LOGINขณะตัวสะท้านงันงก น้ำเสียงเยือกเย็นก็ดังแว่วเข้ามา “พ่อบ้านฉิน พาตัวตานฉงไปยืนรอข้าที่ลานหน้าเรือนใหญ่”
สิ้นเสียงหวงลี่ฟาง ตานฉงก็เบิกตากว้าง
พริบตานางพลันถูกบ่าวชายร่างใหญ่สองคนลากตัวไป แม้ว่านางจะดิ้นรนปล่อยวาจาไม่ยินยอมออกมาเท่าใดก็ล้วนไร้ผล
เมื่อตานฉงถูกพามานั่งคุกเข่าหน้าเรือนหลัก หวงลี่ฟางที่เดินกลับออกมาจากเรือนส่วนตัวเพียงสั่งเสียงเย็นไปทางพ่อบ้าน
“โบยให้หนักแล้วขายออกไปให้พ้นหน้าข้า”
ตานฉงเบิกตาโพลง “ไม่นะ” ขณะถูกจับขึง นางตะโกนลั่น “ข้าเป็นคนของซื่อจื่อ สตรีเช่นเจ้ามีสิทธิ์ใดสั่งลงโทษข้า”
หวงลี่ฟางแย้มยิ้ม ทว่ารอยยิ้มกลับไปไม่ถึงดวงตาคู่งาม “สัญญาซื้อขายของบ่าวไพร่คฤหาสน์หนิงเทียนล้วนขึ้นตรงต่อข้า”
วาจานางเพียงพอต่อสิทธิ์อันชอบธรรมต่อการลงทัณฑ์
จ้าวฉีเสวียนแม้หื่นกระหายและเอาแต่ใจ เรียกร้องทั้งราตรี แต่กลับตอบแทนหวงลี่ฟางอย่างสาสม เขาให้ทั้งเงินและอำนาจในคฤหาสน์แห่งนี้ต่อนางอย่างน่าพึงพอใจ
“รบกวนพ่อบ้านฉินแล้ว”
กล่าวจบเพียงล้วงแขนเสื้อหยิบสัญญาของตานฉงออกมา พ่อบ้านฉินรีบตรงเข้ามารับไว้
ท่ามกลางเสียงโบยตีอันรุนแรงและเสียงกรีดร้องโหยหวนของตานฉง หวงลี่ฟางเพียงปรายตามองสาวใช้คนอื่นเนิบช้า แววตาเรียบนิ่ง แต่กลับทำทุกคนตัวสั่นยิ่งกว่านกกระสาฉ่ำพิรุณ
“คนยิ่งมาก ยิ่งจัดระเบียบยาก ข้าเพียงหวังว่าพวกเราจะอยู่ร่วมกันอย่างเรียบง่ายสงบสุขเท่านี้ ไม่มีใครถูกขายออกไปอีก และหวังว่าจะไม่ได้ยินวาจาร้ายกาจใดเล็ดลอดออกมาให้ระคายหู”
ทุกคนต่างคุกเข่าตอบรับพร้อมเพรียง พรั่นพรึงทั้งกายใจ เดิมทีสตรีผู้นี้มีนิสัยนุ่มนวลแย้มยิ้มอ่อนหวานเป็นนิจ แต่ใครจะคิดว่ายามขัดเคืองใจจะเย็นชาไร้ปรานีปานนี้
ยุ่นเอ๋อร์รีบโขกศีรษะกล่าวนำทุกคนว่า “บ่าวทราบแล้ว ต่อไปจะระมัดระวังมิให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกเจ้าค่ะ”
ทุกคนจึงกล่าวตามพร้อมเพรียง “บ่าวก็ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
หวงลี่ฟางยกยิ้มพึงพอใจพลางโบกมือเบาๆ ให้ทุกคนไปได้
แต่ไหนแต่ไรการที่มีสตรีอื่นหมายปองจ้าวฉีเสวียนจนแทบเก็บกิริยาไม่อยู่มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด
หลายครั้งที่ตานฉงเผยแววตาสื่อนัยลึกซึ้งต่อจ้าวฉีเสวียนอย่างไม่เกรงใจนางที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา
หลายคราที่ชอบทำทีท่าเรียกร้องความสนใจออกนอกหน้า ทว่ากลับถูกยุ่นเอ๋อร์ลากตัวออกไปเสียก่อนที่จะถูกสังเกตเห็น
กิริยาซ่อนนัยว่าดูแคลนเหยียดหยัน นางก็มิใช่ว่าไม่เคยเจอ เพียงแต่หวงลี่ฟางจำต้องปล่อยไว้อย่างใจเย็นไม่คิดถือสา เพราะส่วนหนึ่งล้วนยอมรับได้ถึงสถานะตนที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ซึ่งได้รับผลพวงจากเหตุการณ์วิกฤตพลิกผันแห่งชีวิตนำพา
วาจาดูแคลนเกี่ยวกับภรรยาลับ นางไม่ติดใจเอาความเท่าใด
ทว่าเรื่องฝีมือการทำอาหารนั้น ออกจะมากเกินไป
มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้คือ นอกจากน้ำแกงเลี่ยงบุตรแล้ว หวงลี่ฟางทำน้ำแกงอื่นไม่เป็นด้วยซ้ำ ทว่านางก็มีความตั้งใจจริงในการฝึกทำอาหารให้จ้าวฉีเสวียนเพื่อเอาอกเอาใจเขา แต่ทุกครั้งกลับเป็นเขาที่พานางเข้าครัว ปิดประตูหน้าต่างเสียมิดชิดทุกบาน แล้วลงมือจัดการจับนางกลืนกินบนโต๊ะในครัวก่อนหนึ่งรอบใหญ่ จากนั้นอาหารทุกจานน้ำแกงทุกถ้วยล้วนเป็นเขาที่ทำให้นางกิน
หวงลี่ฟางรู้มาว่าพระชายาเพ่ยหนิงมีฝีมือการทำอาหาร ชินอ๋องจ้าวเฟิ่งชมชอบฝีมือพระชายาตนมาก แต่นางคิดไม่ถึงว่าจ้าวฉีเสวียนเองก็ชอบทำอาหารเช่นกัน
ดังนั้นการที่ตานฉงบังอาจวิจารณ์เรื่องรสชาติอาหารในสำรับของนางกับจ้าวฉีเสวียน นางย่อมมิอาจอภัย...
ในห้องหนึ่งของคฤหาสน์หนิงเทียน ควันสีขาวจากกำยานม้วนตัวอ้อยอิ่งท่ามกลางความกรุ่นร้อนบนเตียงนอน ชายหญิงไร้วาจาต่อขาน แม้มิได้สนทนาทว่ากลับมิได้เงียบงัน
แสงสว่างจากตะเกียงส่องไปยังเสี้ยวของพวกเขา เห็นเพียงหยาดเหงื่อผุดพราย ความอุ่นซ่านแผ่กำจายผ่านลมหายใจร้อนชื้น
เสียงครวญครางแว่วหวานผสานเสียงหอบหนักเนิ่นนาน
จ้าวฉีเสวียนจับหวงลี่ฟางนอนหงาย เขาแทรกกายลงมา ทั้งร่างทาบทับแนบชิดสนิทสนม
ชายหนุ่มขยับเอวสอบเกิดเป็นจังหวะลึกล้ำยากต้านทานความรัญจวน หญิงสาวทนไม่ไหว กรีดร้องเกร็งกระตุกอีกรอบ
พริบตาคล้ายฟ้าพลิกตลบ เมื่อมือใหญ่จับนางพลิกตัว กระชับเอวให้ยืนขึ้นหันหน้าเข้าหาต้นเสาหัวเตียงโดยมีเขาตามประกบซ้อนแผ่นหลัง การกระแทกกระทั้นในท่านี้เกิดขึ้นครู่ใหญ่ ก่อนที่คนตัวสูงจะจับคนตัวเล็กให้นั่งลงหันหน้าออกไปนอกเตียง บั้นท้ายอ่อนนุ่มบดเบียดบนตักแกร่ง
“อ๊ะ!”
หวงลี่ฟางร้องออกมาได้แค่นั้น กลับถูกจ้าวฉีเสวียนจับสะโพกมนกดลงแนบกับตัวตนแข็งขึง การตอกตรึงแบบซ้อนหลังเกิดขึ้นตรงขอบเตียง เมื่อฝ่ามือร้อนๆ ของคนด้านหลังเอื้อมขึ้นมาบีบเคล้นทรวงอกงาม ความร้อนพลันแผ่ขยาย ร่างบางอ่อนระทวยทว่ากลับขยับโยกเรือนกายตามจังหวะคนด้านหลังอย่างเร่าร้อน
“อา...ซื่อจื่อ”
หญิงสาวให้รู้สึกใกล้หลอมละลายอีกครา
“อืม...ฟางเหนียง”
ความชิงชังยิ่งพลุ่งพล่านจนแสบเคืองทั้งม่านตา เพลิงริษยาลุกโหมรุมเร้าไปทั่วทรวงอกกินลึกถึงโพรงใจเหตุใดนางไม่เคยได้รับสิ่งของเหล่านี้จากพี่เสวียนบ้างเพราะเป็นเพียงสหายวัยเด็กหรือ?หญิงสาวเชิดหน้า แววตาแผดแสงไม่ยินยอมแรงกล้า แต่นางมิใช่เพียงสหายแล้วนี่ รอได้หมั้นมีกำหนดวันแต่งก่อนเถิด นางจะมาเผาสวนดอกไม้แห่งนี้ให้วอดหลิงเฟยเดินต่อไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ในระยะสายตาเห็นสะคราญโฉมที่งดงามหยาดเยิ้มราวปีศาจนั่งอยู่ในศาลาสองคนคนหนึ่งจิบชาก่อนค่อยพูดอย่างรื่นเริงว่าจะขอติดตามไปเดินเที่ยวตลาดด้วยกัน อีกคนก็แย้มยิ้มกล่าวตอบรับอย่างยินดี ท่าทีพร้อมออกไปเผยโฉมอันงดงามยั่วยวนต่อธารกำนัลตลอดเวลาหลิงเฟยมองสตรีทั้งสองนิ่งงันใครกัน? สาวใช้คนสนิทที่ติดตามมาด้วยกระซิบบอก “แม่นางชุดฟ้าคือฟางซิน ส่วนแม่นางชุดสีชมพูคือฟางเหนียงเจ้าค่ะท่านหญิง”ครั้งก่อนที่มา หลิงเฟยเข้าไปอยู่ในห้องกับจ้าวฉีเสวียน นางจึงไม่รู้จัก ส่วนสาวใช้ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูจึงรู้ได้ไม่ยากครั้นรู้แล้วหลิงเฟยก็หรี่ตามองหญิงสาวชุดสีชมพูอ่อนหวาน ที่แท้ก็นังปีศาจจิ้งจอกฟางเหนียง นางขบริมฝีปากอย่างขุ่นเคือง ไฟอารมณ์ลุกไหม้
จวนชินอ๋องทางฝั่งจ้าวฉีเสวียน เขาไม่รู้ว่าช่วงนี้ตนเองเป็นอะไรไป เหตุใดถึงรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจตลอดเวลาครั้นหันไปมองหน้าอันงดงามเปล่งปลั่งของสตรีที่ตัวติดกันตลอดหลายวันมานี้ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ไฉนไม่เคยปฏิเสธนางสักครา“น้องเฟยเฟยจะติดตามไปด้วยกันทุกที่ก็ได้”หลิงเฟยแย้มยิ้มเบิกบานราวบุปผา “พี่เสวียนไปที่ใดหรือ?”ชายหนุ่มตอบนิ่งๆ “ข้าจะเข้าไปที่คฤหาสน์หนิงเทียน”“คฤหาสน์หนิงเทียน?” หลิงเฟยให้รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง ที่นั่นมีสาวงามหยาดเยิ้มซึ่งนางเทียบไม่ติดอยู่ผู้หนึ่ง “เหตุใดท่านต้องไปที่นั่นอีก เราสองคนกำลังจะหมั้นหมายกันแล้วนะเจ้าคะ”นั่นสิ เหตุใดต้องไปที่นั่น จ้าวฉีเสวียนเองก็ไม่เข้าใจ ในอกพลันร้อนรุ่มแปลกๆ เขารู้สึกเหมือนลืมใครไปสักคนหนึ่งจ้าวฉีเสวียนให้รู้สึกปวดหัว เขาพยายามนึกภาพสตรีผู้นั้น ทว่าในความเลือนรางไม่ชัดเจน กลับเห็นเป็นหลิงเฟยที่ยื่นหน้ามา ภาพที่เพียรนึกถึงพลันอันตรธานหายไป คล้ายถูกมนต์มารล่อลวงและปิดตาบิดเบือนในคราวเดียวกันหลิงเฟยยื่นหน้ามองจ้าวฉีเสวียนอย่างกดดัน สุ้มเสียงที่เคยหวานใสระรื่นหูบัดนี้เปลี่ยนไปเป็นหวานแหลมเฉียบคม“ข้าไม่ให้พี่เสวียนไปเจ
สตรีทั้งสองพากันเดินไปนั่งจิบชาในศาลารับลมริมบึงบัวฟางซินที่ไม่ตามไปจึงได้โอกาสหันมาหาสามีอย่างรักใคร่“พี่เหอ เหนื่อยหรือไม่?”จิ้นเหอหันไปเห็นภรรยาคนงามมีหรือยังกล้าแข็งแรงอยู่อีก เขาบ่นอย่างเหน็ดเหนื่อย“ข้ารู้สึกอ่อนเพลียยิ่งนัก”“โอ...ข้าจะพาท่านพี่ไปพักเจ้าค่ะ”เวลานี้ยังต้องยืนเวรตามหน้าที่ ฟางซินจึงดึงจิ้นเหอให้ไปนั่งลงบนขั้นบันไดหน้าห้องหนังสือไม่ไกลจากตำแหน่งยืนยาม ก่อนลงมือบีบนวดให้อย่างเอาอกเอาใจนางถามเสียงหวาน “ปวดเมื่อยตรงนี้หรือไม่ ข้านวดให้”จิ้นเหอเสียงอ่อน “ปวดมาก เมื่อยยิ่ง ตรงนี้ด้วย”ฟางซินเริ่มตาโต “ท่านพี่ปวดเมื่อยถึงเพียงนี้ ข้าอยากให้ท่านลางานสักคืนเหลือเกิน” นางรีบกระซิบข้างหูน้ำเสียงกระเส่า “แล้วข้าจะนวดให้ท่านทั้งตัว ไร้เสื้อผ้ากางกั้น ดีหรือไม่เจ้าคะ”ดวงตาจิ้นเหอพลันสว่างวาบ ใจเหลวไปหมด“ข้าจะลางานคืนนี้เลย”จิ้นอันที่ยืนอยู่เพียงกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างหมั่นไส้เวลาล่วงเลยผ่านไปหนึ่งชั่วยามนับเป็นเวลาที่ไม่นานเลยสำหรับทุกคน ทว่ากลับยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึกของหวงลี่ฟางเหตุเพราะจ้าวฉีเสวียนอยู่ในห้องกับหลิงเฟยตลอดเวลา หลังจากนั้น พอเขาออกมาจากห
ระเบียงทางเดินระหว่างเรือนรับรองที่ทอดยาวเชื่อมต่อกับเรือนตำราหวงลี่ฟางยืนถือถาดน้ำชารสล้ำหอมกรุ่นยืนนิ่งเงียบงัน มิอาจขยับเขยื้อนไปข้างหน้าได้อีกแม้ครึ่งก้าวเมื่อครู่ จ้าวฉีเสวียนสั่งให้นางรอปรนนิบัติชงชาให้ในห้อง แต่เขาไม่ชอบชาเก่าที่อยู่ในห้องหนังสือ นางจึงออกมาชงชากาใหม่ ทว่าพอกลับมาคนกลับไม่รอชิมชาฝีมือนางอีกต่อไปด้านข้างนางคือฟางซินที่ยืนกระซิบกระซาบอยู่ไม่ห่าง “ซื่อจื่อมีท่านหญิงหลิงคอยดูแลชงชาให้แล้ว เจ้าอย่าเข้าไปเลย”พอพูดจบ ฟางซินลอบกลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างยากลำบากด้วยหน้าที่ต้องรับผิดชอบ งานต้องทำให้ลุล่วง นางจึงต้องทำอย่างจำใจ ทว่าส่วนลึกกลับรู้สึกผิดเหลือเกินหญิงสาวกลั้นใจเอ่ยอีกว่า “ท่านหญิงหลิงเฟยผู้นี้คือคู่หมั้นของซื่อจื่อเชียวนะ เจ้าควรรู้เอาไว้”คู่หมั้น...ร่างอรชรนิ่งงันราวถูกสาปในที่สุดวันนี้ก็มาถึง...แคว้นจิน นิยมให้ชายแต่งงานอายุยี่สิบ หญิงแต่งสิบห้า ปีหน้าจ้าวฉีเสวียนก็อายุครบยี่สิบปีแล้วคงสมควรแก่เวลาสินะส่วนนางหากไม่เกิดเหตุพลิกผันก่อนอายุสิบห้าปีก็คงไม่แคล้วกลายเป็นชายารัชทายาทอย่างขมขื่น ไหนเลยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดจ้าวฉีเ
พี่น้องสกุลจ้าวล้วนไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันและกัน ทุกคนมีสิทธิ์ทำอะไรตามอำเภอใจเต็มที่ ขอแค่ไม่หลงผิดคิดทำชั่ว เรื่องที่ทำต้องยึดมั่นถือมั่นในคุณธรรมเป็นที่ตั้งอ้อ...แต่อาจมีบ้างในเรื่องคู่ครองที่ออกจะเอาแต่ใจไปบ้างความคิดของจ้าวเล่อเสียล่องลอย ขณะที่หลิงเฟยยังคงพูดถึงจ้าวฉีเสวียน “พี่เสวียนซื้อคฤหาสน์ไว้พักผ่อนจริงดังเจ้าว่า...”และยิ่งเล่า สีหน้าหลิงเฟยยิ่งเผยความนัยคล้ายไม่ยินดี“ที่นั่นน่ะ มิใช่คฤหาสน์ธรรมดา แต่เป็นเรือนทองซ่อนสตรี พี่เสวียนซ่อนสาวงามเอาไว้ถึงสองคน แม่นางฟางซินก็คือหนึ่งในสาวงามของพี่เสวียนที่ยกให้จิ้นเหอ”จ้าวเล่อเสียพยักหน้าเอื่อยๆ แม้จะแปลกใจเพราะนี่มิใช่นิสัยของพี่ชาย แต่นางก็พอทำความเข้าใจได้ว่า“เรื่องนี้หาใช่เรื่องแปลกนี่นา พี่รองอาจได้รับมาเพราะเป็นเครื่องบรรณาการจากขุนนาง เขารับไว้แล้วส่งต่อให้ลูกน้องอีกที บุรุษสกุลจ้าวทำเช่นนี้ตั้งแต่รุ่นท่านพ่อแล้วล่ะ”หลิงเฟยรีบพูดอีกว่า “แต่ก่อนหน้าฟางซิน พี่เสวียนเลี้ยงดูหญิงงามไว้คนหนึ่ง นางผู้นี้อยู่กับพี่เสวียนเต็มหนึ่งปีแล้ว”จ้าวเล่อเสียเริ่มมีปฏิกิริยา “จริงหรือ?”หลิงเฟยถอนหายใจ “ผู้คนเล่าลือกันทั
ธรรมชาติของหวงลี่ฟางดื้อรั้น ยึดมั่นถือมั่น ต้องถูกกระตุ้นด้วยวิธีที่รุนแรงต่อจิตใจระดับนี้เท่านั้นรุ่ยเยียนเหลือบตามองหลันฮวาแวบหนึ่งแล้วนิ่งสนิท พยายามระงับโทสะที่เจียนระเบิดในที่สุดเพลิงพิโรธในอกก็สงบลง นางหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด ก่อนเผยยิ้มเย็นยะเยือก“ดี!” ว่าพลางหันไปหยิบตลับหยกใหม่ในลิ้นชักใต้โต๊ะขึ้นมายื่นให้หลันฮวา“นี่คือผีเสื้อ ‘วสันต์พร่ำรัก’ ละอองเรณูจากปีกผีเสื้อนี้มีฤทธิ์เดชกล้าแกร่งยิ่งกว่าครั้งก่อน มันมิใช่แค่ควบคุมจิตวิญญาณแต่จะทำหน้าที่สร้างปฏิสัมพันธ์ให้จิตวิญญาณผสานเกิดเป็นพันธนาการรัดรึงยากฉุดรั้งให้กลับคืน หากใช้กับคนสองคนที่มีใจผูกพันแต่เดิมไม่ว่าด้วยฐานะใด จะรักกันแน่นแฟ้นมากขึ้น”นั่นหมายความว่า ต่อให้จ้าวฉีเสวียนไม่ได้มีใจให้หลิงเฟย ทว่าแค่รู้จักมักคุ้นกันตั้งแต่เด็กก็จะแปรเปลี่ยนเป็นรักปักใจทันทีหลันฮวาเก็บตลับหยกอันใหม่ใส่แขนเสื้ออย่างระมัดระวัง“รับทราบเจ้าค่ะ”ด้วยไม่แน่ชัดถึงความรู้สึกนึกคิดของจ้าวฉีเสวียนการที่เขาแอบเลี้ยงดูสาวงามไว้ที่คฤหาสน์หนิงเทียนจึงมิใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การรายงานบุรุษอายุสิบแปดสิบเก้าปีผู้หนึ่งจะมีสตรีเอาไว้ปล







