัวตนของเขาเอาไว้แน่นจิ้นเหอที่ขบกรามก้มหน้าซุกซบซอกคอหอมถึงกับเบิกตาอย่างตระหนกและงงงัน กระนั้นยามนี้ต่อให้เอาอาชาศึกมาฉุดรั้ง คนย่อมมิอาจหยุดยั้งแม้ลมหายใจเดียว ยิ่งมองเห็นดวงตาฉ่ำน้ำที่หวานหยด หยดเหงื่อที่หยาดเยิ้ม ริมฝีปากชุ่มฉ่ำที่กำลังเม้มน้อยๆ อย่างทรมานสุขสมเช่นนั้นยอมตายอนาถบนยอดถันสาวงาม นับเป็นผู้กล้าโดยแท้...ห้องรับรองส่วนตัวของโรงน้ำชาฝูหมิงบนชั้นสอง สตรีสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันนิ่งงัน มีเพียงโต๊ะเตี้ยกั้น ห






